ความคิดเห็นที่ 1 ถามว่า : "ทำไมต้องมีการชดเชยแสงด้วย?" ตอบ : เพราะในบางสถานการณ์กล้องมันไม่สามารถบันทึกภาพให้เหมือนหรือใกล้เคียงกับที่ตาเรามองเห็นได้ รูปที่ได้มานั้นอาจมืดหรือสว่างไป ทั้งๆ ที่เราก็วัดแสงแล้ว เลยต้องปรับแก้ด้วยการ "ชดเชยแสง" เช่นในสถานกาณ์แบบนี้ ซึ่งคนเล่นกล้องทุกคนต้องเคยเจอมาแน่ๆ เมื่อดูภาพหลังจากถ่ายเสร็จแล้วเกิดคำถามว่า "ทำไม่สีมันไม่ดำเหมือนของจริง" หรือ "ทำไม่สีมันไม่ขาวเหมือนของจริง" ปล. จากรูปนี้ จริงๆ แล้วเลนส์มันควรมีสีดำมากกว่านี้ จากคุณ : auxin เขียนเมื่อ : 24 พ.ย. 52 09:11:54

ความคิดเห็นที่ 2 เมื่อเราเห็นผลลัพธ์ดังนั้น เราก็ "ชดเชยแสงไปฝั่งลบ" เพื่อให้ได้รูปที่ใกล้เคียงกับสิ่งที่ตาเห็นมากที่สุด ในรูปนี้ ผมชดเชยแสง -1 Stop ก็จะได้รูปอย่างที่เห็นครับ ปล. "ชดเชยอย่างไร แล้วไอ้ Stop นี่คืออะไร" เดี๋ยวจะชี้แจงให้ฟังครับ มาถึงตรงนี้ ผมออกตัวไว้ก่อนเลยว่า ผมก็ไม่ได้เก่งกาจหรือแม่นในการชดเชยแสงถึงขนาดที่ เห็นรูปก็รู้เลยว่า "ต้องชดเชยมั้ย หากชดเชย ต้องชดเชยเท่าไหร่" (มีในบางกรณีเท่านั้นที่รู้ว่าต้องชดเชยแน่ แต่ชดเชยเท่าไหร่นั้น ก็ต้องลองครับ) แต่เราอยู่ในยุค "ดิจิตอล" แล้วครับ ถ่ายเสร็จเห็นผลลัพธ์เลย หากต้องชดเชยแสง ก็ชดเชยไปเลย หากการชดเชยนั้นยังไม่พอก็เพิ่มเข้าไปอีก ในหลายๆ ครั้งผมถ่ายตั้ง 3-4 ใบกว่าจะเอาอยู่ แต่ก็โชคดีที่กล้องสมัยนี้มันฉลาดมาก รูปส่วนมากที่กล้องให้มานั้น "ถูกต้องแล้ว" ในกรณีที่มืดหรือสว่างไป ก็ชดเชยได้ "ชดเชยทีสองทีก็เอาอยู่" ครับ จากคุณ : auxin เขียนเมื่อ : 24 พ.ย. 52 09:12:44

ความคิดเห็นที่ 3 ก่อนที่จะรู้เรื่องการชดเชยแสงก็ต้องรู้จัก "Stop" กันก่อน ปล. ข้อความต่อไปนี้ค่อนข้างจะยุ่งยากหน่อย ขอให้อ่านอย่างมีสมาธิน่ะครับ และผมก็จะพยายามอธิบาย(เขียน) ให้เข้าใจง่ายที่สุดด้วยเช่นกัน Stop คือหน่วยวัดของกล้องที่ใช้ในการเพิ่มหรือลดค่าต่างๆ ของกล้อง ครั้งละ 1 เท่าตัว เช่น "เพิ่ม Speed Shutter ขึ้น 1 Stop" หมายถึง เพิ่ม Speed Shutter ขึ้น 1 เท่าตัว" สมมติว่า Speed Shutter ตั้งต้นอยู่ที่ 1/10Sec หากเพิ่ม Speed Shutter ขึ้นครั้งละ 1 Stop เป็นจำนวน 3 ครั้ง จะได้ Speed Shutter ที่เท่าไหร่ - ตั้งต้นที่ 1/10Sec, Stop แรก Speed Shutter ก็ไปอยู่ที่ 1/20Sec ----> เพิ่มขึ้น 1 Stop - ตั้งต้นที่ 1/20Sec, Stop ที่สอง Speed Shutter ก็ไปอยู่ที่ 1/40Sec ----> เพิ่มขึ้น 2 Stop - ตั้งต้นที่ 1/40Sec, Stop ที่สาม Speed Shutter ก็ไปอยู่ที่ 1/80Sec ----> เพิ่มขึ้น 3 Stop หลังจากเพิ่ม Speed Shutter ขึ้น 3 Stop ก็จะได้ Speed Shutter ที่ 1/80Sec แต่ๆ... ใน 1 Stop นั้นจะแบ่งออกเป็น 3 ช่วงอีกที นั่นหมายความว่า "ซอย 1 Stop" ออกเป็น 3 ช่วง จะได้ช่วงล่ะ "0.333 Stop" ช่วงที่ 1 มีค่า 0.333 หรือประมาณ 0.3 Stop ช่วงที่ 2 มีค่า 0.666 หรือประมาณ 0.7 Stop ช่วงที่ 3 มีค่า 0.999 หรือประมาณ 1.0 Stop ตัวเลข 0.3, 0.7, 1.0 Stop นี้ เป็นค่าที่ใช้ในการชดเชยระบบต่างๆ ของกล้อง ไม่ว่าจะเป็น "การเพิ่ม/ลด ขนาดรูรับแสง, Speed Shutter และ ISO" เป็นต้น มาดูตัวอย่างกันอีกที!! สมตติว่าเราตั้ง Speed Shutter ตั้งต้นอยู่ที่ 1/10Sec หากบอกว่า ชดเชยแสงไป -0.3 Stop, Speed Shutter ใหม่ที่ได้คือ 1/13Sec หากบอกว่า ชดเชยแสงไป -0.7 Stop, Speed Shutter ใหม่ที่ได้คือ 1/15Sec หากบอกว่า ชดเชยแสงไป -1.0 Stop, Speed Shutter ใหม่ที่ได้คือ 1/20Sec ปล. ชดเชยไปฝั่งลบ Speed Shutter ก็ต้อง "เร็วขึ้น" ชดเชยไปฝั่งบวก Speed Shutter ก็ต้อง "ช้าลง" อย่าสับสนน่ะครับ มาดูตัวอย่างในรูปกันอีกทีน่ะครับ(ดูที่ตาราง S น่ะครับ) หากเพิ่ม Speed Shutter เร็วขึ้น 1 Stop ของ 1/10Sec ค่าใหม่ที่ได้คือ 1/20Sec หากเพิ่ม Speed Shutter เร็วขึ้น 2 Stop ของ 1/25Sec ค่าใหม่ที่ได้คือ 1/100Sec หากลด Speed Shutter ช้าลง 1 Stop ของ 1/320Sec ค่าใหม่ที่ได้คือ 1/160Sec มาถึงคำถาม หากเพิ่ม Speed Shutter จาก 1/10Sec ขึ้นไปถึง 1/320Sec จะวัดได้กี่ Stop(ใครเข้ามาอ่าน ตอบด้วยน่ะครับ) จากคุณ : auxin เขียนเมื่อ : 24 พ.ย. 52 09:13:36

ความคิดเห็นที่ 4 ทีนี้มาดูการเพิ่ม/ลด ขนาดรูรับแสงกันบ้าง อย่างที่ผมบอกไปว่า หน่วยวัด Stop นั้นจะเพิ่มขึ้นหรือลดลง Stop ละ 1 เท่าตัว แต่ ค่าความกว้างของรูรับแสงนั้นเป็นพื้นที่วงกลม ฉะนั้นตัวเลข "จะไม่ได้เพิ่มขึ้น/ลดลง ครั้งล่ะเท่าตัวเหมือน Speed Shutter กับ ISO" น่ะครับ มาถึงตรงนี้ เดี๋ยวผมจะอธิบายการคำนวนขนาดรูรับแสงให้ฟังกัน แต่ต้องใช้คณิตศาสตร์ในเรื่องพื้นที่วงกลมในการคำนวน ฉะนั้นหากใครไม่อยากอ่านตรงนี้ ก็ข้ามไป คห. ถัดไปได้เลยครับ แต่ก่อนจะข้ามไป ขอให้รับรู้ด้วยว่า ขนาดของรูรับแสงนั้น ใน 1 Stop ก็แบ่งออกเป็น 3 ช่วงเช่นกัน ฉะนั้น(ดูรูปจากจากตาราง F ใน คห.บน) หากลดขนาดรูรับแสงลง 0.3 Stop จากค่าเดิมที่ 3.5 ค่าใหม่ที่ได้ก็จะเป็น 4 หากลดขนาดรูรับแสงลง 0.7 Stop จากค่าเดิมที่ 3.5 ค่าใหม่ที่ได้ก็จะเป็น 4.5 หากลดขนาดรูรับแสงลง 1.0 Stop จากค่าเดิมที่ 3.5 ค่าใหม่ที่ได้ก็จะเป็น 5 -------------------------------------------------------- สำหรับคนที่อยากรู้ว่า ขนาดรูรับแสงแต่ล่ะช่วงคำนวณอย่างไรนั้น อ่านต่อเลยครับ เริ่มที่ค่าต่างๆ ของรูรับแสงนั้นคือ "รัศมี(R)" ของพื้นที่วงกลมครับ สูตรการคำนวณพื้นที่วงกลมคือ "พาย x R ยกกำลังสอง" ฉะนั้น!! หากเราเซ็ตรูรับแสงไว้ที่ 3.5 ก็สามารถแทนค่าได้ คือ "พาย x 3.5 ยกกำลังสอง" นั่นเอง(ยังไม่ต้องคำนวณต่อนะครับ ค้างค่าไว้แบบนี้แหละ) ทีนี้ถ้าเราลดขนาดรูรับแสงของค่าเดิมที่ 3.5 ลง 1 Stop(1 เท่าตัว) ก็สามารถตั้งสมการได้ดังนี้ครับ พาย x R ยกกำลังสอง = [พาย x R ยกกำลังสอง]/2 ยกกำลัง Stop แทนค่าในสมการ -------------------------------------------------------- พาย x 3.5 ยกกำลังสอง = [พาย x R ยกกำลังสอง]/2 ยกกำลัง 1 *** 2 ยกกำลัง 1 = 2 พาย x 3.5 ยกกำลังสอง = [พาย x R ยกกำลังสอง]/2 2 x พาย x 3.5 ยกกำลังสอง = พาย x R ยกกำลังสอง *** ย้าย 2 ไปคูณอีกฝั่งนึง 2 x 3.5 ยกกำลังสอง = R ยกกำลังสอง *** ตัด "พาย" ออกทั้ง 2 ข้าง 24.5 = R ยกกำลังสอง *** คูณตัวเลขธรรมดา R = 4.949 หรือ R = 5 นั่นเอง เมื่อเทียบดูกับตารางด้านบน ก็จะตรงกันพอดี -------------------------------------------------------- -------------------------------------------------------- ทีนี้เราลองมาดูตัวอย่างแบบ 2 Stop กันบ้างน่ะครับ ถ้าเราลดขนาดรูรับแสงของค่าเดิมที่ 5.6 ลง 2 Stop(2 เท่าตัว) ก็สามารถตั้งสมการได้ดังนี้ครับ พาย x R ยกกำลังสอง = [พาย x R ยกกำลังสอง]/2 ยกกำลัง Stop แทนค่าในสมการ -------------------------------------------------------- พาย x 5.6 ยกกำลังสอง = [พาย x R ยกกำลังสอง]/2 ยกกำลัง 2 *** 2 ยกกำลัง 2 = 4 พาย x 5.6 ยกกำลังสอง = [พาย x R ยกกำลังสอง]/4 4 x พาย x 5.6 ยกกำลังสอง = พาย x R ยกกำลังสอง *** ย้าย 4 ไปคูณอีกฝั่งนึง 4 x 5.6 ยกกำลังสอง = R ยกกำลังสอง *** ตัด "พาย" ออกทั้ง 2 ข้าง 125.44 = R ยกกำลังสอง *** คูณตัวเลขธรรมดา R = 11.2 หรือ R = 11 นั่นเอง เมื่อเทียบดูกับตารางด้านบน ก็จะตรงกันพอดี -------------------------------------------------------- จากคุณ : auxin เขียนเมื่อ : 24 พ.ย. 52 09:14:36

