ความคิดเห็นที่ 1   แสงคืออะไร มาดูความหมายกันก่อนเลยครับ ในงานของการถ่ายภาพนิ่ง และเคลื่นไหวนั้น แสงถือว่าสิ่งสำคัญ เพราะหากไม่มีแสงจะไม่สามารถถ่ายภาพติดได้เนื่องจากการถ่ายภาพหากรู้ความหมายจริง ๆ วิชาถ่ายภาพตรงกับภาษาอังกฤษว่า "Photography" มาจากคำศัพท์ในภาษากรีก โดย "Phos = แสงสว่าง" และ "Graphein = เขียน" เมื่อนำมารวมกันจึงหมายถึง "เขียนด้วยแสงสว่าง แต่ในปัจจุบันนี้ หมายถึง วิชาที่ว่าด้วยการทำให้ภาพเกิดขึ้นโดยใช้แสงสว่างมากระทบกับวัสดุไวแสง และครอบคลุมไปถึงการถ่ายรูป การล้างฟิล์ม การอัดขยายภาพ และกระบวนการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกัน กล่าวโดยสรุป วิชาการถ่ายรูปก็คือ "ความรู้ที่ว่าด้วยกระบวนแห่งการสร้างรูปโดยอาศัยแสงสว่างเข้าช่วย" นั่นเอง แสงที่เราเห็น และใช้กันอยู่ทุกวันนี้ มีสีและอุณหภูมิที่ต่างกันออกไป... ต่างแสง ก็ต่างอุณหภูมิสี อุณหภูมิสีของแสงที่พูดถึงนี้ ได้รับการวัด และคำนวณขึ้นมาเพื่อให้ใช้เป็นแนวทาง ในการที่จะนำไปปรับใช้ในการทำงานในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะทั้งทางด้านวิทยาศาสตร์ หรือว่าทางด้านศิลปศาสตร์ การวัดค่าหาอุณหภูมิสีนี้ จะทำกันตลอดปี ตามวันที่ได้รับการคำนวณมาแล้ว ว่าจะปลอดจากแสง Skylight มากที่สุด ในเวลาเที่ยง วันตรง เรียกกันว่า Mean Noon Sunlight ซึ่งได้ทำการวัดหาค่ากันที่เมือง Washington, D.C. เมืองหลวงของประเทศสหรัฐอเมริกา โดย U.S. Nation Bureau of Standards เนื่องจากว่าการเปลี่ยนแปลงทางธรรมชาติ เกิดขึ้นได้ทุกวินาที จึงทำให้การให้ค่าของสีของแต่ละแสง ทำได้เพียงแค่การประมาณเท่านั้น ว่าจะเป็นกี่ Kelvin (K) ซึ่งเป็นหน่วยวัดอุณหภูมิสีของแสง (ได้รับการคิดค้นขึ้นมาโดย นาย W.T. Kelvin 1824-1907)   และถึงแม้ว่าจะเป็นแสงประดิษฐ์ ที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงทางธรรมชาติก็ตาม หลอดไฟก็จะมีการเสื่อมคุณภาพลง ตามระยะเวลา อุณหภูมิสีของแสง หรือค่าของ K ก็จะเปลี่ยนตามไปด้วย แสงมีอยู่ด้วยกันสองประเภท คือ Natural Light (แสงธรรมชาติ) และ Artificial Light (แสงประดิษฐ์) และจากแสงทั้งสองนี้ เราก็ยังสามารถที่จะแยกแยะออกไปได้อีกหลายชนิดด้วยกัน และกับแต่ละแสงนั้น เราก็สามารถที่จะใช้ในถ่ายภาพได้ทั้งสิ้น เพียงแค่ว่าอุณหภูมิสีของแสงจะต่างกันเท่านั้นเอง ในการถ่ายภาพ เราจึงจะต้องเลือกใช้ฟิล์มให้เหมาะกับประเภทของแสง ประเภทของแสงก็มีส่วนเกี่ยวข้องในคุณภาพของภาพ ที่จะได้รับจากประเภทของแสงด้วยเช่นกัน ุ้ แก้ไขเมื่อ 21 พ.ย. 52 02:22:22 จากคุณ : aloha_123 เขียนเมื่อ : 21 พ.ย. 52 02:21:04

ความคิดเห็นที่ 2   ทีนี้มาพูดถึงเครื่องวัดแสงกัน เครื่องวัดแสงในตลาดมีอยู่ 2 ประเภทใหญ่ ๆ 1. ประเภทที่ใช้อ่านหรือใช้วัดแสงที่สะท้อนมาจากสิ่งที่จะถ่าย เรียกว่า Reflected Light Reading ซึ่งก็คือวัดแสงจากกล้องถ่ายภาพ เครื่องวัดแสงเฉพาะจุด แล้วก็เครื่องวัดแสงสะท้อน โดยการวัดแสงสะท้อนจากวัตถุนั้นเราจะใช้เครื่องวัดแสงจากวัตถุที่สะท้อนขึ้นมา ซึ่งวิธีการวัดแสงด้วยวิธีการนี้ จะมีความคลาดเคลื่อนได้ ในกรณีที่เจอวัตถุ สีดำ สีขาว หรือแสงสะท้อนจัด ๆ จึงต้องมีการชดเชยแสง เช่น แสงสีขาว ต้อง +2 stop โดยประมาณ แสงสีดำ ต้อง-2 โดยประมาณ แต่วิธีที่ดีที่สุดคือ หากระดาษสีเทา 18% มาวางที่วัตถุแล้ววัดแสงครับ ทำไมต้องสีเทา เพราะเครื่อวัดแสงมันวัดได้แต่ขาวดำ มันวัดสีไม่ได้ ครับ สีเทา 18%  ถือว่าเป็นสีที่ใกล้เคียงกับแสงสะท้องผิวคนที่สุดแล้วครับ 2.ประเภทที่ใช้วัดหรืออ่านแสงก่อนที่จะตกไปยังสิ่งที่จะ ถ่ายเรียกว่า Incident Light Reading ก็คือเครื่องวัดแสงทั่วไป วิธีการก็คือเอาเครื่ืองวัดแสงไปวัดหน้าวัตถุเลย แสงที่ได้ออกมาจะค่อนข้างตรงเพราะเราวัดตรง ไม่ได้วัดผ่านวัตถุครับ แก้ไขเมื่อ 21 พ.ย. 52 20:21:52 แก้ไขเมื่อ 21 พ.ย. 52 05:22:18 จากคุณ : aloha_123 เขียนเมื่อ : 21 พ.ย. 52 03:05:39

ความคิดเห็นที่ 3   คราวนี้เรามาดูประเภทของแสงกันนะครับ หลายคนอาจจะสงสัยเรื่อง White balance อุณหภูมิสี ค่าต่างๆ พอมาอ่านตรงนี้จะร้อง อ้อ เลยครับว่ามันเป็นเช่นนี้เองหรือ Natural Light  แสงธรรมชาติ แสงประเภทนี้มีแหล่งกำเนิดแสงอยู่ เพียงแห่งเดียว คือ ดวงอาทิตย์ แต่ได้รับการดูดซึมไปด้วยแหล่งต่างๆ ในจักรวาล คือดวงดาวต่างๆ และดวง จันทร์ แสงที่เราเห็นจากดาวเหล่านั้น คือแสงที่สะท้อนออกมา และแสงที่สามารถสะท้อนกลับมาถึงโลกได้มีอยู่เพียงดวงเดียว คือ ดวงจันทร์ ดังนั้นเราจึงสามารถที่จะรับแสงธรรมชาติได้สองทางคือ แสงที่ส่องมาโดยตรงจากดวงอาทิตย์ในเวลากลางวัน และแสงที่สะท้อนมาจากดวงจันทร์ในเวลากลางคืน รวมทั้งจากดวงดาวต่างๆ ที่ให้เพียงแค่แสงระยิบ ระยับ กับแสงที่สะท้อนมาจากวัสดุต่างๆ รอบตัวเรา แสงธรรมชาติที่เราเห็น และใช้กันอยู่ทุกวัน จะประกอบไปด้วยแสงต่างๆ เช่น แก้ไขเมื่อ 21 พ.ย. 52 03:13:42 แก้ไขเมื่อ 21 พ.ย. 52 03:10:18 จากคุณ : aloha_123 เขียนเมื่อ : 21 พ.ย. 52 03:09:22

ความคิดเห็นที่ 4   1. Sunlight แสงนี้นับว่าเป็นแสงธรรมชาติอย่างแท้จริง เพราะเป็นแสงที่ส่องมาจากดวงอาทิตย์โดยตรง ยังมิได้มีการผสมกับแสงอื่นใด หรือรังสีใด หรือได้รับการสะท้อนกลับ มาจากสิ่งอื่นสิ่งใดในบรรยากาศทั้งสิ้น เป็นแสงที่เราที่อยู่ข้างล่างนี้ไม่สามารถที่จะสัมผัส หรือพบเห็นได้บ่อยนัก เพราะปรกติแล้วแสงนี้จะได้รับการผสมกับแสงที่ได้การดูดซึมไป โดยดวงดาวต่างๆ แล้วสะท้อนออกมา และกับรังสีอื่นๆ ที่ล่องลอยอยู่ในบรรยากาศ ก่อนที่จะส่องมายังโลก เป็นแสงที่มีอุณหภูมิสีที่ 5,400 K จากคุณ : aloha_123 เขียนเมื่อ : 21 พ.ย. 52 03:11:55

ความคิดเห็นที่ 5   2. Skylight เป็นรังสีที่กระจัดกระจายอยู่ในบรรยากาศ มีแสงของสีฟ้าผสมอยู่ในปริมาณที่มากในท้องฟ้า จึงทำให้แสงที่ส่องมายามฟ้าโปร่งมีแสงของสีฟ้าผสมอยู่ด้วยเป็นจำนวนมาก จากการถ่ายภาพด้วยฟิล์มสไลด์สีที่ปราศจากการใช้ Skylight ฟิลเตอร์ จะเห็นได้ชัดว่าสิ่งที่เป็นสีขาวที่อยู่ภายในร่ม หรือภายใต้ชายคา จะมีสีฟ้าผสมอยู่ให้เห็นได้อย่างชัดเจน เมื่อได้ใช้ Skylight ฟิลเตอร์ใส่ติดหน้าเลนส์ ก็จะปรากฏว่าช่วยตัดรังสี หรือแสงสีฟ้านี้ออกไปจนหมดสิ้น แสงนี้มีอุณหภูมิสีที่ 2,500 K ขึ้นไป จากคุณ : aloha_123 เขียนเมื่อ : 21 พ.ย. 52 03:12:17

