ความคิดเห็นที่ 1 เนื้อหาตอนเดิมใน http://www.pantip.com/cafe/camera/topic/O9324657/O9324657.html คือ EV คือ ค่าความสว่าง (แบบหยาบๆ) ของสิ่งที่เราจะถ่าย (ที่ไม่ใส่ใจเรื่องของค่า ISO) หมายเหตุ: ถ้าให้ชัดเจน (ในบริบทที่จะว่าต่อไป) ควรเรียกค่าความสว่างมา 0 EV, 4 EV มากกว่า EV0, EV4 เหมือนอย่าง กระเป๋าหลุย ราคา 10,000 บาืท หรือ 80,000 บาท แต่ .. บางอย่างมันก็สลับกันด๊าย กระเป๋าหลุยส์ติ๊งต๊อง ราคา $500 หรือ $1,500 ยังได้เลย .. ชิแม๊ะ ก็ขอให้เข้าใจ (ในบริบท ที่จะว่าต่อไปว่า .. EV มันคือ ค่าของความสว่าง .. ที่เข้าใจง่ายกว่า lux, cd-ft, cd/m2 ฯลฯ) ------------------------------------------------ EV0 - EV2 คือ สิ่งที่เราจะถ่าย มันมืด มืด มืด มองธรรมดาๆ ยังแทบไม่เห็น มองผ่านช่องมองภาพ โฟกัสแทบไม่ได้ ถึงเป็นกล้องคอมแพ็ค ดูจาก LCD ได้ แต่ภาพแตกเบลอเป็นเม็ดๆๆ เวียนหัวเป็นที่สุด EV4 - EV5 คือ เริ่มมองเห็นอะไรเป็นอะไรแล้ว เป็นความสว่างที่น้อยสุดบนท้องถนน  หรือ พอที่จะเล็งสิ่งที่จะถ่ายเพื่อหาจุดโฟกัสได้ แสงสว่างตอนเย็นๆ พระอาทิตย์ตก ก็แถวๆนี้หละครับ แสงสว่างขนาดนี้ ภาพบนจอ LCD หลังกล้อง compact ทั่วๆไป มีอาการดีขึ้นชัดเจน ไม่แตกลายงาเป็นจุดๆๆ EV7 - EV8 นี่ สว่างเอาเรื่อง เห็นทุกอย่างชัดเจน เป็นความสว่างของหน้าหนังสือ ที่อ่านสบายๆ โดยไม่ต้องหรี่ตามอง และเป็นความสว่างของ landscape ทั่วๆไป ความสว่างขนาดนี้ ถ้าสะท้อนออกมาจากหน้าคน กำลังสวยทีเดียว เพราะนางแบบไม่หยีตา สว่างนวลๆเนียนๆคนมองด้วย แก้ไขเมื่อ 07 มิ.ย. 53 18:35:41 แก้ไขเมื่อ 07 มิ.ย. 53 18:32:48 แก้ไขเมื่อ 07 มิ.ย. 53 17:23:34 จากคุณ : แมวเหมียวพุงป่อง เขียนเมื่อ : 7 มิ.ย. 53 17:19:14

ความคิดเห็นที่ 2 EV10-12 นั่น สว่างมากๆๆๆ เทียบได้กับความสว่างของหน้าหนังสือ ที่กางอ่านกลางแดดนั่นแหละ ถ้าในพวก landscape ที่แสงค่อนข้างแรงนี่ .. ถ่ายออกมากำลังสวย แต่หน้าคน ถ้าให้สว่างขนาดนี้ .. นายแบบนางแบบมีเคือง เพราะ SPF 15 เอาไม่อยู่นะ EV14 - EV15 มันเป็นความสว่างของหาดทรายกลางแดดเปรี้ยงๆ หรือ หน้าคนผิวขาวๆ ที่หันหาแดด .. สว่างชนิด ออร่ากระจาย จากคุณ : แมวเหมียวพุงป่อง เขียนเมื่อ : 7 มิ.ย. 53 17:22:37

ความคิดเห็นที่ 3 อิตาเหมียว เอาของเก่ามาขายกินนี่หว่า! เอ๋อ .. อื๋อ .. อะจึ๋ย ในทู้ที่แตกออกมา บอกว่า ควรไปอ่านในกระทู้เก่ามากนู้นๆๆๆ http://topicstock.pantip.com/camera/topicstock/2009/12/O8687344/O8687344.html#17 (สมัยจารึกบนแท่งศิลา อยู่ใน topic stock) เพราะว่า ความสว่างที่มีหน่วยเป็น EV  ที่ว่ามา เพื่อให้ใช้สื่อสารกันให้เข้าใจ ว่า เอาไปทำประโยชน์อะไรได้บ้าง (กระทู้ที่แตกมา ก็ยกตัวอย่าง ที่ไม่ค่อยรู้เรื่องมาให้ฟังรอบนึงแล้ว ) link ที่โยนไป topic stock มีเนื้่อหาที่สรุปได้สั้น (เป็นสมการ .. โอ้ว ซาร่า พระเ้จ้าจอร์จ มันแย่มากเลย ) สมการที่ว่า คือ EV + ISO = Av + Tv + Fv โดยที่ EV คือ สิ่งที่ผมบ่นๆๆๆ มาในทู้นี้ และทู้ที่แตกออกมา ISO ก็คือ ISO .. มันเป็นอิหยังหว่า???? เอาเหอะ อย่าไปสนใจที่มาที่ไป เราจะใช้มันทั้งอย่างนั้นแหละ Av คือ ขนาดรูรับแสง Tv คือ ความเร็วชัตเตอร์ Fv คือ ฟิลเตอร์ลดแสง ค่า ISO, Av, Tv ... มันต้องแปลงจากตัวเลขมั่วๆ ที่แปลว่าไรไม่รู้ (อย่างเช่น ISO 200, รูรับแสง f/11, speed 1/125) ให้เป็นเลขกลมๆ   อย่างเช่น ISO 200 คือ 1 f/11 คือ 7 1/125 คือ 7 ดูค่าเหล่านี้ได้ที่ http://topicstock.pantip.com/camera/topicstock/2009/12/O8687344/O8687344.html#25 หรือที่กระทู้เดิม ที่คุณฐิตวีโรเอามาแสดง http://www.pantip.com/cafe/camera/topic/O9324657/O9324657.html#35 ต้องจำไหม ไม่ต้องจำหรอก พิมพ์ออกมาเป็นแผ่นเล็กๆ ยัดไว้ในเป๋ากล้อง รับรองมีประโยชน์ จากคุณ : แมวเหมียวพุงป่อง เขียนเมื่อ : 7 มิ.ย. 53 17:35:12

ความคิดเห็นที่ 4 จากสมการข้างบน และจากคำถามใกล้ๆกระทู้นี้ ถ้าเราต้องการถ่ายภาพน้ำตก ให้น้ำไหลเป็นสายออกมานุ่มๆนวลๆ มันเก๊าะต้่องเปิดรูรับแสงนานๆ ... 3-4 วินาที นู่น แต่ .. แต่ "แต่" ตัวบะเฮิ่มเลย ทั้งจากทู้นี้ ทู้ต้นตอ และทู้นู้นๆๆ บอกว่า น้ำตกเนี่ย มันสว่างแถวๆ EV10 นะจ้ะ ถ้าใช้ ISO 100 (ISO =0) เปิดรูรับแสง 4 วินาที  (Tv = -2) ไม่ใช่ ND filter (Fv = 0) เปิดหน้ากล้องซัก f/11 (Av = 7) ลองเอาตัวเลขทั้งหมด ใส่ไปในสมการดูดิ EV + ISO = Av + Tv + Fv 10 + 0 = 7 + -2 + 0 10 = 5 สมการมันไม่สมดุลย์ .. ผิดแหง๋ๆ รับรองว่า ไม่ได้ภาพน้ำตกสวยๆ สายน้ำไหลเป็นสาย นุ่มนวลๆ ออกมาหรอก จากคุณ : แมวเหมียวพุงป่อง เขียนเมื่อ : 7 มิ.ย. 53 17:41:30

ความคิดเห็นที่ 5 เห็นหรือยังครับว่า กระดาษแผ่นน่อยๆ ที่ปรินท์ค่าอะไรๆออกมา มันช่วยคุณด๊ายยยย ถ้าเราใส่ ND filter ความทึบ ND8 เข้าไป (http://topicstock.pantip.com/camera/topicstock/2009/12/O8687344/O8687344.html#25) Fv = 3 สมการก็จะกลายเป็น 10 + 0 = 7 + -2 + 3 10 = 8 ไม่ได้ดุลย์หรอก แต่ใกล้เคียงเข้ามาอีกเยอะ สมการที่ไม่สมดุลย์นี้ บอกว่า 1. ถ้าด้านซ้าย มากกว่าด้านขวา ... ภาพจะออกมา over จ้า 2. ถ้าด้านขวา มากกว่าด้านซ้าย ... ภาพจะออกมา under จ้า under หรือ over .. ก็ตามแต่ค่าที่ไม่เท่ากัน ฉนั้น .. ต่อให้ใช้ ND8 และ ISO 100 .. ถ้ายังฝืนใช้ความเร็ว 4 วินาทีต่อไป ... ภาพจะออกมา over ไป 2 stop จากคุณ : แมวเหมียวพุงป่อง เขียนเมื่อ : 7 มิ.ย. 53 17:45:51

ความคิดเห็นที่ 6 ถ้าจะให้ภาพที่ออกมา น่าจะพอดีๆ ควรใช้รูรับแสง f/22 + ND8 ถ้าใช้อย่างนั้น สมการก็จะกลายเป็น 10 + 0 = 9 + -22 + 3 10 = 10 โป๊ะเช๊ะ!! ได้ภาพแล้ว อาจไม่สวยหรอก แต่ได้ภาพ และแสงมันจะออกมา พอดีหรือเปล่า????? ไม่รู้เหมือนกัน เพราะน้ำตก มันไม่ได้มีแต่น้ำนี่นา ตรงต้นไม้ใบหญ้าที่มืดๆ แสงก็อาจไม่พอ ตรงโขดหิน ที่มันรับแดดเต็มที่ สว่างกว่าน้ำตั้งเยอะ ก็อาจจะ over ไป ฮ่วย! เสียเวลาคำนวนมาตั้งมากมาย แสงยังไม่พอดีอีก เอาน่า .. เอาน่า มันยังดีกว่าใส่ ND8 เข้าไป เปิดหน้ากล้อง 4-5 วินาที แล้วภาพออกมา ขาวจ้า มองอะไรไม่เห็น ต้องลองใหม่ ลองแล้ว ลองอีก ลองจนเบื่อกันไปข้าง (อย่าลืมว่า ทุกๆครั้งที่ "ลอง" มันเสียเวลา และเปลืองแบต! ) กว่าจะพบว่า ต้องใช้ f/22 + ISO100 + ND8 คิดนิดนึงก่อนถ่าย หลังถ่าย จะได้ไม่ต้องคิดมาก พิมพ์แค่นี้ ฟาดเข้าไปเกือบสี่สิบนาที เมื่อยนิ้วแล้ว .. จบจ้ะ แก้ไขเมื่อ 07 มิ.ย. 53 17:53:38 แก้ไขเมื่อ 07 มิ.ย. 53 17:52:00 จากคุณ : แมวเหมียวพุงป่อง เขียนเมื่อ : 7 มิ.ย. 53 17:51:13

ความคิดเห็นที่ 7 เอารูป "ค่าแทน" มาให้ดูตรงนี้เลย จะได้ไม่ต้องเสียเวลาไปเปิด topic stock (ซึ่งเดี๋ยวนี้ .. ช้าเหลือเกิน) จากคุณ : แมวเหมียวพุงป่อง เขียนเมื่อ : 7 มิ.ย. 53 17:55:56

ความคิดเห็นที่ 8 ตามมาเรียนรู้ต่อ  ขอบคุณครับน้าเเมว^^ จากคุณ : BenJaZa เขียนเมื่อ : 7 มิ.ย. 53 18:06:16

ความคิดเห็นที่ 9 ก็ EV ที่คุณชดเชยเพราะกลัองมันวัด 5 จากแสงสะทอนวัตถุ ดังนั้นถ้าคุณวัดแสงแบบจุดที่วัตถุที่มีความสามารถให้การดูดกลืนแสงและสะท้อนออกมาไม่เท่ากัน จึงทำให้เกิดการชดเชย EV จากคุณ : AcidAttitude เขียนเมื่อ : 7 มิ.ย. 53 18:11:21

ความคิดเห็นที่ 10 ถึงมึนมาแล้วกับกระทู้เก่า ก็ยังตามมามึนต่อ สักวันคงหายมึนครับ จากคุณ : E22QV เขียนเมื่อ : 7 มิ.ย. 53 18:14:45