ความคิดเห็นที่ 5 โดยปกติของ Stop นั้นจะแบ่งออกเป็น 3 ช่วง แต่กล้องมันสามารถเซ็ตให้เป็น 2 ช่วงก็ได้ หรือกล้องรุ่นใหญ่สามารถแบ่งเป็นอย่างอื่นได้หรือปล่าว อันนี้ไม่แน่ใจ!! แต่แนะนำว่าตั้งเป็น "3 ช่วง" น่าจะใช้งานได้ดีที่สุดครับ หากเขียนเป็นช่วงให้เห็นชัดๆ ก็คงสามารถเขียนได้แบบนี้ครับ ..., -2.0, -1.7, -1.3, -1.0, -0.7, -0.3, 0.0, 0.3, 0.7, 1.0, 1.3, 1.7, 2.0, ... สมมติให้เห็นกันอีกที(ดูตารางด้านบนในการเปรียบเทียบ) ถ้าเราตั้งรูรับแสงตั้งต้นไว้ที่ 9 หากลดขนาดรูรับแสงลง 0.3 Stop จะได้รูรับแสงใหม่คือ 10 หากลดขนาดรูรับแสงลง 0.7 Stop จะได้รูรับแสงใหม่คือ 11 หากลดขนาดรูรับแสงลง 1.0 Stop จะได้รูรับแสงใหม่คือ 13 ในทางกลับกัน หากเพิ่มขนาดรูรับแสงลง 0.3 Stop จะได้รูรับแสงใหม่คือ 8 หากเพิ่มขนาดรูรับแสงลง 0.7 Stop จะได้รูรับแสงใหม่คือ 7.1 หากเพิ่มขนาดรูรับแสงลง 1.0 Stop จะได้รูรับแสงใหม่คือ 6.3 มาถึงตรงนี้คงพอจะเข้าใจเรื่อง "Stop" กันพอสมควรแล้วน่ะครับ จากคุณ : auxin เขียนเมื่อ : 24 พ.ย. 52 09:15:07

ความคิดเห็นที่ 6 ทีนี้ อาจมาถึงคำถามที่ว่า "แล้วไอ้ Stop ที่ว่านั้นมันนำมาใช้อย่างไร กับการชดเชยแสง" การชดเชยแสงนั้น จะอ้างอิงเป็น "Stop" ครับ ชดเชย 0.3, 0.7, 1.0 ว่ากันไปแล้วแต่กรณี เช่น ผมตั้งโหมด A เซ็ตรูรับแสง 3.5 ถ่ายวิวรูปนึง หลังจากวัดและล็อคค่าแสงแล้วกล้องมันเลือก Speed Shutter ให้ที่ 1/100Sec แต่ปรากฏว่ารูป Under ไปนิดนึง ผมก็แก้ด้วยการชดเชยแสง เช่น - ชดเชยแสงครั้งแรก +0.3 Stop กล้องมันก็จะไปเปลี่ยน Speed Shutter เป็น 1/80Sec แทน หากรูปยังสว่างไม่พอก็ - ชดเชยแสงครั้งที่สอง +0.7 Stop กล้องมันก็จะไปเปลี่ยน Speed Shutter เป็น 1/60Sec แทน หากรูปยังสว่างไม่พอก็ - ชดเชยแสงครั้งที่สาม +1.0 Stop กล้องมันก็จะไปเปลี่ยน Speed Shutter เป็น 1/50Sec แทน (สมมติว่า พอดีแล้ว) ในทางกลับกันหากผมตั้งโหมด S เซ็ต Speed Shutter เป็น 1/50Sec ถ่ายวิวรูปนึง หลังจากวัดและล็อคค่าแสงแล้วกล้องมันเลือก ขนาดรูรับแสงให้ที่ 6.3 แต่ปรากฏว่ารูป Over ไปนิดนึง ผมก็แก้ด้วยการชดเชยแสง เช่น - ชดเชยแสงครั้งแรก -0.3 Stop กล้องมันก็จะไปเปลี่ยน ขนาดรูรับแสงเป็น 7.1 แทน หากรูปยังสว่างเกินไปก็ - ชดเชยแสงครั้งที่สอง -0.7 Stop กล้องมันก็จะไปเปลี่ยน ขนาดรูรับแสงเป็น 8 แทน หากรูปยังสว่างเกินไปก็ - ชดเชยแสงครั้งที่สาม -1.0 Stop กล้องมันก็จะไปเปลี่ยน ขนาดรูรับแสงเป็น 9 แทน(สมมติว่า พอดีแล้ว) ปล. จริงๆ แล้ว เมื่อมีความชำนาญในระดับหนึ่ง ก็จะสามารถประเมินได้ว่ารูปนั้นๆ ควรชดเชยเท่าไหร่ ไม่จำเป็นต้องชดเชยครั้งล่ะ 0.3 เหมือนอย่างที่ผมเขียนไว้น่ะครับ ผมแค่เขียนให้เห็นภาพชัดๆ เท่านั้นเอง ไม่งั้นชดเชยกันตายเลย 555 มาถึงตรงนี้ก็คงพอจะนึกภาพออกกันแล้วว่าการชดเชยแสงมันคืออะไร แต่อย่าสับสนทิศทางการชดเชยแสงน่ะครับ!! ทีนี้ก็มาดูวิธีการชดเชยแสงกันบ้าง วิธีการก็ง่ายมากครับ(หลังจากล็อคค่าแสงแล้ว) 1. กดปุ่มที่มีเครื่องหมาย +/- ค้างไว้ 2. หมุนวงแหวนเพื่อเลือกค่าการชดเลยแสง แต่ชดเท่าไหร่ ไปทางไหนนั้น ต้องดูเอาเองครับ เพราะไม่มีใครสามารถบอกได้ จากคุณ : auxin เขียนเมื่อ : 24 พ.ย. 52 09:15:40

ความคิดเห็นที่ 7 ตามประสบการณ์อันน้อยนิดของผมกับเจ้า D90 ผมถือว่า ประมาณ 70% ของรูปที่ได้มานั้น มันวัดแสงให้พอดีแล้ว ประมาณ 20-25% ของรูปที่ได้มานั้น ชดเชยแสง "เพราะเหตุผลในเชิงการทำงานของกล้อง" ประมาณ 5-10% ที่เหลือ ชดเชยแสง "เพราะอยากได้อย่างที่ต้องการ" เหตุผลที่ได้รูปพอดีเลยถึง 70% นั้น ต้องยกผลประโยชน์ให้กับความฉลาดของกล้องครับ ส่วนอีกราว 30% ที่เหลือถึงแม้ต้องชดเชยแสง ก็ชดเชยไม่มากครับ ส่วนมากชดเชย ทีสองทีก็เอาอยู่ ปล. อันนี้นอกรอบครับ หากผมพูดว่าชดเชยไปทีนึง หมายความว่าชดไป "0.3" น่ะ หากผมพูดว่าชดเชยไปสองทีก็หมายถึง ชดไป "0.7" น่ะครับ แต่ผมก็จะพยายามเขียนให้ถูกหลักมากที่สุด เพราะในบางครั้ง "การใช้ภาษาพูดมันก็สื่อสารได้ดีกว่าภาษาเขียน" ครับ จากคุณ : auxin เขียนเมื่อ : 24 พ.ย. 52 09:16:10

ความคิดเห็นที่ 8 จากรูปตัวอย่างนั้น ผมแบ่งเป็น 9 รูป(ปล. รูปพวกนี้ผมปรับแต่งความสว่างด้วยโปรแกรมแต่งรูปน่ะครับ ของจริงมีรูปที่ 5 รูปเดียว) สมมติว่ารูปที่เราถ่ายมานั้นมีสภาพแสงอยู่ที่ "รูปที่ 1"(สมมติว่า มืดไป -1.3EV) เราประเมินด้วยสายตาคร่าวๆ ว่ามันมืดมากไป ก็ชดเชยแสงไปทางด้าน "บวก" แต่จะเพิ่มครั้งล่ะ 0.3EV ก็ดูจะช้าไปสำหรับรูปที่มืดมาก การชดเชยครั้งแรก อาจชดเชยไปเลย "1.0EV" เลย แล้วดูผลลัพธ์ว่าได้อย่างที่ต้องการแล้วหรือยัง หากยังไม่ได้รูปที่ชอบ ก็ชดเชยไปอีก จนกว่าจะได้รูปที่ต้องการ ในทางกลับกันหากรูปแรกที่ได้มามีความสว่างมากเหมือน "รูปที่ 9" (สมมติว่า สว่างไป +1.3EV) เราก็ชดเชยแสงไปทางด้าน "ลบ" จนกว่าจะได้รูปที่ "แสงพอดี" --------------------------------------------------- ทีนี้มานอกเรื่องนิดครับ จากรูปตัวอย่างนั้น รูปที่ 5 นั้นถือว่าเป็นจุดที่สภาพแสงพอดีที่สุด (0.0EV) ส่วนรูปที่ 1-4 นั้นก็ถือว่ารูป Under ลงรูปล่ะ -0.3EV ตามลำดับ ส่วนรูปที่ 6-9 นั้นก็ถือว่ารูป Over ขึ้นรูปล่ะ +0.3EV ตามลำดับ หากหลังจากคุณวัดแสงแล้ว ชดเชยแสงแล้ว แล้วได้รูปที่อยู่ใน Zone รูปที่ 4, 5, 6 ผมถือว่าเป็นรูปที่แสงถูกต้องแล้วครับ แม้ว่ารูปหมายเลข 4 จะ Under ไปนิดและรูปหมายเลข 6 จะ Over ไปนิด แต่ก็ไม่มีปัญหาครับ ถือว่าเกิด Error บ้างเล็กน้อย แก้ไขไม่ยาก ปรับแต่งในโปรแกรมแต่งรูป 2-3 คลิ๊กก็ได้รูปที่ "พอดี" ครับ แต่หากรูปที่ได้มานั้นตกอยู่ใน Zone รูปที่ 1, 2, 3, 7, 8, 9 นั้นผมแนะนำว่าให้ถ่ายใหม่ครับ ถึงแม้ว่ารูปเหล่านั้นจะสามารถปรับแต่งได้แต่ หากเราได้รูปต้นฉบับที่มืดหรือว่างเกินไป(Error สูง) เมื่อนำมาปรับด้วยโปรแกรมแต่งรูป คุณภาพของรูปจะลดลงครับ เช่นมี Noise มากขึ้น และยังต้องมาเสียเวลามากในการแต่งอีกด้วย ฉะนั้น!! ผมแนะนำว่า "ถ่ายใหม่เลยครับ" ก็แค่ชดเชยแสงเพิ่มหรือลดลงอีกแค่ ทีสองทีก็น่าจะได้รูปที่พอดี จากคุณ : auxin เขียนเมื่อ : 24 พ.ย. 52 09:17:02