ความคิดเห็นที่ 6   3. Daylight เป็นแสงที่ได้รับการผสมระหว่าง Sunlight กับ Skylight และได้รับการผสมร่วมกับแสง และรังสีอื่นๆ ที่แผ่กระจายอยู่ในบรรยากาศทั่วไป เป็นแสงที่เราได้รับและ ใช้อยู่เป็นประจำทุกวัน... เนื่องจากการหมุนของโลก การเคลื่อนตัวของเมฆ การเคลื่อน ตัวของสิ่งต่างๆ บนพื้นผิวโลก ในท้องฟ้า และบรรยากาศ รวมทั้งตำแหน่งของดวงอาทิตย์ จึงทำให้แสงนี้เป็นแสงที่มีอุณหภูมิสีต่างกันออกไปตลอดวัน ตั้งแต่เวลาเช้าตรู่ก่อนที่ดวงอาทิตย์จะโผล่ขึ้นจากขอบฟ้า ไปจนถึงหลังจากที่ดวงอาทิตย์ลาลับขอบฟ้าไปแล้ว โดย ประมาณแล้ว จะเป็นแสงที่มีอุณหภูมิสีของแสงระหว่าง 1,300 K - 25,000 K จากคุณ : aloha_123 เขียนเมื่อ : 21 พ.ย. 52 03:14:14

ความคิดเห็นที่ 7   คราวนี้มาดูแหล่งแสงไม่ธรรมชาติบ้าง นะครับว่ามีอะไรบ้าง Artificial Light... แสงประดิษฐ์ หรือแสงที่เกิดขึ้นมาได้ด้วยมี มือของมนุษย์ จากปรากฏการต่างๆ เช่น แสงไฟฟ้า แสงจากเทียน แสงจากตะเกียง แสงไฟแฟลช หรือจากการเกิดไฟไหม้ หรือเป็นแสงที่เกิดขึ้นมาจากภัยธรรมชาติ เช่นไฟป่า เป็นต้น ซึ่งต่างก็เป็นแสงที่ไม่ได้มาจากดวงอาทิตย์ แสงต่างๆ ที่จะพูดต่อไปนี้จะเข้าข่ายของ แสงประดิษฐ์ มากกว่า ที่จะเป็น แสงธรรมชาติ 1. Available Light ในความหมายดั้งเดิมหมายถึง แสงอะไรก็แล้วแต่ที่สามารถหยิบฉวยไปใช้ได้ในขณะที่ต้องการ รวมทั้งแสงที่มีส่องอยู่ในขณะนั้นด้วย ซึ่งอาจจะเป็นแสงธรรมชาติก็ได้ สรุปแล้วคือ จะเป็นแสงอะไรก็ได้ทั้งนั้น แต่ในปัจจุบันได้รับการนำมาใช้ในอีกความหมายหนึ่ง คือ เป็นการอธิบายถึงยามที่มีแสงน้อย และในการถ่ายภาพยามที่มีแสงน้อย ซึ่งมักจะเป็นเวลาที่แสงธรรมชาติได้ลาลับไปแล้ว เช่นเวลากลางคืน และแสงที่มีอยู่ก็จะเป็นแสงประดิษฐ์ทั้งสิ้น การถ่ายภาพกลางคืนที่มีแสงน้อยในกรณีย์นี้ ผู้ถ่าย สามารถปรับแต่งแสงได้ตามความเหมาะสม หรือตามความต้องการ ด้วยการใช้ gobo หรือ reflector แต่ไม่ใช่เป็นการเพิ่มแสงดวงใหม่เข้าไป 2. Existing light มี ความหมายคล้ายกับ Available Light ซึ่งหมายถึงแสงอะไรก็แล้วแต่ที่ส่องอยู่ในขณะนั้น อาจจะเป็นแสงธรรมชาติหรือแสงประดิษฐ์ก็ได้ ปรกติแล้วก็จะหมายถึงการถ่ายภาพยามแสงน้อย หรือเป็นการถ่ายภาพกลางคืน ที่ใช้แสงที่มีอยู่เป็นแสงหลัก การถ่ายภาพใต้หัวข้อนี้จะไม่มีการเสริม หรือแต่ง หรือเพิ่มเติมแสงอื่นใดเข้าไป เป็นอันขาด 3. Ambient Light โดย ส่วนใหญ่แล้ว มีความหมายเดียวกันกับสองแสงข้างบน แต่ยังมีความหมายในตัวของมันเองอีกว่าหมายถึงแสงที่ส่องมา โดยไม่ทราบที่มาของแหล่งแสงที่ชัดเจน ทีนี่ข้างล่างจะเป็นภาพแสดงถึงอุณหภูมิสีครับ โดยในภาพจะบอกเลยว่าแสงอะไรอุณหภูมิสีอะไร แล้วก็ ให้สีอะไร อันนี้ควรรู้ ไว้ก็ดีครับ แก้ไขเมื่อ 21 พ.ย. 52 03:20:45 จากคุณ : aloha_123 เขียนเมื่อ : 21 พ.ย. 52 03:19:08

ความคิดเห็นที่ 8   คราวนี้มาพูดถึงเรื่องฟิล์มกัน ว่าฟิล์มแต่ละอย่างคืออะไร และให้ผลอย่างไร ถึงแม้จะเป็นดิจิตอลแล้วก็ตามแต่ฟิล์มก็ยังเป็นพื้นฐานต่าง ๆ ที่ยังคงใช้ในดิจิตอล เช่น iso อุณหภูมิสี ต่าง ๆ ก็อ้างอิงจากฟิล์มครับจึงควรรุ้ไว้  ฟิล์ม (Film) เป็นวัสดุใสฉาบด้วยสารเคมีประเภทเกลือเงิน มีคุณสมบัติไวต่อแสง ซึ่งเรียกว่า "เยื่อไวแสง" เมื่อให้ฟิล์ม ถูกแสงจะทำปฏิกิริยาเกิดเงาสีดำที่มองไม่เห็นเรียกว่า "ภาพแฝง" ต้องนำฟิล์มที่ถูกแสงแล้วนี้ไปล้างน้ำยาเคมีตาม กระบวนการ จะได้ภาพปรากฏเห็นเป็นสีดำ ส่วนของเยื่อไวแสงที่ไม่ถูกแสง จะถูกละลายในน้ำยาเคมี เรียกฟิล์มที่ล้าง แล้วนี้ว่า "เนกาตีฟ"        ฟิล์มแบ่งออกเป็น 2 ชนิด    1. ฟิล์มเนกาตีฟ (ขาวดำ/สี) สำหรับถ่ายภาพและอัดขยายลงบนกระดาษ    2. ฟิล์มโฟซิทิฟ (สไลด์) สำหรับถ่ายภาพโปร่งแสง ฉายดูบนจอรับภาพ ขนาดของฟิล์มถ่ายภาพ มีขนาดต่าง ๆ กันให้เลือกใช้ 1 ฟิล์ม 110 บรรจุในกลัก ฟิล์ม 126 บรรจุในกลักแต่ขนาดใหญ่กว่า ซึ่งในสมมัยก่อนเราจะเรียกกันว่า HALF FRAME 2 ฟิล์ม 135 เป็นฟิล์มขนาด 35 (นิยมใช้กันทั่วไป) บรรจุในแมกกาซีน 3 ฟิล์ม 2, 120, 127 และ 620 เป็นฟิล์มม้วน หรือแผ่นขนาดใหญ่ ต้องนำไปล้างก่อนจึงจะใช้งานได้ และฟิล์มอินสแตนท์เป็นฟิล์มแผ่นสำเร็จรูปออกแบบมาพิเศษใช้ถ่าย ภาพและอัดขยายได้ภายในเวลา 1-2 นาที สำหรับฟิล์มในงานภาพยนตร์นั้นมีอยู่สี่ขนาดครับคือ 1 ฟิล์ม 8 mm ใช้ในสมัยก่อนตามบ้านทั่วไป มีขนาดเล็กเหมาะสำหรับงานสมัครเล่น 2 ฟิล์ม 16 mm ใช้มากในงานจำพวกทีวี โฆษณาเนื่องจากขนาดของฟิล์มมีคุณภาพเทียบเท่า กล้อง HD และในสมัยก่อนบ้านเราก็มีการนำเอากล้องนี้มาใช้ถ่ายแทนฟลิ์ม 35  mm เนื่องจากราคาแพง 3 ฟิล์ม 35 mm ใช้มากในงานการถ่ายทำภาพยนตร์ที่ฉายโรง งานที่ต้องการความสวยงาม 4 IMAX size เป็นฟิล์มที่มีขนาดใหญ่มาก ใช้เฉพาะกับโรงภาพยนตร์ Imax เท่านั้น        การเลือกใช้ฟิล์มจะต้องเลือกใช้ฟิล์มให้เหมาะสมกับลักษณะ งาน สภาพแสงและขนาดภาพตามมาตราในการวัด (โดยจะเขียนไว้ข้างกล่องฟิล์ม) ระบบความไวแสงประกอบด้วย    1. ASA (American Standard Association) เป็นระบบอเมริกาที่ใช้แพร่หลายทั่วไป    2. ISO (International Standard Organization) เป็นระบบสากลใหม่ ซึ่งมีค่าตัวเลขเท่ากับระบบ ASA และเทียบเท่าตัวเลขระบบ DIN เช่น ISO 200/24 หมายความว่า มีค่าความไวแสง ASA 200 และ DIN 24 เป็นต้น    3. DIN (Deutsche Industrie Norm) เป็นระบบเยอรมันส่วนใหญ่ใช้ในยุโรปซึ่งมีอัตราตัวเลขเพิ่มช่วงละ 3 เช่น 13 16 18 21 24 27 30 33 เป็นต้น ความไวแสงของฟิล์มแบบออกเป็น 4 ระดับ    1. ฟิล์มความไวแสงต่ำ (Low Speed Film) เช่น ฟิล์ม 25 ASA - 50 ASA เหมาะถ่ายภาพทิวทัศน์ /ชายทะเล/หิมะขาวโพลนในแดดจ้า เหมาะกับภาพต้องการใช้ความเร็วชัตเตอร์ช้ามาก ๆ หรือเพื่อให้ได้ภาพที่มีการ เคลื่อนไหวลักษณะพร่ามัว โดยแสงไม่มากเกินไป    2. ฟิล์มไวแสงปานกลาง (Medium Speed Film) ไวแสงปานกลาง คือระหว่าง 64 ASA-160 ASA ใช้ถ่ายภาพแสงสว่างธรรมดา (มีขายตามท้องตลาด ทั่วไป) และถ่ายภาพวัตถุที่อยู่นิ่งหรือเคลื่อนไหวช้า ๆ ใช้ถ่ายภาพ ทั่วไป (รู้จักกันทั่วไปคือ 100 ASA)    3. ฟิล์มความไวแสงสูง (High or Fast Speed Film) เป็นฟิล์มถ่ายภาพแสงน้อย เหมาะถ่ายภาพ ในอาคารและนอกอาคาร สามารถเลือกใช้ความเร็วชัตเตอร์สูง ๆ ถ่ายภาพเคลื่อนไหวให้นิ่งสนิทได้ เช่น ภาพกีฬา จะอยู่ระหว่าง 160 ASA-400 ASA (ตามท้องตลาดจะมี 200 ASA) นอกจากนี้ ยังสามารถหรี่รูรับแสงให้แคบ ๆ เพื่อช่วยให้ภาพถ่ายมีช่วงระยะความคมชัดลึกมากขึ้น (depth of field)    4. ฟิล์มความไวแสงสูงพิเศษ (Ultra Fast Speed Film) เหมาะกับภาพที่แสงน้อย ๆ ถ่ายภาพในเวลา กลางคืนไม่ใช้แฟลช ต้องการแสดงรายละเอียดของวัตถุที่เคลื่อนที่เร็ว ๆ ให้หยุดนิ่ง โดยการใช้ความเร็วชัตเตอร์สูงมาก ๆ หรือถ่ายภาพแสงเทียนในงานวันเกิด ฟิล์มมีความไวแสงระหว่าง 1000 ASA ถึง 2000 ASA หรือมากกว่าเป็นต้น        บนกล่องฟิล์ม จะพิมพ์ตัวเลขกำหนดค่าความไวแสงไว้หลายระบบควบคู่กัน เพื่อให้เลือกใช้ระบบใดระบบหนึ่ง เช่น ฟิล์ม ISO 100/21 คือ ASA 100 DIN 21 สรุปวัตถุประสงค์ที่ใช้ฟิล์มตามความเร็วของฟิล์ม        เนื่องจากฟิล์มที่มีวางขายในท้องตลาดมีมากมายหลายยี่ห้อ และความเร็วแสงของฟิล์มก็มีขนาดแตกต่างกัน การเลือกใช้ให้ถูกต้องกับงานถ่ายภาพในแต่ละชนิดย่อมส่งผลถึงคุณภาพของภาพที่ ดีด้วย   อุณหภูมิสีของฟิล์ม        บริษัทผู้ผลิตฟิล์มได้ผลิตฟิล์มออกมาสมดุลย์กับแหล่งของแสง 3 ชนิด คือ    1. ฟิล์มสี Type A ใช้กับแหล่งของแสงที่ที่มีอุณหภูมิสี 3,400 ํ K คือแสง ไฟ Photoflood    2. ฟิล์ม Type B ใช้กับแหล่งของแสงที่มีอุณหภูมิ 3,200 ํ K ดับแสงไฟ Photolamp   โดยทั้งสอง type เราจะเรียกง่ายกันว่าฟิล์มทังสเตน Tungsten    3. ฟิล์ม Daylight ใช้กับแหล่งของแสงที่มีอุณหภูมิสีประมาณ 5,400 ํ K        ฟิล์มที่ผลิตออกมานั้นก็จะมีความเที่ยงตรงในเรื่องของมีตรงกับ อุณหภูมิสีของฟิล์มนั้น ๆ แต่ถ้าไม่ตรงกัน ก็จะทำให้เกิดสีผิดเพี้ยนได้ เช่นใช้ฟิล์ม Daylight ไปถ่ายกับแสงไฟด้วยหลอด Tungsten ภาพจะมีแสงสีแดง-เหลือง เจือปนอยู่หรือใช้ฟิล์ม Type B ไปถ่ายแสงแดด ภาพก็จะมีสีน้ำเงินเจือปนอยู่ แม้แต่ฟิล์ม Daylight เองเมื่อนำไปถ่ายกับแสงแดดในช่วงเช้า และเย็นก็จะมีสีเหลืองเจือปนอยู่ด้วยเช่นเดียวกัน แก้ไขเมื่อ 21 พ.ย. 52 04:02:12 จากคุณ : aloha_123 เขียนเมื่อ : 21 พ.ย. 52 03:36:13

