 |
ความคิดเห็นที่ 291 |
|
เผยองค์กรธุรกิจ ใช้กฎหมายคุ้มครองผู้บริโภค ฟ้องประชาชน
* ข่าวเผยแพร่
ผู้เขียน: กองบรรณาธิการ วันที่: 5 มกราคม 2009
นายชัยรัตน์ จุมวงศ์ กรรมการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทสภาทนายความ กล่าวว่า พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภคที่มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 24 สิงหาคม 2551 จนถึง มกราคม 2552 หรือ 6 เดือนที่ผ่านมา พบว่า จากคดีผู้บริโภคที่มีการฟ้องร้องผ่านศาลทั่วประเทศ มียอดรวม 8 หมื่นคดี แยกเป็นผู้บริโภคฟ้องร้องเพียง 4% เท่านั้น
ขณะที่ผู้ประกอบการใช้สิทธิฟ้องร้องถึง 96% ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบการธุรกิจสถาบันการเงิน ฟ้องลูกค้าผิดสัญญาด้านหนี้สิน กู้ยืมเงิน บัตรเครดิตจำนวนมาก การที่ผู้ประกอบการใช้ประโยชน์ในกฎหมาย มากกว่าผู้บริโภค ถือว่าผิดเจตนารมย์ของกฏหมายฉบับนี้ เนื่องจากเจตนารมย์ของกฎหมายฉบับนี้ ต้องการให้ผู้บริโภคได้ประโยชน์มากกว่า ขณะที่การทำงานของศาลเอง ก็มีอุปสรรคต่อการปฏิบัติ ทั้งบุคลากรและวิธีการพิจารณาคดี
" ปัจจุบันศาลในกรุงเทพ พยายามใช้วิธีการไกล่เกลี่ยระหว่างคู่ความมากขึ้น แต่บางครั้งคนกลางผู้ทำหน้าที่ไกล่เกลี่ย ยังไม่มีความสันทัดพอ และยังใช้วิธีการตั้งธงว่าใครผิด ถูก มากเกินไป "
ทั้งนี้จากการที่ สคบ. และมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ใช้หลักการไกล่เกลี่ย พบว่า ผู้มาร้องเรียนจำนวนมากที่ประสบผลสำเร็จในการไกล่เกลี่ย ส่วนใหญ่มีมูลค่าสินทรัพย์ไม่สูง และเป็นการร้องเรียนเรื่องบริการสายการบิน สินค้าเครื่องสำอาง แพทย์ อาหารและโฆษณา ซึ่งสามารถยุติได้ประมาณ 60-90% แต่กรณีร้องเรียนเรื่องอสังหาริมทรัพย์ จะมีผลการเจรจาสำเร็จน้อย คือ เพียง 40% เท่านั้น เนื่องจากมีมูลค่าสินทรัพย์สูง ทำให้การไกล่เกลี่ยสำเร็จได้ยาก
สำหรับจุดอ่อนของกฎหมายฉบับนี้ นายชัยรัตน์ กล่าวว่า 6 เดือนที่ผ่านมา สภาทนายความประเมินว่า ศาลขยายขอบเขตคดีผู้บริโภคมากเกินไป จึงทำให้สถาบันการเงิน ใช้กฎหมายเป็นช่องทางในการฟ้องร้องสัญญาเงินกู้และจำนองมากเกินไป ซึ่งใน 8 หมื่นคดี เป็นการฟ้องร้องลูกค้าผิดสัญญาจำนองจำวนมาก
"สัญญาจำนองที่มี ธอส. เป็นโจทย์ ฟ้องร้องผู้บริโภค เอาลูกค้าผิดสัญญาจำนวนมาก ทั้งที่ผู้กู้เงินกับองค์กรรัฐ ไม่น่ารวมเป็นคดีผู้บริโภค จึงมองว่าศาลขยายความกฎหมายมากเกินไป น่าจะมีการทบทวนใหม่"