ความคิดเห็นที่ 9 ในเรื่องการชดเชยแสง มีสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญอีกเรื่องครับ นั่นก็คือ "การชดเชยแสงของสีต่างๆ" เพราะสีต่างกันย้อมสะท้อนแสงต่างกัน จึงได้มีคนทำตารางนี้ไว้ให้ดูกันครับ ปล. ตารางดังกล่าว ถึงผมจะทำขึ้นใหม่ แต่ผมลอกเขามาครับ(ยอมรับโดยดุษฎี) แต่ไม่รู้จะให้เครดิตใคร เพราะไม่รู้จักเจ้าของตัวจริง หากเจ้าตัวมาเห็นผมก็ "ขออนุญาต" น่ะครับ ถึงแม้ยังยังไม่ได้รับคำอนุญาตก็ตาม 555(อายจัง) จากตารางดังกล่าวนั้น โดยหลักๆ เค้าก็บอกว่าหากเราถ่าย "สีอะไร" ก็ควรจะชดเชยแสง "เท่าไหร่" เพื่อให้ได้รูปอย่างที่ตาเห็น เช่น - หากถ่ายรูปอะไรที่มีสีขาวมาก(เต็มพื้นที่ หรือเต็มรูป) ก็ควรชดเชยแสงไปทาง "บวก 2.0EV" - หากถ่ายรูปอะไรที่มีสีดำมาก(เต็มพื้นที่ หรือเต็มรูป) ก็ควรชดเชยแสงไปทาง "ลบ 2.0EV" - ส่วนสีอื่นๆ ก็ดูจากตารางครับ แต่ๆ... ผมแนะนำว่า "ไม่ต้องไปจำสีและค่าชดเชยแสงของมัน" หรอกครับ เพราะ 1. ใครจะไปจำได้ว่าสีนั้น(มีความเข้มสีเท่านี้ด้วย) ต้องชดเชยแสงเท่าไหร่ 2. สีเดียวกัน ในสภาพแสงที่ต่างกัน ตาเรามองเห็นไม่เหมือนกัน เช่นมีลูกบอลลูกนึงสีดำ แต่ถ้าเอาแสงแรงๆ มาส่อง สีที่เรามองเห็นนั้น อาจไม่เห็นเป็นสีดำแล้วครับ อาจถึงขั้นเห็นเป็นสีขาวเลย หรือสมมติอีกทีว่าเรามีลูกบอลสีขาวลูกนึง แต่เอาไปไว้ในห้องที่มืดมากๆ แล้วให้เราไปดู เราก็ไม่รู้หรอกครับว่า "ลูกบอลนั้นสีขาว" เราอาจมองเห็นเป็นสีเทาหรือสีดำเลยด้วยซ้ำ 3. ค่าการชดเชยแสงต่างๆ ที่ให้มานั้น อาจไม่สัมพันธ์กับกล้องสมัยนี้ เพราะหลายครั้งที่ผมถ่ายสีขาว ผมชดเชย "+1EV" ก็เพียงพอแล้วครับ ไม่จำเป็นต้อง "บวกถึง 2EV" ในทางกลับกันสีดำก็เหมือนกันครับ อาจไม่ต้องชดเชย "ลบถึง 2EV" ก็ได้ เพราะผมว่ากล้องมันฉลาดมากขึ้นเรื่อยๆ ค่าเหล่านี้ก็ย่อมผิดเพี้ยนไปบ้าง แต่ๆ... แต่อีกแล้ว... ตารางนี้มันก็มีประโยชน์มากครับ ประโยชน์ที่ว่าคือ ทำให้เรารู้ว่า "ถ่ายสีอะไร แล้วควรชดเชยไปทางไหน ประมาณเท่าไหร่" เช่น - หากถ่ายสีเหลือง ก็ควรชดเชยไปทางบวก "มากหน่อย" - หากถ่ายสีฟ้าหรือสีชมพู ก็ควรชดเชยไปทางบวก "นิดนึง" หรือ - หากถ่ายสีเทาเข้มหรือน้ำตาลเข้ม ก็ควรชดเชยไปทางลบ "มากหน่อย" - หากถ่ายสีน้ำเงินหรือเขียวเข้ม ก็ควรชดเชยไปทางลบ "นิดนึง" แล้วไอ้ "นิดนึง" นี่มันเท่าไหร่ หรือไอ้ "มากหน่อย" นี่มันเท่าไหร่ นั้น!! ขึ้นอยู่กับประสบการณ์แล้วครับ ใครก็บอกค่าที่แน่นอนไม่ได้ *** หากรู้ทิศทางของการชดเชยและสามารถเดาได้ว่าควรชดเชยเท่าไหร่ ก็ถือว่า "สมบูรณ์แล้ว" จะเกิดความผิดพลาดบ้างก็ไม่เป็นไร ชดเชยแสงแล้วถ่ายซ้ำไปอีกที ก็เอาอยู่ครับ จากคุณ : auxin เขียนเมื่อ : 24 พ.ย. 52 09:17:57

ความคิดเห็นที่ 10 ทีนี้มาดูตัวอย่างจากของจริงกันบ้าง โชคดีที่มีเจ้า "รูบิค" ของพี่ชายอยู่ มันเป็นตัวอย่างที่ดีมากๆ ครับ ในรูปนี้ผมใส่รายละเอียดของรูปมาให้ด้วย จะได้เห็นกันชัดๆ ในที่นี้ผมตั้งโหมดวัดแสงเป็นแบบ "เฉพาะจุด" เพื่อให้แน่ใจว่าผมวัดแสงตรงพื้นที่สีนั้นๆ จริงๆ โดยไม่มีสีอื่นมาเกี่ยวข้อง จากรูปนี้ผมลองถ่ายสีเหลือง ผมก็ชี้จุดวัดแสงไปที่สีเหลืองเลย หลังจากวัดและล็อคค่าแสงแล้ว ก็จะได้รูปทางซ้ายมือครับ ส่วนรูปทางขวามือนั้น ผมชดเชยแสงบวกไป 0.3EV ก็ถือว่าได้สีเหลืองใกล้เคียงกับที่ตาเห็นแล้ว ปล. ผมลองชดเชยบวก 0.7EV อีกรูป ผลที่ได้คือ สีเหลืองของรูปสว่างกว่าของจริงไปนิด ส่วนด้านข้างที่มีสีแดงนั้น สีเปลี่ยนกลายเป็นสีส้มไปเลย ผมจึงสรุปว่า การชดเชยแสงที่เหมาะสมของรูปนี้คือ "บวก 0.3EV" ถ้าเรากลับไปดูตารางการชดเชยแสงของสีต่างๆ อีกที จะเห็นว่า "สีเหลือง บวก 1.5EV" แต่ผมชดเชยแค่ "บวก 0.3EV" เท่านั้น จากการทดลองนี้ไม่ได้บอกว่าตารางผิดน่ะครับ เพราะผมบอกแล้วว่า "สภาพแสงต่างกัน สีเดียวกัน ก็ย่อมสะท้อนแสงได้ไม่เท่ากัน" ฉะนั้น!! จากตารางดังกล่าวแค่ "เรารู้ว่าสีไหนควรชดเชยไปทางไหน ซักเท่าไหร่" ก็เพียงพอแล้วครับ จากคุณ : auxin เขียนเมื่อ : 24 พ.ย. 52 09:18:45

ความคิดเห็นที่ 11 มาดูกันอีกซักรูป รูปนี้ถ่ายสีขาวเลย ถ่ายเหมือนเดิมครับ รูปฝั่งซ้ายนั้น วัดและล็อคค่าแสงแล้วถ่ายเลย(วัดแสงที่สีขาว) รูปที่ได้นั้นสีขาวจะอมเทาอยู่นิดนึง ฉะนั้น!! ผมจึงชดเชยแสงไปฝั่งบวก 0.7EV ก็จะได้รูปฝั่งขวาครับ ซึ่งดูแล้วก็ถือว่าสีเหมือนกับของจริงอย่างที่ตาเห็นแล้ว จากคุณ : auxin เขียนเมื่อ : 24 พ.ย. 52 09:19:23

ความคิดเห็นที่ 12 ทีนี้มาดูการถ่ายจากสถานที่จริงกันบ้าง รูปทั้งหมดผมตั้งโหมด "A" วัดแสงแบบ "เฉลี่ยหนักกลาง" ครับ รูปนี้ ก่อนจะถ่าย ดูจากสภาพบรรยากาศก็รู้ล่วงหน้าแล้วครับว่า "ต้องชดเชยบวกแน่นอน" เพราะแสงจัดและสิ่งที่อยู่ในรูปโดยรวมมีสี "อ่อน" แต่ชดเชยเท่าไหร่นั้นต้องลองครับ รูปแรกผมลอง +0.3 EV ปรากฏว่ามืดไปนิด ก็เพิ่มไปอีกที สรุปรูปนี้ชดเชยไป 0.7EV ก็จะได้รูปที่พอดีครับ จากคุณ : auxin เขียนเมื่อ : 24 พ.ย. 52 09:19:56

ความคิดเห็นที่ 13 รูปนี้ ก็รู้แน่ครับว่าต้องชดเชยบวกแน่นอนเพราะ 1. ตัวรูปปั้นสีขาวมาก 2. มีแสงส่องด้วย รูปนี้ผมชดเชยบวกไปเลย 0.7EV ปรากฏว่าได้รูปที่ถูกต้องพอดี(ถ่ายครั้งเดียวอยู่เลย) จากคุณ : auxin เขียนเมื่อ : 24 พ.ย. 52 09:20:30

ความคิดเห็นที่ 14 ส่วนรูปนี้ผมวัดแสงที่ดอกทานตะวันซึ่งมีสีเหลืองมาก ในใจก็คิดว่าชดเชยบวกไปซัก 0.3EV ก็น่าจะพอ เลยได้รูปนี้มา แต่หลังจากกลับมาดูรูปที่บ้าน ก็ทำให้รู้ว่า ผมประเมินผิดไป จากรูปนี้จะเห็นได้ว่า รูป "Under" อยู่นิดนึง ฉะนั้น!! รูปนี้ผมควรชดเชยแสงบวก 0.7EV ครับ จากคุณ : auxin เขียนเมื่อ : 24 พ.ย. 52 09:21:09

ความคิดเห็นที่ 15 ส่วนรูปนี้ ตอนวัดแสงนั้น ผมประเมินดูแล้วว่าคงไม่ต้องชดเชยแสง หรือถ้าชดก็คงบวกไปทีนึง รูปนี้ผมเลยลองถ่ายแบบไม่ชดเชยดูก่อน ปรากฏว่าได้อย่างที่ชอบเลย ฉะนั้น!! รูปนี้ไม่ต้องชดเชยแสงครับ จากคุณ : auxin เขียนเมื่อ : 24 พ.ย. 52 09:21:55