ความคิดเห็นที่ 9   คราวนี้มาดูกันเรื่อง white balance White Balance หรือสมดุลแสงสีขาว เป็นสิ่งที่เกิดมาจากกล้องวีดีโอครับไม่ใช่กล้อง slr หากจะต้องการถ่ายภาพด้วยระบบดิจิตอลได้ดีต้องเข้าใจเรื่้องนี้เป็นอย่้างดี เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญและน่าสนใจในการถ่ายภาพ หลายคนอาจจะยังสงสัยว่ามันคืออะไร ขอเล่าให้ฟังง่ายๆอย่างนี้ละกันครับ สีของแสง ในแต่ละช่วงเวลาของวัน เราสังเกตได้ว่าแสงแดดมีสีต่างกัน เช่นช่วงเช้าจะออกเหลือง ช่วงเที่ยงจะขาว และช่วงเย็นจะออกสีส้ม หรือสีของแสงไฟจากหลอดฟลูออเรสเซนต์จะอมเขียวหน่อยๆ สีของแสงไฟจากหลอดไส้จะออกสีส้ม ซึ่งสามารถดูได้จาก ชาร์ตข้างบน และอธิบายได้คือ เทียนไข 1900 องศาเคลวิน หลอดทังสเตน 2700 องศาเคลวิน พระอาทิตย์ขึ้น/ตก 3100 องศาเคลวิน 1 ชั่วโมงก่อนพระอาทิตย์ขึ้น/ก่อนพระอาทิตย์ตก 3600 องศาเคลวิน หลอดฟลูออเรสเซนต์ 4500 องศาเคลวิน แดดตอนเที่ยง 5500 องศาเคลวิน โพล้เพล้/เช้ามืด 7000 องศาเคลวิน สรุปว่า อุณหภูมิสี ต่ำ จะออกไปทางสีส้ม อุณหภูมิสี สูง จะออกไปทางสีฟ้า การตั้งค่าWhite Balanceหรือปรับสมดุลแสงสีขาว คือการตั้งค่าของกล้อง ให้เห็นแสงสีใดๆก็ตาม ให้เป็นสีขาว เราจะรู้ได้อย่างไรว่าแสงขณะนั้นเป็นสีอะไร? วิธีที่เราจะรู้ ก็คือวิธีเดียวที่กล้องจะรู้ คือมองวัตถุสีขาว เช่น กระดาษขาว เสื้อสีขาว ผนังสีขาว ตอนที่เราจะตั้งค่าWhite Balance ก็ให้หันกล้องไปหาวัตถุสีขาว เช่น กระดาษขาวให้เต็มเฟรม แล้วกล้องจะเห็นกระดาษขาว เป็นสีอะไร? อันนี้ขึ้นอยู่กับว่า ก่อนหน้านี้กล้องถูกตั้งWhite Balanceไว้ที่ค่าอะไร แต่ไม่ต้องสนใจ ว่ากระดาษขาวเป็นสีอะไร การตั้งWhite Balanceใหม่ จะทำให้กล้องเห็นภาพกระดาษนั้น เป็นสีขาว คือกล้องถูกทำให้เชื่อว่าแสงนั้นเป็นสีขาว การตั้งค่าWhite Balance เอง มีประโยชน์อย่างไร? จะเป็นช่องทางให้เราควบคุมสีของแสงนั่นเองครับ คือ การที่เราสามารถหลอกให้กล้องเชื่อว่าแสงสีใดเป็นสีขาว มีผลทำให้แสงอื่นๆถูกบิดเบือนไปด้วย ทำให้เราเล่นสีของแสงโดยปรับWhite Balance หลอกนั่นเอง เช่น เราอยากได้ภาพที่ดูร้อน แห้งแล้ง ส้ม กว่าความเป็นจริง ถ้าเราถ่ายตอนเที่ยง แล้วสีของแสงไม่ส้มอย่างที่ต้องการ ก็ให้ปรับWhite Balance ที่กระดาษขาว ฉายด้วยไฟสีน้ำเงิน เมื่อกล้องเชื่อว่า แสงสีฟ้าคือสีขาว ดังนั้น แสงสีขาวตอนเที่ยง ก็จะถูกบิดจนกลายเป็นสีส้ม นั่นเอง หรือ เราถ่ายDay for Night ฉากกลางคืน ภายใต้ไฟฟลูออเรสเซนต์สีขาว แต่ภาพมันไม่น้ำเงินเหมือนตอนกลางคืน อยากได้ภาพที่ดูเป็นกลางคืน น้ำเงินกว่าความเป็นจริง ก็ให้ปรับWhite Balance ที่กระดาษขาว ฉายด้วยไฟสีส้ม เมื่อกล้องเชื่อว่า แสงสีส้มคือสีขาว ดังนั้น แสงสีขาวก็จะถูกบิดจนกลายเป็นสีน้ำเงิน นั่นเอง ทำไมไม่ใช้ฟิลเตอร์ล่ะ? การทำงานของฟิลเตอร์คือตัดแสงสีต่างๆ เช่น ฟิลเตอร์น้ำเงิน ตัดแสงสีเหลือง ฟิลเตอร์ม่วง ตัดแสงสีเขียว ฟิลเตอร์เหลือง ตัดแสงสีน้ำเงิน ดังนั้นสีของเสื้อผ้า ฉาก ฯ จะเพี้ยนไปหมดทั้งเฟรม เช่น ฉากกลางคืน มีแสงส่องเข้ามาจากหน้าต่าง มีไฟโคมหัวเตียง ฟิลเตอร์สีน้ำเงินก็จะตัดสีเหลือง ทำให้เสื้อสีส้มจืดลง สีผิวก็จะเพี้ยน ส่วนที่เป็นสีขาวก็จะกลายเป็นฟ้าอ่อน ส่วนที่เป็นสีแดงก็จะเข้ม แต่การ ปรับWhite Balanceหลอก จะมีผลที่สีของแสงเท่านั้น ส่วนที่ไม่โดนแสงก็จะไม่มีการตัดสีของวัตถุ หรือถ้าไม่สะดวกตั้งเป็นไวท์บาลาน ก็ต้องเป็นโหมดต่าง ๆ ของกล้องที่ให้ไว้ ซึ่งหลัก ๆ จะมี เดย์ไลย์ กับ ทังสเตนอยู่แล้ว ครับ หรือถ้าโปรมากก็ตั่งเป็นอุณหภูมิสีก็ได้ครับ แก้ไขเมื่อ 21 พ.ย. 52 05:26:18 จากคุณ : aloha_123 เขียนเมื่อ : 21 พ.ย. 52 03:45:10

ความคิดเห็นที่ 10   ตัวอย่างภาพที่น้าถ่าย ภาพเดียวกัน แต่อุณภูมิสีต่างกัน จากคุณ : aloha_123 เขียนเมื่อ : 21 พ.ย. 52 03:51:03

ความคิดเห็นที่ 11   อันนี้แบบแสงทังสเตน จากคุณ : aloha_123 เขียนเมื่อ : 21 พ.ย. 52 03:51:38