นอกจากนั้นประเด็นของกฎหมายคดีผู้บริโภคที่มีสาระสำคัญ ควรใช้การเจรจาไกล่เกลี่ยเป็นหลัก แต่เมื่อเข้าสู่กระบวนศาล ศาลกลับไม่ใช้มาตรฐานเดียวกันทุกแห่ง บางศาลยังให้ผู้บริโภคหาข้อเท็จจริงหรือพยานหลักฐานเอง ซึ่งเป็นการผิดเจตนารมย์ของกฎหมายฉบับนี้อย่างมาก
"กฎหมายฉบับนี้ ใช้กฎหมายแพ่งเป็นหลักก็จริง แต่ศาลใช้มากเกินไป ทำให้ผิดวัตถุประสงค์ ขณะที่ผู้บริโภคซึ่งมีเงินน้อย จ้างทนายไม่ได้ จึงควรจะมีการแก้ไขกฎหมาย เพื่อไม่ให้ผิดเจตนารมย์"
อย่างไรก็ตาม ข้อดีของกฎหมายจะมีอายุความขยายไปถึง 3-10 ปี แม้ผู้บริโภคจะเพิ่งรู้ถึงสาเหตุ ก็สามารถฟ้องร้องได้ถึง 10 ปี และถึงแม้ว่าผู้บริโภคจะแพ้คดี แต่ศาลจะสามารถสั่งให้ผู้ประกอบการเก็บสารพิษ หรือสินค้าไม่ปลอดภัยออกไปได้
อีกทั้งกรณีผู้บริโภคถูกฟ้องร้องโดยผู้ประกอบการ กฎหมายกำหนดให้ฟ้องร้องที่ศาลตามภูมิลำเนาของผู้บริโภคเท่านั้น ทำให้ผู้บริโภคไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายมาก รวมถึงยังสามารถฟ้องร้องได้ด้วยตัวเอง ไม่ต้องมีค่าธรรมเนียมวางศาลในครั้งแรก ทำให้กฎหมายฉบับนี้เกิดประโยชน์กับผู้บริโภคอย่างมาก
ด้านนางสาวสารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค กล่าวว่า กรณีผู้บริโภคที่เข้ามาร้องเรียนกับมูลนิธิฯ ตั้งแต่ธันวาคม 2550 - พฤศจิกายน 2551 มีคดีร้องเรียนทั้งหมด 3,435 คดี พบว่า 5 อันดับแรกเป็นคดีเกี่ยวกับหนี้สินมากถึง 2,300 คดี รองลงมา เป็นคดีประกันภัย 496 คดี คดีคุณภาพบริการ 217 คดี อสังหาริมทรัพย์ 122 คดี และมาตรฐานผลิตภัณฑ์ 105 คดี
ส่วนการให้ความช่วยเหลือแก่ผู้บริโภค 6 เดือน หลังจากใช้พ.ร.บ.ฉบับนี้ ได้ดำเนินการฟ้องร้องไปแล้ว 60 คดี แยกเป็นคดีฟ้องร้องในหมวดประกันภัยและประกันชีวิต 42 คดี กรณีบริษัทสัมพันธ์ประกันภัยไม่จ่ายสินไหมทดแทนและปฏิเสธเบี้ยประกัน นอกจากนั้นกรณีฟ้องร้องโทรคมนาคม 7 คดี เช่น บริษัทเรียกเก็บค่าต่อสัญญาณ 107 บาท เก็บค่าบริการเกินจริง ผู้ประกอบการไม่ปฏิบัติตามสัญญาที่กล่าวอ้างในโฆษณาและบริการไม่ได้มาตรฐาน
นอกจากนั้นยังมีการเรียกร้องค่าเสียหายทางการแพทย์ 5 คดี ในเรื่องการรักษาไม่ได้มาตรฐาน ทำให้เสียชีวิต รักษาโดยประมาท ทำให้ผู้ทุพพลภาพและคลอดบุตรเสียชีวิต ส่วนที่เหลือเป็นเรื่องธุรกิจเช่าซื้อ มาตรฐานผลิตภัณฑ์และผิดสัญญาอสังหาริมทรัพย์ ทั้งนี้ยังมีคดีรอการดำเนินการยื่นฟ้องกับมูลนิธิอีก 32 ราย ส่วนใหญ่เป็นเรื่องเกี่ยวกับโทรคมนาคม 17 ราย ประกันภัย 10 ราย การแพทย์ 2 ราย ซานติก้าผับ 2 ราย บริการคลินิคเสริมความงาม 2 ราย