ความคิดเห็นที่ 16 รูปนี้ มีพื้นที่สีดำเกือบทั้งรูปเลย ฉะนั้น ชดเชยลบแน่นอนครับ รูปนี้ผมก็ลองชดเชยลบ 0.7 ก่อนเลย ปรากฏว่าก็ได้ภาพอย่างที่ต้องการอีกเช่นเคย จากคุณ : auxin เขียนเมื่อ : 24 พ.ย. 52 09:22:31

ความคิดเห็นที่ 17 มาดูกรณีพิเศษกันบ้าง รูปนี้ผมถ่ายเจดีย์พุทธคยาที่มีสีเหลืองซ้ำยังเป็นเหลืองทองที่กำลังสะท้อนแสงซะด้วย ในกรณีนี้ชดเชยบวกแน่นอน ชดเชยมากด้วย ครั้งแรกผมลองชดเชยบวกไป 1.0EV แต่ก็ยังสว่างไม่พอครับ ต้องซ้ำอีกทีด้วยการชดเชยเพิ่มไปอีก เป็น "บวก 1.3EV" ครับ จากคุณ : auxin เขียนเมื่อ : 24 พ.ย. 52 09:22:58

ความคิดเห็นที่ 18 มาดูการชดเชย "สีทอง" กันอีกที หลังจากถ่ายอะไรที่สีทองมาพอสมควร ประสบการณ์สอนแล้วครับว่า ตั้งต้นที่บวก 1.0EV ไปเลย รูปนี้เลยลองที่ บวก 1.0EV ก่อน แต่ก็อีกเช่นเคยครับ ได้รูปอย่างที่ต้องการพอดี จากคุณ : auxin เขียนเมื่อ : 24 พ.ย. 52 09:24:17

ความคิดเห็นที่ 19 รูปนี้ผมวัดแสงที่พระพุทธรูป ถึงแม้ว่าพระพุทธรูปมีสีขาว แต่ผมใช้โหมดวัดแสงแบบ "เฉลี่ยหนักกลาง" ซึ่งมีพื้นที่ในการคำนวณนั้น เมื่อเทียบกับพระพุทธรูปแล้ว ก็ยังมีพื้นที่มากกว่า และบริเวณด้านหลังพระพุทธรูป ก็มีสีดำอยู่พอๆ กันกับพื้นที่ของพระพุทธรูป ซึ่งถือว่า "ถัวเฉลี่ยกันไป" ผมเลยประเมินว่ารูปนี้ไม่ต้องชดเชยแสง แล้วก็เป็นอย่างที่คิดครับ วัดแสงแล้วก็ถ่ายมาเลย ได้รูปอย่างที่เห็น จากคุณ : auxin เขียนเมื่อ : 24 พ.ย. 52 09:24:58

ความคิดเห็นที่ 20 ตัวอย่างสุดท้าย!! เจอทอง บวกกับแสงส่องอีกแล้วครับ ผมวัดแสงที่หัวโขน และตั้งป้อมชดเชยบวก 1.0EV ก่อนเลย ถ่ายมาเสร็จถึงได้รู้ว่า อ้อ!! ลืมไป พื้นที่สีทองมีไม่มากนัก ยังมีสีอื่นเจือด้วย รูปมันเลยสว่างไปหน่อย ถ่ายใหม่ด้วยการชดเชยลดลงมาทีนึงเหลือ "บวก 0.7EV" ก็ได้ผลลัพธ์อย่างที่เห็นครับ จากคุณ : auxin เขียนเมื่อ : 24 พ.ย. 52 09:25:32

ความคิดเห็นที่ 21 สรุป - การชดเชยแสงนั้นเป็นขั้นตอนที่ต่อจากการวัดแสง หากยังไม่ได้รูปอย่างที่ต้องการ ในกรณีที่รูปมืดหรือสว่างไป - สีและแสงของสิ่งที่เราจะถ่ายมีผลต่อการคำนวณของกล้อง สีบางสีจะสะท้อนแสงมาก กล้องมันจะลดความสว่างของรูปลงเพื่อให้เห็นรายละเอียด รูปเลยมืดกว่าความเป็นจริง เราก็ชดเชยแสงคืนกลับไป หรือสีบางสีที่สะท้อนแสงน้อยมากๆ กล้องมันก็จะทำให้รูปนั้นสว่างขึ้นเพื่อให้เห็นรายละเอียดของรูป เราก็ชดเชยแสงลดลง เพื่อให้ได้รูปอย่างที่เห็น เป็นต้น - ในบางสถานการณ์นั้น ถึงแม้เราจะวัดแสงอย่างดีแล้วก็ตาม แต่ผลลัพธ์กลับไม่เหมือนอย่างที่ตาเห็นเพราะกล้องมันตอบสนองในสิ่งที่ถูกตั้งโปรแกรมมา ฉะนั้นย่อมมีในหลายกรณีที่รูปมืดหรือสว่างเกินไป หากเราเข้าใจพฤติกรรมของกล้องและสภาพแวดล้อม เราก็สามารถใช้ "การชดเชยแสง" เพื่อให้ได้ผลลัพธ์อย่างที่ต้องการได้ *** ส่วนจะชดเชยแสงในกรณีไหน ชดเชยเท่าไหร่ ก็อยู่ที่ตัวท่านอีกเช่นเคยครับ "ที่ต้องออกไปหาประสบการณ์เอง"*** จากคุณ : auxin เขียนเมื่อ : 24 พ.ย. 52 09:26:03

ความคิดเห็นที่ 22 เข้ามาเก็บความรู้ครับ ขอบคุณครับ จากคุณ : janista เขียนเมื่อ : 24 พ.ย. 52 09:49:51

ความคิดเห็นที่ 23 เยี่ยมๆๆ จากคุณ : Abolys เขียนเมื่อ : 24 พ.ย. 52 09:54:50

ความคิดเห็นที่ 24 ขอบคุณมาก กับอีก 1 กระทู้ที่ดี และมีประโยชน์ครับ จากคุณ : ไผ่ย้อย เขียนเมื่อ : 24 พ.ย. 52 09:56:07

ความคิดเห็นที่ 25 มาลงชื่อเป็นนักเรียนไว้ก่อน ไปธุระแล้วจะรีบมาตามเก็บรายละเอียดนะคะ จากคุณ : fossil_k เขียนเมื่อ : 24 พ.ย. 52 09:56:26

ความคิดเห็นที่ 26   ได้ความรู้เพิ่มขึ้นอีกเยอะเลย เรา ^_^ จากคุณ : tee เขียนเมื่อ : 24 พ.ย. 52 09:57:28 A:202.57.142.59 X:

ความคิดเห็นที่ 27 รออยู่นานแล้ว บทความดีๆภาคต่อเนื่อง ขอบคุณมากครับ จากคุณ : Enix_1976 เขียนเมื่อ : 24 พ.ย. 52 10:06:12

ความคิดเห็นที่ 28 ความรู้ๆๆๆ เก็บเกี่ยวๆๆๆ ขอบคุณครับ จากคุณ : Commandosexy เขียนเมื่อ : 24 พ.ย. 52 10:06:34

ความคิดเห็นที่ 29   ขอบคุณครับ เก็บเข้าคลังอีก 1 กระทู้ จากคุณ : DEstinY-REachEr เขียนเมื่อ : 24 พ.ย. 52 10:10:58

ความคิดเห็นที่ 30 รออยู่พอดี บวก เอ๊ย โหวตไปก่อนเลยครับ ตามไปอ่านเก็บความรู้เลย... จากคุณ : หน้าขุนแผน หัวขุนช้าง เขียนเมื่อ : 24 พ.ย. 52 10:12:36

ความคิดเห็นที่ 31 ขอบคุณมากมายค่ะที่อุตส่าห์สละเวลามาให้ความรู้  :-) จากคุณ : LittlePandaLP เขียนเมื่อ : 24 พ.ย. 52 10:23:47

ความคิดเห็นที่ 32 เข้ามาโหวต จากคุณ : au8ust เขียนเมื่อ : 24 พ.ย. 52 10:34:00

ความคิดเห็นที่ 33 Q :มาถึงคำถาม หากเพิ่ม Speed Shutter จาก 1/10Sec ขึ้นไปถึง 1/320Sec จะวัดได้กี่ Stop(ใครเข้ามาอ่าน ตอบด้วยน่ะครับ) A : 5 stop ครับคุณครู >_< จากคุณ : ชื่ออะไร เขียนเมื่อ : 24 พ.ย. 52 10:34:13

ความคิดเห็นที่ 34 ขอบคุณค่ะ  ^^ จากคุณ : mom_nongda เขียนเมื่อ : 24 พ.ย. 52 10:37:48

ความคิดเห็นที่ 35 ขอบคุณมากครับ จากคุณ : One Light One Shadow เขียนเมื่อ : 24 พ.ย. 52 10:39:29

ความคิดเห็นที่ 36 ใครมีอะไรที่สงสัย หรือมีคำถาม ก็โพสต์มาได้เลยครับ ตอบทุกกรณี ถ้าผมไม่รู้คำตอบ ก็จะตอบอย่างเต็มภาคภูมิว่า "ไม่ทราบครับ" แต่ถ้าเป็นคำตอบที่ผมตอบได้ ผมจะอธิบายจนกว่าจะเข้าใจเลยหล่ะ!! จากคุณ : auxin เขียนเมื่อ : 24 พ.ย. 52 11:20:18

ความคิดเห็นที่ 37 ขอบคุณมากครับ จากคุณ : กอไผ่สีสุก เขียนเมื่อ : 24 พ.ย. 52 12:00:51

ความคิดเห็นที่ 38 ชาบู ชาบู น้า auxin จากคุณ : DoraeMew เขียนเมื่อ : 24 พ.ย. 52 12:04:07

ความคิดเห็นที่ 39 "กระจ่าง" เรียนรู้ จดจำ นำไปใช้งาน จากคุณ : ta1234 เขียนเมื่อ : 24 พ.ย. 52 12:28:00

ความคิดเห็นที่ 40 เดี๋ยวแวะมาอ่านอีกทีนะครับ งานยุ่ง หุหุ ดูคร่าวๆแล้วก็เข้าใจง่ายดี จากคุณ : AprilSnow เขียนเมื่อ : 24 พ.ย. 52 12:35:36

ความคิดเห็นที่ 41 ขอบคุณครับน้าอ็อค จากคุณ : raksapondet เขียนเมื่อ : 24 พ.ย. 52 12:56:16

ความคิดเห็นที่ 42   เยี่ยมครับ จากคุณ : . (polyong3450) เขียนเมื่อ : 24 พ.ย. 52 12:58:05

ความคิดเห็นที่ 43   โฮ่ ขอบคุณมากๆๆๆครับ ช่วยให้เข้าใจชัดเจนกว่าเดิมขึ้นอีกเยอะมากๆ จากคุณ : ถือกล้อง ร้องเพลง เขียนเมื่อ : 24 พ.ย. 52 13:02:42

ความคิดเห็นที่ 44 Love your JoB. จากคุณ : xxx-xxx-xxx เขียนเมื่อ : 24 พ.ย. 52 13:10:50