ความคิดเห็นที่ 11 คห.9 คร้่าบบบบ นอกจากหัวข้อกระทู้แล้ว ตรงไหนที่พูดถึงเรื่อง "การวัดแสง" มั่ง ที่ว่ามาทั้งหมด เพื่อให้ "มือใหม่" (ที่เริ่มจะเข้าใจเรื่องทางเทคนิค) ได้ประเมิน"คร่าวๆ" ถึงสถานการณ์ที่จะถ่ายรูป .. เท่านั้นเอง แค่เรื่องข้อมูลที่เอามาคำนวน ผมว่า สำหรับตากล้องทั่วๆไป ยังปวดหัวไม่เสร็จ ขืนเอาเรื่องการวัดแสงเฉพาะจุด แสงสะท้อน ฯลฯ เข้ามาด้วย คงโยนกล้องทิ้ิงแหง๋ๆ ------------------------------------------------------- เรื่องของสมการชวนป๋วยปี่แป่ก้อนี่ ยังบอกอีกว่า มันเป็นเรื่องน่าเศร้าชาว compact เลยครับ ที่จะถ่ายรูปน้ำตก ให้เป็นสายน้ำไหล นุ่มๆนวลๆ ตอนกลางวี่กลางวัน ... มันเป็นไปไม่ได้ อย่างที่ว่ามาข้างบน น้ำตก .. ตอนกลางวัน แดดไม่ต้องจัดนัก แสงมันยังสว่างตั้ง 10 EV แหนะ! ต้องใช้ speed 4-5 sec + filter ND8 + รูรับแสง f/22 แต่กล้อง compact / dSLR-like ... กว่า 90% ... รูรับแสงเล็กสุด มันแค่ f/8 เท่านั้น ฉนั้น .. ต่อให้ยอมใช้ความเร็วสูงขึ้นมาอีกหน่อย (1 sec) .. แม้สายน้ำจะไม่นุ่มนวลมากเท่าความเร็วต่ำๆ EV + ISO = Av + Tv + Fv 10 + 0 = 3 + 0 + Fv จะเห็นได้ว่า เราต้องใช้ filter ที่มีค่า"ทดแทน" = 7 .. หรือ ที่เรียกว่า ND 100 ทีเดียว (ไม่ได้มีไว้ในตาราง แต่ลองเทียบๆไล่ค่าดูนะครับ) เมืองไทย หาไม่ได้ เมืองนอก หาได้ แต่แพงมาก และยี่ห้อธรรมดาๆ สีมันออกขุ่นๆ มากกว่าตัดแสงเฉยๆ แก้ไขเมื่อ 07 มิ.ย. 53 18:31:50 จากคุณ : แมวเหมียวพุงป่อง เขียนเมื่อ : 7 มิ.ย. 53 18:30:13

ความคิดเห็นที่ 12 ชัดเลยงานนี้  ขอบคุุณครับ  ...อย่างน้อย ถ้ารู้ ev มันก็ได้ค่าคร่าวๆไว้เซ็ตกล้อง แต่อยากถามเพิ่มเติมผู้มีประสบการ์ณสูง  ที่ดูแม่นๆทายแสงได้ เขาจะดูแม่นขนาดไหนครับ.. จากคุณ : นิ้วจิ้ม เขียนเมื่อ : 7 มิ.ย. 53 18:55:54

ความคิดเห็นที่ 13 ก็เพราะอย่างเงี้ย ใครๆจะอดใจไม่คลิกกระทู้น้าแมวลง อัดแน่นซะยิ่งกว่า ปลาซาดีนในกระป๋องอีก -*- แถมเปิดมาเทใส่จาน กินได้เลย (ยังไม่รู้ใช้ยังไงจำไปทื่อๆนี่แหล่ะ) หรือจะปรุงนิด ใส่พริกหน่อย เติมมะนาวนิด (การนำไปประยุกต์ใช้) ให้เข้ากับสไตล์ตัวเองก็ยิ่งออกรสชาด โดยเฉพาะส่วนผสมข้างกระป๋อง บอกทุกหยดไม่มีหมกเม็ด :) ว่าแล้วลงไปเปิดมากินซักกระป๋องดีฝ่า ^^ จากคุณ : aprilFooLteen เขียนเมื่อ : 7 มิ.ย. 53 19:47:01

ความคิดเห็นที่ 14 เข้ามาจดครับ ขอบคุณครับน้าแมว.... จากคุณ : tenface เขียนเมื่อ : 7 มิ.ย. 53 20:13:05

ความคิดเห็นที่ 15 ผู้มีประสบการ์ณสูง  ที่ดูแม่นๆทายแสงได้  เขาจะดูแม่นขนาดไหนครับ แล้วแต่ยุคสมัยครับ สมัยฟิล์มเนี่ย ผิดพลาดไม่เกิน 0.5 EV (stop) เพราะถ้าพลาด มันไม่ใช่หมายความว่า ไม่ได้รูป แต่หมายความว่า มีสิทธิหมดอนาคต เพราะคนที่เก่งจริงๆ เขาถ่ายภาพ"เป็นอาชีพ"ครับ สมัยกล้องฟิล์ม 135 รุ่งเรืองสุดๆ ... กล้องดีๆ ระดับโปร โฆษณาเน้นๆกันแต่เรื่องวัดแสงแม่น วัดแสงถูกต้อง ฯลฯ กันแทบทั้งนั้น ถึงมาสมัยนี้ก็เหอะ ถ้าจำค่าความสว่างได้ .. มันช่วยได้เยอะ เพราะ LCD หลังกล้อง ใหญ่ขนาดไหน ก็ยังเล็กกว่า LCD จอ อย่างถ่าย concert เนี่ย แสงรอบๆเวที จะสว่างอยู่ที่แถวๆ 3-4 EV เท่านั้น .. แค่พอให้มองเห็นสเตจ แต่แสงที่ส่องไปบนดารานักร้อง มันสว่างโร่ ขนาด 8-9 EV ถ้ากล้องเราวัดแสงแบบเฉพาะจุดได้ เรื่องนี้ก็(แทบ)ไม่มีปัญหา แต่ถ้าไม่ได้ หรือ ไม่ชำนาญ หรือ กำลังตื่นเต้น ฯลฯ ภาพที่ได้มีสิทธิ "หลุด" ยิ่งตั้งโหมดถ่าย auto ยิ่งหลุดง่าย เพราะแสงมันวูบวาบดีเหลือเกิน เดี๋ยวสว่าง 10 EV เดี๋ยวเหลือแค่ 3 EV ... เมื่อรู้ล่วงหน้า ว่าจะได้ไปถ่าย concert เราจะได้ไม่ตื่นเต้นมาก เราอยากให้แสงบนหน้าน้องปอย พอดีๆ รู้ว่าแสงที่ส่องนักร้อง มันต้องสว่างประมาณ 8 EV และต้องการให้ภาพนิ่งๆ เราเลยเลือกความเร็ว 1/125 (Tv = 7) ไว้ เลนส์เรา มันไม่ใช่เลนส์เทพ รูรับแสงกว้างสุดก็แค่ f/5.6 (Av = 5) ด้านขวามือสมการ มันบอกว่า Av + Tv = 12 ด้านซ้ายมือ ... ตัวแสงสปอตไลท์ มันสว่างแค่ 8 EV เราไม่มีทางเลือก นอกจากเลือก ISO = 12 - 8 = 4 .. ซึ่งตรงกับ ISO 1600 ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี ชิแม๊ะ ดีีกว่าไปมะงุมมะงาหรา (ซึ่งแปลว่า เดินเที่ยวป่า ) ลูบๆคลำๆ ปรับกล้องในความมืด มองอะไรก็ไม่เห็น พอกดถ่ายโช๊ะออกมา เช็ครูปหลังกล้องดูซิว่ามันเป็นอย่างไร โอกาสสูงมาก ที่รูปจะออกมา แสงพอดี ... กระดาษน่อยๆ แผ่นเดียว แก้ปัญหาได้พะเรอเกวียน จากคุณ : แมวเหมียวพุงป่อง เขียนเมื่อ : 7 มิ.ย. 53 20:55:38

ความคิดเห็นที่ 16 กระดาษแผ่นน่อย ใน คห.7 ... ช่องซ้ายสุด มันยังมีที่ว่าง แค่จดๆ ลงไปว่า สถานการณ์อย่างนี้ๆ มันสว่างกี่ EV (หรือถามกูรู ที่รู้จัก) จดไปเรื่อยๆ ซักพัก เราก็จะแม่นเองว่า แสงอย่างนี้ สว่างแถวๆนี้ จุดเริ่มต้นที่ควรตั้งค่าของกล้อง ควรเริ่มที่ไหน กระดาษแผ่นน่อย ช่วยคุณได้ จากคุณ : แมวเหมียวพุงป่อง เขียนเมื่อ : 7 มิ.ย. 53 20:57:54

ความคิดเห็นที่ 17 ค่า EV แต่ระดับ ถ้าจำได้ขึ้นใจ ก็วัดแสงด้วยใจ แบบไม่ต้องพึ่งระบบวัดแสงของกล้องได้เลย แต่ ... ถึงแม้จะจำได้ขึ้นใจ ก็เถอะ แต่ระดับ EV เช่น EV 4 EV 5 EV 6 เป็นเพียงการแทนด้วย คำจำกัดความ ที่บอกค่าแสงเพียงคร่าวๆ เท่านั้น เช่น EV6 = ภายในบ้าน ที่เปิดไฟสว่างจ้า, ไฟสวนสนุกตอนกลางคืน แสงภายในบ้าน หลอดไฟกี่วัตต์ กี่ดวง อีกละ ถึงจะเท่ากับ EV6 ใช่ครับ ค่า EV มันก็เหมือน มาตราอื่นๆ เช่น มาตรวัดความยาว หรือ มาตรวัดน้ำหนัก ระหว่าง 1 กรัม - 2 กรัม มันยังมี 1 กรัม 10 มิลลิกรัม, 1 กรัม 20 มิลลิกรัม >> 1กรัม 99 มิลลิกรัม หรือ ระหว่าง 1 เมตร ยังมีระยะความถี่ ที่เป็น เซนติเมตร อีก 100 ส่วน อะน่ะ หยวนๆ ค่าแสงในการถ่ายภาพ จะ +/- แค่ 1/3-2/3 หรือ คิดเป็น 0.33-0.66 มันก็ยังถือว่าได้ภาพในค่าแสงที่ต้องการ แต่ก็อีกนั้นแหละ การใช่ความรู้สึก จดจำค่าแสง ได้อย่างแม่นยำนี้   เช่น เข้าไปในห้องที่เปิดไฟสว่าง ที่ประมาณ(เป็นเพียงค่าประมาณ) EV 6 แค่จำได้ว่าแสงไหน 6 อ่อนๆ แสงไหน 6 แก่ๆ หรือ 5 ปลายๆ ก็จัดให้เป็น เทพ วัดแสง(ด้วยใจ)ได้เลย ที่เกริ่นมาทั้งหมด ก็แค่อยากจะบอกว่า กล้องทุกตัวมันมีระบบวัดแสงมาให้ และเพื่อความแม่นยำในการคำนวนค่าแสง เขา(ใครก็ไม่รู้ ใครรู้ช่วยบอกด้วย) จึงนำค่า TV / AV มาเป็นค่าแสง โดยใช้มาตราที่เรียกกว่า สต๊อป ใช้เป็นค่าความต่างของแสงแต่ละค่า ซึ่งปัญหา ว่า แสงที่เห็นนั้น จะเป็น EV 6  หกอ่อนๆ หกกลางๆ หรือ หกแก่ๆ หรือ การวัดแสงด้วยความรู้สึกของแต่ละคน ซึ่งอาจจะไม่เท่ากันนั้น มันจะหมดไปทันที เช่น ค่า EV6 พอดี มันก็คือค่า 1/15 f 2.8 ที่ ISO100 จะอ่อน จะแก่กว่าเท่าไหร่ ก็ให้ดูค่า ที่ต่างไปจาก 1/15 f 2.8 ซึ่งมีหน่วยเป็นสต๊อป ทีนี้ เวลาชดเชยแสงล่ะ ก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่ เช่นถ่ายคน บนชายหาด ก็วัดแสงที่หน้าคน (จะใช้แบบวัดแสงเฉพาะจุด หรือ ซูมมือ ,ซูมเท้า เข้าไปจ่อที่หน้าแบบ แล้ววัดแสง) และแล้วก็วัดแสงฉากหลัง ซึ่งเมื่อเรารู้ค่า (ที่แสดงเป็น TV/AV) ของ หน้าคน และ ฉากหลัง และรู้ ค่าระดับ ของ TV และ AV (เช่น 2.8 ต่างจาก 6.3 อยู่ 3 สต๊อป) เรารู้ได้ว่า หน้าคน กับฉากหลัง นั้น ต่างกันกี่สต๊อป การนำเสนอของน้าแมวเหมียวพุงป่อง ถือเป็นความรู้ที่ดีมากทีเดียวแต่ผมคงทำได้เพียงเก็บไว้ประดับความรู้ครับ เพราะในการใช้งานจริง ผมว่า การวัดแสงด้วยกล้อง แบบเคยๆ แม่นยำและชัวร์กว่าที่จะมาวัดด้วยความรู้สึกแน่ๆ ถึงอย่างไร ก็ขอขอบพระคุณครับ สาระดีมาก ทริ๊กการถ่ายภาพแทรกไว้ในการกลบ่าวถึง EV ถือเป็นประโยชน์ของผมและเพื่อนๆ ที่จะได้รับความรู้ครับ แก้ไขเมื่อ 07 มิ.ย. 53 21:19:21 จากคุณ : นายไวรัส เขียนเมื่อ : 7 มิ.ย. 53 21:16:03

ความคิดเห็นที่ 18 ยินดีครับ ผมกะใช้กระทู้นี้ เป็นที่ "เก็บคำตอบ" ของคำถามที่โดนถามบ่อยๆ อย่างเช่น จะถ่ายคอนเสิร์ต (พระอาทิตย์ขึ้น, น้ำตก, หิมะ ฯลฯ) "ควรตั้งค่ากล้องอย่างไร" ถ้าตราบใดที่ยังมีคำถามอย่างนั้นอยู่  .. แสดงว่า ระบบวัดแสงและกลไกที่สัมพันธ์กัน ยังเป็นอะไรที่ลึกลับสำหรับคนพึ่งจับกล้อง และพึ่งพาไม่ได้ 100% ถึงเวลานั้น ... กระทู้นี้ จะไม่มีประโยชน์อะไรเหลือ ผมอยากให้ห้องกล้อง ถึงวันนั้นเร็วๆ จากคุณ : แมวเหมียวพุงป่อง เขียนเมื่อ : 7 มิ.ย. 53 22:22:56

ความคิดเห็นที่ 19 ผมวัดแสงด้วยตาและใจครับ มันเลยไม่เคยพอดี 555 ขอบคุณครับสำหรับความรู้ดี ๆ จากคุณ : raksapondet เขียนเมื่อ : 7 มิ.ย. 53 22:43:29

ความคิดเห็นที่ 20 ขอบคุณน้าแมว สำหรับความรู้ดีๆ ครับผม อย่างน้อยผมจะได้วัดแสง เพี้ยนน้อยลง จากคุณ : หมี่เกี๊ยวต้มยำ เขียนเมื่อ : 7 มิ.ย. 53 22:58:57