ความคิดเห็นที่ 12   จากข้างบนนะครับ ภาพเดียวกัน แต่สีต่างกัน เพราะตั้งอุณหภูมิสีที่ต่างกัน ซี่รี่นี่อ่านเหนื่อยยังครับบ มีแต่ตัวอักษรเต็มไปหมด ต่อไปจะเป็นเรื่องทิศทางแสงและการจัดแสง ครับ แก้ไขเมื่อ 21 พ.ย. 52 03:55:46 จากคุณ : aloha_123 เขียนเมื่อ : 21 พ.ย. 52 03:52:45

ความคิดเห็นที่ 13   แสงมาจากทิศทางที่ต่างๆ กัน แต่โดยหลักการแล้ว แสงจะมาได้ด้วยกันไม่เกินหกทิศทาง... แสงธรรมชาติอย่างที่ได้บอกไว้แล้วว่า จะมีมาจากแหล่งแสงเพียงแห่งเดียว คือดวงอาทิตย์ซึ่งจะมีขึ้น และลง เราไม่สามารถที่จะจับย้ายได้ ดังนั้นเราจึงสามารถที่จะได้แสงจากดวงอาทิตย์ 5 ทิศทางด้วยกัน ซึ่งก็แล้วแต่ว่าเราจะหันไปทางใด หรือจับย้ายสิ่งที่จะถ่ายไปทางทิศทางใด แต่กับแสงประดิษฐ์ ซึ่งเราสามารถ ปรับหรือขยับเขยื้อนแหล่งกำเนิดแสงได้ เราสามารถนำไปวางในทิศทางใดตาม ที่ต้องการก็ได้ ก็จะได้ทิศทางเพิ่มเข้ามาได้อีกด้านหนึ่ง คือจากด้านล่างของสิ่งที่จะถ่าย ซึ่งไม่สามารถทำได้ด้วยการใช้แสงธรรมชาติ... ทิศทางของแสงที่ได้เกริ่นไว้คือ Front Light เป็นการรับแสงที่มาจากด้านหน้า หรือหันให้ด้านหน้าสิ่งที่จะถ่ายเข้าหาที่มาของแสง Top Light คือแสงที่อยู่ที่ 90 องศา หรือแสงที่มาจากด้านบนของสิ่งที่จะถ่าย ไม่มีผลอะไรในการหันสิ่งของ Side Lights เป็นแสงที่มาจากด้านซ้าย หรือด้านขวาของสิ่งที่จะถ่าย การหันด้านใดด้านหนึ่งให้แสง ก็จะมีผลเพียงแค่เปลี่ยนด้านในการรับแสงเท่านั้น Back Light เป็นแสงที่มาจากด้านหลังของสิ่งที่จะถ่าย หรือหันหลังของสิ่งที่จะถ่ายไปยังที่มาของแหล่งแสง Bottom Light ซึ่งเป็นการจัดให้แสงมาจากด้านล่างของสิ่งที่จะถ่าย เป็นที่เข้าใจกันดีอยู่แล้วว่า การที่เราจะได้ภาพที่ดี เราต้องได้รับแสงที่ดีด้วย การที่จะได้แสงที่ดีนั้น นอกจากอาศัยเครื่องวัดแสงเป็นตัวนำแล้ว ยังจะต้องอาศัยจังหวะ และความเข้าใจในเรื่องของแสงพอสมควร แสงบางประเภทเราสามาถควบคุมได้ โดยการใช้แผ่นกรองแสง แผ่นสะท้อนแสง ในการลด หรือเพิ่มปริมาณแสง แต่ในกรณีย์ที่เราไม่สามารถที่จะควบคุมแหล่งกำเนิดแสงได้ เราก็ต้องใช้ความอดทนในการรอคอย รู้จักถึงสภาพของแสง และประเภทของแสงให้ดีพอ และผมคิดว่าเราคงอาจจะเคยได้ยินผู้อื่นพูด ถึง คุณภาพของแสง มากันบ้างแล้ว... แล้วคุณภาพของแสงนี่มันคืออะไรกัน? มันมาจากไหน? หรือจะต้องทำอย่างไรจึงจะได้มา?... ภาพจะดูดีได้ต่อเมื่อ ได้รับแสงที่เหมาะ ที่ควรกับรูปร่าง, รูปทรง, ลักษณะ, ขนาด และบุคคลิคของสิ่งที่ถ่าย ซึ่งคุณภาพของแสงที่พูดถึงนี้ก็คือตัวแปรที่สำคัญ คุณภาพของแสงที่เราได้มา หรือสร้างขึ้นมาได้นอกจาก แสงนุ่ม หรือแสงแข็ง(Soft Light หรือ Diffused Light และ Hard Light หรือ Strong Light) แล้วแสงอื่นๆ ซึ่งต่างก็จะให้อารมณ์ของภาพที่ได้มาแตกต่างกันออกไป ดังนั้นการรู้จักชนิดต่างๆ ของแสงที่เราอาจ จะเคยได้ยิน ได้พานพบในการถ่ายภาพ จากบทความที่เราอ่านเกี่ยวกับการถ่ายภาพ และจากตำราถ่ายภาพ จะช่วยให้เราสามารถถ่ายภาพได้ดีขึ้น ผมจึงได้รวบรวมแสงต่างๆ ที่เราจะต้องรู้จัก และสามารถนำไปใช้ในการถ่ายภาพ จากคุณ : aloha_123 เขียนเมื่อ : 21 พ.ย. 52 04:05:13