ความคิดเห็นที่ 45 ขอบคุณค่ะ ได้ความรู้เพิ่มอีกแล้ว ^^" แล้วมาสอนอีกนะ จะมาลงทะเบียนรอเลยค่ะ จากคุณ : GolffieZaa เขียนเมื่อ : 24 พ.ย. 52 13:22:43

ความคิดเห็นที่ 46 ขอบคุณครับ จากคุณ : AODAOD29 เขียนเมื่อ : 24 พ.ย. 52 13:34:29

ความคิดเห็นที่ 47 ถามหน่อยครับ... ชดเชยแสงนี่ใช้กับโหมด A,S เท่านั้นใช่ไหมครับ ถ้าเป็นP,M หลักการเดียวกันไหมครับ จากคุณ : qaize เขียนเมื่อ : 24 พ.ย. 52 14:07:57

ความคิดเห็นที่ 48 เยี่ยมครับ จากคุณ : bicycle_trend เขียนเมื่อ : 24 พ.ย. 52 14:13:20

ความคิดเห็นที่ 49 ตอบ ... 5 stop ลอกด้านบน... เอ้ย ดูจากตารางครับ... ขอบคุณครับ ที่เหลือคือ ออกไปซ้อม ๆ ๆ ๆ ๆ ให้กล้ามเนื้อจำวงสวิง ได้ จากคุณ : onefday เขียนเมื่อ : 24 พ.ย. 52 14:15:29

ความคิดเห็นที่ 50   อ่านกระทู้นี้แล้วรู้ตัวเลยครับว่าชดเชยแสงผิดหลายภาพเลย เศร้า T T จากคุณ : ผมมันคนกรุงเทพฯจริงๆนะ เขียนเมื่อ : 24 พ.ย. 52 14:17:33

ความคิดเห็นที่ 51 ตอบแทน จขกท. M ไม่มีชดเชยแสงเพราะเราดูที่เสกลเองถ้าอยากให้ Over ก็ให้ไปทางบวกถ้าอยากให้ Under ก็ไปทางลบ P นี่มีชดเชยแสงนะถ้าจำไม่ผิด จากคุณ : Pigusto เขียนเมื่อ : 24 พ.ย. 52 14:19:11

ความคิดเห็นที่ 52 เรียนถามข้อนึงครับ สรุปว่า เราต้องถ่ายภาพและตรวจสอบที่มอนิเตอร์เพื่อปรับชดเชยแสงทุกครั้งที่ถ่ายภาพเพื่อให้ได้ภาพที่แสดงสีสันถูกต้องตรงตามความเป็นจริง ถูกต้องมั๊ยครับ????? จากคุณ : hing-hoy เขียนเมื่อ : 24 พ.ย. 52 14:32:23

ความคิดเห็นที่ 53   อย่าง คห.ที่ 10  , คห.11 หากมีแสงส่องเข้าวัตถุครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งหนึ่งไม่ถูกแสง  จะชดเชยแสงอย่างไรครับ จากคุณ : . (polyong3450) เขียนเมื่อ : 24 พ.ย. 52 14:38:09

ความคิดเห็นที่ 54   ขอบคุณครับบบบบบ มีความรู้ขึ้นมากเลยยย จากคุณ : mbs_bird (mbs_bird) เขียนเมื่อ : 24 พ.ย. 52 14:38:30

ความคิดเห็นที่ 55 คุณ hing-hoy ใน คห.52 ผมใช้วิธีดูผลลัพธ์เลยครับ ซึ่งผมก็คิดว่าน่าจะเป็นวิธีที่ดีที่สุด เพราะหลังจากเรา Input สิ่งต่างๆ ลงไปแล้ว ก็มาดูที่ Output กันเลย หาก Output ที่ได้มานั้น ยังไม่เป็นที่น่าพอใจ ก็ Input ใหม่จนกว่าจะได้ Output ที่ต้องการครับ แต่มีวิธีอื่นที่ดีกว่ามั้ย? อันนี้ไม่ทราบครับ ใครมีวิธีที่ดีกว่านี้ บอกกันบ้างน่ะ!! จากคุณ : auxin เขียนเมื่อ : 24 พ.ย. 52 14:40:38

ความคิดเห็นที่ 56 ปวดตับ............ เอาพายอาร์ยกกำลังแปด มาทำไมน้าauxin มึนตึ๊บบบบ  เลยยย แต่  ขอบคุณมากกกกครับ จากคุณ : แถมฟรีน้ำ 1 ขวด เขียนเมื่อ : 24 พ.ย. 52 14:43:31

ความคิดเห็นที่ 57 โหมด M คือโหมดถ่ายภาพที่กล้องล็อกค่าการเปิดรับแสงแสงทั้งสองค่าครับ ดังนั้นดูสเกล แล้วก็หมุนช่องรับแสง กับความไวชัตเตอร์เอาเลย ว่าอยากจะชดเชยมากน้อยเท่าไหร่จากที่กล้องวัดแสงได้ หลักการเดียวกันเปี๊ยบ ต่างกันที่ต้องมาหมุนเองเท่านั้น จากคุณ : อะธีลาส เขียนเมื่อ : 24 พ.ย. 52 14:47:18

ความคิดเห็นที่ 58 ขอบคุณสำหรับความรู้ครับ... แต่สำหรับมือใหม่ ถ่าย RAW ทีเดียว หมดปัญหาครับ จากคุณ : หมอก้อนหิน เขียนเมื่อ : 24 พ.ย. 52 14:51:45

ความคิดเห็นที่ 59 คุณ polyong3450 ใน คห.53 จากคำถามที่ว่า "อย่าง คห.ที่ 10  , คห.11 หากมีแสงส่องเข้าวัตถุครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งหนึ่งไม่ถูกแสง  จะชดเชยแสงอย่างไรครับ" ผมตอบดังนี้ครับ จากสมมติฐานดังกล่าวนั้น เมื่อมีส่วนหนึ่งโดนแสงมาก อีกส่วนไม่โดนแสง(มีความต่างของแสงมาก) แน่นอนว่าผลลัพธ์ที่กล้องให้มานั้น ต้องมีบริเวณที่มืดและสว่างในรูปเดียวกัน ฉะนั้น เราต้องตัดสินใจก่อนครับว่า "จะนำเสนออะไร" หากเสนอส่วนสว่าง ก็เป็นที่แน่นอนว่า ส่วนมืดนั้นคงดำสนิทเลย ฉะนั้นก็วัดแสงส่วนที่สว่าง พิจารณาว่าควรชดเชยไหม ชดเชยเท่าไหร่ แต่กรณีที่วัดแสงบริเวณที่แสงมาก ก็ควรชดเชยไปทางบวก ในทางกลับกัน หากนำเสนอส่วนมืด ก็เป็นที่แน่นอนว่า ส่วนสว่างนั้นก็จะ Over ไปเลย ในกรณีนี้ก็วัดแสงส่วนที่มืด อาจต้องชดเชยไปทางลบ แต่ปริมาณเท่าไหร่นั้นก็ต้องลองครับ จากคุณ : auxin เขียนเมื่อ : 24 พ.ย. 52 14:56:22

ความคิดเห็นที่ 60 เข้ามาแจกกิ๊ฟ + โหวตให้ก่อนครับ อ่านกระทู้วัดแสงแล้ว เด๋วรองานไม่ยุ่งแล้วมาอ่านชดเชยแสงต่อคร๊าบ จากคุณ : อ้วนกลมของพ่อ เขียนเมื่อ : 24 พ.ย. 52 15:02:17

ความคิดเห็นที่ 61   น้า auxin ครับ ที่น้าว่า "หากเสนอส่วนสว่าง ก็เป็นที่แน่นอนว่า ส่วนมืดนั้นคงดำสนิทเลย ฉะนั้นก็วัดแสงส่วนที่สว่าง พิจารณาว่าควรชดเชยไหม ชดเชยเท่าไหร่ แต่กรณีที่วัดแสงบริเวณที่แสงมาก ก็ควรชดเชยไปทางบวก ในทางกลับกัน หากนำเสนอส่วนมืด ก็เป็นที่แน่นอนว่า ส่วนสว่างนั้นก็จะ Over ไปเลย ในกรณีนี้ก็วัดแสงส่วนที่มืด อาจต้องชดเชยไปทางลบ แต่ปริมาณเท่าไหร่นั้นก็ต้องลองครับ " ถามว่า... หากนำเสนอวัตถุสีเหลือง (แสงตกลงวัตถุครึ่งหนึ่ง) กรณีนำเสนอส่วนที่สีเหลืองไม่ถูกแสง อย่านี้ชดเชยแสงลบหรือครับ ก็ในเมื่อสีเหลืองต้องชดเชยแสงไปทางบวก   หรือ.... หากวัดแสงส่วนที่ไม่ถูกแสงชดเชยบวกน้อยหน่อย   หากวัดแสงในส่วนที่ถูกแสงก็ชดเชยบวกมากหน่อย จากคุณ : . (polyong3450) เขียนเมื่อ : 24 พ.ย. 52 15:09:15

ความคิดเห็นที่ 62 " จากภาพในความคิดเห็นที่ 12 ภาพลักษณะแบบนี้หรือคล้ายๆ กันนี้ คือมีส่วน land กับ sky ในสภาพแสง 'สว่าง' ผมเชื่อว่าท้องฟ้าจะมีค่าแสงที่แรงกว่า ดังนั้นถ้าผมจะถ่ายภาพนี้ด้วยความรวดเร็ว ผมจะตั้งโหมดวัดแสงแบบเฉลี่ยเน้นกลาง(Center-weighted average metering) แล้วกดกล้องลงมาให้เหลือพื้นที่ส่วนท้องฟ้าน้อยๆ หรือไม่เหลือเลย แล้วค่อยวัดแสง ล็อกค่าแสงนั้นไว้ จัดองค์ประกอบใหม่(เอาท้องฟ้ากลับมา)แล้วถ่ายภาพตามค่านั้น ขอเสริมนิดนึงว่า การถ่ายเป็นไฟล์ raw นั้นจุดประสงค์หลักคือเพื่อการรักษาคุณภาพของภาพถ่ายเอาไว้ให้ได้มากที่สุด ฉะนั้นถึงแม้ว่าจะเป็นไฟล์ raw คุณก็ควรเปิดรับแสงให้เหมาะสมที่สุดอยู่ดี(รักษา Hightlight) ไม่ใช่ถ่ายยังไงก็ได้แล้วค่อยมาใช้ความยืดหยุ่นของไฟล์ แต่ถ้าในกรณีที่เร่งด่วนก็พออนุโลมได้ครับ " จากคุณ : ตุ๊กตาหมี เขียนเมื่อ : 24 พ.ย. 52 15:16:38

ความคิดเห็นที่ 63 คุณ polyong3450 ใน คห. 61 ผมยอมรับตามตรงว่าสิ่งที่คุณสมมติมานั้น "ผมตอบไม่ได้ครับ" แล้วผมก็จะบอกต่อว่า "ใครก็ตอบไม่ได้ครับ" อย่ายืดถือสีเป็นหลัก อย่ายืดถือแสงเป็นหลัก แต่ต้องเข้าใจสภาพแวดล้อมขณะนั้นๆ ว่า "เราต้องให้ความสำคัญกับสิ่งไหนก่อน หรือสิ่งไหนมีความสำคัญกว่า" พร้อมกับมีความรู้ในการแก้ปัญหาด้วย จะสมมติว่าสีเหลืองไม่โดนแสง ต้องชดไปทางไหน ชดเท่าไหร่ ข้อมูลแค่นี้ตอบไม่ได้ครับ!! ลองกลับไปอ่านใน คห.9 ที่ผมสมมติเรื่องลูกบอลขาว-ลูกบอลดำ อีกทีครับ อาจจะทำให้เข้าใจมากยิ่งขึ้น จากคุณ : auxin เขียนเมื่อ : 24 พ.ย. 52 15:32:47