ศาสตราจารย์พิเศษ จรัญ ภักดีธนากุล ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ กล่าวถึงประเด็นความกังวลในการใช้ พ.ร.บ.ฉบับนี้ว่า ยังมีจุดอ่อนใน 2 ประเด็น คือ คำศัพท์นิยามผู้ประกอบการและผู้บริโภคของกฎหมายฉบับนี้ ยังกว้างเกินไป ทำให้ขาดความสมดุล ซึ่งอาจเป็นเพราะการเริ่มแรกของพ.ร.บ. ที่ไม่ได้ให้คำศัพท์นิยามนี้ไว้
"อย่างกรณีธนาคารพาณิชย์ เป็นผู้ซื้อเฟอร์นิเจอร์จากผู้ประกอบการรายย่อย ซึ่งพอคุณภาพไม่ดี ก็ฟ้องร้องคดีแพ่ง อย่างนี้ไม่ใช่เจตนาของกฎหมาย เพราะเหมือนกับเป็นการขึ้นชกคนละรุ่น ซึ่งกฎหมายต้องการคุ้มครองรายย่อยมากกว่า"
นอกจากนี้ผู้ประกอบการที่เป็นหน่วยงานรัฐเป็นผู้ให้บริการ ขณะที่ผู้บริโภคเป็นผู้ใช้บริการหรือได้สวัสดิการถูกฟ้องร้อง ประเด็นเหล่านี้จึงควรปรับปรุง และเลือกทำในสิ่งที่สำคัญก่อน
"กฎหมายนี้ แทนที่จะช่วยผู้บริโภค กลับเอื้อผู้ประกอบการให้เล่นงานผู้บริโภคได้ง่าย และศาลกลายเป็นผู้ตัดสินการชำระหนี้เอากับผู้บริโภคได้รวดเร็วขึ้น "
ส่วนกรณีกฎหมายนี้กับวิชาชีพแพทย์ ศ.พิเศษจรัญ ให้ความเห็นว่า ควรแบ่งแยกกฎหมายอาญา แพ่งและปกครองออกจากกันให้ชัดเจน ไม่ควรนำมาปะปนกัน ในมิติอาญา ไม่ควรเอาแพทย์ไปตัดสินมาตรฐานเดียวกับคดีอาญาทั่วไป จึงไม่ควรถูกตัดสินเหมือนคดีอาญาทั่วไป ดังนั้นจึงควรมีกฎหมายคุ้มครองแพทย์เฉพาะ ออกมา
"ถ้าเจตนาของแพทย์เพื่อรักษาผู้ป่วย แพทย์ผิดพลั้งพลาดยังไม่ถือว่าผิดทางอาญา จนกว่าจะถึงขั้นประมาทเลินเล่อร้ายแรงและมีเจตนา ควรมีโทษทางอาญา จึงจำเป็นต้องแยกเป็นกฎหมายพิเศษออกมา เพื่อคุ้มครองวิชาชีพแพทย์"
ในกรณีความรับผิดชอบคดีแพ่งของแพทย์ ต้องยอมรับว่าเมื่อเกิดความเสียหายกับคนไข้ ก็ควรให้ความช่วยเหลือชดใช้และเยียวยา โดยคดีแพ่งควรให้หน่วยงานหรือโรงพยาบาลที่แพทย์สังกัดเป็นผู้ดูแล ชดใช้ค่าเสียหายผู้ป่วยแทนและเป็นผู้รับผิดแทนแพทย์ ยกเว้นแต่แพทย์จะมีเจตนาจงใจทำผิดจริง
"รัฐควรร่วมรับผิดชอบทางแพ่งกับผู้ป่วย ห้ามไล่เบี้ยกับแพทย์ ยกเว้นแพทย์จะมีเจตนาทำผิดจริงๆ ส่วนกรณีแพทย์โรงพยาบาลเอกชน โรงพยายาควรทำประกันภัยเสริมให้กับแพทย์แต่ละคน และจ่ายค่าชดเชยให้แก่ผู้ป่วย โดยอาจตั้งระบบกองทุนขึ้นมาจ่าย แต่กองทุนก็ห้ามไล่เบี้ยกับแพทย์ ยกเว้นแต่จะผิดโดยจงใจ การจัดระบบแบบนี้จะขีดเส้นหาจุดสมดุลให้กับวิชาชีพแพทย์ให้กับผู้ป่วยด้วย การแยกกฎหมายออกมา แต่อย่าล้มหรือตัดออกจากกฎหมาย เพราะการรับผิดของแพทย์จะกระทบกับประชาชน"
ที่มา - กรุงเทพธุรกิจ ออนไลน์
_______________________________________________
หุหุหุ.... สารขัณฑ์แลนด์
จากคุณ |
:
ผู้ไม่หวังดี
|
เขียนเมื่อ |
:
23 ม.ค. 53 07:39:08
|
|
|
|
 |