ความคิดเห็นที่ 14   ประเภทของแสงต่างๆ Ambient Light... มีความหมายถึงแสงน้อย ที่มีอยู่ตามสภาพ หรือตามสภาพที่มีแสงน้อย รวมไปถึงการที่ได้แสงมาโดยไม่ทราบที่มาของแหล่งแสงที่ชัดเจน บางครั้งใช้ควบคู่ หรือใช้เแทน คำว่า Available Light และ Existing Light Artificial Daylight... แสง ธรรมชาติเทียม ซึ่งหมายถึงแสงไฟแฟลช และแสงจากไฟต่อเนื่องที่ใช้ในสตูดิโอ ที่มีอุณหภูมิสีของแสงที่ประมาณ 5,500 K ซึ่งใกล้เคียงกับอุณหภูมิ สีของแสงธรรมชาติมากที่สุด Artificial Light... แสงประดิษฐ์ หรือแสงที่เกิดขึ้นมาด้วยมีมือของมนุษย์ จากการผลิต หรือจากปรากฏการต่างๆ เช่น แสงไฟฟ้า แสงจากเทียน แสงจากตะเกียง แสงไฟแฟลช หรือจากการเกิดไฟไหม้ หรือที่เกิดขึ้นจากภัยธรรมชาติ เช่นไฟป่า เป็นต้น ซึ่งต่างก็เป็นแสงที่ไม่ได้มาจากดวงอาทิตย์ Available Light... หมายถึงแสงน้อย แสงที่มีอยู่ในที่แห่งนั้นขณะนั้น หรือตามสภาพของสถานที่ ที่มีแสงน้อย Back Light... เป็น แสงที่ส่อง หรือเป็นการจัดให้แสงส่องมาจากทางด้านหลังของสิ่งที่จะถ่าย แสงลักษณะนี้จะให้ขอบแสงตามกรอบของสิ่งที่ถ่าย เรียกว่า Halo แสงนี้โดยตัวของมันเอง จะทำให้ด้านหน้าของสิ่งที่จะถ่ายมืด และจะสร้างเงาให้เกิดขึ้นทางด้านหน้าของสิ่งนั้นๆ การถ่ายภาพ Silhouette หรือภาพเงาทึบ จะใช้แสงประเภทนี้ในการถ่ายทำ Background Lighting... เป็น การจัดให้แสงส่องไปยังฉากหลัง เพื่อสร้างแสงให้กับฉากหลัง หรือเป็นการใช้สำหรับแยกให้สิ่งที่จะถ่ายออกจากฉากหลัง ในกรณีย์ที่มีสีหรือโทนใกล้เคียงกัน ในการถ่ายภาพภายในสตูดิโอ Bottom Light... เป็นการจัดแสงให้มาจากฐาน ด้านล่าง หรือด้านใต้ของสิ่งที่จะถ่าย ใช้ทำได้เฉพาะกับแสงประดิษฐ์เท่านั้น เพราะสามารถโยกย้ายแสงได้ Bounced Light... หมาย ถึงการให้แสงแก่สิ่งที่จะถ่ายโดยการส่องไฟ หรือยิงไฟแฟลชไป ยังสิ่งอื่นเช่นผนัง หรือเพดาน หรือแผ่นสะท้อนแสง แล้วให้สะท้อนกลับมายังสิ่งที่จะถ่าย เพื่อเป็นการลดความแรงของแสงลง เพื่อให้ได้แสงที่นุ่มกว่า เป็นแสงที่ให้บริเวณกว้าง และจะไม่ทำเกิดเงาที่มีขอบให้เห็นชัด highlight ที่จะเกิดบนสิ่งที่มีความมัน และสะท้อนแสงสูงก็จะกว้างขึ้น ไม่เป็นจุดเล็กๆ เหมือนกับสะท้อนมาจากหลอดไฟ Broad Light... หมายถึงแสงที่ได้รับในการถ่ายภาพภาพวิว ทิวทัศน์ภายนอก ที่มีความสม่ำเสมอ หรือการให้แสงที่กว้าง และมีความสว่างสม่ำเสมอกัน     Broad Lighting... เป็น คำจำกัดความของการให้แสงประเภทหนึ่ง ในการถ่ายภาพบุคคล ซึ่งเป็นการจัดในลักษณะที่ไม่ได้ให้ผู้ที่เป็นแบบมองตรงไปยังกล้อง สามารถเห็นใบหน้าทั้ง สองด้านได้แต่จะเห็นใบหูเพียงข้างเดียว และแสงที่กล่าวถึงนี้ คือแสงหลักที่ใช้ส่องไปยังตัวแบบ โดยตั้งแสงให้ส่องไปยังด้านที่มีหู หรือใบหน้าด้านที่ใกล้กับกล้อง Butterfly lighting... เป็นการให้แสงในการถ่ายภาพบุคคลประเภทหนึ่ง ซึ่งจะจัดให้แสงหลักอยู่สูง และด้านหน้าของผู้เป็นแบบ Candle Light... แสงเทียน Catch Light... แววตา แสงในดวงตาที่เกิดขึ้นจากการสะท้อนของแสง ที่มาจากทางด้านหน้าของผู้เป็นแบบ Cold-light... ไฟที่ใช้ในหัวของเครื่องอัดขยาย ที่ใช้แสงจากหลอดนีออนขดที่อัดด้วยแก๊ส ให้ความร้อนน้อยกว่าหลอด fluorescent ให้แสงที่นุ่มมาก Continuos Light... แสงต่อเนื่อง เช่นแสงธรรมชาติ และแสงไฟประดิษฐ์ ซึ่งได้แก่ แสงจากหลอดไฟต่างๆ และแสงไฟประดิษฐ์ที่ใช้ในการถ่ายภาพในสตูดิโอ Daylight... คือ แสงที่ได้รับการผสมระหว่าง Sunlight กับ Skylight ที่ได้รับการผสมร่วมกับแสงและรังสีอื่นๆ ที่แผ่กระจายอยู่ในบรรยากาศ เป็นแสงที่เราได้รับ และใช้อยู่เป็นประจำทุกวัน... เนื่องจากการหมุนของโลก จากการเคลื่อนตัวของเมฆในท้องฟ้า และบรรยากาศ การเคลื่อนตัวของสิ่งต่างๆ บนพื้นดิน รวมไปถึงตำแหน่งของดวงอาทิตย์ จึงทำให้เป็นแสงที่มีอุณหภูมิสีของแสงต่างกันออกไปตลอดวัน ตั้งแต่เช้าตรู่ก่อนที่ดวง อาทิตย์จะโผล่จากขอบฟ้า ไปจนถึงหลังจากที่ดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้ว คำนวณโดยประมาณแล้วจะเป็นแสงที่มีอุณหภูมิสีของแสงที่ต่างกันระหว่าง 1,300 K - 25,000 K Diffused Light... คือแสงที่ได้รับการกรอง หรือส่องผ่านสิ่งต่างๆ เช่นก้อนเมฆ กิ่งไม้ ใบไม้ลงมา แสงจะกระจายเสมอไปทั่ว เป็นแสงที่มีความนุ่มให้ highlight และ shadow ที่อ่อน มี contrast ต่ำ Direct Light... เป็นแสงที่ได้รับมาตรงๆ จากแหล่งกำเนิดแสง โดยที่ไม่ผ่านสิ่งใดๆ อาจจะมีการผสมกับแสงอื่นบ้าง แต่มิได้สะท้อนมาจากสิ่งนั้นๆ เช่น แสงจากดวงอาทิตย์ และ จากแสงไฟที่ใช้ในสตูดิโอ อย่างเช่น spot light, flood light หรือไฟแฟลช Early Morning Light... แสง ยามเช้าเป็นแสงที่มีความนุ่ม และเย็นให้ highlight และ shadow ที่อ่อน มี contrast ต่ำ ให้เงาที่ยาวเนื่องจากดวงอาทิตย์ยังอยู่ต่ำ เป็นแสงที่ค่อนข้างจะบริสุทธิ์ เพราะยังไม่มีสิ่งใดมาทำให้เกิดฝุ่นละอองในบรรยากาศมากนัก Evening Light... เป็น แสงที่อยู่ระหว่าง... ประมาณ 16:00 น. ถึง 18:00 น. หรือก่อนที่ดวงอาทิตย์จะลับขอบฟ้า อันเป็นแสงที่เหมาะในการถ่ายภาพมาก เพราะแสงยามนี้จะค่อนข้างจะนุ่ม, อบอุ่น, ไม่แรงจนเกินไป และยังให้เงาที่สวยงามดีอีกด้วย Existing Light... หมายถึงแสงอะไรก็แล้วแต่ที่ส่องอยู่ในขณะนั้น ซึ่งอาจจะเป็นแสงธรรมชาติ หรือแสงประดิษฐ์ก็ได้ ปรกติจะหมายถึงกลางคืนที่มีแสงน้อย Fill Light... เป็น การให้แสงเพิ่มในส่วนที่ไม่ได้รับแสงจากแสงหลัก มากพอที่จะให้เห็นรายละเอียดได้ ไม่ใช่แสงที่มาจากหลอดไฟ แต่เป็นใช้แผ่นสะท้อนแสงในการเพิ่มแสงให้แก่ส่วนเงา Filtered Light... หมายถึงแสงที่ได้รับการกรอง หรือการบังด้วยวัสดุโปร่งแสง หรือจากสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ที่แสงสามารถผ่านไปได้ ซึ่งเป็นการลดความจ้าของแสงลง Flash Light... เป็นแสงแว่บที่มีระยะเวลาในการให้แสงที่สั้นมาก แต่ให้ความสว่างสูงขึ้น อยู่กับขนาด และกำลังประจุของชนิด และขนาดของอุปกรณ์ Flat Light... การ ให้แสง หรือการได้รับแสงที่มาทางด้านหน้าตรงๆ หรือจากการที่ได้รับแสงที่อ่อนหรือนุ่มเกินไป ที่ไม่ทำให้สามารถเกิดเงาแก่สิ่งที่ถ่ายได้ทำให้ภาพที่จะได้ดูแบน ขาดมิติ Flood Light... ไฟประเภททังสเต็นที่ใช้ในการถ่ายภาพในสตูดิโอ ที่ให้แสงเป็นบริเวณกว้าง Fluorescent light... หมายถึงแสงที่มาจากหลอดไฟสีขาวขุ่นยาวๆ ที่เราเรียกกันว่า หลอดไฟนีออน Hair Light... คือ แสงที่ใช้ในการให้แสงแก่ผมของผู้เป็นแบบในการถ่ายภาพบุคคล แสงนี้ ปรกติจะมาจากด้านบนเยื้องไปทางด้านหลังของตัวแบบเล็กน้อยเป็นแสงที่เล็ก และแคบ จุดประสงค์ คือเป็นการแยกส่วนของศีรษะให้ออกจากฉากหลัง และเพื่อสร้างมิติให้แก่ภาพ Hard Light... เป็นแสงที่แข็ง หรือจ้า ซึ่งไม่ได้รับการกรองหรือส่องผ่านสิ่งใดมา จะให้ highlight ที่จ้ามาก และให้ shadow ที่เข้มหรือมืด เป็นแสงที่มี contrast สูง Highlight... ส่วนของสิ่งที่จะถ่ายที่ได้รับแสงสว่างสูงกว่าส่วนอื่นๆ หรือเป็นการจัดให้ ส่วนใดส่วนหนึ่งของสิ่งที่จะถ่ายให้ได้รับแสงสูง Incandescent Light... เป็นชื่อเรียกหลอดไฟทั่วไป ที่เป็นหลอดที่ใช้ใส้ขด เช่นหลอดไฟ ทังสเต็นที่ใช้ในบ้านเป็นต้น Incident Light... หมายถึงแสงที่ส่องไปยังวัตถุ ไม่ว่าจะเป็นแสงธรรมชาติ หรือว่าแสงประดิษฐ์ Indirect Light... แสงที่ได้รับมาทางอ้อม หมายถึงแสงที่มาจากลักษณะต่างๆ นอกจากมาโดยตรงจากแหล่งกำเนิดแสง อย่างเช่นแสงที่เข้ามาทางหน้าต่าง เป็นต้น Key Light... หมายถึง แสงหลัก หรือแสงสำคัญที่ใช้ในการถ่ายภาพ หากจะใช้มากกว่าแสงเดียว จะต้องเป็นแสงที่ให้แสงมากกว่าแสงดวงอื่นๆ Kick Light... หมาย ถึง แสงเล็กๆ ที่จัดขึ้นมาเพื่อสร้าง highlight อีกจุดหนึ่งให้กับสิ่งที่จะถ่าย ปรกติแสงนี้จะให้จากด้านหลังของสิ่งที่จะถ่าย หากแสงนี้มีความสว่างสูงก็จะสร้างเงาไขว้ให้กับภาพ Late Afternoon Light... แสง ยามเย็นก่อนที่ดวงอาทิตย์จะลับขอบฟ้าเป็นแสงที่มีความ นุ่มให้ highlight และ shadow ที่อ่อน มี contrast ต่ำ ให้เงาที่ยาวเช่นเดียวกันกับแสงยามเช้า เนื่องจากดวงอาทิตย์อยู่ต่ำ จากการที่มีฝุ่นละอองในบรรยากาศมาก อันเกิดมาจากการกระทำต่างๆ ของผู้คน จากการจราจร ฯลฯ จึงทำให้แสงดูมีความอุ่นมากกว่าช่วงเช้า ซึ่งทุกสิ่งทุกอย่างยังสงบอยู่ Lighting... หมายถึง การให้แสงหรือการจัดแสง Low Light... แสงน้อย หรือแสงต่ำ ปรกติจะใช้ในความหมายของการถ่ายภาพยามแสงน้อย จากคุณ : aloha_123 เขียนเมื่อ : 21 พ.ย. 52 04:09:42

