 |
BRAND, การฟ้องร้อง, ลิงโง่ และกล้องถ่ายรูป{แตกประเด็นจาก O8782086}
|
|
อ่านไปเกือบร้อยความเห็น
โอย
อ่านไม่ไหว ขอข้ามมาโพสเองก่อนแล้วค่อยย้อนกลับไปอ่านที่เหลือต่อก็แล้วกัน
BRAND ไม่ใช่ ซุปไก่สกัด ขวดละหกสิบบาทเสมอไป
แต่คำว่า "BRAND" นั้น ยังเป็นตรายี่ห้อของสินค้าและกิจการนั้นๆด้วย
อิมเมจ ไม่ใช่แค่นิตยสาร ถ่ายรูปผู้ชายแฟชั่น กระแสลำเด่นว้าวว้าว อย่างเดียว
แต่คำว่า "อิมเมจ" นั้น ยังหมายถึงภาพพจน์และหน้าตาของกิจการและบุคคล
ตามกฎหมาย แน่นอนถ้ามีช่อง คุณจะรักษาสิทธิ์ทางกฎหมายก็ไม่มีใครว่า
แต่ทางการตลาด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การสื่อสารกับผู้บริโภคล่ะ...............................
กิจการนั้นๆๆ กำลังทำอะไรอยู่................................................................
รักษาสิทธิทางกฎหมาย แต่ทำลายภาพพจน์และความสัมพันธ์ของตนระหว่างคนหลายกลุ่ม
กลุ่มแรก ลูกค้าประจำ
กลุ่มที่สอง คนที่กำลังจะมาเป็นลูกค้า
กลุ่มที่สาม พนักงานและผู้ถือหุ้นในองค์กร
กลุ่มสุดท้ายคือ พันธมิตรทางธุรกิจ เช่น ดีลเลอร์ เอเย่นต์ ร้านส่ง
คนสี่กลุ่มนี้ พูดได้เต็มปาก ว่าอยู่ในอาการหวาดผวาเล็กๆ เช่น
"ถ้าของที่กรูซื้อมันมาแล้ว ดันมีปัญหา กรูไปฟ้องสคบ กรูจะโดนฟ้องกลับไหมหนอ"
"ถ้าของที่กรูจะซื้อ มันไม่ดีอย่างในโฆษณา พอไปร้องเรียน กรูจะโดนมันฟ้องไหมหนอ"
"ถ้ากรูจะไปขอรายละเอียด หรือถามเรื่องตัวสินค้า แล้วใช้คำผิดไป จะโดนฟ้องไหมหนอ"
"ถ้าปีนี้โดนเลิกจ้าง แล้วออกมาร้องเรียนสื่อ กรูจะโดนฟ้องไหมหนอ"
"ถ้าเอาเงินเข้าบัญชีไม่ทัน กรูจะโดนฟ้องไหมหนอ"
เหอๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ หวาดกลัวไปตามๆกัน เอิ๊กๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
ฝ่ายบริษัทต้นเรื่อง
ปีนี้ คิดว่า อาจต้องใช้งบโฆษณาเพิ่มขึ้นเพื่อสร้างความมั่นใจจากผู้บริโภค
ไหนจะต้อง ระวัง คู่แข่งเอย เกรย์มาร์เก็ตเอย
แถมต้องทำ CRM, DIRECT MARKETING, BRAND LOYALTY สารพัด
ซึ่งล้วนแต่เป็น ABOVE THE LINE ทั้งสิ้น ใช้เงินเป็นตั้งๆ
แต่กระแสเชิงลบน่ะ มันมา BELOW THE LINE ส่วนใหญ่ ซึ่งแทบไม่ต้องใช่เงิน แค่ปากต่อปาก
คุ้มไหมกับการกระทำที่องค์กรทำลงไป เพื่อปกป้องตัวเองทางกฎหมาย
แต่ทำลายการตลาดของตัวเอง ชนิดพระเจ้าตากจัดกระบวนทัพ
ก่อนจะไปขอฝากนิทาน ในพระไตรปิฎกในธรรมบท สักนิด
สมัยพระเจ้าพรหมทัตเสวยพระราชสมบัติ อยู่ในเมืองพาราณสี
ครั้งหนึ่งได้เกิดภาวะโจรป่าอาละวาด ทั้งเข่นฆ่า ทั้งปล้นสะดม แถบชายแดน ชาวบ้านต่างอกสั่นขวัญแขวน
พระเจ้าพรหมทัตทรงกริ้วนัก ด้วยโจรมีชื่อเหล่านั้นเหิมเกริม ไม่เกรงในพระราชอาญา
จึงมีรับสั่งให้จัด กระบวนทัพหลวงเต็มอัตราศึก และเสด็จนำทัพอันแสนมหึมาไปด้วยพระองค์เอง
ครั้นพอตกเย็น ก็ทรงมีรับสั่ง ให้ไพร่พลหยุดพักตั้งค่าย พักผ่อนพร้อมทั้งจัดเสบียงเลี้ยงกำลังพล
ตั้งแต่แม่ทัพตลอดจนไปถึงทหารเลว รวมไปถึงสัตว์พาหนะทั้งช้างและม้า
สำหรับม้านั้น ทหารม้าก็จัดถั่วทองพิเศษส่วนพระองค์ ให้แก่ม้าศึกไว้ในราง
ในขณะนั้นเอง มีลิงตัวหนึ่งแอบมองอยู่บนต้นไม้ พอเห็นทหารม้าไปจูงม้ามาที่รางถั่ว ก็อาศัยช่วงที่ทหารเผลอ รีบลงจากต้นไม้กว้าถั่ว ใส่ปากจนเต็มสองกระพุ้งแก้ม
และยังกำไว้ในมือทั้งสองอีกต่างหาก ว่าแล้วก็รีบโจนขั้นต้นไม้อย่างทุลักทุเล
เพราะเจ้าลิงมีถั่วอยู่เต็มมือ ระหว่างนั้นเอง ก็มีถั่วเล็ดของจากมือลิงตกลงไปในพงหญ้า
มันมองตามอย่างเสียดาย อารามตกใจรีบลงมาหวังจะเก็บถั่วเม็ดนั้น ก็เลยลืมตัวทิ้งถั่วทั้งสองมือ
เพื่อไปคุ้ยหาถั่วเม็ดเดียวเดียวในพงหญ้านั้น..............................................