ความคิดเห็นที่ 64 ส่วนเรื่องไฟล์ Raw นั้น ตามความเห็นผม ตรงกันกับ "คุณตุ๊กตาหมี" ใน คห.62 เลยครับ อย่าเข้าใจผิดคิดว่า Raw แก้ได้หมดน่ะครับ มันแก้ไขส่วนผิดพลาดได้ดีก็จริงอยู่ แต่ถ้าได้ต้นฉบับที่ไม่ดีมา "ปรับยากครับ" แล้วคุณภาพก็สู้ถ่ายมาให้ถูกต้องเลยไม่ได้ ถ้าให้ผมเลือกระหว่าง jpg วัดแสงพอดี กับ Raw อันเดอร์ 0.7EV "ผมเอา jpg ครับ" หากท่านอ่านใน คห.8 นั้น จะเห็นว่า ในบางกรณีผมแนะนำว่าให้ถ่ายใหม่ ถ้าถามว่าทำไม เดี๋ยวผมทำตัวอย่างให้ดูครับ ตอนนี้ขอทำงานก่อนน่ะ ว่างแล้วจะทำตัวอย่างให้เห็นกันชัดๆ ซักรูป แก้ไขเมื่อ 24 พ.ย. 52 15:41:53 จากคุณ : auxin เขียนเมื่อ : 24 พ.ย. 52 15:40:49

ความคิดเห็นที่ 65 แต่มีวิธีอื่นที่ดีกว่ามั้ย? อันนี้ไม่ทราบครับ ใครมีวิธีที่ดีกว่านี้ บอกกันบ้างน่ะ!! มีวิธีอื่น ไม่ได้ดีกว่านี้ครับ แต่ง่าย(เกือบถึงขั้นมักง่าย ) และรวดเร็ว ใช้่ histogram ครับ ไอ้เจ้ากราฟที่เปิดให้เต้นดิ๊กๆ บนจอ LCD หลังกล้อง ช่วยได้มากพอควรครับ เพราะการ"มอง"ภาพว่า พอดีหรือ ควรชดเชยเท่าไหร่ ... มันดูยาก ยิ่งโดนแสงสว่างๆเข้า จอ LCD ซีดขาวแหง๋แก๋ มองอะไรไม่เห็น ... ง่ายๆ คือ ถ่ายออกมาแล้ว กราฟเป็นรูประฆังหรือฝาชี โดยมียอดสูงอยู่ตรงกลางๆ ไหม ถ้าไม่ .. o ยอดมันเอียงไปทางซ้าย (ภาพมืดไป) ก็ชดเชยแสง ... + เข้าไป ... จนกว่าจะเอียงมากลางๆ o ยอดมันเอียงไปทางขวา (ภาพสว่างไป) ก็ชดเชย ... - ลงมา ... จนกว่าจะเอียงมากลางๆ เอียงมากชดเชยมาก เอียงน้อยชดเชยน้อย แต่ จะชดเชยหรือไม่ และจะชดเชยเท่าไหร่ ให้ดู ขอบกราฟ แก้ไขเมื่อ 24 พ.ย. 52 22:40:27 แก้ไขเมื่อ 24 พ.ย. 52 15:58:14 จากคุณ : แมวเหมียวพุงป่อง เขียนเมื่อ : 24 พ.ย. 52 15:57:59

ความคิดเห็นที่ 66   ขอบคุณมากครับ  ผมจะไปถ่ายรูปบ่อย ๆ แล้วนำความรู้ที่ได้มาช่วย (สงสัยผมจะอิงทฤษฎีไปหน่อย) จากคุณ : . (polyong3450) เขียนเมื่อ : 24 พ.ย. 52 15:59:39

ความคิดเห็นที่ 67 มาตอบคำถามแล้วครับ ถึงแม้จะมีคนตอบถูกไปแล้ว แต่ผมก้อตั้งใจหาคำตอบด้วยตัวเองอีกที แต่กว่าจะได้ 5 ก้อเล่นเอางงเหมือนกัน สรุป ตอบว่า 5 ครับผม.... หลังจากที่ได้อ่านอย่างละเอียดมา 2 กระทู้ของคุณ auxin ผมคงได้มีการส่งการบ้านคุณครูเร็วๆ นี้ครับ ความรู้ที่ได้รับ เป็นประโยชน์กับมือใหม่อย่างผมมากมาย... ขอบคุณอีกครั้งครับผม คงต้องสั่งสมประสบการณ์ไปอีกนาน.... อิอิ จากคุณ : หน้าขุนแผน หัวขุนช้าง เขียนเมื่อ : 24 พ.ย. 52 16:00:20

ความคิดเห็นที่ 68 ดูขอบกราฟ histogram จะต้อง มีช่องระหว่างปลายเส้นกราฟ กับขอบกราฟ ทั้งสองด้าน ถ้าเดิมทีมันมีอยู่แล้ว .. แปลว่า ตอนนั้น ภาพคอนทราสต์สูงลิ่ว สภาพแสงอย่างนั้น .. วิธีง่ายๆ และรวดเร็วคือ มองซ้ายมองขวา หาคนช่วย เพราะแก้แสงยากเอาเรื่อง ถ้าเดิมทีมันไม่มีอยู่ ก็ต้องระวัง ชดเชยเสร็จ .. ปลายเส้นกราฟ จิ้มไปโดนกรอบกราฟ ... แสดงว่าชดเชยมากเกินไป จากคุณ : แมวเหมียวพุงป่อง เขียนเมื่อ : 24 พ.ย. 52 16:01:15

ความคิดเห็นที่ 69 ขอบคุณมากครับ น้า ขอเก็บมาอ่านก่อนครับ ยาว จากคุณ : ฟูนัน เขียนเมื่อ : 24 พ.ย. 52 16:06:51

ความคิดเห็นที่ 70 แต่ถ้าสภาพแสงเป็นอย่างภาพ 15 .. อันนี้ ซวยตายห่ะ เพราะกราฟจะออกมาเป็นรูปกระทะหงายขึ้น คือ ตรงกลางเป็นหลุม ขอบสองข้างยกตัวสูงขึ้น เสี่ยงบุญเสี่ยงกรรมเช่นกัน -------------------------------- การดู histogram .. มันค่อนข้างง่าย ใช้เวลาเหลือบมอง 2-3 วินาที ก็ได้ไอเดียคร่าวๆ ว่า ควรจะชดเชยแสงเท่าไหร่ และควรจะชดเชย + หรือ - แต่ o ไม่สามารถทดแทนสิ่งที่ีคุณ auxin สอนมาได้ o ไม่สามารถทำให้ภาพสวยดูดีได้ o รวมทั้งใช้ไม่ได้ ในกรณีที่ในรูป มีตำแหน่งที่แสงคอนทราสต์ต่างมากๆ (เช่นการถ่ายรูปพระจันทร์ หรือ รูปแบบ คห.15) o ใช้เพื่อให้ได้ภาพคอนทราสต์สูงๆ (พวก low key, high key, ภาพเงาดำ ฯลฯ) ไม่ได้ (ยกเว้นเข้าใจสิ่งที่คุณ auxin ว่ามาอย่างดี) จากคุณ : แมวเหมียวพุงป่อง เขียนเมื่อ : 24 พ.ย. 52 16:06:56

ความคิดเห็นที่ 71 ขอบคุณสำหรับความรู้ดีๆ ด้วยครับ... จากคุณ : ผู้ก่อการร้ายทางความคิด เขียนเมื่อ : 24 พ.ย. 52 16:46:36

ความคิดเห็นที่ 72 ถ้าผมจะ print รูปใน คห.3 พกติดตัว เวลาจะถ่าย ก็ยกขึ้นมาดูนี่ จะมีคนหัวเราะไหมครับ 55 จากคุณ : ชื่ออะไร เขียนเมื่อ : 24 พ.ย. 52 16:58:49

ความคิดเห็นที่ 73 รออ่านครับ เยี่ยมยอด จากคุณ : BuBiBuBo เขียนเมื่อ : 24 พ.ย. 52 17:12:26

ความคิดเห็นที่ 74 อืม ผมใช้เฉลี่ยหนักกลางเกือบตลอด ดูพื้นที่ทั้งหมด ส่วนสว่าง ส่วนมืด แล้วชดเชยแสงอีกทีครับ ส่วนใหญ่ก็ดูผลลัพธ์หลังกล้องเอาครับ จากคุณ : Teetaro เขียนเมื่อ : 24 พ.ย. 52 17:13:01

ความคิดเห็นที่ 75 ขอบคุณมากครับความรู้สุดยอดเลย น้า auxin อย่าท้าดวนอีกนะครับ เผยตัวขนาดนี้ไม่มีใครกล้าแล้ว ยกเว้นน้าจะเป็นกรรมการ อิอิ จากคุณ : อุ่นจันทร์ เขียนเมื่อ : 24 พ.ย. 52 18:44:13

ความคิดเห็นที่ 76 รู้สึกหลายคนยังสับสนเรื่อง ชดเชยแสงของแต่ละสีอยู่... การชดเชยแสงสะท้อนของสีทำไปตามความคุ้นชินครับถ้าสีมันมืดก็ไปทางลบถ้าสีมันสว่างไปทางบวก เวลาชดเชยแสงนั้นจะเกิดขึ้นหลังจากเราวัดแสงวัตถุที่ต้องการแล้วจึงทำหารชดเชยแสง ดังนั้นถ้าวัตถุอยู่ที่มืดหรือสว่างไม่เกี่ยวกับการชดเชยแสงแต่จะไปเกี่ยวกับจุดที่เราวัดแสงว่าเราวัดไปที่ใดเราก็ไปชดเชยสีของจุดที่เราวัดเพื่อจะได้สีที่ตรงตามตาเห็น การทดลอง ลองเอากระดาษสีสัก สีห้าสีมีทั้งสีอ่อนและแก่ ใช้โหมดวัดแสงแบบเฉพาะจุด วัดที่สีสว่างแล้วชดเชย Over(+) ตามสัดส่วน กับวัดที่สีแก่(เข้ม) แล้วชดเชย Under(-) ตามสัดส่วน ถ้าชดเชยถูกให้ทายว่ารูปที่ได้ทั้งสองรูปจะได้สีที่เท่ากันหรือไม่? ใครตอบถูกเอากีบไปเลย 3กีบ แก้ไขเมื่อ 24 พ.ย. 52 18:50:32 จากคุณ : Pigusto เขียนเมื่อ : 24 พ.ย. 52 18:49:49

ความคิดเห็นที่ 77 ขอขอบคุณกับบทความดีๆ ทั้งสองตอน ของคุณ auxin ครับ บอกได้คำเดียวว่ายอดเยี่ยมมากๆเลยครับ ขอถามคุณ แมวเหมียวพุงป่อง นะครับ จาก คห. 70 ที่อ้างอิงถึงรูปที่ 15 นี่ หมายถึงรูปเด็กที่อยู่ในน้ำใช่ไหมครับ ขอบคุณครับ จากคุณ : chaimedia เขียนเมื่อ : 24 พ.ย. 52 18:51:24