ความคิดเห็นที่ 15   Main Light... หมายถึง แสงที่เราใช้เป็นแสงหลักในการถ่ายภาพต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นภายในสตูดิโอหรือนอกสถานที่ Mean Noon Sunlight... แสง ที่ใช้คำนวณในการหาค่า(โดยประมาณ) ของสี ของแสง ทำการวัดกันที่เมือง Washington, D.C. เมืองหลวงของประเทศสหรัฐอเมริกา โดย U.S. Nation Bureau of Standards โดยการวัดนี้จะทำกันตลอดปี ตามวันที่ได้รับการคำนวณมาแล้วว่าจะปลอดจากแสง Skylight มากที่สุดในเวลาเที่ยงวันตรง Mixed Light... คือ การใช้แสงประดิษฐ์ร่วม โดยไม่จำกัดประเภท หรืออุณหภูมิสี หรือ เป็นการใช้แสงธรรมชาติร่วมกับแสงประดิษฐ์ Modeling Light... เป็น หลอดไฟที่ได้รับการประกอบมาให้อยู่ในหัวไฟแฟลช ติดคู่กับหลอดไฟแฟลชที่ใช้ในสตูดิโอ เพื่อเป็นการที่จะให้ใช้ในการคาดคะเนหรือพอให้มองเห็นว่าจะได้ผลอย่างไร กับแสงที่จะได้จากแสงไฟแฟลช Moonlight... เป็นแสงธรรมชาติชนิด เดียวที่เราได้รับ และสามารถมองเห็นสิ่งต่างๆ ในเวลากลางคืนได้ แสงจากดวงจันทร์เป็นแสงสะท้อน ที่เกิดจากการซึมซับแสงจากดวงอาทิตย์ไป และมากพอที่จะสามารถสะท้อนส่องมาให้ความสว่างยังโลกได้ Morning Light... เป็น แสงที่อยู่ระหว่างเช้าตรู่ถึงประมาณ 10:00 น. หรือ 10:30 น. อันเป็นแสงที่เหมาะในการถ่ายภาพ เพราะแสงยามเช้าช่วงนี้ยังไม่แรงจนเกินไป และยังให้เงาที่สวยงามอีกด้วย Narrow Lighting... เป็น คำจำกัดความของการให้แสงประเภทหนึ่ง ในการถ่ายภาพบุคคล ซึ่งเป็นการจัดในลักษณะที่ไม่ได้ผู้ที่เป็นแบบมองตรงไปยังกล้อง สามารถเห็นใบหน้าทั้งสองด้านได้แต่จะเห็นใบหูเพียงข้างเดียว และแสงที่กล่าวถึงนี้คือ แสงหลักที่ใช้ส่องไปยังตัวแบบ โดยตั้งแสงให้ส่องไปยังใบหน้าด้านแคบ, ด้านที่มองไม่เห็นใบหู หรือ ด้านที่ไกลจากกล้อง Natural Light... แสงธรรมชาติ แสงประเภทนี้มีแหล่งกำเนิดแสงอยู่เพียงแห่งเดียวคือ ดวงอาทิตย์ แต่ได้รับการดูดซึมไปด้วยแหล่งต่างๆ ในจักรวาล คือดวงดาวต่างๆ และดวงจันทร์ แสงที่เราเห็นจากดาวเหล่านั้นคือ แสงที่สะท้อนออกมา และที่สามารถสะท้อนกลับมาถึงโลกได้มีอยู่ดวงเดียวคือ ดวงจันทร์ ดังนั้นเราสามารถที่จะรับแสงธรรมชาติได้สองทางคือ แสงที่ส่องมาโดยตรงจากดวงอาทิตย์ และแสงที่สะท้อนมาจากดวงจันทร์ รวมทั้ง จากดวงดาวต่างๆ ที่ให้เพียงแค่เพียงแสงรางๆ กับแสงที่สะท้อนมาจากวัสดุต่างๆ รอบตัวเรา Neon Light... แสงกลางคืนที่มาจากป้ายโฆษณา ที่ส่วนใหญ่เป็นแสงจากหลอดนีออนขด ที่ทำเป็นตัวอักษร หรือเป็นรูปต่างๆ Night Light... เป็นแสงของกลางคืน ปรกติแล้วจะเป็นแสงประดิษฐ์ทุกรูปแบบที่ใช้เปิดในช่วงกลางคืน Noon Light... เป็น แสงเวลาเที่ยงวันซึ่งเป็นที่แสงที่แข็งมาก ส่องลงมาตรงๆ ที่ 90 องศา ให้เงาลงล่าง ไม่เหมาะในการถ่ายภาพบุคคล และภาพที่ต้องการแสงที่ดูงดงาม North Light - South Light... North Light เป็นแสงจากท้องฟ้า ซึ่งผ่านหน้าต่างเข้ามาจากทางด้านทิศเหนือ เป็นแสงที่จิตกร และช่างภาพนิยมใช้ในการวาดภาพ และถ่ายภาพบุคคล และในการทำงาน Still Life เพราะเป็นแสงที่นุ่ม และมีคุณสมบัติที่แสงอื่นไม่มี คือเป็นแสงที่แผ่กระจาย สะท้อนมาจากท้องฟ้า แทนที่จะมาจากดวงอาทิตย์โดยตรง เป็นแสงที่มีความสว่างสม่ำเสมอไม่เปลี่ยนแปลงมากในทิศทาง หรือปริมาณความเข้ม-อ่อนมากนัก และไม่เปลี่ยนคุณภาพของสีมาก South Light... แสงที่มาจากทางทิศใต้เป็นแสงที่มาจากดวงอาทิตย์โดยตรง มีความแข็ง และให้ contrast ที่สูงกว่า และเนื่องจากดวงอาทิตย์เดินทางผ่านในทางนั้นเพื่อไปยังทิศตะวันตก แสงจึงเกิดการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาทั้งคุณภาพ และคุณสมบัติ... (ผู้ที่อยู่ทางซีกโลกเหนือจะใช้ North Light และผู้ที่อยู่ทางซีกโลกใต้จะใช้ South Light เพราะทุกอย่างจะกลับกัน) Paint with Light... การ ถ่ายภาพเส้นไฟเล็กๆ ที่เขียนเป็นตัวอักษร หรือเป็นเส้นตามขอบ ของสิ่งของต่างๆ ซึ่งเป็นการใช้แสงจากไฟฉาย หรือจากการใช้แสงที่มีขนาดลำแสงเล็กๆ ส่องไปยังสิ่งที่จะถ่ายในลักษณะคล้ายการวาด หรือวาดไปบนสิ่งที่จะถ่าย หรือเป็นการวาดในอากาศ ต้องทำในห้องที่มืดสนิท และผู้ที่จะวาดจะต้องอยู่ในชุดดำด้วย เป็นการ ถ่ายที่ความไวที่ต่ำโดยการตั้งความไวของชัตเตอร์ไว้ที่ B หรือ T Reflected Light... หมาย ถึง แสงสะท้อน แสงที่สะท้อนออกมาจากสิ่งต่างๆ อย่างเช่น เวลาที่เราวัดแสงด้วยเครื่องวัดแสงที่อยู่ในกล้อง หรือเครื่องวัดแสงประเภทวัดแสงสะท้อน Reflected Light Reading Meter เครื่องก็จะวัดแสงที่สะท้อนออกมาจากสิ่งที่เราจะถ่าย หรือจากสิ่งที่เรากำลังวัด Rim Light หมายถึง แสงที่วิ่งเข้ามาชนวัตถุจนเกิดขอบแสงคล้ายกับการเรืองแสงของวัตถุ Safelight... ไฟสีที่ใช้ในห้องมืด ที่ช่วยให้สามารถมองเห็นสิ่งต่างๆ ได้ในการทำงานและ ไม่ทำลายเยื่อไวต่อแสงของฟิล์มบางประเภท และกระดาษอัด-ขยายภาพทั่วไป ปรกติ หลอดไฟจะอยู่ในกล่องที่มีฟิลเตอร์สีปิดอยู่ หรือว่าเป็นหลอดที่ได้รับการเคลือบมา ด้วยสีที่ปลอดภัยต่อเยื่อไวต่อแสงของฟิล์ม (บางประเภท) และกระดาษ     Short Lighting... เป็น คำจำกัดความของการให้แสงประเภทหนึ่งในการถ่ายภาพบุคคล ซึ่งเป็นการจัดในลักษณะที่ไม่ได้ผู้ที่เป็นแบบมองตรงไปยังกล้อง สามารถเห็นใบหน้าทั้ง สองด้านได้แต่จะเห็นใบหเพียงูข้างเดียว และแสงที่กล่าวถึงนี้ คือแสงหลักที่ใช้ส่องไปยัง ตัวแบบโดยตั้งแสงให้ส่องไปยังใบหน้าด้านแคบ, ด้านที่มองไม่เห็นใบหู หรือด้านที่ไกลจากกล้อง เป็นแสงเดียวกันกับ Narrow Lighting Side Light... เป็นแสงที่มาจากด้านข้าง เยื้องไปทางด้านหน้าของสิ่งที่จะถ่ายนิดหน่อย ให้เงาที่ยาว และเป็นแสงที่สร้างให้ภาพมีมิติดีที่สุด Skylight... เป็น รังสีที่กระจัดกระจายอยู่ในบรรยากาศ มีแสงของสีฟ้าผสมอยู่ในปริมาณที่มากในท้องฟ้า จึงทำให้แสงที่ส่องยามฟ้าโปร่งมีแสงของสีฟ้าผสมอยู่ด้วย ซึ่งจะเห็นได้ชัดกับสิ่งที่เป็นสีขาวที่อยู่ภายในร่ม หรือภายในชายคาในการถ่ายภาพด้วยฟิล์มสไลด์สี จะมีสีฟ้าผสมอยู่ให้เห็นได้ชัดเมื่อไม่ได้ใช้ฟิลเตอร์ Skylight ช่วยตัดรังสี หรือแสงสีฟ้านี้ออกไป เป็นแสงที่มีอุณหภูมิสีของแสงที่ 2,500 K ขึ้นไป Soft Light... เป็นแสงที่มีความนุ่มให้ highlight และ shadow ที่อ่อน มี contrast ต่ำ แสงนี้อาจจะมาจากแสงที่ผ่านสิ่งต่างๆ มาแล้วลดความจ้าลง หรืออาจจะเป็นแสงที่อ่อนโดยธรรมชาติ South Light... ดู North Light Spot Light... เป็น ไฟที่ใช้ในสตูดิโอ ที่ให้แสงเป็นลำ มีเลนส์ปรับให้มีวงแสงแคบ-กว้างได้ที่หัวไฟ เป็นแสงที่ให้ความสว่างสูง และค่อนข้างแรง ให้ contrast สูง Starlight... แสงที่ดวงดาวต่างๆ ได้ดูดซึมไปจากแสงอาทิตย์ แสงที่เห็น คือแสงที่สะท้อนออกมาแต่ไม่สามารถที่จะส่องมาให้ถึงโลกได้ เราจึงเห็นเพียงแค่แสงระยิบระยับเท่านั้น Strobe light... ไฟแฟลชที่ให้ความสว่างที่สูงแต่ใช้พลังไฟน้อย สามารใช้ยิงได้ต่อเนื่องได้     Strong Light... เป็นแสงที่แข็ง และสว่างจ้า ให้ highlight ที่มีความจ้ามาก และให้ shadow ที่เข้ม หรือมืด เป็นแสงที่ให้ contrast สูง Sunlight... แสง นี้เป็นแสงธรรมชาติอย่างแท้จริง เพราะเป็นแสงที่ส่องมาจากดวงอาทิตย์โดยตรง ยังมิได้มีการผสมกับแสงอื่นใด รังสีใด หรือสะท้อนกลับมาจากสิ่งอื่นใดในบรรยากาศทั้งสิ้น เป็นแสงที่เราที่อยู่ข้างล่างนี้ไมค่อยที่จะได้พบเห็นเท่าไรนัก เพราะปรกติแล้วแสงนี้จะได้รับการผสมกับแสง และรังสีอื่นๆ ที่ล่องลอยอยู่ในบรรยากาศ ก่อนที่จะส่องมายังโลก เป็นแสงที่มีอุณหภูมิสีของแสงที่ 5,400 K ใช้เป็นมาตรฐานในการ ประมาณค่าของอุณหภูมิสีของแสง Synchro-sunlight... เป็นการใช้ไฟในการถ่ายภาพร่วมกัน ระหว่างการใช้แสงธรรมชาติ และแสงจากไฟแฟลช Three Quarter Light... เป็นการให้แสงที่ 45 องศา ทั้งด้านข้าง และด้านสูง ซึ่งเป็นการให้แสงระหว่าง front light กับ side light Transmitted light... แสง ที่ได้เดินทางผ่านวัสดุบางชนิดที่โปร่งแสง หรือโปร่งใสไปเช่น แผ่นกรองแสง กระจกหน้าต่าง เป็นต้น ปริมาณที่ผ่านไปได้ขึ้นอยู่กับวัสดุที่มันผ่าน ว่าจะดูดซึมแสงไปเท่าไร Tungsten Light... แสงประดิษฐ์ที่เป็นหลอดไฟที่ใช้ในสตูดิโอถ่ายภาพ, ตามบ้านและ ทั่วไป ที่มีอูณหภูมิสีของแสงอยู่ระหว่าง 3,200 K - 3,400 K Twilight... เป็นแสงยามรุ่งอรุณก่อนดวงอาทิตย์จะขึ้น หรือแสงยามสายัณห์ ยามพลบค่ำ หลังที่ดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้ว Unmixed Color Lighting... แสง ที่ใช้ในการถ่ายภาพที่มีอุณหภูมิสีของแสงเดียวกัน... บางครั้งในการถ่ายภาพที่สภาพ หรืออุณหภูมิสีของแสงที่ใช้ในการถ่ายภาพต่างกัน จำเป็นที่จะต้องใช้ฟิลเตอร์ปรับแก้อุณหภูมิสี โดยการใช้ปิดไว้หน้าแหล่งให้แสง แทนการใช้ที่หน้ากล้อง Visible Light... หมายถึงแสงที่เราสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า White Light ... คือแสงที่เราเห็น และใช้กันอยู่ทุกวัน โดยปรกติจะใช้ในภาษาของห้องมืด คือไฟปรกติที่ใช้อยู่ในห้องมืดซึ่งไม่ใช่ Safelight Window Light... คือ แสงที่สาดส่องเข้ามาทางหน้าต่าง เป็นความสว่างที่ได้รับมาจากแสงภายนอก จากท้องฟ้า ไม่ใช่แสงตรง เป็นแสงที่มีความนุ่ม ไม่ทำให้เกิด highlights ที่จ้า หรือ shadow ที่มืดทึบ ยังมีหลายสิ่งหลายอย่างที่หลายคนยังไม่ค่อยจะเข้าใจดีกันนัก ถึงความแตกต่างในเรื่องของแสงว่ามันคืออะไร อย่างเช่นคำว่า Luminance Ratio, Lighting Ratio และ Lighting Contrast เป็นต้น คำเหล่านี้มีความหมายว่าอะไร เป็นอย่างไร และจะให้ผล อะไรกับภาพที่เราจะถ่ายด้วย... ตามมาครับ Luminance Ratio หมาย ถึงสัดส่วนของแสงที่ส่องผ่าน สะท้อน หรือกระจาย ไปยังสิ่งของต่างๆ ตั้งแต่ในส่วนที่สว่างสุด ถึงส่วนที่มืดสุด ที่อยู่ภายในบริเวณที่จะใช้ในการถ่ายภาพ Lighting Ratio หมายถึงสัดส่วนของแสงที่จะใช้ในการถ่ายภาพกับสิ่งที่จะถ่าย (subject) Lighting Contrast หมายถึงค่าของแสงที่ตกไปยังส่วนที่เป็น highlights หรือ shadows ของสิ่งที่จะถ่าย เมื่อจะกล่าวถึง Lighting Contrast ก็จะใช้ค่าเป็น high, normal หรือ low ครับ จากคุณ : aloha_123 เขียนเมื่อ : 21 พ.ย. 52 04:12:25

