ความคิดเห็นที่ 1 RAW ไฟล์ ไม่ใช่ไฟล์ที่สวยกว่า jpg แต่มันเป็นไฟล์ดิบจืดๆ ตามธรรมชาติสีของแต่ล่ะค่าย แต่ข้อดี ของมันคือมันเป็นการเก็บข้อมูลของสี โดยไม่มีการบีบอัดหรือสูญเสียข้อมูลแต่อย่างไร มันเหมาะจะไปใช้ในการ Process เพิ่มเติมภายหลังหรือแม้กระทั่งรับประกันความผิดพลาดของช่างภาพที่ถ่ายภาพใน เวลานั้น แล้วมันเน่าต้องมาแก้ไขภายหลังอย่างเช่นแสง เป็นต้น ซึ่งjpg มันผ่านกระบวนการProcess ในกล้องมาระดับนึงแล้ว ซึ่งจะให้ภาพสวยไม่สวยอยู่ที่การตั้งค่าและการถ่าย แต่ว่าข้อเสียมันคือ เป็นการเก็บข้อมูลของสีที่มีการบีบอัดข้อมูล และได้ตัดทอนบางสีที่ใกล้เคียงกันออกไป ซึ่งเวลาแก้ไขภาพภายหลังจะทำภาพให้เนียนเวลาแสงเน่าๆ แบบRaw มันทำไม่ได้ครับ แก้ไขเมื่อ 05 ก.ค. 53 00:41:52 จากคุณ : BlackTeaCat เขียนเมื่อ : 5 ก.ค. 53 00:41:01

ความคิดเห็นที่ 2 ถ้าต้องการภาพสวยๆ จำเป็นหรือไม่ที่ต้องถ่าย RAW ผมว่าไม่จำเป็น นอกจากตากล้องต้องการภาพนั้นๆ ไปเพื่อการตกแต่งในภายหลัง (คิดตั้งแต่ก่อนถ่ายกันเลย ว่างั้น)หรือชอบที่จะตกแต่งภาพ หรือถ่ายแบบ serious มากๆ เช่นถ่ายภาพนั้นเพื่อการค้า ซึ่งต้องนำมาตกแต่ก่อนการออกขาย ถ้าถ่ายรูปทั่วๆ ไปแล้ว ถ่ายเป็น JPG ก็สามารถได้รูปที่สวยได้เหมือนกันครับ ประโยชน์ของ RAW คร่าวๆ 1. มีความยืดหยุ่นของภาพ สามารถนำมาปรับแต่งได้มากกว่า JPG 2. คุณภาพของ File จะไม่มีการบีบอัด ทำให้คุณภาพดีกว่า JPG 3. ช่วยยืดอายุ shutter เนื่องจากไม่ต้องลองเปลี่ยนโน้นเปลี่ยนนี่เยอะ นอกจากไม่พอใจองค์ประกอบของภาพ เช่น ถ่ายมา 1 ภาพ สามารถเปลี่ยน WB ได้หลากหลาย ทำให้ไม่ต้องถ่ายใหม่ทุกครั้งที่เปลี่ยน WB 4. รอฟังน้าๆ มาแนะนำเพิ่มเติมละกันครับ ตอนนี้มารอทริปอบรมน้าวันดี ตื่นมายังเมาขี้ตาอยู่เลยอะ อิอิ จากคุณ : golfnuts เขียนเมื่อ : 5 ก.ค. 53 00:43:24

ความคิดเห็นที่ 3 " ถ้าไม่อยากเปลืองเนื้อที่จริงๆ แต่อยากได้คุณภาพสูงที่สุด ถ่ายเป็น RAW file มา เอามาปรับด้วยโปรแกรม แล้ว save เป็น JPEG ลบไฟล์ RAW ทิ้งไปหลังจากนั้นก็ได้ แต่ผมไม่แนะนำครับ " จากคุณ : ตุ๊กตาหมี เขียนเมื่อ : 5 ก.ค. 53 01:22:38

ความคิดเห็นที่ 4   แล้วแต่งาน แล้วแต่ความต้องการ ส่วนใหญ่ ผมจะใช้ JPG อย่างเดียว เพราะว่า Linux OS ยังไม่มีโปรแกรมอ่าน RAW file เจ๋งๆ ที่ทำงานบนนั้น ทำให้ JPEG คือคำตอบที่ใช่สุดแล้วหล่ะ *** ดังนั้น ผมก็ต้องฝึกหัดถ่ายภาพวัดแสงให้เป็น และให้แม่นยำ ก็ช่วยแก้ไขเรื่องการไม่มีโปรแกรมรองรับ RAW ไฟล์ได้ระดับหนึ่ง *** จากคุณ : FindSomeOneToLoveMe เขียนเมื่อ : 5 ก.ค. 53 02:16:15

ความคิดเห็นที่ 5 ถ่ายงานผมถ่าย Raw ทุกครั้งครับ ยกเว้นงานที่ต้องให้ภาพเดี๋ยวนั้นเลยอย่างพวกงานอีเว้นท์ แต่เวลาไปเที่ยวกับเพื่อนก็ติดถ่าย Raw อยู่ดี ^ ^ แต่ว่าแต่งเสร็จ แปลงเป็น Jpeg แล้วก็ลบทิ้ง จากคุณ : Iamgrey เขียนเมื่อ : 5 ก.ค. 53 02:53:35