ความคิดเห็นที่ 78 อ่านแล้วก็เข้าใจเรื่องการชดเชยแสงมากขึ้น แต่เดี๋ยวจะตั้งสติแล้วมาอ่านใหม่ค่ะ ขอบคุณสำหรับความรู้นะคะ จากคุณ : anniewa เขียนเมื่อ : 24 พ.ย. 52 19:16:46

ความคิดเห็นที่ 79   กระทู้เยี่ยมเลยครับ ว่าแต่ผมเก็บเข้าคลังกระทู้แล้วเวลาจะเรียกดูมัน ต้องไปหาตรงไหนหว่ะ หาไม่เจอ สักที (คิ๊กๆๆ) แก้ไขเมื่อ 24 พ.ย. 52 19:43:13 จากคุณ : superboyee เขียนเมื่อ : 24 พ.ย. 52 19:42:37

ความคิดเห็นที่ 80 กรณีใช้แฟลชหละครับน้า ชดเชยเหมือนกับถ่ายธรรมดาไหมครับ? จากคุณ : ลุงและห์ เขียนเมื่อ : 24 พ.ย. 52 20:11:18

ความคิดเห็นที่ 81 ขออนุญาต copy ข้อความต่อไปนี้ในความคิดเห็นที่9ไปใช้นะครับ แต่ๆ... ผมแนะนำว่า "ไม่ต้องไปจำสีและค่าชดเชยแสงของมัน" หรอกครับ เพราะ 1. ใครจะไปจำได้ว่าสีนั้น(มีความเข้มสีเท่านี้ด้วย) ต้องชดเชยแสงเท่าไหร่ 2. สีเดียวกัน ในสภาพแสงที่ต่างกัน ตาเรามองเห็นไม่เหมือนกัน เช่นมีลูกบอลลูกนึงสีดำ แต่ถ้าเอาแสงแรงๆ มาส่อง สีที่เรามองเห็นนั้น อาจไม่เห็นเป็นสีดำแล้วครับ อาจถึงขั้นเห็นเป็นสีขาวเลย หรือสมมติอีกทีว่าเรามีลูกบอลสีขาวลูกนึง แต่เอาไปไว้ในห้องที่มืดมากๆ แล้วให้เราไปดู เราก็ไม่รู้หรอกครับว่า "ลูกบอลนั้นสีขาว" เราอาจมองเห็นเป็นสีเทาหรือสีดำเลยด้วยซ้ำ 3. ค่าการชดเชยแสงต่างๆ ที่ให้มานั้น อาจไม่สัมพันธ์กับกล้องสมัยนี้ เพราะหลายครั้งที่ผมถ่ายสีขาว ผมชดเชย "+1EV" ก็เพียงพอแล้วครับ ไม่จำเป็นต้อง "บวกถึง 2EV" ในทางกลับกันสีดำก็เหมือนกันครับ อาจไม่ต้องชดเชย "ลบถึง 2EV" ก็ได้ เพราะผมว่ากล้องมันฉลาดมากขึ้นเรื่อยๆ ค่าเหล่านี้ก็ย่อมผิดเพี้ยนไปบ้าง แต่ๆ... แต่อีกแล้ว... ตารางนี้มันก็มีประโยชน์มากครับ ประโยชน์ที่ว่าคือ ทำให้เรารู้ว่า "ถ่ายสีอะไร แล้วควรชดเชยไปทางไหน ประมาณเท่าไหร่" เช่น - หากถ่ายสีเหลือง ก็ควรชดเชยไปทางบวก "มากหน่อย" - หากถ่ายสีฟ้าหรือสีชมพู ก็ควรชดเชยไปทางบวก "นิดนึง" หรือ - หากถ่ายสีเทาเข้มหรือน้ำตาลเข้ม ก็ควรชดเชยไปทางลบ "มากหน่อย" - หากถ่ายสีน้ำเงินหรือเขียวเข้ม ก็ควรชดเชยไปทางลบ "นิดนึง" แล้วไอ้ "นิดนึง" นี่มันเท่าไหร่ หรือไอ้ "มากหน่อย" นี่มันเท่าไหร่ นั้น!! ขึ้นอยู่กับประสบการณ์แล้วครับ ใครก็บอกค่าที่แน่นอนไม่ได้ *** หากรู้ทิศทางของการชดเชยและสามารถเดาได้ว่าควรชดเชยเท่าไหร่ ก็ถือว่า "สมบูรณ์แล้ว" จะเกิดความผิดพลาดบ้างก็ไม่เป็นไร ชดเชยแสงแล้วถ่ายซ้ำไปอีกที ก็เอาอยู่ครับ จากคุณ : น้าวันดีมีแอล เขียนเมื่อ : 24 พ.ย. 52 20:52:41

ความคิดเห็นที่ 82 ขอบคุณค่ะ  ^^ จากคุณ : Assorted เขียนเมื่อ : 24 พ.ย. 52 21:00:58

ความคิดเห็นที่ 83 ชื่นชมและขอบคุณสำหรับความรู้ที่มาแบ่งปันกันนะครับ จากคุณ : TTL เขียนเมื่อ : 24 พ.ย. 52 21:32:43

ความคิดเห็นที่ 84 จากคุณ : PiGsPy เขียนเมื่อ : 24 พ.ย. 52 22:09:28

ความคิดเห็นที่ 85   คุงพี่ auxin  คะหนูงงมาก ๆ ๆ แต่ก็จะอ่านมาก ๆ ให้เข้าใจ ตามมาก๊อปค่ะ ขอบคุณที่เอาความรู้มาให้ค่ะ น้าวัลดีเอาไปใช้รอบสามด้วยป่าว หนูจะท่องให้ขึ้นใจเลยนะ ถ้าแย่งชิงเก้าอี้รุ่นสามได้ น้าจะได้ไม่ต้องเหนื่อยกะหนูมาก ๆ ไง ขอบคุณอีกครั้งคร่าน้า auxin จากคุณ : stupid_seang เขียนเมื่อ : 24 พ.ย. 52 22:48:27

ความคิดเห็นที่ 86 น้าวันดีมีแอล ใน คห.81 เชิญตามสบายเลยครับ จะเป็นข้อความหรือจะเป็นรูป เอาไปใช้ได้ทั้งนั้น ผมไม่หวงอะไร ใดๆ ทั้งสิ้นครับ!! ว่าแต่ การอบรมครั้งที่ 3 จะมีเมื่อไหร่ครับ ผมอยากไปด้วยจริงๆ น่ะ คงมีอะไรที่สามารถเพิ่มความรู้ให้ผมได้เยอะเลย ปล. หากจัดใน กทม. อีกที ผมจอง 1 ที่ครับ!! จากคุณ : auxin เขียนเมื่อ : 24 พ.ย. 52 23:06:13

ความคิดเห็นที่ 87   น้า auxin  ค่ะ หนูขออนุญาต ก๊อปไปอ่านนะค่ะ หนูก๊อปยังเหนื่อยเลยน้า มานั่งคิดนั่งเขียนนั่งเรียบเรียง คงเหนื่อยแย่ ขอบคุณมาก ๆ  ค่ะ   สู้ ๆ นะค่ะน้า เป็นวิทยาทานให้คนยังไม่รู้อย่างหนู จากคุณ : stupid_seang เขียนเมื่อ : 24 พ.ย. 52 23:29:12

ความคิดเห็นที่ 88   หนูอ่านเรื่อ   histogram  ของน้าแมวเมียวพุงป่อง หนูก็ว่ามันเอาไว้ทำไรถ้าน้าไม่บอกหนูก็ไม่รู้เลยนะเนี๋ย ขอบคุณคร่า จากคุณ : stupid_seang เขียนเมื่อ : 24 พ.ย. 52 23:37:10

ความคิดเห็นที่ 89   ระยะหลังนี่กระทู้ดีจรรโลงปัญญานี่มีเยอะดีจัง ขอบคุณมากๆครับ จากคุณ : morkao103 เขียนเมื่อ : 25 พ.ย. 52 00:07:32

ความคิดเห็นที่ 90 very good จากคุณ : am.badboy (am.badboy) เขียนเมื่อ : 25 พ.ย. 52 00:08:41

ความคิดเห็นที่ 91 ขอบคุณทุกท่านมาก ๆ ครับ ที่ได้แบ่งปันความรู้ เรื่องกราฟมี 3 สีหรือฮีสโตรแกรม เนี่ย ผมก็สงสัยว่า จะมีปัญญาอ่านค่ามันออกหรือไม่ ตอนนี้พอได้แนวแล้ว จากคุณ : hing-hoy เขียนเมื่อ : 25 พ.ย. 52 00:19:49

ความคิดเห็นที่ 92 มาเรียนด้วยครับ จากคุณ : xevi เขียนเมื่อ : 25 พ.ย. 52 00:39:02

ความคิดเห็นที่ 93 เข้ามาตามเรียนต่อครับ หลังจากที่รอมานาน ^^ จากคุณ : การเดินทางของภาพถ่าย เขียนเมื่อ : 25 พ.ย. 52 01:15:32

ความคิดเห็นที่ 94   ขอบคุณครับ จากคุณ : Christmas Sweet เขียนเมื่อ : 25 พ.ย. 52 02:38:34

ความคิดเห็นที่ 95 การจำค่าสี ว่าสีไหน ชดเชยเท่าไหร่ เป็นเทคนิคตกยุคไปกับกล้องฟิล์มแล้วครับ สมัยนี้ ดูว่าสีไหนไปทางไหนประมาณเท่าไหร่แบบน้า auxin แล้วชดเชยประมาณเอา แล้วดูฮิสโตแกรมประกอบ พร้อมถ่ายใหม่จะง่าย ได้ผลดี และตรงกว่ามาก RAW ดีจริง แต่ไม่ใช่ไฟล์สารพัดนึก ถ้าจะรักษาคุณภาพสูงสุดให้ได้ ผมว่าแก้แสงครึ่งสต็อปรับได้สบายมากดูไม่แตกต่าง แต่ถ้าถึง 1 สต็อป คุณภาพของภาพมันจะลดลงฮวบๆ น้อยส์ส่วนมืดจะแห่กันมาเต็มไปหมด ถ้าได้ลองเอา RAW มาแต่งหนักๆ จะเห็นได้ชัดเลย ว่าภาระการจัดการภาพที่ค่าแสงผิด จะเพิ่มขึ้นหลายเท่า ถ้าเทียบกับภาพที่วัดแสงได้ดี ยังไงวัดแสง ชดเชยแสง ก็เป็นเรื่องที่ทิ้งไม่ได้ครับ สำหรับนักถ่ายภาพ จากคุณ : อะธีลาส เขียนเมื่อ : 25 พ.ย. 52 06:38:46

ความคิดเห็นที่ 96 กระทู้ดีๆ  มีความรู้  ขอบคุณครับ จากคุณ : จอมยุทธเจ้าสำราญ เขียนเมื่อ : 25 พ.ย. 52 06:57:13

ความคิดเห็นที่ 97 ความรู้จากประสบการณ์จริงๆเลยครับ อ่านของน้า AUXIN แล้วออกไปฝึกถ่ายเพิ่ม คงเก่งขึ้นได้ไม่ยาก ขอบคุณสำหรับการถ่ายทอดครับ จากคุณ : หาดขนง เขียนเมื่อ : 25 พ.ย. 52 08:07:59