ความคิดเห็นที่ 21 ขอบคุณมากๆ เลยครับน้าแมว จากคุณ : เนตร (ohhayo) เขียนเมื่อ : 7 มิ.ย. 53 23:11:07

ความคิดเห็นที่ 22 ไหนก็ไหนๆแล้วรบกวนน้าๆอีกซักนิดนะครับ... อีกอย่างที่อยากจะถามคือ   แสงมันขึ้นกับระยะทางที่ห่างจากวัตถุด้วยหรือไม่ ความสว่างมันจะลดลงหรือเปล่า   แล้วมันจะเกี่ยว อะไรกับสมการบ้างไหม หรือระยะทางแค่ใช้คำนวนแค่กำลังแฟลชที่ยิงหาวัตถุเท่านั้นครับ จากคุณ : นิ้วจิ้ม เขียนเมื่อ : 7 มิ.ย. 53 23:21:54

ความคิดเห็นที่ 23 ขอบคุณมากครับน้าแมวจริงอย่างที่น้าบอกเลยครับ เพราะบางทีผมก็นึกไม่ออกครับว่าแต่ละอย่างมันมีที่มาอย่างไร ถ้าเรารู้ว่าที่มาคืออะไรเราก็จะประยุกต์ได้ครับ เหมือนสมการวิทยาศาสตร์บางสมการเริ่มต้นมีแค่ไม่กี่ตัวแต่พอพิสูจน์ในสิ่งที่เฉพาะขึ้นก็แตกกิ่งก้านออกมากมายจากสมการตัวเดิม คำตอบน้าถึงแก่นจริงๆ ได้ความรู้ทุกวันเลย ขอบคุณครับ จากคุณ : LightShooter เขียนเมื่อ : 7 มิ.ย. 53 23:48:42

ความคิดเห็นที่ 24 ขอบคุณครับ เก็บเข้าคลังเลยครับ จากคุณ : gs33dv เขียนเมื่อ : 8 มิ.ย. 53 00:10:05

ความคิดเห็นที่ 25 ขอบพระคุณน้าแมวเป็นอย่างสูงค่ะ ที่ผ่านมาไม่เคยตั้งใจอ่านเรื่องนี้เลย เพราะอ่านทีไรก็ปวดหัว ตาลาย ไม่อ่านดีก่า คราวนี้รู้สึกว่า เข้าใจมากขึ้นเยอะเลยค่ะ จากคุณ : เด็กหญิงจริงใจ เขียนเมื่อ : 8 มิ.ย. 53 00:11:40

ความคิดเห็นที่ 26 ขอบคุณครับ จากคุณ : XenoType เขียนเมื่อ : 8 มิ.ย. 53 09:26:27

ความคิดเห็นที่ 27 ไม่ต้องตั้งใจอ่านหรอกครับ แค่อ่านผ่านๆ ก็ดีใจมากแล้ว เพราะการศึกษา หาความรู้ ในเรื่องของ"งานอดิเรก" อย่างพวกการถ่ายรูปนั้น ต้อง play + learn = plearn ... เพลิน ถ้าอ่านอย่างซีเรียส .. มันก็ไม่เพลิน ไม่เพลิน มันก็ไม่สนุก ที่เขียนมาตั้งเยอะแยะนั่น ถึงอ่านไปผ่านๆ แต่ก็จะได้ "เค้า" เรื่องว่า ผมได้พูดถึงเรื่องอะไร วันใดที่ "เอ๊ะ!" เรื่องไรขึ้นมา ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องแบบนี้ ก็จะนึกขึ้นได้ และหวนกลับมาอ่านใหม่อีกรอบ ... จากคุณ : แมวเหมียวพุงป่อง เขียนเมื่อ : 8 มิ.ย. 53 09:30:00

ความคิดเห็นที่ 28 ขอถามเพิ่มเติมครับ Filter CPL จัดว่าเป็น ND เบอร์ไหนครับ ขอบคุณครับ จากคุณ : XenoType เขียนเมื่อ : 8 มิ.ย. 53 09:53:13

ความคิดเห็นที่ 29 อ่านไปมึนไปที้ง 2 กระทู้.... เจอคห. 15 ในกระทู้นี้....แจ่มหลายเลยครับ.... ขอบคุณครับ.... จากคุณ : LVP@HEART เขียนเมื่อ : 8 มิ.ย. 53 10:28:02

ความคิดเห็นที่ 30   เอาอีกแล้ว พูดถึงค่าEV กับสภาพแสงโดยไม่อ้าง ISO อีกแล้ว (คห 1-2) ยังงี้คนใช้ D5000 กับ D90 ทำไงครับ เมื่อ ISO ต่ำสุดที่ตั้งได้คือ 200 ปล กระทู้นี้จะมีประโยชน์เมื่อกล้องคุณไม่มีเครื่องวัดแสงหรือเมื่อมันเสียเท่านั้นแล จากคุณ : max value เขียนเมื่อ : 8 มิ.ย. 53 10:36:11 A:61.90.143.87 X: TicketID:260070

ความคิดเห็นที่ 31 น้าแมวเหมียว ผมลองเอาไปใช้ในกระทู้นี้  พอได้ไหมครับ http://www.pantip.com/cafe/camera/topic/O9340696/O9340696.html จากคุณ : นิ้วจิ้ม เขียนเมื่อ : 8 มิ.ย. 53 10:37:30

ความคิดเห็นที่ 32 พี่เหมียวค่ะ อ่านแล้วไม่ค่อยเข้าใจ  ว่าจะ apply ใช้ตอนจะถือกล้องถ่ายอย่างไร แต่จะอ่านใหม่หลายๆรอบจนกว่าจะเก็ต   ขอบคุณค่ะ จากคุณ : MyDonat เขียนเมื่อ : 8 มิ.ย. 53 11:08:04

ความคิดเห็นที่ 33 เมื่อไหร่โลกนี้ เวบนี้ บอร์ดนี้ จะปราศจากพวก เก่งเรื่องซุกหัวหดหาง ฟังไม่ได้ศัพท์แล้วจับมากระเดียด เพื่อโชว์ว่าข้าก็เห่าเก่ง อย่าง คห.30 ซะทีหนอ ... เฮ้อ ... เสียดายความเก่งกล้า ความเป็นลูกผู้ชาย ที่ได้มาจาก DNA เสียจริงๆ -------------------------------------------- Filter CPL จัดว่าเป็น ND เบอร์ไหนครับ ตัดแสงประมาณ 2 stop ครับ .. ก็ ND4 แต่ขึ้นกับมุมของแสง กับระนาบ polarize CPL ดีๆ 2 ตัวซ้อนกัน  .. ถ้าหมุนให้แกนตัดกัน สามารถทำได้ถึง ND400 .. ลดแสงได้ 9 EV (หรือ 9 stop) จากคุณ : แมวเหมียวพุงป่อง เขียนเมื่อ : 8 มิ.ย. 53 14:05:55

ความคิดเห็นที่ 34   ไม่เอาน่า ไม่เอา อย่ามาเสียดสี ด่าทอ กระแนะกระแหนกันในนี้เลย โตๆกันแล้ว (รึเปล่านะ???) คุณไม่ถูกตรงไหนผมก็แย้งไป ผมผิดตรงไหนคุณก็แย้งมา มาด่าว่าเป็นหมาเป็นตุ๊ดมันไม่สุภาพครับน้อง จากคุณ : max value เขียนเมื่อ : 8 มิ.ย. 53 14:48:19 A:61.90.143.87 X: TicketID:260070

ความคิดเห็นที่ 35   เอ้ย น้า ไม่ใช่น้อง มือไวไปนิด โทษที จากคุณ : max value เขียนเมื่อ : 8 มิ.ย. 53 14:57:28 A:61.90.143.87 X: TicketID:260070

ความคิดเห็นที่ 36   ^ น่าเบื่อไหมครับ เสียบรรยากาศ แล้วที่ถามมาใช้ "สมอง" คิดสักนิดก็จะรู้เรื่องเองครับ แค่ "คิด" เอง แก้ไข คือผมลืมขอบคุณสำหรับความรู้เลยครับ จะปริ้นท์แล้วลองเอาไปใช้ดู^^ แก้ไขเมื่อ 08 มิ.ย. 53 17:36:10 จากคุณ : diiarchaeology เขียนเมื่อ : 8 มิ.ย. 53 17:35:10

ความคิดเห็นที่ 37 โดนใจครับ จากคุณ : แมลงแบกเป้ เขียนเมื่อ : 8 มิ.ย. 53 19:17:55

ความคิดเห็นที่ 38 ดูคล่าวๆ ผ่านๆ ตามที่น้าแมวเหมียวแนะนำ#27ครับผม ผมใช้DSLRมา3ปีไม่เคยเรียนเรื่องวัดแสงจริงจังครับผม Step1. ถ่ายแบบไม่ได้ชดเชย Step2. กลับมาดูHistogramแล้ว ลองชดเชยให้พอดี ตอนนี้ออกไปถ่ายรูปปิดLCDตลอด ฮิฮิ แก้ไขเมื่อ 08 มิ.ย. 53 20:11:44 จากคุณ : LIVE 4 LIVE เขียนเมื่อ : 8 มิ.ย. 53 20:08:19

ความคิดเห็นที่ 39 อ่านจนมึน จะพยายามค่อยๆย่อยนะครับ พึ่งรู้ว่ามันเป็นด้วยประการฉะนี้เอง จากคุณ : Son&Ning เขียนเมื่อ : 8 มิ.ย. 53 20:37:27

ความคิดเห็นที่ 40 เข้ามาอ่านครับ จากคุณ : Mu8eN-Zen เขียนเมื่อ : 8 มิ.ย. 53 20:55:27

ความคิดเห็นที่ 41 play + learn = plearn ... เพลิน """""""""""""""""""""""""""""""""""""" ผมถูกใจคำนี้ ที่สุด ครับ  ถึงจะอ่านกระทู็้้น้าแมว แล้ว ผมจะ งง ก็ตาม แต่ผมจะพยายาม play + learn = plearn ... เพลิน  ให้ได้ครับ ขอบคุณครับ จากคุณ : แถมฟรีน้ำ 1 ขวด เขียนเมื่อ : 8 มิ.ย. 53 21:17:42

ความคิดเห็นที่ 42 ขอบคุณมากครับน้าแมวสำหรับความรู้ เดี๋ยวต้องนำไปทดลองใช้ดูครับ จากคุณ : Commandosexy เขียนเมื่อ : 8 มิ.ย. 53 22:00:30

ความคิดเห็นที่ 43 เข้ามาดูหลายที ว่าจะไม่ตอบ แต่ดูแล้ว "ตอบหน่อยดีกว่า" สำหรับกระทู้นี้ ผมยอมรับตามตรงว่า "ไม่เข้าใจ" ทั้งที่อ่านหลายรอบ แต่ก็เอาเถอะ... ถือว่าคุณแมวได้ ให้ข้อมูล ที่เป็นประโยชน์ต่อสมาชิกบางท่านที่ "เข้าใจ(จริงหรือ)" แต่ๆ ผมถามกลับว่า........ มันมีประโยชน์จริงหรือครับ? มันเหมาะสำหรับการนำมาใช้งานจริงหรือไม่? ถ้าไม่เข้าใจสิ่งเหล่านั้นที่ว่ามา แสดงว่า "วัดแสงไม่เป็นหรือ" งั้นผมก็คง "วัดแสงไม่เป็น" เพราะผม "ไม่เข้าใจ" หรือ........ สมมติว่าข้อมูลดังกล่าวถูก!! การจะถ่ายรูปซักรูป ต้องคำนึงอะไรมากมายขนาดนั้นเลยหรือครับ? งั้นถ้าเราจะถ่ายเหตุการณ์อะไรที่มันทันด่วน "ก็หมดสิทธิ์เลย" ไม่ทันแน่นอน ผมว่าเราไม่ต้องไปเข้าใจการทำงานของกล้องขนาดนั้นก็ได้ รู้ว่าอะไรคืออะไร เอามาใช้อย่างไร ให้เกิดประโยชน์สูงสุดก็พอ ทีนี้........ โลกพัฒนามาถึงยุคดิจิตอลแล้ว ย้ำ!! ว่าโลกพัฒนาไปมากแล้วครับ กล้องมันมี Sensor ในการรับข้อมูลและประมวลผลอยู่แล้ว(วัดแสง) มันคำนวณให้เสร็จสรรพแล้วครับว่า ถ้า Input มาแบบนี้ มันจะให้ Output แบบไหน แล้วยังมีตัวช่วยในการยืดหยุ่นด้วย(ชดเชยแสง) เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ตรงตามที่ต้องการ ในกรณีที่กล้องมันทำให้แล้ว "ไม่ถูกใจ" ---------------------------------------------------------------- ที่ผมว่ามาทั้งหมดนี้เพราะ... สงสารมือใหม่ หรือคนที่ไม่รู้เรื่องการวัดแสง และพยายามที่จะเข้าใจ "ข้อมูล" ที่คุณแมวให้มา ผมกล้าพูดได้เต็มปากเลยว่า "มันพากันไปออกทะเลครับ" อาจมีประโยชน์บ้าง แต่ไม่สามารถนำมาใช้ได้จริง แน่นอน!! ---------------------------------------------------------------- สุดท้าย!! ผมฝากข้อความถึง กลุ่มคนที่มีบทบาทและมีความรู้อย่างแท้จริงในห้องกล้องหน่อย!! จะอยู่เฉยๆ โดยไม่พูดกล่าวอะไรหน่อยหรือ ใช่ว่าผมจะหาพวก!! แต่เราจะปล่อยให้เหตุการณ์มันดำเนินไปแบบนี้หรือ คนที่มีบทบาท ย่อมมีคนฟัง พูดอะไรบ้างเถอะครับ ผมขอร้อง ก่อนที่มันจะแย่ไปกว่านี้!! จากคุณ : auxin เขียนเมื่อ : 8 มิ.ย. 53 22:08:21