ความคิดเห็นที่ 6 คิดกันเล่นๆ นะครับ .. เอาแค่เรื่องเดียวก่อน .. ... RAW เนี่ยเก็บสีแบบพื้นๆได้ 12 bit x 3 (r,g,b) = 36 bit (6หมื่นกว่าล้านสี) ยังไม่ต้องนับไปถึง 14 bit หรอก .. ซึ่งรุ่นโปรมากๆ จะมีมากกว่านั้นอีกนะ .. จะละเอียดกันไปถึงไหนก๊านนนน .. ... ส่วน JPG เก็บสีได้ 8 bit x 3 (r,g,b) = 24 bit (16.7 ล้านสี) ตามทฤษฎีแล้วต่างกันลิบลับ .. แต่ในความเป็นจริง .. ถามหน่อยซิว่า .. ตาของคนเราเนี่ย .. จะแยกแยะความละเอียดของสีขนาดนั้นได้แค่ไหนกันเชียวหรือ? (อืมมม ..หรือว่าได้หว่า ..???) ... เราจะได้ประโยชน์จากไฟล์ RAW ก็น่าจะเป็นเรื่องความยืดหยุ่นของไฟล์ .. เพราะมันคือข้อมูลดิบๆ ที่ยังไม่มีการปรุงรสนั่นเอง .. ชอบแบบไหนมาใส่เพิ่มปรุงรสเอาตามชอบ .. อร่อยลิ้นคนทำ .. ปรับแต่งเปลี่ยนแปลงค่าค่างๆ เพิ่มเติมได้อย่างสะดวกสบาย .. แต่ก็ต้องแลกมาด้วยพื้นที่เก็บข้อมูลจำนวนมหาศาลนั้นแล .. ... และอย่างว่าแหละ .. สูตรใครก็สูตรใครสิ .. เลยไม่มีมาตรฐานแบบกลางๆ ให้ใช้ร่วมกันทั่วไปตามตลาดสดได้ .. เลยต้องสมัครใจเป็นแฟนเพลงของค่ายที่ชอบกันไปก่อน .. เดี๋ยวนี้ก็ดีขึ้นหน่อยตรงที่หลายๆ โปรแกรมอัพเดทให้อ่านไฟล์แบบนี้ได้แล้ว .. ไม่เว้นแม้แต่โปรแกรมยอดฮิตที่ควรต้องติดบนเครื่องอย่าง เอซีดีเห็น รุ่นโปร .. ... แฮ่ๆๆ .. สงสัยจะตอบไม่ตรงคำถามซะแล้วเรา .. ขอโทษทีพิมพ์มันส์ไปหน่อย .. สนใจลองค้นเพิ่มเอาจากกูเกิ้ลได้เลยครับ .. มีให้อ่านเพียบ .. ขอให้สนุกนะครับ .. ... จากคุณ : APRIL GUY (tombass) เขียนเมื่อ : 5 ก.ค. 53 03:25:39

ความคิดเห็นที่ 7   Raw ไม่ได้สวยกว่า JPG ครับ แต่คิดว่า รูปJPEGที่ผ่านRawอาจจะมีคุณภาพดีกว่า ถ่ายJPEG ตรงๆ ครับ ไม่แน่ใจดูจาก review กล้องมักพูดถึง คุณภาพ JPEG และ คุณภาพ raw     ปกติถ่าย raw ไม่ถ่ายJPG มานานแล้ว ถ่ายไม่เก่ง วัดแสงไม่แม่น WBกล้องเพี้ยน ค่าที่เซ็ตในกล้องเลือกแล้วไม่เหมาะ กลับมาแก้ได้ในคอม แล้วแต่โปรแกรม ผมใช้แคนนอนโปรแกรม DPP ถือว่าดีมากแก้ได้เร็ว ไม่ได้ใช้เวลามาก ถ้าอยากแต่งละเอียดเอาไปแต่งใน PS แก้ไขเมื่อ 05 ก.ค. 53 06:06:10 จากคุณ : dji_2000 (dji_2000) เขียนเมื่อ : 5 ก.ค. 53 06:01:30

ความคิดเห็นที่ 8 กล้อง E330 ของผมถ่ายเป็น RAW ก็ได้ TIFF ก็ได้ ถ่าย TIFF ก็เนียนสวยน่าพอใจ จากคุณ : --^ไชโย^-- เขียนเมื่อ : 5 ก.ค. 53 06:09:14

ความคิดเห็นที่ 9 Retina Display, Super-AMOLED, HD-Photo และอีกสารพัดเทคโนโลยี มีโอกาสมาถึงในไม่นานครับ ของพวกนี้จะฟ้องข้อบกพร่องของ jpg จนบาดตาทีเดียว แบบเดียวกับที่ LCD-TV จอยักษ์ ทำกับ VCD และ DVD มาแล้ว โอกาสครั้งเดียวในชีวิตที่ผมจะได้ถ่ายภาพนั้น ผมก็อยากให้ภาพของผมแสดงผลได้ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ในทุกอุปกรณ์ หรือทุกสื่อ ไม่ว่าวันนี้ หรืออีกสิบปี ยี่สิบปี ห้าสิบปีข้างหน้า อันนี้เป็นเหตุผลแรก เหตุผลที่สองคือ พอศึกษาเรื่องการถ่ายภาพไปมากขึ้น เรียนรู้เรื่องการแต่งภาพไปมากขึ้น ก็จะเห็นข้อบกพร่องในภาพเก่าๆ ที่เคยถ่ายไว้ และอยากจะกลับไปปรับแต่งมันอีกครั้ง RAW ให้โอกาสเราอุธรณ์ ฎีกา ได้อีกอย่างไม่จำกัด อย่างเช่นภาพเล็กไปเพราะสมัยนั้นกล้องพิกเซลน้อย ตอนนั้นฝีมือถ่ายภาพยังไม่ดี แต่งภาพไม่เก่ง แต่ตอนนี้อยากเอาภาพนั้นไปทำฝาบ้านเพราะเป็นภาพที่เป็นความทรงจำ การ over-interpolate และต้มยำทำแกงจาก RAW ก็ได้ผลงานที่ดีมากกว่า jpg ปัญหาของ RAW หรือ RAW+JPG เรื่องความจุเป็นปัญหาเล็กครับ แก้ไขได้ง่าย แต่ปัญหาที่ว่ามาเป็นปัญหาใหญ่ และแก้ไขไม่ได้ของการถ่ายรูปเป็น jpg อย่างเดียว สำหรับกรณีของผม จากคุณ : อะธีลาส เขียนเมื่อ : 5 ก.ค. 53 07:00:29

ความคิดเห็นที่ 10 ไม่เคยถ่ายเป็น raw สักที เพราะถึงถ่ายมาก็จัดการอะไรกับมันไม่เป็น T_T เฮือกกก.. จากคุณ : i'm not superman เขียนเมื่อ : 5 ก.ค. 53 07:47:23

ความคิดเห็นที่ 11 ถ้ากล้องมี Raw ผมถ่าย Raw ครับ จากคุณ : Dbass (Dbass) เขียนเมื่อ : 5 ก.ค. 53 08:27:55