ความคิดเห็นที่ 16   ในการสรัางอารมณ์ให้แก่ภาพโดยอาศัยความสว่าง หรือความมืดของแสง ให้เข้ากับบุคคลิก หรือสภาพของสิ่งที่จะถ่าย ก็เป็นอีกลักษณะหนึ่งที่จะทำให้ภาพเป็นที่น่าสนใจมากขึ้น... การให้แสงที่สะอาด และนุ่ม ไม่ให้มีเงาให้เห็นชัดเจนกับ subject ที่มีสีขาว หรือสีอ่อน ทำให้ทุกอย่างดู และมีความรู้สึกที่นุ่มนวล และบอบบาง ของสิ่งที่ถ่าย ซึ่งเรียก ว่า High Key และในทางตรงกันข้าม เราก็สามารถที่จะเลือกให้แสงที่จะไม่ให้มีความสว่างมากนักกับ subject ที่มีสีเข้ม แต่ก็ยังคงไว้ซึ่งรายละเอียดที่ดีได้ในความมืดนั้น ภาพในลักษณะนี้จะได้เงาที่ค่อนข้างทึบ และยาว ภาพจะดูขรึม และหนักแน่น เราเรียกกันว่าภาพ Low Key ครับ ภาพล่างภาพ High Key จากคุณ : aloha_123 เขียนเมื่อ : 21 พ.ย. 52 04:15:21

ความคิดเห็นที่ 17   อันนี้ Low Key แมวเหมือนกันแต่คนอารมณ์ เพราะแสงครับ จากคุณ : aloha_123 เขียนเมื่อ : 21 พ.ย. 52 04:16:37

ความคิดเห็นที่ 18   ต่อมาเราจะพูดถึงการจัดแสงพื้นฐาน ซึ่งสามารถใช้ได้ในสตูิดิโอ และ งานกลางแจ้งขอเพียงเข้าใจคอนเซฟ ก็จะทำงานได้ง่าย และภาพสวย เพราะว่าภาพ แสงสวยมีชัยไปแล้วครึ่งครับ แม้จะเนื้อหาไม่ดี การจัดแสดงด้วยไฟสามดวง เทคนิคในการจัดแสงสำหรับการถ่ายภาพจะมี 3 ทิศทาง คือ แสงด้านหน้า ด้านข้าง และด้านหลัง แสงด้านหลัง Back light Rim light    โดยทั่วไปแล้วคนส่วนใหญ่จะไม่นิยม ถ่ายภาพย้อนแสง เพราะกลัวแสงเข้ากล้อง หน้าดำ หรือหน้ามืด จริง ๆ แล้ว การถ่ายภาพย้อนแสง จัดว่าเป็นารถ่ายภาพที่สวยงามมีมิติมากที่สุด เพราะสามารถจะเห็นรูปร่าง ของแบบ โดยเฉพาะการถ่ายภาพของบุคคลจะมีความสำคัญมาก เพราะสามารถให้เห็น ลิมพ์ไลฟ์ของเส้นผม ซึ่งทำให้ภาพดูนิ่มนวล ส่วนการแก้ปัญหาความเข้มหรือความมืดที่ใชหน้า ด้วยการใช้รีแฟกซ์ สะท้อนแสง ลบเงา หรือตบแฟชศ์อ่อน ๆ แสงด้านข้าง หรือแสงลบเงา Fill Light    จัดว่าเป็นหัวใจรอง ในการสร้างภาพที่สวยงามการใช้แสงด้านข้าง ส่วนมากจะเป็นการเน้น จุดใดจุดหนึ่งหรือเพียงด้านเดียว การใช้แสงด้านข้าง ยังสามารถบอกมิติสัดส่วนของรูปร่างได้ แสงด้านข้างที่นิยมใช้ในการบันทึกภาพ ส่วนใหญ่จะเป็นภาพบุคคล ในการถ่ายแบบ หรือการถ่ายสถาปัตยกรรมก็ได้ แสงด้านหน้า  หรือ ไฟหลัก Key Light    สำหรับผู้ที่ถ่ายภาพแบบมืออาชีพ หรือผู้ที่มีความเข้าใจในการสร้างภาพสวย จะไม่นิยมถ่ายบันทึกภาพกัน เพราะจะทำให้ภาพดูแบน ไร้มิติ สีสันในองค์ประกอบจะจืด เพราะโดนความจ้าของแสงด้านหน้า บดบังทำให้สีหรือใบหน้า ดูจืดชืดไม่สะดุดตา ดังนั้น การจัดทิศทางแสงในการถ่ายภาพ จึงมีความสำคัญไม่น้อย และจะขาดเสียไม่ได้ แสงในการถ่ายภาพเราะจนิยมถ่ายในช่วงเวลา เช้า หรือแดดอ่อน ๆ ที่ดวงอาทิตย์ทำมุมประมาณ 30 - 40 องศา นั่นคือ พื้นฐานในการนำทิศทางแสงมาช่วยปรุงแต่ง เพิ่มเติมความสวยงามในภาพ เป็นเรื่องที่สำคัญอีกขั้นหนึ่ง ภาพล่างจะเป็นภาพอธิบายครับ แก้ไขเมื่อ 21 พ.ย. 52 04:32:05 แก้ไขเมื่อ 21 พ.ย. 52 04:23:40 จากคุณ : aloha_123 เขียนเมื่อ : 21 พ.ย. 52 04:22:36

ความคิดเห็นที่ 19   จากภาพนั้นหากเราดูทางแสงเป็นเข้าใจแหล่งแสง เราก็จะสามารถถ่ายภาพนอกสถานที่ได้สวยแม้ไม่มีไฟสักตัว มีแต่ดวงอาทิตย์ กับ แฟลตหัวกล้อง ก็สวยได้ ครับ โดยแสงธรรมชาติที่ดีสุดจะมีสองช่วงคือ แสงเช้า ช่วงเจ็ดโมงถึงสิบโมง และ แสงเย็นช่วงห้าโมงถึงหกโมงแล้วแต่ฤดูการละครับ เป็นแสงอ่อน ๆ ที่ถ่ายแล้วสวยสุด แก้ไขเมื่อ 21 พ.ย. 52 04:28:09 จากคุณ : aloha_123 เขียนเมื่อ : 21 พ.ย. 52 04:25:12

ความคิดเห็นที่ 20   แสงต่อมาคือแสง Hair Light หรือไฟส่องผม ไฟส่องหัว เป็นแสงหนึ่งที่สำคัญมากในงานถ่ายภาพบุคคล เนื่องจากจะช่วยให้สวยขึ้น ดังภาพตัวอย่าง โดยแสงส่องผมเราจะจัดมาจากด้านหลัง ไม่เกิน 45 องศาหลัง จากคุณ : aloha_123 เขียนเมื่อ : 21 พ.ย. 52 04:30:43

ความคิดเห็นที่ 21   โดยการจัดไฟประเภทนี้เราจะบีบทางแสงให้เล็ก เพื่อให้มันส่องเฉพาะจุด โดยใช้อุปกรณ์เช่น snooz barn door เป็นต้น อันนี้ภาพการวางไฟ hair light แต่ผมเรียก รังแคไรท์ แบบแสงมันขาว ๆ เหมือนรังแคขึ้นตรงนั้นที่เดียว แก้ไขเมื่อ 21 พ.ย. 52 05:19:35 จากคุณ : aloha_123 เขียนเมื่อ : 21 พ.ย. 52 04:36:53

ความคิดเห็นที่ 22   คราวนี้มาดูภาพตัวอย่าง Rim Light จากคุณ : aloha_123 เขียนเมื่อ : 21 พ.ย. 52 04:40:39

ความคิดเห็นที่ 23   อันนี้ rim อีกแบบ จากคุณ : aloha_123 เขียนเมื่อ : 21 พ.ย. 52 04:41:57

ความคิดเห็นที่ 24   อัันนี้ rim light  อีกแบบ จากคุณ : aloha_123 เขียนเมื่อ : 21 พ.ย. 52 04:42:55

ความคิดเห็นที่ 25   ซึ่งหากดูภาพแล้วมันคือแสงที่ใช้ตัดขอบวัตถุให้ดูเด่นขึ้น และลอยขึ้นมากจากฉากหลังครับ จากคุณ : aloha_123 เขียนเมื่อ : 21 พ.ย. 52 04:43:33