ความคิดเห็นที่ 44 ถึงพี่ auxin ฮะ.... ส่วนตัวผมเองได้อ่านบอร์ดนี้มาเป็นเวลาซักสองปีแล้วเห็นจะได้...ส่วนเรื่องถ่ายภาพยังพยายามพัฒนาอยู่ครับ...ตอนแรกสุดเลยที่ได้อ่านกระทู้น้าแมว สมัยยังถ่ายไม่เป็นเลยนะครับก็รู้สึกว่าเป็นอะไรที่เข้าใจยาก และมักจะมีปริมาณข้อมูลเยอะแยะจนมึนเสมอๆ พอเริ่มเป็นแล้ว เริ่มเห็นแนวทางตนเองแล้ว ประกอบกับการเรียนรู้จากหลายๆที่ทั้งตำราไทยตำรานอก เวบนั้นเวบนี้ ก็พบว่าวิธีในการเดินถึงเป้าหมายมันมีหลายวิธีครับ ไม่ได้ยึดติดกับแบบใดแบบหนึ่งเป็นพิเศษ....ถึงแม้ว่าพี่ auxin อาจจะมองว่ามันไม่จำเป็นเลย.... แน่นอนครับ!!! ผมเห็นด้วยว่าวิธีการนับ EV ของน้าแมว"แทบจะ" ไม่มีประโยชน์กับผมเลย เพราะปกติผมวัดแสงตรงไหน ก็เข้าใจว่าถ้าปรับให้ได้ตรงกลาง มันก็ได้โทนสว่างเท่ากับเทากลาง 18% อยากได้สว่างกว่าก็ชดเชยบวก มืดก็ชดเชยลบ ใครจะใช้โหมดไหน วัดเฉลี่ย หนักกลาง ฯลฯ ก็ตามถนัด ก็ได้ภาพอย่างที่ต้องการจะได้ทุกครั้ง.... แต่ทีนี้ถ้าจะบอกว่าวิธีของน้าแมวไม่มีประโยชน์เลย สำหรับผมมันไม่ใช่ครับ....บางสถานการณ์ผมก็ใช้วิธีจำสภาพแสงเอา ไม่ได้นับนะครับ แต่จำจากความเคยชิน(คงคล้ายๆกับการนับ EV ของน้าแมว) ก็ปรับเอาเลยตามที่จำได้ ก่อนที่จะยกขึ้นมาถ่าย ทำไมต้องทำแบบนั้นในเมื่อกล้องก็วัดแสงได้???? บางทีเราก็ยกกล้องมาวัดไม่ได้ครับ....ยกกล้องได้แชะเดียวเท่านั้น อย่างรวดเร็ว บางสถานการณ์ มันก็เป็นแบบนั้นนะครับ อาจจะเจอได้ไม่บ่อย แต่ได้ใช้.... กระทู้น้าแมวกระทู้นี้ อ่านแล้วพอเข้าใจ...ไม่ชัดเจนนัก...แต่ที่มีประโยชน์คือ ทำให้เรากลับมาคิดว่า ไม่แน่....บางทีอาจจะมีประโยชน์....ก็ตามแต่สถานการณ์ที่บอกครับ บางทีหนทางที่เราเดิน อาจจะไม่ใช่ทางเดียวที่เดินถึงเป้าหมายก็ได้ครับ...ทางอื่นแม้จะออกทะเลไปบ้าง....แต่รับรองได้ว่าทางที่เราเดินนั้นกว้างยิ่งกว่าใครๆ จากคุณ : Abolys เขียนเมื่อ : 8 มิ.ย. 53 22:51:02

ความคิดเห็นที่ 45 จะว่าไปการวัดแสงในกล้องใหม่ๆถึงแม้ว่ามันจะฉลาดแค่ไหนก็ตาม...มันก็มีพื้นฐานมาจากควาพัฒนามาจากความรู้เดิมๆ หรือวิธีเดิมๆนั่นแหล่ะ ที่น้าแมวพิมพ์มาซะยืดยาวใช้ประโยชน์ได้มั้ย....ได้แน่นอน สามารถอธิบายคำถามที่พบบ่อยมากๆ ได้ว่าทำไมถ่ายรูปที่ชายหาดแล้วหน้าดำ หรือฟ้าขาวเว่อร์... อธิบายได้ว่าการถ่ายคอนสิร์ต ควรจะถ่ายยังไงให้นักร้องออกมากไม่เป็นผี... ในกรณีที่เราถ่ายได้แค่รูปเดียว ประมาณว่าโอกาสมีครั้งเดียว คุณจะลองผิดลองถูกให้ sensor เทพเจ้ามันจัดการมั้ย?? ถ้าเราเข้าใจ concept เหล่านี้มันไม่ยากหรอกครับที่จะเอาไปใช้ ความสุขในการถ่ายรูปของคนเรามีหลายแบบ...บางคนขอแค่ได้กดๆๆๆๆๆ ก็พอใจ แต่ยังมีบางคนที่มีความสุขกับการได้ตั้งนู่นตั้งนี่ แล้วกดครั้งเดียว..... ปล...ถ้าผมจำไม่ผิด คห. 43 เคยดราม่าเรื่องขอดูรูปของคนบางคนนี่ครับ..... จากคุณ : ext.ผักชี เขียนเมื่อ : 8 มิ.ย. 53 22:58:23

ความคิดเห็นที่ 46 เอ่อ ด้วยความเครพครับ ผมไม่ทราบจริงๆกับประโยค "มันพากันไปออกทะเล" กับ "เราจะปล่อยให้เหตุการณ์มันดำเนินไปแบบนี้หรือ" มันมีความหมายใด เพราะเท่าที่อ่านมา มันก็ไม่ได้มีเรื่องราวเสียหายอะไร หรือ ไม่ได้เป็นเรื่องที่ไม่มีประโยชน์ ความรู้ กับ เทคนิค มันก็ของใครของมัน ถ้าไม่ใช่แบบที่เราถนัด จะไปว่าคนอื่นมั่วก็ไม่ใช่ ผมอยู่ห้องนี้มานาน แต่ไม่ค่อยตอบเลย คำตอบนี้คงยาวที่สุดเท่าที่เคยพิมพ์ เคยอ่านความเห็นของน้าๆหลายท่าน มันก็สาระทั้งนั้น แต่ อันไหนที่เราชอบ ที่ถนัด ที่พอทำได้ก็ทำ อันที่ไม่ถนัด ก็ไม่ทำ แต่อย่าติติงกัน ขออภัยหากข้อความนี้รบกวนจิตใจ แต่ผมก็ยังเข้าห้องนี้ทุกวัน และก็ยังรู้สึกว่ามันยังปกติดี เพราะที่นี่เป็น สังคม ไม่ใช่พื้นที่ส่วนบุคคล!! จากคุณ : แมลงแบกเป้ เขียนเมื่อ : 8 มิ.ย. 53 23:02:20

ความคิดเห็นที่ 47 ลืมขอบคุณน้าแมวครับ.... ผมติดตามตลอดเลยนะ.... จากคุณ : ext.ผักชี เขียนเมื่อ : 8 มิ.ย. 53 23:03:04

ความคิดเห็นที่ 48 แล้วมือใหม่ล่ะจะได้ประโยชน์อะไร??? สิ่งที่มือใหม่จะได้ก็คือ  รู้คร่าวๆว่าระบบวัดแสงของกล้องมันทำงานอย่างไร แล้วก็รู้ด้วยว่าสมัยก่อนที่ไม่มีเครื่องวัดแสงเขาถ่ายภาพกันยังไง (อันนี้เดาเอาฮะ เพราะเกิดไม่ทัน) บางคนก็ชอบถามแบบเจาะจงว่า ถ่ายกลางคืนในตลาดนัด ตั้งค่าf speed iso เท่าไหร่ดี ตอบไปเลยว่า โหมด M ISO1600 F2.8 S1/15 ถ้าถ่ายคนก็เปิดแฟลชด้วย....บางทีมันก็ง่ายดีใช่ไหมครับ??? ไม่ต้องมานั่งอธิบายกันยืดยาว เพราะคนบางประเภท มันไม่อยากเรียนรู้อะไรอยู่แล้ว เอาไปเลยสูตรสำเร็จ สำหรับมือเก่าล่ะ ได้อะไร??? ได้เห็นว่าการถ่ายภาพมันเป็นศิลปะครับ??? มันไม่ตายตัว เปลี่ยนแปลงได้ตามยุคตามสมัย...ในอดีต ผมเชื่อว่าตากล้องหลายคนพกกระดาษที่ว่านี้ ตอนนี้ใครจะใช้ก็ไม่ผิด ก็เหมือนกับเลนส์มือหมุนอ่ะครับ....หมุนกันไปทำไม สายตาเสียหมด... ตัวอย่างเช่น วิธีที่ Steve McCurry ถือกล้อง ถามจริงว่าถ้าพี่ไปเห็นผมถือท่าแบบนั้น...พี่จะหาว่าผมเพี้ยนไหมครับ??? แต่ถ้าผมมีชื่อว่า Steve M ก็กลายเป็นเทพทันที ไม่มีใครตั้งคำถามด้วย มีแต่จะพยายามหาเหตุผลว่า เหตุใดเทพองค์นั้นถึงจับกล้องด้วยวิธีพิศดารที่ปุถุชนไม่เข้าใจ บางทีถ้าเราเปิดใจซักนิด อาจจะได้เก็บเกี่ยวอะไรกับไปบ้างนะครับ ประโยชน์...บางครั้งมันก็ขึ้นกับเวลา... ปล.ผมเชื่อว่าจริงๆเวลาน้าแมวถ่ายภาพไม่ได้มานั่งคำนวณเรื่องพวกนี้หรอก แกก็วัดแสงเหมือนพวกเรานั่นแหละ แต่ด้วยความที่แกมีความชอบในการค้นคว้าข้อมูลอยู่เสมอๆ และคิดว่าเรื่องนี้น่าจะมีประโยชน์ ก็เลยเอามาแชร์ครับ แก้ไขเมื่อ 08 มิ.ย. 53 23:18:36 จากคุณ : Abolys เขียนเมื่อ : 8 มิ.ย. 53 23:04:31

ความคิดเห็นที่ 49 เคยมีกรณีพิพาทระหว่างไฟล์ JPEG กับ ไฟล์ RAW น่าจะปีที่แล้ว น้าแมวก็เชียร์ RAW ซะเต็มที่บอกว่ามันดีอย่างงั้นอย่างงี้ บลาๆ โปรบางท่านก็บอกว่าเดี๋ยวนี้ JPEG ดีขึ้นมากแล้วนั่งใช้ไฟล์ดิบกันทำไม...กล้องมันโปรเซสได้ดีแล้ว....บลาๆๆ ณ ตอนนี้ Photoshop CS4,5 ใน Adobe Camera Raw มี ND ครึ่งซีกแล้วนะฮะ ประหยัดค่าฟิลเตอร์ไปหลายพันอยู่....ชอบไฟล์ดิบขึ้นมาทันที....ถ้าถ่าย JPEG ภาพจะแตกทันทีครับ... ไม่รู้ในอนาคตจะเจ๋งกว่านี้อีกไหม??? จากคุณ : Abolys เขียนเมื่อ : 8 มิ.ย. 53 23:12:21

ความคิดเห็นที่ 50 อย่าลืมโฟโต้แบทเทิ่ลสิครับ....เกิดมาจากไหน จากคุณ : ext.ผักชี เขียนเมื่อ : 8 มิ.ย. 53 23:20:04

ความคิดเห็นที่ 51   ความคิดเห็นที่ 22     ไหนก็ไหนๆแล้วรบกวนน้าๆอีกซักนิดนะครับ... อีกอย่างที่อยากจะถามคือ   แสงมันขึ้นกับระยะทางที่ห่างจากวัตถุด้วยหรือไม่ ความสว่างมันจะลดลงหรือเปล่า   แล้วมันจะเกี่ยว อะไรกับสมการบ้างไหม หรือระยะทางแค่ใช้คำนวนแค่กำลังแฟลชที่ยิงหาวัตถุเท่านั้นครับ จากคุณ : นิ้วจิ้ม   เขียนเมื่อ : 7 มิ.ย. 53 23:21:54     ------------------------------------------------------ เวลาเราถ่ายภาพวิวนะครับ วัตถุตั้งแต่พื้นตรงหน้าเรา 1 เมตร ไล่ออกไป จนถึงภูเขาไกลออกไป 10 กิโล ได้รับแสงอาทิตย์เท่ากันใช่ไม๊ครับ ถ้าคุณจะบอกว่า ระยะทางมีผลแสดงว่า ภาพภูเขาที่อยู่ไกลออกไปต้องมืดลง ซึ่งในความเป็นจริงมันไม่ใช่ ความสว่างของภาพของวัตถุที่อยู่ไกลออกไปนั้นจะไม่ลดลงครับ กฏ Sunny 16 ก็ใช้ได้ถึงดวงจันทร์หละครับ   ถ่ายดวงจันทร์ตอนกลางคืน(บนโลก) ก็ต้องปรับหน้ากล้องโดยใช้ กฎ Sunny 16 ซึ่งใช้กับตอนกลางวัน(บนโลก)เหมือนกัน ตราบใดที่ที่ "แหล่งกำเนิดแสง" (Sun) อยู่ห่างจากวัตถุ (Earth, Moon) เท่าๆ กัน เหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่า แม้เราถอยห่างจากวัตถุไกลออกไป แสงที่สะท้อนจากวัตถุที่วิ่งเข้าหน้าเลนส์นั้นน้อยลงก็จริง แต่ขนาดภาพของวัตถุก็เล็กลงด้วย และด้วยสมการอันซับซ้อน สรุปว่าแสงที่เข้าน้อยลง มันลดลงโดยสัมพันธ์กับขนาดของภาพวัตถุที่เล็กลงไปด้วย ซึ่งทำให้สุดท้ายแล้ว ความสว่างของภาพวัตถุนั้น "เท่าเดิม" ครับ จากคุณ : แมวดมกล้วย เขียนเมื่อ : 9 มิ.ย. 53 00:19:04