ความคิดเห็นที่ 12 ผมตอบง่ายๆแล้วกัน ถ้าจริงจังกับการถ่ายภาพต้องการคุณภาพเลือกถ่ายRAWเถอะ  แต่ถ้าเป็นคนไม่ซีเรียตถ่ายหนุกๆขำๆไม่จริงจังอะไรมากนักก็เจเพ็คล่ะครับจะได้ไม่ต้องมาทำอะไรอีกให้ลำบาก จากคุณ : ตากล้องหนุ่ม เขียนเมื่อ : 5 ก.ค. 53 08:41:59

ความคิดเห็นที่ 13 >> ลองถ่ายเป็น RAW ไฟล์แล้วกินเนื้อที่ในเม็มโมรี่การ์ดมาก ๆ เลยครับ ณ วันนี้ เวลานี้ .. เหตุผลข้อนี้ ใช้ไม่ได้ เม็มการ์ด 8 GB หรือ 16 GB ราคาเท่าไหร่ ??? ถ่ายได้กี่รูป ??? และที่สำคัญ เม็มการ์ด ไม่ใช่ฟิล์ม ที่ใช้แล้ว กลับมานำใช้ใหม่ไม่ได้ ---------------------------------- เรื่องการโพรเซสภาพ .. ผมถ่ายเป็น raw + jpg ขนาดกลางๆ (ประมาณ 4-5 ล้านพิกเซล) ภาพ raw ที่ได้มา เอาลง backup hdd เลย ภาพ jpg ถึงเอามาดู มาแจกจ่าย ไม่ต้องไปเสียเวลาโพรเซส ยกเว้นบางรูป ที่องค์ประกอบภาพมัน striking แต่แสง-สี-contrast "เกือบจะ" OK raw โดยธรรมชาติของมัน ห่วยกว่า JPG แต่พอโพรเซสแล้ว .. jpg จากกล้อง เทียบได้ยาก และเป็นอย่างที่คุณนิกส์ อะธีลาสว่าไว้ Retina Display, Super-AMOLED, HD-Photo  ฯลฯ มาแล้ว ตอนนี้ ราคาแพง แต่อีกหน่อย ไม่เกินสามปี มันเป็นของสามัญประจำบ้าน ถึงตอนนั้น ใครที่มีแต่ jpg .. ก็ .. จบเห่! ภาพที่มีการทิ้งข้อมูล และความละเอียดแค่ 8 bit ไม่มีทางสู้ 12 หรือ 14 bit แบบเต็มๆได้ จากคุณ : แมวเหมียวพุงป่อง เขียนเมื่อ : 5 ก.ค. 53 08:59:15

ความคิดเห็นที่ 14 ค่า Memory ตัวละพันกว่า ค่าเดินทาง+ที่พัก ไปถ่ายรูป มีตั้งแต่หลายพัน ยันเป็นหมื่น  ไม่รวมเรื่องเวลาที่ใช้ไป Jpeg ที่ใช้พื้นที่น้อยกว่า กับ Raw  ที่เก็บรายละเอียดได้มากกว่าแต่เปลืองพื้นที่มากกว่า  คุณเลือกเอง จากคุณ : ARMS STRONG เขียนเมื่อ : 5 ก.ค. 53 09:08:04

ความคิดเห็นที่ 15 ผมถ่ายแบบ Raw + JPG ไปเลยอ่ะไปช่วยถ่ายงานมาครึ่งวันกว่าๆ Mem ยังไม่เต็มเลย ยกเว้นคุณถ่ายแบบสะเปะสะปะอันนี้ยังไงก็เต็ม ผมชอบถ่ายแบบคู่กันไปแบบนี้ เพราะอย่างน้อยหากไฟล์ JPG ไม่แจ่มชะเชยแสงขาดๆเกินๆไปบ้างก็ยังพอช่วยได้บ้าง จากคุณ : tump เขียนเมื่อ : 5 ก.ค. 53 09:10:16

ความคิดเห็นที่ 16 ส่วนเรื่อง 12 bits x 3 = 36 bits หรือ หกหมื่นล้านสี vs 8 x 3 = 24 bits .. 16 ล้านสี แล้วคิดว่า ตาคน มันจะไปแยกออกหรือ ขอบอกว่า เราเข้าใจผิดอย่างชนิดไปไหนมาสามวาสองศอก ----------------------------------- จะ 16 ล้าน หรือ หกหมื่นล้าน .. มันเป็น COMBINATION .. ความเป็นไปได้ของสีทั้งหมด แต่พื้นฐานก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง 8 bits ของสีแดง ก็คือ สีแดง ที่มีความละเอียดของ ความสว่าง ต่างกัน 256 ระดับ ไม่ใช่สีแดง 256 สี สมองเราจะประมวลผลจุดสี ที่มีสีแดงสว่าง 255, น้ำเงินสว่าง 0 และ เขียว 255 ว่าเป็น "สีส้มสว่างๆ" และประมวลผลจุดสี ที่มีสีแดงสว่าง 255, น้ำเงินสว่าง 10 และ เขียว 255 ว่าเป็น "สีส้มอมเขียวหม่นๆ " ฯลฯ ที่แตกต่างจากสีแรก อย่างมาก ในขณะที่ภาพที่เป็น 12 bits (4,000 ระดับ) แม้ความสว่างสุด กับมืดสุด ห่างกันเท่าเดิม แต่ "ระดับขั้น" ความสว่าง มันเนียนละเอียดกว่ากัน จุดสี ที่มีสีแดงสว่าง 4096, น้ำเงินสว่าง 0 และ เขียว 4096 ว่าเป็น "สีส้มสว่างๆ " ฯลฯ ในขณะที่จุดสี ที่มีสีแดงสว่าง 4096, น้ำเงินสว่าง 10 และ เขียว 4096 ว่าเป็น "สีส้มสดใสและมีเฉดเขียวปน" ฯลฯ ที่แทบไม่แตกต่างจากสีแรกอย่างมากนัก จากตัวอย่างที่ยกมาให้ดู สรุปว่า ภาพจาก 14 bits ที่ข้อมูลไม่ขาดหาย มันเนียนละเอียดกว่ากันเยอะ (ถ้าดูจากจอที่แสดง 14-16 bits ได้) แก้ไขเมื่อ 05 ก.ค. 53 12:22:50 จากคุณ : แมวเหมียวพุงป่อง เขียนเมื่อ : 5 ก.ค. 53 09:11:55