ความคิดเห็นที่ 98 น้าอะธีลาสพูดได้ตรงเป๊ะ raw file แก้ปัญหาเรื่องวัดแสงผิดได้อย่างมากก็ไม่เกิน 1 stop ระยะหลังๆเนี่ย dpreview เขาทดสอบเรื่องนี้ด้วย (ต้องไล่อ่านบททดสอบกล้องให้หมดทุกรุ่นจะเห็น ) และพบว่า ส่วนใหญ่ ... ได้แค่ +1 stop เท่านั้นเอง .. ทั้งๆที่เป็น raw และถ้าเป็น JPG ... แก้ไม่ได้เลย หมายความว่า ถ้าวัดแสงผิด โดยเฉพาะแสงน้อยเกินไป ภาพดำมืดไปหน่อย แล้วคิดจะใช้ PS เพิ่มความสว่างส่วนที่มืดไปหน่อยนั้น .. ทำไม่ได้ เพราะ noise มาตรึม ถ้าให้สว่างขึ้น และไม่ให้มี noise ก็ต้องลบรายละเอียดในส่วนมืด(เกิน)นั้นทิ้งไป กล้องยี่ห้ออื่น ยังไม่ได้อ่านละเอียด ดูแต่ของ olympus ว่า ถ้่าถ่ายเป็น raw จะทนวัดแสงพลาดได้แค่ไหน E-3 ตัวใหญ่สุด (เทียบได้ประมาณ 50D, 5D-2, D700) เนี่ย .. ทนวัดแสงพลาดได้ไม่เกิน 1/2 stop E-30 ทนได้ไม่ถึง 1 stop ทั้งๆที่ใช้เทคโนโลยีใหม่ใหม่กว่า วัดแสงให้แม่นๆไว้ พี่น้อง จากคุณ : แมวเหมียวพุงป่อง เขียนเมื่อ : 25 พ.ย. 52 08:16:33

ความคิดเห็นที่ 99   ไปถ่ายงานรับปริญญาให้ญาติ ถ่ายเป็น raw มันดูมืดๆ ทุกรูปเลย จากคุณ : spalke99 เขียนเมื่อ : 25 พ.ย. 52 08:53:37

ความคิดเห็นที่ 100 ของแถมสำหรับแฟน jpg ถ้าถ่ายรูปที่คอนทราสจัดๆ ประคองฮิสโตรแกรมแล้วกราฟมันก็ยังคอยจะชิดขอบชายแดน ให้เปลี่ยนเป็น raw ครับ แล้วกราฟมันจะกระเถิบห่างจากชายแดนมาให้อีกหน่อยนึง เพราะ DR ของ raw จะกว้างกว่า jpg อย่างน้อยข้างละครึ่งสต็อปโดยที่ไม่ต้องปรับ exposure เวลาแปลงไฟล์ จากคุณ : jc (jaycee) เขียนเมื่อ : 25 พ.ย. 52 09:23:10

ความคิดเห็นที่ 101 พี่ อะธีลาส ใน คห.95 กับ คุณ แมวเหมียวพุงป่อง ใน คห.98 พูดได้ตรงกับ "ประสบการณ์" ผมเลยครับ ผมขอแนะนำคนที่คิดว่าถ่าย "Raw" ไว้ก่อน หากผิดพลาดประการใดก็แก้ทีหลังได้นั้น "ผมว่าไม่สมควรครับ" เพราะ 1. ถึงจะเป็นไฟล์ Raw แต่ถ้าถ่ายมา Error สูง มันสามารถแก้ไขได้แต่คุณภาพลดลงครับ อย่างที่ผมบอกแล้วว่า หากถ่าย "Raw -0.7EV" ผมเลือก "jpg วัดแสงพอดี" ดีกว่าครับ 2. ปัจจุบันนั้นไฟล์ jpg ก็มีความยืดหยุ่นสูงมาก ยิ่งมีโปรแกรมแต่งรูปในปัจจุบันช่วย ผมว่า "jpg ไม่เป็นรอง Raw" เลยครับ --------------------------------------------------- นอกเรื่องไปมากแล้วทีนี้ลองมาดูว่า ทำไมผมถึงย้ำนักย้ำหนาว่า "พยายามถ่ายให้พอดี" อย่ามั่วไปเรื่อยแล้วคิดว่าค่อยมาปรับแก้เอาทีหลัง ผมให้ดูตัวอย่างนี้ครับ (ถ่ายมาด้วยไฟล์ชนิด jpg แต่ไฟล์ Raw ก็เหมือนกันครับ) เนื่องจากผมไม่ได้พกขาตั้งกล้องไป จึงถ่ายมาแบบ "ไม่ให้เบลอก่อน" และรู้อยู่แล้วว่ารูปจะมืดมากแน่นอน แต่คิดว่า มาปรับเอาคงไม่มีปัญหา ปรากฏว่า "ผมคิดผิด" ปล. รูปนี้ รูปจากกล้องครับ ถ่ายมา "อันเดอร์" จากคุณ : auxin เขียนเมื่อ : 25 พ.ย. 52 09:48:01

ความคิดเห็นที่ 102 ส่วนรูปนี้ผมลองปรับความสว่างของรูปขึ้น ผลปรากฏว่า "Noise" เพียบเลย ลองดูที่ท้องฟ้า จะเห็นชัดมากครับ ปล. ผมปรับให้ "Over" หน่อย เพื่อให้เห็น "คุณภาพที่ลดลงของรูป" ได้ชัดเจนขึ้น จากคุณ : auxin เขียนเมื่อ : 25 พ.ย. 52 09:51:59

ความคิดเห็นที่ 103 ยอกเยี่ยมกระเทียมดองไปเลยคับน้า จากคุณ : terexwizard เขียนเมื่อ : 25 พ.ย. 52 10:20:40

ความคิดเห็นที่ 104 เห็นด้วยกับน้าแมวเหมียว'ป่อง ฮิสโตรแกรมช่วยได้มากมายครับ สำหรับเรื่องการวัด/ชดเชยแสง เมื่อก่อนก็ไม่เคยดูเหมือนกัน แต่พอเริ่มมาดูกราฟหลังถ่าย บอกได้เลยว่า กระบวนการแต่งภาพน้อยลงไปมากๆ ส่วนภาพใหญ่ภาพที่ได้จะพอดี ตามที่ต้องการเลยครับ เสริมอีกอัน อย่าฝากความหวังไว้กับ RAW file มากเกินไป มีช่วงนึงถ่าย RAW ใหม่ๆ คิดว่า RAW มันคือสุดยอดมาเพิ่ม-ลดเอาในโปรแกรมได้ เลยทำให้ไม่ค่อยใส่ใจเรื่องวัดแสงเท่าไหร่นัก คิดไว้ว่าค่อยมาเพิ่ม/ลด เอาในโปรแกรมเอาก็ได้ อย่างที่น้าอธิราชบอก ปรับเพิ่มแค่1สต็อป Noise ก็มากันเป็นขโยง เพราะฉะนั้น การวัดแสง/ชดเชยแสง ถึงจะเป็นยุคดิจิตอล แต่ยังคงสำคัญมากสำหรับการถ่ายภาพ ขอบคุณน้าauxin มากๆครับ สำหรับกระทู้ยอดเยี่ยมแบบนี้ แก้ไขเมื่อ 25 พ.ย. 52 10:54:13 จากคุณ : DUB-COOK เขียนเมื่อ : 25 พ.ย. 52 10:53:09

ความคิดเห็นที่ 105   กระทู้ยอดเยี่ยมครับ อ่านแล้วเข้าใจขึ้นเยอะเลยครับน้า... ขอบคุณมากครับสำหรับกระทู้ดีๆ จากคุณ : ไผ่กอเดียว เขียนเมื่อ : 25 พ.ย. 52 10:59:01

ความคิดเห็นที่ 106 ขอถาม 1 คำถามครับน้า ถ้าผมไม่ต้องการชดเชยแสงใดๆทั้งสิ้น  ผมโฟกัสไปยังจุดที่ต้องการให้ชัด  กด shutter ค้างไว้ครึ่งหนึ่ง แล้วจัด compo. จากนั้นกด shutter จนสุดเพื่อถ่ายภาพ อยากถามว่า ทำอย่างนี้ก็ไม่จำเป็นที่จะต้อง AE-L,AF-L เพื่อ lock ค่าแสงน่ะสิครับ ในเมื่อเรากด shutter ค้างไว้ครึ่งหนึ่งมันก็ lock ทั้งโฟกัสและค่าแสงไว้แล้ว ความเห็นส่วนตัว ผมว่ามันจะทำให้ช้าไปอีกนะครับ จึงอยากถามน้าว่า ประโยชน์ของการ lock ค่าแสงโดยการกดปุ่ม AE-L,AF-L มันดีกว่า การกด shutter ค้างไว้ครึ่งหนึ่งอย่างไรบ้างครับ ขอบคุณครับ จากคุณ : หัวจัมโบ้ เขียนเมื่อ : 25 พ.ย. 52 11:13:28

ความคิดเห็นที่ 107 คุณหัวจัมโบ้ ใน คห.106 คำถามนี้มีคนถามแล้วครับ แล้วผมก็ตอบไปแล้วด้วย ตามไปอ่านเรื่องการวัดแสงอีกที ที่ http://www.pantip.com/cafe/camera/topic/O8553270/O8553270.html ในความคิดเห็นที่ 105 ครับ ปล. ผมใช้เวลาหลายวันในการทำบทความนี้ ใช้เวลาในการตอบก็ไม่น้อย คนที่เข้ามาอ่าน อ่านอย่างละเอียดพร้อมทั้งทำความเข้าใจ ใช้เวลาอย่างมากไม่เกิน 2 ชั่วโมง(ทั้ง 2 กระทู้) ก็ยังอุตส่าห์อ่านไม่เจออีก น่าตีจริงๆ เลย!! จากคุณ : auxin เขียนเมื่อ : 25 พ.ย. 52 11:54:13

ความคิดเห็นที่ 108 ขอบคุณครับสำหรับกระทู้ดีๆ จากคุณ : ไอ้คุณแหลม เขียนเมื่อ : 25 พ.ย. 52 12:24:09

ความคิดเห็นที่ 109 โอ้ยยยย .. ขอโทษและขอบคุณน้า auxin จริงๆครับ   ครั้งหน้าจะตั้งใจเรียนกว่านี้ครับ จากคุณ : หัวจัมโบ้ เขียนเมื่อ : 25 พ.ย. 52 13:31:23

ความคิดเห็นที่ 110 สุดยอดมากๆ ครับ ขอบคุณครับ จากคุณ : เนตร (ohhayo) เขียนเมื่อ : 25 พ.ย. 52 15:11:51

ความคิดเห็นที่ 111 สุดยอดครับ...^^ จากคุณ : ผ่ายมารับฟัง (ไผ่แผ่วพริ้ว) เขียนเมื่อ : 25 พ.ย. 52 15:26:42

ความคิดเห็นที่ 112 ความรู้ดีๆ ขออนุญาต save เก็บไว้อ่านนะครับ ขอบคุณมากๆเลย จากคุณ : Invisiblesane เขียนเมื่อ : 25 พ.ย. 52 16:18:41