ความคิดเห็นที่ 52 " ผมมองว่าเป็นการพยายามทำ survival guide นะ.. ถ้ากล้องฟิล์มแบบกลไกแบตหมดจะเอาตัวรอดอย่างไร ถ่ายได้ แต่วัดแสงไม่ได้ ผมได้แค่รู้จัก(แต่ไม่สนิท) กับหลัก Sunny f/16 เท่านั้นเอง ผมได้แต่จินตนาการว่ากล้องมันจะทำแบบนี้ได้ไหม โดยที่เราไม่ต้องมานั่งเช็คหลังจากถ่ายภาพไปแล้ว และทำการแก้ไขด้วยตัวเอง.. (1)เราสั่งให้กล้องเลือกค่าการเปิดรับแสงที่ค่าท้ายสุดก่อนเกิด highlight clipping อาจมีกรณีที่ต้องสูญเสียรายละเอียดในส่วน shadow แค่อาจนะ หรือ (2)เลือกค่าการเปิดรับแสงแรกที่เกิด highlight clipping โดยยินยอมให้เกิดการสูญเสียรายละเอียดส่วน highlight ได้ ในกรณีหลัง เนื่องจากเรารู้ว่าบริเวณไหนที่มักเกิด highlight clipping เสมอๆ และไม่มีความสำคัญ หรือมีน้ำหนักต่อภาพโดยรวม ทำมาที่ความละเอียดขั้นละ 1/3 stop เป็น setting ให้เลือกที่ตัวกล้องเลยว่าจะเอาแบบไหน ละเอียดประมาณใด โดยที่เรายังคงเป็นนายของกล้องตามปกติด้วยโหมดการถ่ายภาพต่างๆ " จากคุณ : ตุ๊กตาหมี เขียนเมื่อ : 9 มิ.ย. 53 03:02:57

ความคิดเห็นที่ 53 ความรู้ เก็บเอาไว้ก็ไม่เสียหาย รู้ไว้ใช่ว่า...ใส่บ่าแบกหาม....เผื่อว่าวันหลังเด็กๆถาม..จะได้ตอบเขาได้ จากคุณ : แถมฟรีน้ำ 1 ขวด เขียนเมื่อ : 9 มิ.ย. 53 06:41:37

ความคิดเห็นที่ 54 เข้ามา "มึน" ละกันครับ... สำหรับ ชาวบ้านทั่วๆไป แบบผมคงจะต้องอ่านผ่านๆ ตามคำแนะนำของน้าแมว... เอาไว้ถ้าผมเล่นกล้องจริงๆจังๆ กว่านี้จะกลับมาศึกษาอย่างละเอียดอีกรอบ ขอบคุณครับสำหรับข้อมูลดีๆครับ จากคุณ : ลิงหน้าหมู เขียนเมื่อ : 9 มิ.ย. 53 08:58:20

ความคิดเห็นที่ 55 ขอบคุณครับ   น้าแมวดมกล้วย  แต่ก็ยังออกอาการทรงตัวไม่ได้งงเล็กน้อย เอาใหม่... จาก  สูตร  e=mc^2    เอ๋ยไม่ใช่    e+iso = t+a ถ้าเอา  กฎ  sunny  16  ไปแทนค่า e+1  =  6 2/3  + 8 จะได้  e  เท่ากับ  13 2/3 แสดงว่าแดดเปรี้ยงๆของ  sunny  16 ev  ประมาณ  13 2/3   ใช่ไหมครับ.... ขอแก้หน่อยครับ   ข้างบน  iso 100  ค่าเท่ากับ 0   ev   จะได้ประมาณ  14 2/3  ครับ แก้ไขเมื่อ 10 มิ.ย. 53 11:40:45 แก้ไขเมื่อ 09 มิ.ย. 53 09:29:38 จากคุณ : นิ้วจิ้ม เขียนเมื่อ : 9 มิ.ย. 53 09:23:29

ความคิดเห็นที่ 56 นั่งอ่านมาก็นานแสนนาน  งงบ้าง  ไม่งง บ้าง ตามประสาคนที่โตมากับ Nikon FM2n  ที่เครื่องวัดแสงเสีย ฮ่าๆๆๆ เลยต้องกะด้วยสายตาแล้วไปลุ้นอีกทีตอนล้างกับอัด โดยส่วนตัวคิดว่าเป็นเนื้อหาที่ดีนะครับ  ให้ความรู้เรื่องแสง ความเปรียบต่างระหว่างแสงแต่ละจุด  ถ้ารู้และเข้าใจเรื่องเหล่านี้รับรองว่า ไม่ถูกแสงหลอกเราแน่นอน ....ถึงแม้เทคโนโลยีเครื่องวัดแสงที่มีอยู่ในตัวกล้องจะเข้าขั้นดีเยี่ยมก็ตาม แต่มันก็ทำงานแบบตรงไปตรงมา  มันถูกหลอกได้ครับ   แล้วเราจะทำอย่างไรที่จะกดชัตเตอร์ทีเดียวได้ภาพที่ดีเลยล่ะ?   ความเข้าใจเรื่องแสงไงครับที่ตอบคำถามได้ เรื่องเหล่านี้ควรรู้ครับ   ขอบคุณน้าแมวครับ...เทคโนโลยีทำให้ผมลืมเรื่องเหล่านี้ จากคุณ : ช่างภาพหนึ่งในล้าน เขียนเมื่อ : 9 มิ.ย. 53 10:32:34

ความคิดเห็นที่ 57   ความคิดเห็นที่ 55     ขอบคุณครับ   น้าแมวดมกล้วย  แต่ก็ยังออกอาการทรงตัวไม่ได้งงเล็กน้อย เอาใหม่... จาก  สูตร  e=mc^2    เอ๋ยไม่ใช่    e+iso = t+a ถ้าเอา  กฎ  sunny  16  ไปแทนค่า e+1  =  6 2/3  + 8 จะได้  e  เท่ากับ  13 2/3 แสดงว่าแดดเปรี้ยงๆของ  sunny  16 ev  ประมาณ  13 2/3   ใช่ไหมครับ.... แก้ไขเมื่อ 09 มิ.ย. 53 09:29:38 จากคุณ : นิ้วจิ้ม   เขียนเมื่อ : 9 มิ.ย. 53 09:23:29     ---------------------------------------------- ถูกต้องแล้วครับ ยินดีด้วยครับ คุณเข้าใจเรื่อง EV แล้ว จากคุณ : แมวดมกล้วย เขียนเมื่อ : 9 มิ.ย. 53 10:41:59

ความคิดเห็นที่ 58   ความคิดเห็นที่ 52     ... ผมได้แต่จินตนาการว่ากล้องมันจะทำแบบนี้ได้ไหม โดยที่เราไม่ต้องมานั่งเช็คหลังจากถ่ายภาพไปแล้ว และทำการแก้ไขด้วยตัวเอง.. (1)เราสั่งให้กล้องเลือกค่าการเปิดรับแสงที่ค่าท้ายสุดก่อนเกิด highlight clipping อาจมีกรณีที่ต้องสูญเสียรายละเอียดในส่วน shadow แค่อาจนะ หรือ (2)เลือกค่าการเปิดรับแสงแรกที่เกิด highlight clipping โดยยินยอมให้เกิดการสูญเสียรายละเอียดส่วน highlight ได้ ในกรณีหลัง เนื่องจากเรารู้ว่าบริเวณไหนที่มักเกิด highlight clipping เสมอๆ และไม่มีความสำคัญ หรือมีน้ำหนักต่อภาพโดยรวม ทำมาที่ความละเอียดขั้นละ 1/3 stop เป็น setting ให้เลือกที่ตัวกล้องเลยว่าจะเอาแบบไหน ละเอียดประมาณใด โดยที่เรายังคงเป็นนายของกล้องตามปกติด้วยโหมดการถ่ายภาพต่างๆ " จากคุณ : ตุ๊กตาหมี     เขียนเมื่อ : 9 มิ.ย. 53 03:02:57     ------------------------------------------------- เหตุที่กล้อง DSLR (ที่คนส่วนมากถ่ายเป็นไฟล์ jpg) ต้องพึ่งพาระบบวัดแสง หรือประสบการณ์เรื่องการวัดแสงเป็นอย่างสูงนั้น ก็เพราะว่าการถ่ายภาพด้วย DSLR มันเทียบได้กับการถ่ายฟิล์ม Positive  (ฟิล์มสไลด์) ในยุคฟิล์ม ถ่ายมาแบบไหนก็ได้แบบนั้น ผิดแล้วผิดเลย ไม่มีโอกาสแก้ตัว ทำได้อย่างมากก็ยก curve หรือ เพิ่มสว่าง/ลดสว่าง ใน Postprocess ที่ไม่มีทางเอารายละเอียดในส่วนมืดหรือส่วนสว่างกลับมาได้ ดังนั้น DSLR จึงออกแบบให้มี RAW file เป็นทางเลือกเพื่อเก็บค่าความสว่างเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อย ประมาณ 1 ถึง 1 1/2 stop เพื่อให้มาปรับเพิ่มลดทีหลังได้ (ใน NX ปรับลงได้ 2 stop ก็จริง แต่ detail ใน Hilight ไม่มา คือซอท์ฟแวร์มันมีค่า -2 ให้ปรับ แต่ detail ที่ Image sensor บันทึกมามันไม่มี) อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่า RAW ไฟล์จะออกแบบมาให้มีช่องว่างเผื่อสำหรับความผิดพลาดบ้าง แต่สุดท้ายแล้วก็ยังเทียบไม่ได้กับการถ่ายฟิล์ม Negative ที่ออกแบบให้รองรับความผิดพลาดของการวัดแสงได้มากถึง 2 สตอปกว่าๆ (เค้าว่ามานะครับ แต่จริงๆ ผมลองดูแล้ว ถ่าย under ได้ 1 stop ถ่าย Over ได้ 2 stop กว่า) โดยที่เราสามารถเอามาดึงขึ้นหรือดึงลงได้โดยรายละเอียดยังอยู่ครบ ราวกับว่าเราวัดแสงมาถูก ดังนั้นแนวโน้มของการทำงานที่ต้องการคุณภาพสูงๆในอนาคตคือ 1. มีการพัฒนา Image Sensor ที่มีพฤติกรรมแบบ Negative Film คือ Low Contrast / High DR 2. มีการปรับปรุงซอฟแวร์จัดการไฟล์ RAW เพื่อเลียนกระบวนการแลบล้างอัดรูปสมัยก่อน คือ   ถ่าย Negative -> [เครื่องอัดรูปที่ปรับ RGB ได้]-> อัดลงกระดาษ กลายเป็น ถ่าย RAW -> [ซอฟท์แวร์ที่ปรับ RGB ได้]->ไฟล์ jpg ที่ใช้งานได้ ตอนนี้ก็มีกล้องถ่ายภาพยนต์ Digital บางรุ่นได้ประยุกต์ใช้งาน Image Sensor ที่เลียนแบบ Negative Film ไปแล้ว แต่กล้อง DSLR เท่าที่ทราบยังไม่มีครับ หลักการคล้ายๆ กับใน clip นี้หละครับ แต่ดีกว่านั้น จากคุณ : แมวดมกล้วย เขียนเมื่อ : 9 มิ.ย. 53 11:18:38

ความคิดเห็นที่ 59   ในกล้อง Compact ก็ได้มีการนำแนวความคิดนี้ไปใช้แล้วคือกล้องฟูจิตระกูล EXR ทั้งหลายไงครับ แต่ต่างกันตรงที่ กล้องคอมพ์แพคต์ต้องโปรเซสในตัวกล้องแล้วจบในตัวกล้องเลย ไฟล์ภาพใช้ได้ทันที ส่วน DSLR ถ่ายมาเป็น RAW แล้วใช้ไม่ได้ในทันที ต้องเอามาผ่านซอฟท์แวร์ก่อน ส่วนเรื่องที่เสนอมาว่า... (1)เราสั่งให้กล้องเลือกค่าการเปิดรับแสงที่ค่าท้ายสุดก่อนเกิด highlight clipping อาจมีกรณีที่ต้องสูญเสียรายละเอียดในส่วน shadow แค่อาจนะ หรือ (2)เลือกค่าการเปิดรับแสงแรกที่เกิด highlight clipping โดยยินยอมให้เกิดการสูญเสียรายละเอียดส่วน highlight ได้ ในกรณีหลัง เนื่องจากเรารู้ว่าบริเวณไหนที่มักเกิด highlight clipping เสมอๆ และไม่มีความสำคัญ หรือมีน้ำหนักต่อภาพโดยรวม ผมว่าเค้าก็ทำมาแล้ว มันก็คือระบบวัดแสงแบบ 3D Color Matrix Metering (กรณีที่เป็น Nikon) นั่นหละครับ มีการเทียบ scene กับ database ด้วยซ้ำว่าไปคล้ายกับ case ไหนแล้วต้องปรับอย่างไร ถ้าสภาพแสงไม่ซับซ้อน ผมว่ากล้องตัวไหนก็วัดถูกหมดครับไล่ตั้งแต่ compact จนถึง DSLR รุ่น Top แต่ถ้าสภาพแสงซับซ้อนมากๆ บางทีต้องพึ่งประสบการณ์ของคนมากกว่า กล้องหามาให้บางทีก็ไม่ถูกใจหรอกครับ จากคุณ : แมวดมกล้วย เขียนเมื่อ : 9 มิ.ย. 53 11:36:31