ความคิดเห็นที่ 17 สุดท้าย คุณลงทุนกับเลนส์ราคาเป็นหมื่น (เป็นแสน) เพื่อจะได้ภาพที่คมกริบ บาดสายลมขาด เพื่อสีที่แน่นหนักเต็มๆ บลาๆๆๆๆ ก่อนจะโยนสิ่งเหล่านั้นทิ้ง เพราะค่าเม็มมันแพง โยนสิ่งเหล่านั้นทิ้ง เพื่อ JPG ... ถ้า jpg มันลำบาก และพอเพียงสำหรับคุณ ผม ท่าน ฯลฯ ใช้เลนส์คิตติดกล้อง ราคาสองพันบาทต่อไปดีกว่า จากคุณ : แมวเหมียวพุงป่อง เขียนเมื่อ : 5 ก.ค. 53 09:13:57

ความคิดเห็นที่ 18   ถ้าจะรอจอแสดงผลที่เทพ แสดงได้ทุกรายละเอียดคงต้องรอ OLED TV หละครับ เริ่มมีเข้ามาบ้างแล้ว http://www.lcdtvthailand.com/review/detail.asp?param_id=314 แต่ขนาดยังเล็กอยู่ พวกนี้ไม่ดดน Backlight ทำสีเพี้ยนด้วย จากคุณ : rocky maivia เขียนเมื่อ : 5 ก.ค. 53 09:24:50

ความคิดเห็นที่ 19 ถ่ายraws แล้วมาคอนเวิตในโปรแกรมของค่ายนั้น เช่นผมใช้ดีดีพี จะดีมาก  ผมเน้นปัญหา การแก้ไวซ์บาลานเพี้ยน กับพวกคอนทราส ไม่ได้ จากคุณ : ect1 เขียนเมื่อ : 5 ก.ค. 53 09:42:49

ความคิดเห็นที่ 20 ยกตัวอย่างภาพจาก RAW ของ Nikon นะครับ Factory Default เลย ไม่มีการปรับแต่งใดๆ และผ่าน ACR ด้วยค่า Default (ถือว่ามีการปรับแต่งมาในระดับหนึ่งแล้ว) สีจะจืดๆ แบนๆ แบบนี้แหละ ดังนั้นการถ่ายด้วย RAW ไม่จำเป็นต้องได้ภาพที่สวยกว่าหรอกนะครับ แต่ภายในภาพจืดๆ นั้น ซ่อนไว้ด้วยข้อมูลมหาศาล ให้เราเลือกเก็บและเลือกทิ้งได้อย่างสบายใจ ในขั้นตอนการโปรเซส จะต้องใส่ Tone Curve เข้าไปอีกครั้งเพื่อเลือกเก็บ และทิ้งข้อมูล เพื่อให้ได้ภาพที่สวยขึ้น ซึ่งโปรแกรมแปลง RAW ในกล้อง หรือในคอมพ์จะจัดการให้เองอยู่แล้ว หากไม่พอใจก็สามารถเลือกปรับแต่งเองให้ได้ดั่งใจเราได้ และทำใหม่ ทำซ้ำ ทำให้แตกต่างไปได้ตลอดเวลา ไม่มีอะไรเสียหายกับต้นฉบับ ในกรณีของ JPG ข้อมูลถูกตัดทิ้งมารอบหนึ่งแล้ว และจะถูกทิ้งเพิ่มทุกครั้งที่มีการ Process ภาพ  หรือแม้แต่เพียงแค่เปิดขึ้นมา และเซฟกลับลงไปก็ตาม หากมีการนำไฟล์ไปปรับแต่ง ก็จะทำให้ข้อมูลที่น้อยแล้ว ยิ่งน้อยลงไปอีก และไม่สามารถทำซ้ำไปบนไฟล์เดิมได้ ต้องก็อปแล้วค่อยแต่งเพื่อรักษาต้นฉบับไว้ไม่ให้ถูกแตะต้อง เวลาบริหารจัดการคลังภาพจะต้องวางระบบให้ดีๆ ว่าอันไหนต้นฉบับ อันไหนเป็นการปรับแต่งเวอร์ชั่นไหน เซฟครั้งที่เท่าไหร่ วุ่นขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง ลองนึกเวลาเอาภาพไปอัด ถ้า RAW ปรับแต่งเสร็จ สั่ง Export ออกมาเป็น jpg เอาไปอัดแล้วแสงสีไม่ถูกใจ เราก็กลับมาปรับต่ออีกนิด แล้วแปลงใหม่เอาไปอัดได้อีกรอบ และจะปรับจะแปลงอีกกี่รอบก็ได้ และเปลี่ยนใจได้ตลอดเวลา จนกว่าจะได้ค่าแสงสีที่พอใจ กรณี jpg ปรับแต่งเสร็จเซฟเป็นไฟล์ใหม่ไปอัด ถ้าไม่พอใจ จะกลับมาปรับต่อ จะปรับที่ไฟล์ต้นฉบับ ก็จะแก้ไขต่อยอดจากครั้งก่อนไม่ได้ ต้องทำใหม่เลย ถ้าปรับบนไฟล์ที่ก็อปมา คุณภาพไฟล์ในการอัดครั้งต่อไป ก็จะลดลง ทุกครั้งที่ปรับแต่งจะต้องก็อปไฟล์ต้นฉบับ แล้วปรับใหม่จากเริ่มต้นทุกครั้ง แม้จะแก้ไขแค่ ลดสีเหลืองลง 10% จากการอัดครั้งที่แล้ว อย่างอื่นคงเดิมก็ตาม ทางแก้ก็มี คือซื้อโปรแกรมปรับแต่งภาพที่สามารถเลียนแบบการปรับแต่ง jpg แบบ RAW ได้ อย่าง PS, Lightroom, Aperture มาใช้แทน RAW Converter ที่แถมฟรีมากับกล้อง ...ผมว่าเอาตังค์ไปซื้อ Memory Card เพิ่มจะดีกว่ามั้ย จากคุณ : อะธีลาส เขียนเมื่อ : 5 ก.ค. 53 10:11:44

ความคิดเห็นที่ 21 สำหรับผมนะครับ ถ่ายเล่น ก็ jpeg ถ่ายเอาไปทำ+ ก็ถ่าย raw แต่ส่วนมากจะขี้เกียจถ่ายเป็น jpeg ซะหมด ถ่าย raw มันจะดีก็ตรงดึงส่วนที่มืดๆ ให้สว่างๆ หนะแหละ jpeg จะมีปัญหาตรงนี้ซะมากกว่า raw มันดึงได้ดีกว่า จากคุณ : F:A:B:R:E เขียนเมื่อ : 5 ก.ค. 53 10:16:26