พอลิงรู้สึกตัวว่าเสียถั่วไปแล้วอีกทั้งสองมือ ก็อ้าปากร้องด้วยความเสียดาย ทันใดนั้นเอง
ถั่วในปากก็ไหลออกมาจนหมด ลิงน้อยก็ได้แต่นั้นคุ้ยพงหญ้า เพราะถั่วนั้นได้หายไปหมดแล้ว
จะกลับไปขโมยใหม่ก็ไม่ได้.........................................................................
พระเจ้าพรหมทัตนั้น ทรงทอดพระเนตร เหตุการณ์โดยตลอด จึงรับสั่งให้ราชครู
เข้าเฝ้าเพื่อปรึกษา เกรงด้วยสิ่งที่เห็นอาจจะเป็นลางร้าย
ราชครูพอมาถึง ก็ไปตรวจสอบพื้นที่ทันที แล้วก็มากราบทูลพระเจ้าพรหมทัตว่า
"หามิได้เป็นลางร้ายอันใดไม่พระพุทธเจ้าข้า ลิงโง่ตัวนี้คงโง่ เผลอทิ้งถั่วทั้งหมดเอง
เมื่อหาไม่พบก็เลยนั่งหงอย ด้วยความโง่ของมัน ที่ทิ้งของมากไปหาของน้อย
เข้าตำราเสียน้อยเสียยากเสียมากเสียง่าย พระพุทธเจ้าข้า"
ทั้นใดนั้นเองพระเจ้าพรหมทัตก็พลันได้สติแล้วก็ทรงดำหริขึ้นมาว่า..............
"อย่าว่าแต่ลิงโง่เลย เราเองเป็นคนแท้ๆ ก็จะโง่เหมือนลิง
ยกทัพมาใหญ่โต ยังกับจะไปรบกับประเทศอื่น ปราบโจรแค่นี้ ใช้ทหารฝีมือดี กองร้อยเดียวก็พอแล้ว"
ว่าแล้วก็ทรงยกทัพกลับพระนคร .....................................................
ฝ่ายโจรชายแดนนั้นพอรู้ว่าจะมีทัพหลวงมาปราบ ก็หนีแตกฮือไปคนละทางสองทาง
ชายแดนเมืองพาราณสีก็กลับมีความสงบสุขอีกครั้ง
นิทานเรื่องนี้สอนอะไรก็ไม่รู้ ไม่ขอสรุป
เพราะกิจการ และห้างร้านทั้งหลาย
ไม่มีทั้งลิง ทั้งม้าและพระราชครู เป็นพนักงานประจำ อิอิอิๆๆๆๆๆ
ป.ล. ความเห็นส่วนตัวหนึ่ง
อยากเห็น สคบ หน่วยงานของรัฐ องค์กรอิสระ สื่อมวลชล สภาทนายความ ฯลฯ ออกมาช่วยฝ่ายลูกค้า
ทุกวันนี้ประชาชน ที่เป็นผู้บริโภค ก็ถูกผู้ประกอบการส่วนใหญ่ เอาเปรียบเกือบทุึกทางอยู่แล้ว
การปล่อยให้ผู้ประกอบการรายใดรายหนึ่งสร้างบรรทัดฐาน แบบนี้
ต่อไปก็จะมีผู้ประกอบการรายอื่น ที่มักง่าย ไม่มีจรรยาบรรณ ไม่ส่งมอบสินค้าหรือบริการ
ที่มีคุณภาพตามที่ผู้บริโภคคาดหวังจากโฆษณา หรือตกลงกันไว้ตามสัญญา
แต่คอยจ้องฟ้องผู้บริโภคที่ออกมาร้องเรียนว่าหมิ่นประมาทท่าเดียว
ป.ล. ความรู้สึกส่วนตัว สอง โปรดอย่าฟ้องข้าพเจ้า เพราะช่วงนี้ทนายจำเลยมืออาชีพของข้าพเจ้าลาบวชสามเดือน
แก้ไขเมื่อ 21 ม.ค. 53 16:11:48
แก้ไขเมื่อ 21 ม.ค. 53 15:50:22
จากคุณ |
:
Prof.Yoda
|
เขียนเมื่อ |
:
21 ม.ค. 53 15:30:59
|
|
|
|  |