ความคิดเห็นที่ 60 คุณแมวดมกล้วย .. เมื่อไหร่จะไปขออมยิ้มซะที? มันรำคาญหนะ .. ที่เวลาอ่าน คห.ดีๆ จากคุณแล้ว ให้ give ไม่ได้ ขอค้านตรงนี้นิดนะครับ ดังนั้น DSLR จึงออกแบบให้มี RAW file เป็นทางเลือกเพื่อเก็บค่าความสว่างเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อย ประมาณ 1 ถึง 1 1/2 stop เพื่อให้มาปรับเพิ่มลดทีหลังได้ raw ไม่ได้ถูกออกแบบมาให้ "เก็บค่าความสว่างเพิ่ม" มันเป็นธรรมชาติอย่างนั้นของมัน raw คือ ข้อมูลดิบ ที่ออกมาจากเซนเซอร์(เกือบ)โดยตรงเท่านั้น (ถ้าจะว่ากันจริงๆ .. raw ไม่ใช่ file รูปภาพด้วยซ้ำ ) แต่ jpeg คือ file ภาพ จุดต่าง ((เรื่องข้อมูลช่วงรับแสงที่เก็บในไฟล์)) ระหว่าง jpg กับ raw คือ raw เก็บข้อมูลล้วนๆ โดยตรงจากเซนเซอร์ ในขณะที่ jpeg ทำการ process ข้อมูล เพื่อเก็บรายละเอียดส่วนสำคัญของภาพ และทิ้ง ข้อมูลที่ คำนวนแล้ว คิดว่าไม่สำคัญ เพื่อให้ ข้อมูลช่วงรับแสง ส่วนที่เหลือ ยัดลงไปในกรอบของ jpg ได้ ข้อมูลเทคนิคข้อนี้ มือใหม่ (ที่หัดเล่น dSLR) ต้องพยายามจำและเข้าใจ เพราะอะไร? เพราะ sensor มันมีความสามารถในการรับแสงที่มีความแตกต่างกัน ระหว่างมืดสุด -> สว่างสุด ได้ถึง 11 stops เป็นอย่างน้อย (dSlR ทั่วไป = 12 stops) นั่นคือ raw file เก็บข้อมูลภาพ ที่มีความสว่างไม่น้อยกว่า 11 stops ไว้ ในขณะที่ข้อกำหนดคุณลักษณะ ของการเก็บภาพแบบ jpeg กำหนดว่า ต้องจัดการ (process) ให้ภาพมีช่วงความสว่าง ระหว่างมืดสุด กับสว่างสุด ของข้อมูลที่ผ่านการจัดการมาแล้ว อยู่ในขอบเขต 8 stops ข้อแตกต่างนี้ หมายความว่า .. ไม่ว่า sensor นั้น จะมีความสามารถน้อย เก็บข้อมูลแสงที่สว่างต่างกันแค่ 10 bits หรือ สามารถมาก เก็บได้ 14 bits ... กระบวนการ JPEG จะทำการคัดกรอง, ดัดแปลงข้อมูล, ทิ้งข้อมูล .. เพื่อให้ข้อมูลที่เหลือ สามารถถูก "กระชับพื้นที่" อยู่ในขอบเขต 8 stops นี้ได้ จากคุณ : แมวเหมียวพุงป่อง เขียนเมื่อ : 10 มิ.ย. 53 05:44:41

ความคิดเห็นที่ 61 สิ่งที่กระบวน jpeg รุ่นเก่าๆทำ (และยังเป็นที่ยอมรับกัน) คือ เอาข้อมูล (ช่วงความสว่าง) ทั้งหมดของภาพนั้นๆ (ก่อนเข้ากระบวนการ) มาหาค่าสถิติ ว่า ค่ากลางเป็นอย่างไร ภาพส่วนใหญ่ ข้อมูลความสว่าง จะออกมาเป็นกราฟรูป "ระฆังคว่ำ" คนเรียนสถิติมา จะนึกภาพออกทันที .. จากนั้น จะทำการตัดหัวตัดหางข้อมูล ที่อยู่ปลายกราฟทิ้ง (คำนวนก่อน ว่าควรทิ้งหรือไม่) แล้วค่อยเอาตรงกลางมาบีบอัด -------------------- ในขณะที่ EXR จะ"แบ่ง" ข้อมูล raw ออกเป็นสองส่วน ส่วนที่สว่างน้อย จัดการอย่างหนึ่ง ส่วนที่สว่างมาก จัดการอีกอย่างหนึ่ง ทำให้เสมือนเก็บรายละเอียดได้ดีขึ้น แต่ ขีดจำกัดของ jpeg .. ก็ทำให้การเก็บ .. ไม่ว่าทำดีแค่ไหน ก็เกิน 8 stop ไม่ได้ จากคุณ : แมวเหมียวพุงป่อง เขียนเมื่อ : 10 มิ.ย. 53 05:53:50

ความคิดเห็นที่ 62 ผมฝากข้อความถึง กลุ่มคนที่มีบทบาทและมีความรู้อย่างแท้จริงในห้องกล้องหน่อย!! จะอยู่เฉยๆ โดยไม่พูดกล่าวอะไรหน่อยหรือ ใช่ว่าผมจะหาพวก!! แต่เราจะปล่อยให้เหตุการณ์มันดำเนินไปแบบนี้หรือ คนที่มีบทบาท ย่อมมีคนฟัง พูดอะไรบ้างเถอะครับ ผมขอร้อง ก่อนที่มันจะแย่ไปกว่านี้!! คุณ auxin เป็นอะไรหรือครับ โดนฝนมากไปหรือเปล่า ถึงได้ใช้อารมณ์และความรู้สึกล้วนๆ ในการแสดงความเห็นดังกล่าว สิ่งที่คุณไม่ชอบ มันเป็นเรื่องส่วนตัวของคุณ เรื่องส่วนตัวคุณ .. ไม่มีใครเขายุ่งเกี่ยว แต่สิ่งที่คุณกำลังพยายามอยู่นี้ คือ ป่าวร้องปาวๆๆๆๆ ว่า เฮ้ย! กรูไม่ชอบเรื่องนี้ ใครที่มีอำนาจ ช่วยใช้อำนาจ ทำลายไอ้สิ่งที่กรูไม่ชอบหน่อยเถอะหว่ะ! อะไรคือ "มันพากันไปออกทะเลครับ" อะไรคือ "อาจมีประโยชน์บ้าง แต่ไม่สามารถนำมาใช้ได้จริง แน่นอน!!" คุณฟันธง ด้วยคำว่า "แน่นอน" หมายความว่า คุณกำลังยืนยันว่า คุณเท่านั้น, คุณคนเดียว YOU, ONLY YOU, NO ONE ELSE ที่ทุกคนต้องเชื่อ ที่ทุกคนต้องฟัง ความเห็นของคุณเท่านั้น ที่ถูกต้อง สิ่งที่คุณเห็นว่า ไม่ถูกต้อง คือสิ่งที่ผิด ฉะนั้น สิ่งใดที่คุณเห็นว่าไม่ถูกต้อง, สิ่งที่ผิด พ่อแม่พี่น้องทั้งหลาย .. ควรยับยั้ง คำห้ามปราม ควรทำลาย ถ้าพ่อแม่พี่น้องทั้งหลาย ไม่รู้จะทำอย่างไร ผู้มีอำนาจ ผู้สามารถใช้อำนาจ ต้องฟังที่คุณ auxin พูด ต้องรีบบีบ ต้องรีบกำจัด ต้องรีบทำลาย สิ่งที่คุณ auxin เห็นว่าผิด นี้โดยเร็ว ก่อนที่มันจะทำให้เว็บบอร์ดแห่งนี้หมองมัว หรือ ล่มสลาย ก่อนที่มันจะทำให้สังคมเป็นสังคมวิปริต สังคมซอมบี้ --------------------------------------- เหตุผลข้างๆคูๆ ที่คุณ auxin ยกมา เพราะไข้ขึ้นหนักนี้ ผมขอยกตัวอย่างเปรียบเทียบ ยุคนี้ มันยุคคอมพิวเตอร์แล้ว มี word processor เจ๋งๆ ที่ช่วยพิมพ์ แถมตรวจทานคำผิดไปในตัว เราไม่ต้องเรียนภาษาไทยให้มาก ไม่ต้องเรียนรู้เรื่องการสะกดคำ หรือ การใช้ไวยากรณ์ที่ถูก มันทั้งเสียเวลา เปลืองความคิด ปวดหัว และทำให้คนที่อยากทำงานเสร็จเร็วๆ มัวแต่มาเรียน มาจำ และอาจทำให้เข้าใจเรื่องการสะกดคำไทย ไวยากรณ์ไทย หลักภาษาไทย ที่อาจผิดๆไปได้ อย่าไปเรียน อย่าไปรู้ อย่าไปศึกษา หลักภาษาไทยมันเลย ปล่อยให้มันเสื่อมสลาย ตายแตกดับ ไปกับความโบราณไม่ทันยุคสมัยของมันเถอะ ครูภาษาไทย ใช้คอมพิวเตอร์ก็ไม่เป็น สอนบางทีก็ผิดๆถูกๆ หงำเหงอะๆไปตามเรื่อง ตามประสาครูอนาล็อก ขนาดเขียนหนังสือ ยังเขียนไม่ถูกต้อง แม่นเป๊ะ 100% เหมือน MicroSoft Word แถมยังสอนบ้าสอนบออะไรก็ไม่รู้ สระ วรรณยุกต์ คำเป็นคำตาย คำพ้อง ฯลฯ ซึ่งมันไม่ได้ใช้งานในชีวิตจริงซักหน่อย เรียนไปไร้ค่า ตายห่าก็ลืมหมด จะมาตะบี้ตะบันสอนทำไม???? อธิบดีกรมการศึกษา, รัฐมนตรีกระทรวง ฯลฯ ใครก็ได้ ที่มีอำนาจในด้านการศึกษาของประเทศนี้ ไม่เห็นหรือว่า ครูแก่ๆ เชยๆ พวกนั้น มันทำอะไรกับการศึกษาของประเทศอยู่ ท่านจะนั่งเฉยๆ แล้วปล่อยให้พวกครูภาษาไทยแก่ๆ เชยๆพวกนั้น ยัดเยียดความรู้ที่ไร้ประโยชน์ ใช้งานจริงอะไรไม่ได้ กับพวกนักเรียนอีกต่อไปทำไม เราจะปล่อยให้เหตุการณ์มันดำเนินไปแบบนี้หรือ บ้านเมืองไทย อาจพังพินาศได้ หากประชาชน และผู้มีอำนาจ มองไม่เห็น สิ่งที่คุณ auxin พยายามบอก ... จากคุณ : แมวเหมียวพุงป่อง เขียนเมื่อ : 10 มิ.ย. 53 06:13:03

ความคิดเห็นที่ 63 ความรู้ที่ไร้ประโยชน์ ใช้งานจริงอะไรไม่ได้ ถ้าอย่างนั้น ผมขอรูป จากคุณ auxin รูปเดียว ไม่ได้ขอรูปวิเศษวิโส โชว์เมพ โชว์เกรียน โชว์มุมมองระดับเทพ แต่ขอรูปธรรมดาสามัญ ที่คนมีกล้องทั่วๆไปชอบถ่ายกันมาบ่อยๆ รูปน้ำตก ถ่ายตอนกลางวัน มีแดดจัดๆ ให้ภาพที่ได้ ไม่ต้องเป็นภาพน้ำที่ตกจากแผ่นผาหรอก (และไม่ใช่้น้ำตก ซกเล็ก) เอาแค่ภาพที่ธารน้ำที่ไหลมาจากปลายน้ำตก ... ถ่ายง่ายๆ ให้สายน้ำไหลเป็นสาย นุ่มๆนวลๆ  เห็นสายน้ำชัดเจน อย่างที่คนธรรมดาสามัญทั่วๆไปเขาชอบกัน ถ่ายตอนกลางวัน มีแดดจัดๆ อย่างที่คนทั่วๆไปเขาถ่ายกัน ตอนไปเที่ยวน้ำตก แค่ 1 รูป ธรรมดาๆสามัญเท่านั้น ไปถึงปลายน้ำตก เล็งไปที่ที่น้ำไหลผ่าน แดดสะท้อนประกายสวยๆ แล้วยกกล้องกดชั้บเข้าไป ภาพเอียง ไม่สำคัญ, ไม่ตรงกฏสามส่วน ไม่สำคัญ, ไม่ได้องค์ประกอบศิลป์ที่ดี ไม่สำคัญ กล้องอะไรไม่สำคัญ จะ 1D, D1 หรือ compact หรือ กล้องที่คุณ auxin บอกว่า "มี Sensor ในการรับข้อมูลและประมวลผลอยู่แล้ว(วัดแสง) มันคำนวณให้เสร็จสรรพแล้วครับว่า ถ้า Input มาแบบนี้ มันจะให้ Output แบบไหน แล้วยังมีตัวช่วยในการยืดหยุ่นด้วย(ชดเชยแสง)" ให้กล้องมันคำนวนและปรับให้เสร็จสรรพ ชดเชยแสงได้ตามสบาย ตามใจชอบ .. ไม่ต้องคำนวนค่าแสง ค่า ISO ค่า EV อะไรให้มันยุ่งยาก ถ่ายตามสบายๆ ยกขึ้นมา กดแช๊ะลงไป เท่านั้นพอ ให้กล้องมันคำนวน และปรับให้ .. ก็ยุคนี้มันยุคดิจิตอลแล้วนี่หว่า จะใช้เวลานานเท่าไหร่ ไม่สำคัญ จะเอาข้ออ้างข้อแก้ตัวอย่างไรมาพูดก็ได้ ไม่สำคัญ จะกดกี่สิบแช๊ะ ไม่สำคัญ จะเลือกจากกี่สิบรูป ไม่สำคัญ ขอดูหน่อยเหอะ แค่ภาพสายน้ำ ปลายน้ำตก ต้องแสงอาทิตย์สว่างๆสวยๆยามเที่ยง ที่ไหลลื่นเป็นสาย ธรรมดาๆสามัญ 1 รูป แก้ไขเมื่อ 10 มิ.ย. 53 07:57:56 แก้ไขเมื่อ 10 มิ.ย. 53 07:18:10 จากคุณ : แมวเหมียวพุงป่อง เขียนเมื่อ : 10 มิ.ย. 53 07:15:10