ความคิดเห็นที่ 22 ผมเคยสงสัยเหมือนกันว่าถ่าย Raw ดีมั๊ย file raw ของผมประมาณ 26MB แต่หลังจากลองprocessแล้ว ชักติดใจ ตอนถ่าย...ภาพไหนเน้นๆก็จะ Add Raw ไปด้วย... จากคุณ : BkExtra เขียนเมื่อ : 5 ก.ค. 53 10:16:29

ความคิดเห็นที่ 23 คราวนี้ผมเอาไฟล์ต้นฉบับมาปรับแต่งมั่ง เอาแบบหนักมือหน่อย (สำนวนช่างภาพแถวบ้านผมเรียก Surgery) ทำตามลำดับคือ ดึงส่วนมืดลง 2 สต็อปครึ่ง ปรับส่วนหน้าขึ้นครึ่งสต็อป แล้วชิฟท์มิดโทนลงครึ่งสต็อป แล้วก็ mask ปรับเคิร์ฟเพิ่มคอนทราส ปรับสี ทีละส่วน จากนั้นก็หมุนแล้วครอป (ที่ปรับนี่คือทำให้มัน "ดรามาติค" เพิ่มขึ้น ฮี่ๆๆ ) ถ้าต้นฉบับเป็น jpg ละก็ ภาพเละไปตั้งแต่ขั้นแรกแล้วครับ แต่นี่ต้นฉบับเป็น RAW หมุนแล้วครอปไม่พอใจ ก็เอามาหมุนใหม่ครอปใหม่ได้ แสงสีก็แก้ไปแก้มาหลายรอบ แต่ไฟล์ RAW ยังปลอดภัยอยู่เหมือนเดิม ในอนาคตผมอาจจมีไอเดียใหม่ อยากจะปรับเป็นแบบอื่น ก็ยังทำได้สบายมาก และข้อบกพร่องของ jpg ที่ชัดที่สุดของภาพนี้คือ Skin Tone ดูที่แก้มน้องแองเจล่า jpg ไม่สามารถรับมือการไล่ระดับสีผิวในสภาพแสงโหดๆ การปรับแต่งหนักๆ แบบนี้ได้ จะเห็นเป็นแถบๆ ขั้นๆ แต่ในต้นฉบับ ผิวแก้มไล่โทนเนียนกริบน่าจูบเชียว จากคุณ : อะธีลาส เขียนเมื่อ : 5 ก.ค. 53 10:34:09

ความคิดเห็นที่ 24 สั้นๆ นะครับว่า ต้องทำความเข้าใจก่อนว่าอะไรคือ RAW แล้วถ่ายเป็น RAW เพื่ออะไร จำเป็นหรือไม่ ลองไปศึกษาดูก่อนครับ จากคุณ : E22QV เขียนเมื่อ : 5 ก.ค. 53 11:32:56

ความคิดเห็นที่ 25 ผมไม่ได้รับงาน ถ่ายเล่นๆ เพราะชอบถ่าย   ทำงานกลับบ้านมาดึก เสาร์-อาทิตย์  อาจจะไม่ว่าตลอด   ไม่ค่อยมีเวลา Process รูปที่ถ่ายมา  สำหรับผม JPEG อย่างเดียวเลย ถ่ายแบบ RAW เฉพาะ รูปที่จะเน้น  เช่นภาพที่ต้องการจัดการกับ white balance เลือกสิ่งที่เหมาะกับตัวเราเองดีกว่าครับ... จากคุณ : koptyne_1 เขียนเมื่อ : 5 ก.ค. 53 11:52:36

ความคิดเห็นที่ 26 น้านิคส์โม้ไปม้างงง ผมว่า ถ้าผมถ่ายเอง สีแก้มจะออกมานวลเนียนกว่านี้ ถ้าน้านิคส์คิดว่าผมคุยโว .. ส่งน้องแองเจลล่ามาหาผมโลด มาถึงกลางวัน จะไปรับขวัญตอนกลางวัน ... จากคุณ : แมวเหมียวพุงป่อง เขียนเมื่อ : 5 ก.ค. 53 12:30:38

ความคิดเห็นที่ 27 มาอีกแล้วคำถามนี้ เห็นเป็นไม่ได้ต้องรีบเข้ามาตอบ 555+ ไล่ทีละคำถามเลยครับ ปกติควรถ่ายรูปถ่ายเป็น RAW ไฟล์หรือไม่ครับ -ปกติทั่วๆไป ผมว่าไม่ควรถ่ายเป็น RAW ครับปล่อยให้คนมีประสบการณ์ศึกษาเรื่องกล้องมาในระดับสูงถ่าย raw ไปดีกว่ามือใหม่ๆ ผมแนะนำให้ถ่าย jpeg ครับ เพราะอะไรอ่านไปเรื่อยๆน่าจะเข้าใจ RAW ไฟล์จะให้ภาพที่สวยกว่า JPG ใช่หรือเปล่าครับ - ไม่ใช่ครับ น้าแมวฯบอกไปแล้ว raw คือไฟล์ดิบเรียบๆ แต่ jpeg คือไฟล์ที่กล้องแต่งมาให้แล้วระดับที่บริษัทยักษ์ใหญ่เค้าพัฒนากันมาหลายปี ถ้ายังไม่มั่นใจว่าตัวเองมีฝีมือมากกว่านักวิจัยและพัฒนาของบริษัทกล้อง ถ่าย jpeg ไปก่อนดีกว่าครับ แล้วลองใช้ picture style ลองปรับ white balance ให้มากๆจนวันนึงบรรลุแล้วค่อยไปสร้างแนวทางของตัวเองด้วยการถ่าย RAW ครับ ขอลอกประโยคน้าแมวฯนิดนึง ว่าซื้อกล้องมาเป็นหมื่นๆเพื่อเอาฟังก์ชั่นขั้นเทพทั้งหลายแหล่ แต่จะมานั่งเหนื่อยแต่งรูปเองทำไมในเมื่อกล้องมันก็แต่งให้ได้เหมือนกัน ปกติควรถ่ายรูปถ่ายเป็น RAW ไฟล์หรือไม่ ถ้าต้องการภาพสวย ๆ -ถ้าต้องการภาพสวยๆไม่เกี่ยวกับ raw หรือ jpeg ครับ มันอยู่ที่การวัดแสง องค์ประกอบภาพ และเรื่องราวของภาพ ตามคำที่เค้าว่าไว้ "สวยด้วยแสง แรงด้วยสี ดีด้วยเรื่องราว" (ไม่เกี่ยวกับ raw) และที่สำคัญ jpeg ก็แต่งสีได้นะครับ สวยได้เหมือนกัน ถ้าเราวัดแสงมาพอดีๆจะเพิ่มจะลดอะไรนิดๆหน่อยๆ ภาพมันไม่เละหรอกครับ จากคุณ : ทายาทจูล่ง เขียนเมื่อ : 5 ก.ค. 53 18:36:49