ความคิดเห็นที่ 26   ทีนี่ผมจะมาพูดถึง lighting ration (อ่านว่าเรโชนะ) ซึ่งเป็นปัจจัยที่ทำให้ ภาพเกิดมิติน่าสนใจ ภาพไม่แบน โดยจะมีส่วนทำให้เกิด hi key low key ครับจากการคำนวนนี้ ก่อนอื่นผมจะอธิบาย คำศัพท์ก่อนนะครับ หลายคนอาจจะได้ยินคำนี้ครั้งแรก เลยด้วยซ้ำไป แต่เราจะใช้ค่านี้คำนวน เนื่องจากคำนวนได้ง่ายสุด แล้วครับ เลขมันเป็นหลักสิบ หลักรอ้ย ไม่ใช่ทศนิยมแบบอื่น ๆ คำที่ว่าคือ footcandle เป็นหน่วยวัดความสว่างเท่ากับความสว่างของแสงหนึ่งแรงเทียนห่างหนึ่งฟุต โดยการคำนวน ration นั้นหมายถึงอัตราสัดส่วนแสงที่ใ้หไปในไฟ key กับ ไฟ fill ครับ เช่น 4:1 หมายถึง ไฟหลักหนึ่ง ต่อไฟลบเงา สี่ส่วน ซึ่งหลายคนถามว่าแล้วมันใช้อะไรวัดได้ คำตอบเครื่องวัดแสงทั่วไปครับ ซึ่งในที่นี้ผมจะเอาอนาล็อกเป็นหลักเนื่องจากพื้นฐานจริง ๆ ดูในภาพนะครับว่าดูตรงไหน แล้วมันเทียบเท่าอะไร จากคุณ : aloha_123 เขียนเมื่อ : 21 พ.ย. 52 05:05:36

ความคิดเห็นที่ 27   ทีนี่การคำนวนก็เทียบกันเลยครับ เช่น ต้องการแสงที่ 4:1 ก็คือ วัดไฟคีย์ได้ 40 fc.ไฟลบเงาก็ต้องได้ 10 fc ซึ่งอาจจะเทียบเท่า f 1: f 2.8 ตามภาพ หรือ อยากได้ 16:1 ก็จะ เป็น 640 fc ต่อ 40 เป็นต้น โดยการวัดแสงเราจะวัดทีละข้าง ปิดไฟทีละดวงนะครับ ไม่งั้นจะไม่ได้ พอได้แล้วจึงค่อยเปิดทุกดวงวัดตรงกลางอีกทีว่าต้องเปิดหน้ากล้องเท่าไรครับ โดยถ้าเทียบเป็น f จะได้ดังนี้ครับ 1:1 ประเภทภาพ Difference Flat lighting 2:1 ห่าวกัน 1 Stop ประเภทภาพ General color photography 3:1 ห่างกัน 1 1/2 Stops ปีระเภทภาพที่เหมาะคือ General black & white photography 4:1 ห่างกันประมาณ 2 Stops เหมะกับ Dramatic lighting, low key 8:1 ห่างกันประมาณ 3 Stops เหมาะกับ Very dramatic, low key ภาพล่างเป็นตัวอย่างภาพครับ แบบต่าง ๆ แก้ไขเมื่อ 21 พ.ย. 52 05:15:10 จากคุณ : aloha_123 เขียนเมื่อ : 21 พ.ย. 52 05:14:46

ความคิดเห็นที่ 28   อันนี้อีกใบครับ เืรื่อง อัตราส่วนแสง จากคุณ : aloha_123 เขียนเมื่อ : 21 พ.ย. 52 05:16:03

ความคิดเห็นที่ 29   ส่วนเรื่องการจัดแสงผสม ประเภทไฟ แล้วก็ อุปกรณ์ต่าง ๆ จะเขียนต่อให้นะครับตอนนี้เมื่อยละ พักหน่อย อัดซะยาวเชียววันนี้ เขียนแล้วติดลม จากคุณ : aloha_123 เขียนเมื่อ : 21 พ.ย. 52 05:18:04

ความคิดเห็นที่ 30 โอ้ จดจดจด จากคุณ : Son&Ning เขียนเมื่อ : 21 พ.ย. 52 07:32:06

ความคิดเห็นที่ 31 มาเจิมว่าที่กระทู้เเนะนำ จากคุณ : Manadora เขียนเมื่อ : 21 พ.ย. 52 08:35:14

ความคิดเห็นที่ 32 ขอบคุณคร้าบบบบ จากคุณ : หูกาง (zero4hero) เขียนเมื่อ : 21 พ.ย. 52 08:47:06

ความคิดเห็นที่ 33 "จึงต้องมีการชดเชยแสง เช่น แสงสีขาว ต้อง -2 stop โดยประมาณ แสงสีดำ ต้อง +2" ผมว่ามันกลับกันหรือเปล่าครับ ถ้าแสงสีขาวควรจะต้อง +2 และสีดำ -2 ครับ จากคุณ : Chanin.U เขียนเมื่อ : 21 พ.ย. 52 08:59:49

ความคิดเห็นที่ 34 ขอบคุณครับ จากคุณ : airron_man เขียนเมื่อ : 21 พ.ย. 52 17:35:20

ความคิดเห็นที่ 35 มาร่วมโหวตอีก 1 เสียงค่ะ...ความรู้ทั้งนั้นเลย จากคุณ : sapor เขียนเมื่อ : 21 พ.ย. 52 17:41:44

ความคิดเห็นที่ 36 มาขอบคุณไว้ก่อนครับ  สำหรับบทความดีดี แต่เดี๋ยวกลับมาอ่าน ตอนนี้สมองเบลอ  เพิ่งฟื้นจากคอนเสิร์ตน้าหมูพงษ์เทพ เมื่อคืน คอนเสิร์ตเลิกเที่ยงคืน แต่ผมถึงบ้าน ตี5 ระยะทางมันไกลจากงานคอนเสิร์ตไปบ้าน ตั้ง 5 กม. จากคุณ : แถมฟรีน้ำ 1 ขวด เขียนเมื่อ : 21 พ.ย. 52 17:44:45

ความคิดเห็นที่ 37 . . มาเจิม.... และขอบคุณกับสาระที่มากมาย . . . อ่านจนเหนื่อยเหมือนกันครับ 555 . . จากคุณ : Ananda_F11 เขียนเมื่อ : 21 พ.ย. 52 18:10:19

ความคิดเห็นที่ 38 เยี่ยมมาก อย่างนี้มันต้องโหวต จากคุณ : raksapondet เขียนเมื่อ : 21 พ.ย. 52 20:06:49

ความคิดเห็นที่ 39 Book Mark ไว้เป็นลิ้งค์หากิน ไว้แจกสาวๆครับ อิอิ จากคุณ : ปืนเถื่อน เขียนเมื่อ : 21 พ.ย. 52 20:08:51

ความคิดเห็นที่ 40   มาแก้ให้ละเรื่องชดเชยแสง พิมพ์มากๆ ก็มีมึนนะ ดูตามชาร์ตเลยนะครับ ผิดตรงไหนช่วยบอกช่วยแก้นะครับ พิมพ์เองเขียนเองมีเมา ๆ ได้เหมือนกัน แถมเรื่องนี้ตัวอักษรเพียบ...อ่านกัน เขียนกันตายไปข้าง แก้ไขเมื่อ 21 พ.ย. 52 20:19:01 จากคุณ : aloha_123 เขียนเมื่อ : 21 พ.ย. 52 20:10:51

ความคิดเห็นที่ 41 โหวตๆๆๆๆ จากคุณ : น้ากล้วย (iamfat) เขียนเมื่อ : 21 พ.ย. 52 22:17:47

ความคิดเห็นที่ 42   เวปล่มเขียนไรส่งไม่ได้เลย T T จากคุณ : aloha_123 เขียนเมื่อ : 21 พ.ย. 52 22:52:44

ความคิดเห็นที่ 43 โหวต คับ โหวตตตตตตต จากคุณ : Renovative เขียนเมื่อ : 22 พ.ย. 52 02:33:28

ความคิดเห็นที่ 44 เข้ามาหาความรู้ด้วยคนค่ะ จากคุณ : หัวเหม่งคุง เขียนเมื่อ : 22 พ.ย. 52 14:03:54

ความคิดเห็นที่ 45 ต้องค่อยๆอ่านครับ ผม ตาลาย.... ขอบคุณที่นำความรู้มาฝากครับ จากคุณ : บุรุษแห่งดวงดาว เขียนเมื่อ : 22 พ.ย. 52 15:34:56

ความคิดเห็นที่ 46 สุดยอดคับ คุณ aloha_123 จากคุณ : zerosource เขียนเมื่อ : 22 พ.ย. 52 16:06:58

ความคิดเห็นที่ 47 ขอบคุญมากครับ เป็นสิ่งที่ดีที่สุดเลยครับ จากคุณ : ไกล ดินเดิม เขียนเมื่อ : 22 พ.ย. 52 18:38:18

ความคิดเห็นที่ 48 สุดยอดเลยครับ ภาษาเขียนไม่ใช่เร่ืองง่ายๆเลยครับ ร่วมด้วยช่วยโหวตครับ จากคุณ : น้าวันดีมีแอล เขียนเมื่อ : 22 พ.ย. 52 20:02:16

ความคิดเห็นที่ 49 ขยันมากๆ จากคุณ : bedub เขียนเมื่อ : 22 พ.ย. 52 21:10:25

ความคิดเห็นที่ 50   เยี่ยมจริงๆครับ โหวตๆๆๆๆๆๆๆๆด้วย จากคุณ : rich53-2 เขียนเมื่อ : 22 พ.ย. 52 21:21:10 A:110.164.169.21 X: TicketID:221594

ความคิดเห็นที่ 51   ผมจะบอกว่าวิชาที่ยากที่สุดในการถ่ายภาพคือเรื่องแสงหละครับ เชื่อผมไหม บางคนหัดเป็นสิบปียังดูทางแสงไม่ได้ จากคุณ : aloha_123 เขียนเมื่อ : 22 พ.ย. 52 21:24:11

ความคิดเห็นที่ 52 เข้ามา save ไว้แล้วครับ ขอบคุณสำหรับวิทยาทานดีๆครับ ^^ จากคุณ : Invisiblesane เขียนเมื่อ : วันนักถ่ายภาพไทย 52 11:39:33

ความคิดเห็นที่ 53 สุดยอดบทความดีๆอีกหนึ่ง ขอบคุณมากครับ จากคุณ : Enix_1976 เขียนเมื่อ : 24 พ.ย. 52 10:09:33

ความคิดเห็นที่ 54   ดีค่ะ คุณลุง อ่านแล้ว งง เด่ยวถามในเอ็มต่อนะ อิอิ จากคุณ : หนูไอซ์เองค่ะ เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 52 13:08:19 A:192.168.15.155 X:124.121.185.93