ความคิดเห็นที่ 64 ถ้าบอกว่า เรื่องอะไรจะต้องเสียเงินเสียทอง ไปถ่ายรูปมาเพื่อให้อิตาเหมียวงี่เง่ามันดู ผมจ่ายค่าเดินทางให้ก็ได้ น้ำตกสามหลั่น ที่สระบุรี เที่ยวได้ทันทีเสาร์-อาทิตย์นี้ ขึ้นรถตู้ที่อนุสาวรีย์ชัยฯ ค่ารถเจ็ดสิบบาทหรืองัยเนี่ย (จำได้ไม่แน่นอน) รถสองแถวอีกยี่สิบกว่าบาท ฯลฯ เอาเหอะ ไปสิบโมงเช้า ถึงนั่น พอได้ถ่ายรูปอื่นๆด้วย และกินข้าวเที่ยงพอดี เป็นอันว่า ผมเหมาจ่ายคุณ auxin 500 บาท .. มันเกินพอ ที่จะรวมค่าอาหารกลางวันไปด้วย ส่งภาพที่ถ่ายขึ้นเว็บ และบอกหมายเลขบัญชีัมาทางหลังไมค์ ผมจ่ายให้ทันที .. ขอแค่ภาพสายน้ำปลายน้ำตก ในลักษณะที่ว่ามา เท่านั้นเอง จากคุณ : แมวเหมียวพุงป่อง เขียนเมื่อ : 10 มิ.ย. 53 07:24:07

ความคิดเห็นที่ 65 ภาพที่น้ำไหลเป็นสายๆคล้ายๆแบบภาพนี้ (ภาพน้ำตกสามหลั่น) แต่ขอแบบภาพที่แสงพอดีๆ ไม่ใช่แสง over ทั้งที่ไม่มีแดด อย่างภาพที่หามาจาก google ภาพนี้นะ ยิ่งถ้าได้วิวน้ำตกเป็นสายๆอย่างนี้ และมีรูปคนแบบเต็มๆตัว & ชัดๆ 1-2 คน อยู่ในภาพด้วย  ยิ่งเลิศเข้าไปใหญ่ ทำได้ไหม? หรือต้องใช้เวลาไม่น้อย เพื่อศึกษา ค้นคว้า วิเคราะห์ คำนวน เรื่องแสง เรื่องการปรับค่าต่างๆ เพื่อเลือกหาเลือกใช้อุปกรณ์ที่จะทำให้ถ่ายภาพลักษณะดังกล่าว ที่ว่ามาใน คห.นี้ได้ แก้ไขเมื่อ 10 มิ.ย. 53 07:55:29 แก้ไขเมื่อ 10 มิ.ย. 53 07:54:17 จากคุณ : แมวเหมียวพุงป่อง เขียนเมื่อ : 10 มิ.ย. 53 07:35:09

ความคิดเห็นที่ 66 เข้ามามึนต่อ อ่านไปต้องลองถ่ายไปด้วย ค่อยหายมึน แต่ทำไงให้จำและเอาไปใช้จริงละ งานนี้ต้องฝึกกันยาวเลย จากคุณ : Mr.pokpak เขียนเมื่อ : 10 มิ.ย. 53 09:12:17

ความคิดเห็นที่ 67 พื้นฐานเป็นสิ่งสำคัญ เราไม่สามารถพัฒนาได้ หากขาดซึ่งพื้นฐานที่ดี.... กล่าวโดย โค้ชอันไซ การ์ตูน Slam Dunk ผมไม่เคยเห็นตากล้องเก่งๆคนไหน ไม่เป็นพื้นฐานซักคน ขอบคุณน้าแมวครับ ^^ ผมว่ามันสำคัญมากนะ กับการที่เราควรจะเข้าใจวิธีการคิด การอ่านค่าแสง เพราะมันเป็นพื้นฐานที่จะนำไปสู่เรื่องการวัดแสง/ชดเชยแสง และผมว่ามันก็มีประโยชน์มากครับ พกกระดาษใบเล็กๆนี้ไว้ ถ้ามีเวลา (<<< เน้นตรงนี้) ในการที่จะถ่ายรูปให้พิถีพิถัน หลายๆครั้ง ผมว่าการมีโพยในมือแบบนี้ มันเร็วกว่าการลองผิดลองถูกเองเยอะครับ ซึ่ง นานไป พอเราถ่ายบ่อยๆจนจำค่าแสงได้ มีความชำนาญมากขึ้น เราจะจำได้เองโดยไม่ต้องอาศัยเจ้าโพยนี้ เผลอๆ ถ่า่ยได้โดยไม่ต้องดู scale วัดแสงเลย จากคุณ : Mashi_Naz เขียนเมื่อ : 10 มิ.ย. 53 09:49:27

ความคิดเห็นที่ 68 ของเก่ายังไม่ได้อ่านครบเลย ยังงง ตามมานี้ก่อน เดี๋ยวพลาดกระทู้ ขอบคุณครับน้าแมว จากคุณ : ฟูนัน เขียนเมื่อ : 10 มิ.ย. 53 17:09:40

ความคิดเห็นที่ 69 จาก คห 63 เอาแค่ภาพที่ธารน้ำที่ไหลมาจากปลายน้ำตก ... ถ่ายง่ายๆ ให้สายน้ำไหลเป็นสาย นุ่มๆนวลๆ  เห็นสายน้ำชัดเจน อย่างที่คนธรรมดาสามัญทั่วๆไปเขาชอบกัน ถ่ายตอนกลางวัน มีแดดจัดๆ อย่างที่คนทั่วๆไปเขาถ่ายกัน ตอนไปเที่ยวน้ำตก แค่ 1 รูป ธรรมดาๆสามัญเท่านั้น ไปถึงปลายน้ำตก เล็งไปที่ที่น้ำไหลผ่าน แดดสะท้อนประกายสวยๆ แล้วยกกล้องกดชั้บเข้าไป ----------------------------------------------------------------------- เพิ่งเห็นครับ เอ้า!! ตอบซะหน่อย อยากดูรูปน้ำตกใช่ไหม จัดให้!! แต่ผมไม่ลงทุนถึงขนาดออกไปถ่ายที่สระบุรี แล้วมารับเงิน 500 หรอกน่ะครัีบ(จาก คห.64) ดูจากรูปเก่าๆ เอาก็ได้ ผมส่งรูปนี้แล้วกัน คิดว่าตอบโจทย์ดังกล่าวได้ ไม่มีรูปตอนเที่ยงตรง(12.00) รูปนี้ถ่ายตอน 15:24 น. แต่คิดว่าสภาพแสงไม่ต่างกันมาก เพราะบ่าย 3 ครึ่งแดดก็ยังแรงอยู่!! เป็นไงครับ น้ำเป็นสายอย่างที่ต้องการแล้ว ถึงสายมันจะไม่นิ่มมากเพราะไม่เอาขาตั้งไป แต่ก็ตอบโจทย์ได้!! โดยที่ผมไม่ได้คำนวณอะไรเลยแม้แต่น้อย!! จากคุณ : auxin เขียนเมื่อ : 11 มิ.ย. 53 22:42:51

ความคิดเห็นที่ 70 จาก คห 65 ภาพที่น้ำไหลเป็นสายๆคล้ายๆแบบภาพนี้ (ภาพน้ำตกสามหลั่น) แต่ขอแบบภาพที่แสงพอดีๆ ไม่ใช่แสง over ทั้งที่ไม่มีแดด  อย่างภาพที่หามาจาก google ภาพนี้นะ ยิ่งถ้าได้วิวน้ำตกเป็นสายๆอย่างนี้ และมีรูปคนแบบเต็มๆตัว & ชัดๆ 1-2 คน อยู่ในภาพด้วย  ยิ่งเลิศเข้าไปใหญ่ ทำได้ไหม? หรือต้องใช้เวลาไม่น้อย เพื่อศึกษา ค้นคว้า วิเคราะห์ คำนวน เรื่องแสง เรื่องการปรับค่าต่างๆ เพื่อเลือกหาเลือกใช้อุปกรณ์ที่จะทำให้ถ่ายภาพลักษณะดังกล่าว ที่ว่ามาใน คห.นี้ได้ ----------------------------------------------------------------------- ทีนี้ผมจะให้ดูตัวอย่าง มันชัดเจนมาก หากตั้งใจอ่านซักนิดก็จะเข้าใจได้ครับ เผื่อคุณแมวจะมองมุมอื่นบ้าง!! ผมจะโพสต์รูป 4 รูปก่อน แล้วอธิบายให้ฟังว่า 4 รูปที่ว่านั้นมันคืออะไร 1. จากคุณ : auxin เขียนเมื่อ : 11 มิ.ย. 53 22:44:57

ความคิดเห็นที่ 71 2. จากคุณ : auxin เขียนเมื่อ : 11 มิ.ย. 53 22:45:23

ความคิดเห็นที่ 72 3. จากคุณ : auxin เขียนเมื่อ : 11 มิ.ย. 53 22:45:57

ความคิดเห็นที่ 73 4. จากคุณ : auxin เขียนเมื่อ : 11 มิ.ย. 53 22:47:20

ความคิดเห็นที่ 74 จาก 4 รูปด้านบนที่ผมโพสต์ไป ถึงจะแค่เห็น Thumbnail ก็รู้ได้ว่า แสงพอดี ไม่มืดหรือสว่างเกินไป ทีนี้.... ดูที่ผมขีดสีแดงเอาไว้นะครับ รูปที่ 1 ถ่ายเมื่อเวลา 15:26:04  F5.6 รูปที่ 2 ถ่ายเมื่อเวลา 15:23:13  F5.6 รูปที่ 3 ถ่ายเมื่อเวลา 15:23:39  F22 รูปที่ 4 ถ่ายเมื่อเวลา 15:23:58  F22 คุณแมวเห็นอะไรไหมครับ!! ผมถ่าย 4 รูปโดยที่ทุกรูปถือว่าแสงพอดีในเวลา 1 นาที ซ้ำยังเปลี่ยนค่า F ด้วย!! ซ้ำลงไปอีกทีคือ ผมเลือกรูปตามโจทย์ที่คุณแมวว่านะครับ!! ซ้ำลงไปอีกดอก นี่ผมไม่ได้เตรียมการมาก่อนนะครับ รูปทั้งหมดถ่ายเมื่อ ปี 2552!! ซ้ำลงไปอีกครั้ง รูปชุดนี้ผมถ่ายด้วย D60+Kit ครับ ถ้ามีกล้องดีๆ ก็น่าจะได้งานคุณภาพสูงกว่านี้!! จากคุณ : auxin เขียนเมื่อ : 11 มิ.ย. 53 23:02:56

ความคิดเห็นที่ 75 ตอบคำถาม คห.65 คุณแมว : ทำได้ไหม? Auxin : ทำได้ครับ คุณแมว : หรือต้องใช้เวลาไม่น้อย เพื่อศึกษา ค้นคว้า วิเคราะห์ คำนวน เรื่องแสง เรื่องการปรับค่าต่างๆ Auxin : ผมถือว่าตัวเองใช้เวลาน้อยมาก(ถ่ายมา 4 รูปใน 1 นาที) ถ้าเทียบกับคุณแมว ซึ่งไม่รู้ว่าคำนวณเสร็จแล้วยัง(1 นาที) ที่สำคัญ "จะถ่ายได้ตามที่คำนวณหรือปล่าวครับ!!" คุณแมว : เพื่อเลือกหาเลือกใช้อุปกรณ์ที่จะทำให้ถ่ายภาพลักษณะดังกล่าว ที่ว่ามาใน คห.นี้ได้ Auxin : ผมใช้แค่ D60+Kit 18-55 เองนะครับ สรุป ผมไม่ได้มานั่งคำนวณอะไรอย่างที่คุณว่าหรอกครับ แต่ผมก็ได้ผลลัพธ์อย่างที่ต้องการ เร็วด้วย!! ถ้าถามว่าทำไม? ก็อย่างที่ผมตอบใน คห.43 ไงครับ กลับไปอ่านใหม่อีกรอบซิ เผื่อจะเข้าใจมากขึ้น!! จากคุณ : auxin เขียนเมื่อ : 11 มิ.ย. 53 23:20:03

ความคิดเห็นที่ 76 คห.43 กล้องมันมี Sensor ในการรับข้อมูลและประมวลผลอยู่แล้ว(วัดแสง) มันคำนวณให้เสร็จสรรพแล้วครับว่า ถ้า Input มาแบบนี้ มันจะให้ Output แบบไหน ทำไมถึงไม่เชื่อกล้อง ทำไมต้องลองตั้งหลายรูป .. และต้องใช้ โหมดที่คนบังคับกล้อง ในเมื่อกล้องมันฉลาด มันเก่ง มันคำนวนให้เสร็จสรรพ ว่า "input แบบนี้ จะให้ output แบบไหน" .. ทำไมถึงไม่เชื่อใจกล้อง //quesion ทำไมถึงต้องเลือกใช้ถึง f/22 .. ไม่ปล่อยให้กล้องมันทำให้เสร็จสรรพ -------------------------------- และเผื่อคุณ auxin ยังตาแดงๆเพราะพิษไข้ จึงอ่านที่ผมอุตส่าห์ทำตัวเอียงๆให้ได้ไม่ชัด จึงขอยกมาทั้งกระบิอีกที ให้สายน้ำไหลเป็นสาย นุ่มๆนวลๆ  เห็นสายน้ำชัดเจน อย่างที่คนธรรมดาสามัญทั่วๆไปเขาชอบกัน ถ่ายตอนกลางวัน มีแดดจัดๆ อย่างที่คนทั่วๆไปเขาถ่ายกัน ตอนไปเที่ยวน้ำตก คุณ auxin ท่าทางจะอ่านคำว่า เห็นสายน้ำชัดเจน  ไม่ออก จึงเอาภาพที่ ตรงสายน้ำมัน overexpose ชนิด highlight ไม่เหลือ มาให้ดูกันให้งงเล่นๆ ยิ่งภาพสุดท้าย (คห.73) .. ยังมองไม่ออกอีกว่า ที่ตรงสายน้ำหนะ แสงมันมากเกินจน overexpose แล้วนะ .. จึง +0.7EV เข้าไปอีก เพื่อให้มัน over หนักเข้าไปยิ่งๆขึ้น!!! แก้ไขเมื่อ 11 มิ.ย. 53 23:50:40 จากคุณ : แมวเหมียวพุงป่อง เขียนเมื่อ : 11 มิ.ย. 53 23:49:36