ความคิดเห็นที่ 28 ทีนี้มาว่ากันเรื่อง raw vs jpeg บ้าง ขอออกตัวล้อฟรีก่อนเลยว่าเรื่องแบบนี้ทางใครทางมัน เหมือน canon vs nikon เลยครับ ภาพ raw ถามว่าดีกว่ามั๊ยผมว่ามันคงดีกว่าแหล่ะครับก็เล่นใช้ความจุขนาดนั้น แต่ภาพสวยๆที่รับรางวัลระดับโลกที่ถ่ายด้วย jpeg มีเยอะแยะไปครับ อยู่ที่ีว่าเราคิดก่อนถ่ายหรือเปล่าว่าต้องการภาพแบบไหน เกินขีดจำกัดของ jpeg หรือไม่ เช่น ภาพ HDR ถ้ามันเกินขีดจำกัด เมื่อนั้นเราต้องถ่าย raw ครับผมสนับสนุน แต่จากประสบการณ์คนส่วนใหญ่ถ่ายมาซัก100ภาพจะมีภาพที่ต้องถ่ายด้วย raw "เท่านั้น"ถึง 5 ภาพหรือเปล่ายังไม่รู้เลย ว่ากันตามตรงสำหรับผมปัจจุบัน RAW ไฟล์มีจุดแข็งในเรื่องของ"เผื่อเสีย" เท่านั้นเองครับ แปลว่าอะไร แปลว่าถ้าเราถ่าย raw แล้ววัดแสงพลาดเรายังดึงภาพกลับมาได้ แล้วถ้าเราใช้กล้องจนชำนาญไม่มีภาพเสียล่ะ จะมีประโยชน์อะไรอีก? นอกจากถ่ายบางภาพที่ต้องการ process มากๆเช่น HDR ต่อมาการเลือก raw หรือ jpeg ต้องถามตัวเองก่อนด้วยครับว่ามีนิสัยถ่ายภาพ ยังไง ถ้าเราชอบแต่งในคอมมากกว่าก็ถ่าย RAW ครับ จบ.... แต่ถ้าเราชอบกดชัตเตอร์ ไม่ได้ชอบแต่งภาพ ผมว่าเอาเวลาไปถ่ายภาพ jpeg ดีกว่า ทำไมใช้คำว่าเวลา? ลองนึกถึงคนธรรมดาทั่วไป ได้ออกไปถ่ายรูปทุกอาทิตย์ครั้งนึงเป็นร้อยๆรูป ถ้าถ่ายเป็นไฟล์ RAW มาเรามีเวลาเอารูปมาแต่งให้สมกับขีดความสามารถของ RAW หรือเปล่าครับ ทำงานจันทร์-ศุกร์ เสาร์ไปเที่ยว อาทิตย์ซักผ้ากวาดบ้านเลี้ยงลูก!!! T^T ยิ่งรับถ่ายงานยิ่งแล้วใหญ่ งานประจำก็ต้องทำ งานนอกก็ห้ามสาย....... ถ้ามีเวลาก็ถ่าย RAW ไปครับ แต่ถ้าไม่มีเวลา แล้วถ่าย raw มาเพราะ"เผื่อเสีย" แล้วเอาลงคอมแปลงเป็น ไฟล์ jpeg เท่านั้น ผมว่าเอาเวลาที่ต้องแปลงไฟล์หน้าคอมไปหัดใช้ picture style หัดใช้ white balance หัดคุมแสงให้ได้ตามต้องการ มันสนุกกว่าเยอะเลยครับ เหมือนซื้อรถเฟอรารี่มาขับไป-กลับที่ทำงานช่วงรถติดๆอ่ะครับ ผมว่าแบบนั้นสู้ซื้อ BMWแล้วแต่งรถให้สวยๆ เปลี่ยนเบาะนุ่มๆ ติดเครื่องเสียงใหญ่ๆ ยังจะสนุกกว่าเลยครับ สุดท้าย ในอนาคต RAW ไฟล์อาจจะเป็นเรื่องปกติของการถ่ายรูป แต่ปัจจุบัน jpeg ยังตอบโจทย์ได้เป็นที่น่าพอใจ ผมเลยคิดว่ายังไม่จำเป็นต้องถ่ายรูปเผื่ออนาคตแบบที่น้าแมวฯเขียนไว้ในกระทู้เรื่องการซื้อกล้องครับ ปล.แค่นำเสนอความคิดในเรื่องของ jpeg ไม่เห็นด้วยก็ไม่แปลก เพราะเรื่องนี้ก็คุยกันมาหลายครั้งแล้ว เอาเป็นเลือกแบบที่ชอบ แบบที่สนุก แบบที่คิดว่าดีกว่าและเหมาะกับการถ่ายรูปของเราเท่านั้นก็พอครับ ขอให้สนุกกับการถ่ายภาพครับ ^^ (ยาวไปมั๊ยเนี่ยยยยยยยย) จากคุณ : ทายาทจูล่ง เขียนเมื่อ : 5 ก.ค. 53 18:37:27

ความคิดเห็นที่ 29 ขอบคุณทุก ๆ ท่านมาก ๆ ครับ ได้แนวทาง ความรู้เยอะมาก ๆ เลย ขอบคุณมาก ๆ ครับ จากคุณ : อาตี๋อินเทอร์เน็ต เขียนเมื่อ : 5 ก.ค. 53 19:55:27

ความคิดเห็นที่ 30 เห็นด้วยกับ ทายาทจูล่ง เขียนได้ดีมากครับ จากคุณ : ผู้เห็นทุกข์ ([Mr.ทุกขํ]) เขียนเมื่อ : 5 ก.ค. 53 20:08:28