ความคิดเห็นที่ 77 สรุป ผมไม่ได้มานั่งคำนวณอะไรอย่างที่คุณว่าหรอกครับ แต่ผมก็ได้ผลลัพธ์อย่างที่ต้องการ เร็วด้วย!! สรุป: ึคุณไม่ได้มานั่งคำนวน แล้วได้ผลลัพธ์อย่่างที่คุณต้องการ ฉะนั้น คนอื่น ก็ไม่ควรมาเสียเวลาคำนวน และต้องถ่ายรูปออกมา เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ อย่่างที่คุณต้องการ ทั้งๆที่ผมยกตัวอย่างไว้ ชัดเจน ใน คห.11 ว่า ต้องการเปิดหน้ากล้องที่ 3-4 วินาที เพื่อให้ได้สายน้ำที่นุ่มนวล คุณก็จะไม่ฟัง .. และ "ฟันธง"ว่า ผม(และคนอื่นๆ)โง่ และ บ้า ที่ต้องการเปิดชัตเตอร์นาน 3-4 วินาที ทั้งๆที่คุณสั่งไว้ชัดเจนแล้วว่า ต้องใช้ 1/160 วินาที หรือ ให้กล้องมัน คำนวณให้เสร็จสรรพแล้วครับว่า ถ้า Input มาแบบนี้ มันจะให้ Output แบบไหน คนอื่นๆ ต้องถ่ายรูปออกมา เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ อย่่างที่คุณต้องการ แม้จะบอกว่า "ต้องการถ่าย ให้สายน้ำไหลเป็นสาย นุ่มๆนวลๆ  เห็นสายน้ำชัดเจน" คุณก็จะ "ฟันธง" ว่า ผมมันไม่รู้เรื่องรู้ราวองค์ประกอบทางศิลป์ที่ดี? ภาพถ่ายน้ำตก มันต้องให้แสงที่สายน้ำ over เข้าไว้โว้ย .. มีแต่พวกโง่แล้วอวดรู้เท่านั้น ที่ต้องการให้แสงที่สายน้ำมันพอดีๆ อย่างนั้นหรือ?? ถ้าเป็นอย่างนั้น .. ผมขอโง่ ตามแบบผมต่อไปดีกว่า ... จากคุณ : แมวเหมียวพุงป่อง เขียนเมื่อ : 12 มิ.ย. 53 00:03:44

ความคิดเห็นที่ 78 ผมพยายาจะตอบด้วยข้อมูล ด้วยเหตุผล แต่ถ้าคุณแมวมามุขนี้ ผมก็ไปไม่เป็นแล้วครับ!! ไม่ใช่อธิบายไม่ได้ ไม่ใช่ทำไม่เป็น แต่ถ้าจะเอาน้ำที่เป็นสายแล้วเห็นรายละเอียดของน้ำด้วย โจทย์แบบนี้เป็นยังไงครับ นึกไม่ออก!! อย่างรูปใน คห.63 นี่ ถือว่าเห็นรายละเอียดแล้วยัง? ยังหรือ? งั้น.... เอาเป็นว่า ผมทำไม่เป็น สอนผมหน่อยแล้วกัน!! ไหนคุณแมวลอง ใช้สูตรที่ว่ามา ถ่ายให้ผมดูซักรูป เอาตามโจทย์ที่คุณแมวว่านั่นแหละครับ ถ้าจะไปถ่ายน้ำตกที่ว่า ผมก็จะออกค่าเดินทางให้ 500 เช่นกัน ขอดูหน่อยเถอะว่า โจทย์ที่ให้มา คุณทำได้หรือปล่าว? จากคุณ : auxin เขียนเมื่อ : 12 มิ.ย. 53 00:17:08

ความคิดเห็นที่ 79 จากรูปตัวอย่าง .. คุณอาจจะลืมว่า "ทำไม" ถึงถ่ายอะไร และถ่ายอย่างนั้นทำไม อย่างแรก คุณไม่ได้ถ่ายมา 4 รูป แต่ถ่ายมา 5 รูป รูปสุดท้าย ที่คุณไม่ได้แสดงให้ดู .. มันชดเชยแสง +2 stop ทำไมต้องชดเชยแสง +2 stop? เพราะคุณต้องการความเร็วที่ต่ำลงอีก .. เพราะแสงขณะนั้น ขนาดเปิด f/22 แล้ว กล้องบอกว่า ลงได้แค่ 1/10s เท่านั้น ไม่สามารถลงได้ต่ำกว่านั้น คุณจึงไม่เชื่อกล้องอีกต่อไป และพยายามฝืนใจบังคับให้มันใช้ความเร็วที่ต่ำลง เพื่อให้ได้สายน้ำที่นุ่มนวลขึ้น แต่พบว่า สายน้ำ มันดัน overexpose ซะหมด ไม่เหลือคุณลักษณะสายน้ำให้เห็นเลย --------------------------------- ทำไม 5 รูปของคุณ ถึงเริ่มด้วย f/5.6 เพราะคุณมั่นใจ และ"ฟันธง" ว่า เรื่อง ทฤษฏี องค์ความรู้พื้นฐาน เป็นเรื่องตลก ไม่ควรค่าแก่การใส่ใจ ไม่ต้อง "คิดก่อนทำ" แต่ควรทำไปเลยโดยไม่ต้องคิด และแก้ไขปัญหาเอาตรงนั้น คุณใช้ Av mode .. เพราะต้องการให้กล้องมัน คำนวณให้เสร็จสรรพแล้วครับว่า ถ้า Input มาแบบนี้ มันจะให้ Output แบบไหน แต่คุณพบว่า ที่ f/5.6 .. ความเร็วมันสูงพอถือไหว ทั้งที่ไม่ได้เอาขาตั้งกล้องไป แต่สายน้ำที่ออกมา มันกระด้าง เป็นละอองน้ำฟูฝอย ไม่ใช่สายน้ำไหลยาว คุณเลยพยายามเพิ่ม f/stop เพื่อให้ความเร็วมันลดลง จนกระทั่งเหลือ 1/10 .. ซึ่งทำให้ลักษณะสายน้ำดีขึ้น แต่ยังไม่ดีพอที่ต้องการ เนื่องจากเลนส์มันมีแค่ f/22 .. ไม่สามารถต่ำลงได้จากนั้น คุณเลย"ลอง" เพิ่ม EV ขึ้นไป เพราะรู้ว่า โหมด Av นั้น ถ้าเรา fix ค่า f/stop "กล้องจะคำนวนให้เสร็จสรรพว่า ต้องใช้ความเร็วเท่าไหร่" บวกเข้าไป +0.7EV มันดีขึ้น แต่พอ +2.0EV ภาพมันดูไม่ได้ .. highlight หายหมด นั่นจึงเป็นที่มาของ 5 รูป ในเวลาไม่ถึง 2 นาที --------------------------------- สิ่งที่คุณทำ คือ ลองผิดลองถูก ลองมันไปเรื่อยๆ แล้วพยายามสังเกตุ พยายามจดจำว่า อะไรคือถูก อะไรคือผิด ก่อนไปศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติมภายหลัง ว่า ทำไม อะไรๆถึงเป็นอย่างนั้น มันเป็นสิ่งที่ดี ซึ่งผมไม่เคยค้านเลย ไม่ว่าจะเป็นคุณหรือใคร สนับสนุนมาตลอด แต่ สิ่งที่ผมทำคือ ให้ความรู้พื้นฐาน ว่า อะไรมันเป็นสิ่งที่น่าจะถูก อะไรมันเป็นสิ่งที่น่าจะผิด สิ่งที่ผมทำคือ ให้ข้อมูลเบื้องต้น องค์ความรู้พื้นฐาน เืพื่อให้คนที่รับไป "คิดก่อนพูด พูดแล้วทำ ทำหลังคิด" ถ้าสิ่งที่คุณบอกว่าออกทะเล, ไร้ประโยชน์ คือ การสอนให้คนรู้จักการ "คิดก่อนทำ, ทำหลังคิด" ผมว่ืา คุณควรพิจารณาตัวเองให้หนัก จากคุณ : แมวเหมียวพุงป่อง เขียนเมื่อ : 12 มิ.ย. 53 00:45:09

ความคิดเห็นที่ 80 ขออีกแค่ Reply เดียว เป็นการชี้แจงข้อมูลล้วนๆ 1. ไม่มีรูปไหนเลยที่ผมชดเชย +2 EV สูงสุดก็รูปที่แสดงให้เห็นแล้วคือ +0.7 EV "อย่าคิดเอาเอง อย่ามั่ว" ครับ นี่เล่นคิดเอาเอง สมมติเอาเอง "ว่ารูปที่ 5 ซึ่งผมไม่แสดง ชดเชย +2 EV" แล้วพูดร่ายยาวไปเรื่อย คุณแมวกล่าว : "แต่พอ +2.0EV ภาพมันดูไม่ได้ .. highlight หายหมด" อะไรครับ!! ผมชดเชย +2 เมื่อไหร่ ตรงไหน highlight หายหมด ผมเป็นคนถ่ายนะ คุณมารู้ได้ยังไง งง? มั่วตั้งแต่ต้นแบบนี้ ผลลัพธ์ไม่มีทางถูกหรอกครับ... --------------------------------------------------------------------- 2. สำหรับเรื่อง Input, Output(เห็นพูดถึงหลายที) ที่ผมพูดถึงนั้น หมายถึง ถ้าเราระบุ F(Input) กล้องมันก็จะหาค่า S(Output) ให้ ผมไม่ได้หมายความว่า เชื่อกล้องชนิดที่ "เปิดเครื่องมาแล้วถ่ายเลย" ถ้าทำแบบนั้นก็ใช้กล้องมือถือเอาก็พอครับ ไม่ต้องซื้อ DSLR คุณแมวพูดเรื่อง "การวัดแสง" ผมก็บอกว่ากล้องมันก็คำนวณให้อยู่แล้ว แล้วยังชดเชยได้อีกด้วย เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการ ไม่จำเป็นต้องมานั่งคำนวณเองให้เสียเวลา ที่สำคัญ ผมว่าคำนวณแล้วก็มีโอกาสผิดสูงอยู่ดี!! --------------------------------------------------------------------- 3. ความรู้หลายอย่างของผมมาจากการทดลองจริง แต่ผมก็ไม่ได้มั่วไปเรื่อย!! จาก คห 74 ผมแสดงค่าต่างๆของรูปดังนี้ รูปที่ 1 ถ่ายเมื่อเวลา 15:26:04  F5.6 รูปที่ 2 ถ่ายเมื่อเวลา 15:23:13  F5.6 รูปที่ 3 ถ่ายเมื่อเวลา 15:23:39  F22 รูปที่ 4 ถ่ายเมื่อเวลา 15:23:58  F22 สังเกตไหม ผมถ่าย "F5.6" 2รูป "F22" 2รูป ผมตั้งใจครับ ไม่ได้ "ลองผิดลองถูก ลองมันไปเรื่อยๆ" อย่างที่คุณว่า แต่ประเด็นสำคัญที่ผมอยากจะพูดก็คือ ผมถ่ายมา 4 รูปในเวลา 1 นาที "โดยการใช้กล้องวัดแสง" ถ้าใช้วิธีคำนวณการวัดแสงอย่างคุณแมว ใน 1 นาทีจะได้ถ่ายซักรูปไหม? ที่ผมเข้ามาแสดงความเห็น เพราะกลัวคนที่ยังไม่เข้าใจเรื่องการวัดแสง จะมารับเอาข้อมูลที่ใช้งานยาก และมีโอกาสผิดพลาดสูงด้วย ไปคิดว่า นี่หละคือคำตอบของสิ่งที่กำลังหาอยู่ และพยายามชี้แจงว่า "กล้องมันวัดแสงได้" ค่อนข้างแม่นยำด้วย ถ้าเกิด Error บ้างก็ยังมีตัวช่วย(ชดเชยแสงไปซิ) จะมานั่งคำนวณให้ปวดหัวทำไม? --------------------------------------------------------------------- สุดท้าย ขอยกเอาประโยคนี้ของคุณ "นายไวรัส" (คห 17, 5 บรรทัดสุดท้าย) มาให้อ่านกันอีกที ผมว่าคุณนายไวรัสพูดได้ถูกต้องมากๆ การนำเสนอของน้าแมวเหมียวพุงป่อง ถือเป็นความรู้ที่ดีมากทีเดียวแต่ผมคงทำได้เพียงเก็บไว้ประดับความรู้ครับ เพราะในการใช้งานจริง ผมว่า การวัดแสงด้วยกล้อง แบบเคยๆ แม่นยำและชัวร์กว่าที่จะมาวัดด้วยความรู้สึกแน่ๆ ถึงอย่างไร ก็ขอขอบพระคุณครับ สาระดีมาก ทริ๊กการถ่ายภาพแทรกไว้ในการกล่าวถึง EV ถือเป็นประโยชน์ของผมและเพื่อนๆ ที่จะได้รับความรู้ครับ --------------------------------------------------------------------- ปล. ผมไม่ได้เป็นคนเดียว ที่คิดแบบนี้นะครับคุณแมว!! จากคุณ : auxin เขียนเมื่อ : 14 มิ.ย. 53 12:36:26

ความคิดเห็นที่ 81 สุดๆไปเลย  55 จากคุณ : patx64 (suasongsin) เขียนเมื่อ : 14 มิ.ย. 53 20:26:45

ความคิดเห็นที่ 82 อืมม.. ขอบคุณสำหรับความรู้ครับน้าแมว ส่วนดรามาติกก็ขอบคุณครับ ..จัดไป . . จากคุณ : Ananda_F11 เขียนเมื่อ : 15 มิ.ย. 53 01:59:11