ความคิดเห็นที่ 31 เดี๋ยวมือใหม่จะเข้าใจผิด ถ่ายได้ไฟล์ RAW "ไม่ต้อง" แต่งภาพนะครับ เพราะเดี๋ยวนี้ก็ยังมีคนเชื่อว่าถ่าย RAW แล้วต้องแต่งไฟล์ก่อน ที่จริงจับไฟล์โยนเข้าโปรแกรมแปลงไฟล์ เลือก Picture Style แปลงทั้งแผงอัตโนมัติได้เลย สั่ง Batch Converter แล้วไปอาบน้ำกินข้าว กลับมาก็เสร็จ ถ้าเยอะจัดเป็นพันรูป ก็สั่งไว้ก่อนนอน ตื่นเช้ามาก็เสร็จพอดี ไม่ได้เสียเวลาตรงไหน โปรแกรม Converter จะจัดการแต่งภาพให้เอง ได้ผลงานเกือบเหมือน Jpeg จากกล้อง ที่ไม่เหมือน ได้แค่เกือบเหมือน ก็เพราะ "ดีกว่า" ครับ ความคมชัด สีสัน น้อยส์ ดีเทียบเท่า หรือดีกว่า jpg จากกล้อง แต่ขนาดไฟล์ เล็กกว่า เพราะ RAW Converter ในคอมพ์สามารถใช้อัลกอริทึมในการโปรเซสได้อย่างซับซ้อน ไม่ถูกจำกัดด้วยเวลา พลังประมวลผล และพลังงานเหมือนในกล้อง ไม่มีอีกแล้วที่ถ่าย RAW แล้วต้องมานั่งปรับ นั่งแต่งทีละรูป แม้จะหวังแค่ jpg แบบไม่ปรับแต่ง ก็ยังควรถ่ายเป็น RAW แล้วเอามาแปลงทีหลังอยู่ดี จากคุณ : อะธีลาส เขียนเมื่อ : 5 ก.ค. 53 20:42:50

ความคิดเห็นที่ 32 RAW ไม่ได้มีไว้ เผื่อเสีย นะครับ วัดแสงผิดไปแค่ไม่ถึง 1 สต็อป คุณภาพไฟล์จะแย่ลงมาก ไม่ว่า jpg หรือ RAW ก็ตามที จะถ่าย RAW หรือ Jpg การวัดแสงอย่างแม่นยำ คลาดเคลื่อนอย่างมากไม่เกินครึ่งสต็อป ยังคงจำเป็นเสมอ RAW ไม่ใช่แก้วสารพัดนึกที่จะบันดาลให้ภาพเสีย กลายเป็นภาพดีได้ กล้องไม่อยู่ตลอดไป เทคโนโลยีมันเปลี่ยนไปเรื่อยๆ นั่นเป็นเหตุผลที่ว่าซื้อกล้อง ไม่ต้องคิดถึงอนาคต แต่ไฟล์ภาพจะอยู่ตลอดไป อีกสิบปี ห้าสิบปี ร้อยปีข้างหน้า ถ้าเก็บรักษามันได้ดี มันไม่มีอีกแล้วที่จะถ่ายภาพเดิมซ้ำได้เหมือนเดิม ภาพเดียวในชีวิตก็ต้องให้มันมีคุณภาพสูงสุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ผมมีภาพคุณพ่อคุณแม่ ที่ผมรัก อีกหลายสิบปีข้างหน้าท่านคงไม่อยู่แล้ว แต่ภาพของท่านก็จะยังอยู่ตลอดไป ด้วยคุณภาพสูงสุดเสมอ RAW Converter ที่ออกใหม่ (อย่าง ACR เวอร์ชั่นล่าสุด) ก็ทำให้ผมได้ภาพที่ Clean ปราศจากน้อยส์ จาก E-1 ที่น้อยส์มหาศาล ไม่ว่า jpg จากกล้อง หรือ RAW Converter ในสมัยนั้น ใครจะรู้ ว่า Converter ในอนาคตจะทำอะไรน่าแปลกใจกว่านี้ได้อีกขนาดไหน ผมไม่เห็นความจำเป็นอะไรที่จะสร้างขีดจำกัดให้แคบกว่าที่ควรเป็น เพราะข้ออ้างว่าไม่มีเวลา (ซึ่ง RAW ก็ไม่ได้เปลืองเวลาสักเท่าไหร่อย่างที่บอกไป) คุณภาพแค่นี้พอแล้ว (แล้วอนาคตล่ะ) หรือเปลืองพื้นที่เมมโมรี่ จากคุณ : อะธีลาส เขียนเมื่อ : 5 ก.ค. 53 20:59:09

ความคิดเห็นที่ 33 อ่านแล้วจะมาตอบใหม่ เจอน้าอะธีลาส จั่วหัวเหมือนกันเลย RAW ไม่ได้มีไว้ เผื่อเสีย นะครับ  แล้วก้อไม่ใช่ไว้เฉพาะมือเก่า RAW นี่เป็นตัวที่ใช้ในการเรียนรู้ของมือใหม่ได้ดีเลยทีเดียว ทั้ง WB ทั้งการชดเชยแสง ลองเอามานั่งปรับดูสิครับ แล้วจะเข้าใจมากขึ้น คราวหน้าเวลาไปถ่ายจะได้นึกภาพออก จากคุณ : ARMS STRONG เขียนเมื่อ : 5 ก.ค. 53 21:23:57

ความคิดเห็นที่ 34   Raw VS Jpeg ศึกนี้รอบที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ 5555 คนที่เชื่่อมั่น Raw ก็พยายามชักแม่น้ำทั้งห้า ชี้แจงความดีกว่าสาระพัดจะอ้าง แต่....ลืมไปอย่างหนึ่งหรือไม่ ?? มีสักกี่คนที่ปรับแต่งภาพจาก Raw file เป็น ? จเเป็นกลุ่มเป็นก้อนดูหนาแน่นมากหน่อยก็ตาม website ของคนถ่ายภาพเท่านั้น ซึ่งจำนวนไม่น้อยในนั้นก็ไม่ได้ยึด Raw File เป็นสรณะ หันย้อนมาดูความเป็นจริงในโลก นับจำนวนหัวของผู้ที่ซื้อกล้อง digital ไปใช้งานตั้งแต่ compact ไปยัน DSLR มีสักกี่คนกันครับ ที่ถ่ายแต่ Raw แล้วเอารูปมาทำต่อ นับหัวดูได้เลยถ้ามีมากกว่าคนที่ถ่ายแต่ jpeg ผมจะเลี้ยงโอเลี้ยงแก้วหนึ่ง 555 บริษัทผู้ผลิคกล้องเขามองความจริงข้อนี้ครับ เขาจึงอัด function สาระพัดแบบเข้าไปในตัวกล้องไม่ว่าจะเป็น picture style , D-optimizer, HDR ฯลฯ สาระพัดตัวช่วยที่อัดเข้าไปในตัวกล้องรุ่นใหม่ ...เขาเอาไปช่วยให้คนถ่าย Raw file หรือก็คงไม่ใช่ เพราะบางอย่างก็ทำได้บน jpeg file เท่านั้น ผมคงไม่เถียงหรอกครับว่า Raw นั้นดีกว่า Jpeg แน่ๆ แต่ช่วยตอบผมหน่อยเถอะว่า จำนวนกล้องหลายล้านตัวที่ถูกขายออกไปในแต่ละปี มีถึง 10% ไหมที่เจ้าของกล้องเหล่านนั้น process Raw file เป็นครับ จากคุณ : 000 เขียนเมื่อ : 5 ก.ค. 53 23:39:08 A:124.121.88.190 X: TicketID:274346

ความคิดเห็นที่ 35 " เจ้าของกระทู้ต้องการภาพสวยๆ คงไม่ได้มาหาพวกมั้งครับ คนเราเกิดมาชาติเดียวครับ ทำไมไม่ทำอะไรให้มันสุดตลิ่งไปเลยล่ะ ไม่มีใครทำอะไรเป็นมาก่อนหรอก มันต้องเรียนรู้กันทั้งนั้น " จากคุณ : ตุ๊กตาหมี เขียนเมื่อ : 6 ก.ค. 53 00:39:31

ความคิดเห็นที่ 36 อืมมมม .. ต้องขออภัยเพื่อนๆ ด้วยที่ผมอาจจะอธิบายได้ไม่ชัดเจน และต้องขอบคุณคุณแมวเหมียวฯ ด้วยที่เข้ามาเพิ่มเติมตรงส่วนความละเอียดของสี ไหนๆ ก็ว่ากันถึงเรื่องนี้แล้ว มาลองดูเพิ่มเติมกันสักนิดแล้วกัน รู้ไว้ใช่ว่าใส่บ่าแบกหาม ... เรื่องของสีแบบ 8 บิทของ JPG กับ 12 หรือ 14 บิทของ RAW และความแตกต่างของมันกันดีกว่า มาดูกันที่ 12 บิทเป็นตัวอย่างแล้วกันนะ .. ใน 1 พิกเซลค่าความละเอียดสีของแสง หรือ color depth (ผมขอเรียกอย่างนี้แล้วกัน ความสว่างสำหรับผมจะเรียกว่า Luminosity ความสว่างเปลี่ยนไป เราก็เห็นสีที่แตกต่างออกไป) นั้นจะมีค่าทั้งหมด 4096 ระดับ (ก็คือ 2 ยกกำลัง 12 นั่นเอง) และรวมกัน 3 สี จะได้เป็นสีแดง 4096 x สีเขียว 4096 x สีน้ำเงิน 4096 ระดับ ทำให้มีความละเอียดที่สามารถไล่ระดับกันได้ถึงหกหมื่นกว่าล้านระดับสีของแสงนั่นเอง แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าทั้งหกหมื่นกว่าล้านสีนั้นจะแสดงออกมาพร้อมกันใน 1 พิกเซลซะที่ไหนล่ะ 1 พิกเซลก็คือ 1 ค่าสีของแสงและใน 1 ค่านั้นจะเป็นได้ 1 ในหกหมื่นกว่าล้านสีนั่นแล ส่วน JPG จะมีความละเอียดของสีของแสงที่ 256 ระดับ (2 ยกกำลัง 8) และเมื่อรวมกัน 3 สีก็จะได้เป็น ความละเอียดสีของแสงที่ไล่ระดับกันได้ 16.7 ล้านสี เท่านั้นยังไม่พอยังมีการทิ้งข้อมูลบางส่วนอีกด้วย อันเป็นเหตุให้เราสูญเสียข้อมูลในตำแหน่งนั้นๆ ไป แต่ก็ได้ประโยชน์ตรงที่ไฟล์จะมีขนาดเล็กลง ส่วนจะทิ้งข้อมูลตรงไหนจะเป็นไปตามอัลกอลิธึมที่เขียนขึ้นในแต่ละโปรแกรมนั่นเอง ... เอาล่ะ .. ลองพิจารณาดูกันนะว่าไฟล์แบบไหนที่จะเหมาะสมกับการใช้งานเพื่อนๆ ... มาว่ากันต่ออีกนิด .. ทำไมต้อง 3 สี RGB ด้วยล่ะ นั่นมันมาจาก human perception of color เพราะมนุษย์เราเห็นและแยกแยะสีของแสงได้ระดับหนึ่งเท่านั้น จึงไม่มีประโยชน์ที่จะเก็บเอาสีของแสงที่มี ความยาวคลื่นนอกเหนือจากที่เรามองเห็น เพราะเรากำลังพูดถึงภาพถ่ายนะไม่ใช่อย่างอื่น ถามว่าแสงสีที่มีความยาวคลื่นนอกเหนือจากที่มองเห็นเนี่ยเอาไปทำอะไร ใครรู้บ้างเอ่ย? ... จริงๆ แล้วยังมีอีกหลายเรื่องที่เกี่ยวเนื่องกันอยู่ เช่น indexed color / direct color,RGB model color ฯลฯ ถ้ามีโอกาสจะเคาะสนิมในสมองเอาข้อมูลมาเพิ่มเติมให้เพื่อนๆ ก็แล้วกัน ส่วนข้อมูลเพิ่มเติมเรื่องนี้ ค้นได้ที่กูเกิ้ล และวิกิพีเดียกันเลยนะครับ ... ยาวไปซักนิด .. แต่ก็ขอขอบคุณที่ติดตามรับชมครับ .. จากคุณ : APRIL GUY (tombass) เขียนเมื่อ : 7 ก.ค. 53 14:00:35