 |
ความคิดเห็นที่ 45 |
. จากที่ฟังมาจากครูกล้องสมัยก่อนเล่าให้ฟังว่า คำว่า STOP มีมาตั้งแต่สมัยกล้องยังไม่มีกลไกเลยครับ มีเพียงเลนส์ กล่องไม้ ฟิล์ม และผ้าดำไอ้โม่งดูภาพจากกระจกฝ้าหลังกล้อง
การเปิดปิดชัตเตอร์ใช้ฝาครอบเลนส์เปิดปิดเอาเพราะฟิล์มสมัยก่อนมันมีความไวแสงต่ำมาก จะเรียกว่าฟิล์มก็ไม่ถูกต้องนักเพราะมันคือ Daguerreotype ไม่ใช่แผ่นฟิล์ม
การเปิดหน้ากล้องต้องใช้เวลานานมากยิ่งย้อนหลังไปสมัยยังเป็นแผ่นโลหะเคลือบเงินไม่ใช่กระจกรูปต้องเปิดเกือบนาที สมัยที่เป็นกระจกเปียกเมื่อกว่าร้อยปีก่อนก็ยังล่อไปถึง 5-30 วินาที แม้จะถ่ายกลางแจ้งก็ตาม
คราวนี้การถ่ายรูปมันต้องใช้เวลาเลยต้องมีช่างภาพคนหนึ่งจัดคอมโพสภาพและดูแลการใส่แผ่นกระจกไวแสงแล้วอีกคนที่เป็นผู้ช่วยแบกกล้องแล้วยังต้องคอยดูนาฬิกาแล้วขานเวลา พอครบเวลาแล้วก็ร้องว่า STOP !!!! ช่างภาพก็เอาฝาครอบกล้อง (SHUTTER) ปิดเลนส์เป็นอันเสร็จวิธีการถ่ายรูป ถอดกระจกใส่กล่องมืดเอารอไปล้างทำเน็กกาทีฟ
นี่คือกำเนิดของคำว่า STOP และ SHUTTER แต่ครูสอนถ่ายรูปของผมบอกว่าคำนี้สมัยก่อนเป็นภาษาฝรั่งเศสในความหมายเดียวกัน เพราะสตูดิโอถ่ายรูปที่ถ่ายรูปเจ๋งสุดคือ Galeries Lafayette ในปารีส รัชกาลที่5 ก็เคยไปถ่ายรูปแบบกระจกไวแสงที่นี่ด้วย พอสตูดิโอดีๆแพร่ไปยังอเมริกาคำนี้ก็เลยเป็นภาษาอังกฤษแบบที่เราคุ้นเคยนั่นแหละ
พอเริ่มมีกระจกแห้งขึ้นมาเมื่อเกือบร้อยปีก่อนใช้มันไวแสงมากขึ้น การใช้มือเปิดปิดมันก็ไม่ทันความไวแสงของกระจกขึ้นมาอีกแล้วแต่ถ่ายภาพได้ดีขึ้นกว่าแต่ก่อนมากมาย คราวนี้จึงพัฒนาเป็นกลไกขึ้นมาเปิดปิดหน้าเลนส์แทนฝาครอบกล้องเพราะว่าถ้าเวลาพลาดไปครึ่งวินาทีก็คือภาพเสียไปอีกเล้ว
ดังนั้น Shutter ก็เป็นกลไกพลิกแบบประตูง่ายๆ ตอนที่มันพัฒนาเป็นแม็กคานิกแล้วที่เหลืออ่านต่อได้จาก คห.34 ของหมอแมวครับ แต่ช่างกล้องก็ยังเรียกติดปากว่า Shutter และเวลาหรือชัตเตอร์สปีดก็ยังขานเป็น Stop อยู่เหมือนเดิม . สปีดชัตเตอร์ก๋งที่ไหนบอกเป็นสต็อป อีตาคนธนฯมันมั่วหรือเปล่า.... เดี๋ยวครับ อ่านไปเรื่อยๆเดี๋ยวสิ่งที่เราคุ้นเคยในวันนี้มันมาเองในอีกสองย่อหน้า .
คราวนี้พออีตา Kodak ฟิล์มมันไวแสงขึ้นแทนกระจก คราวนี้เวลาของชัตเตอร์แม็คคานิกอย่างเดียวมันคุมกล้องไม่อยู่แล้ว มันต้องลดแสงลงจากเลนส์เปล่าๆกลายเป็นต้องมีอะไรมาลดรูแสงเข้าเลนส์ลงเพราะมันไวแสงขึ้นมากมายมหาศาล
คราวนี้ขนาดของรูก็ว่ากันโดยเทียบพื้นที่กับเลนส์โล้นๆ ผมจะข้ามเรื่อง focal ratio คืออัตราส่วนความสว่างของภาพ โดยเอาขนาดเลนส์หารด้วยความยาวโฟกัสเป็น f-number เสียเลย เพราะเดี๋ยวจะงงกัน เราจะว่ากันที่รูลดแสงอย่างเดียว ความสว่างของเลนส์ไม่เกี่ยว เพราะผมจะเล่าเรื่อง Stop อย่างเดียว แต่ละเว้นเรื่อง F- ข้างหน้า Stop ไว้ก่อน
แล้วไอ้เจ้าตัวรูลดแสงที่ทำให้เป็นตัวหาร Unit Ratio 1=EV (exposure value อยากรู้ก็อ่านต่อที่กระทู้เมื่อวานของลุงมังกรดำ) แบบตัวคูณลดที่สมมาตรกับปริมาณแสง 1EV ลดแสงทีละครึ่งหนึ่งได้ไงล่ะ คือให้มันลดแบบเป็นอัตราส่วนแบบเท่ากันเหมือนคนก้าวเดินที่เท่ากันทุกก้าว
คราวนี้ตัวเลขของการคูณลดหน้าเลนส์มันจะเอาอะไรที่ให้มันเป็น Ratio กับเวลาของ Shutter ที่เท่ากับ 1EV ได้ล่ะ เรื่องแบบนี้ง่ายๆ ก็กฎของฟิสิกส์บอกว่าความสว่างของแสงมันแปรผันกำลังสองกับพื้นที่ตกกระทบแผ่นฟิล์ม ดังนั้นเอาแบบนี้เลยดีกว่า เอา ตัวคูณกำลังสองของสแควร์รูทสองมาใช้เลยดีกว่า เพราะสแควร์รูทสองคือเส้นผ่าศูนย์กลางของภาพกลมๆที่ได้จากเลนส์เมื่อเทียบกับแผ่นฟิล์มแล้วมันคือเส้นทะแยงมุมของฟิล์มนั่นเอง อีตาฟีธากอรัสคิดสมการนี้มาเป็นพันปีแล้ว
ดังนั้น ค่าตัวเลข f/1, f/1.4, f/2, f/2.8, f/4, f/5.6, f/8, f/11, f/16, f/22 จึงเกิดขึ้นมาในโลกนี้ แต่ช่างภาพก็ยังใช้คำว่า F-Stop เมื่อเที่ยบกับ 1EV อยู่ดีเพราะมันคือเศษส่วนของปริมาณแสงของเลนส์โล้นกับเวลาชัตเตอร์ที่ 1 EV แบบเดิมๆ ตัว F ที่เพิ่มมาข้างหน้าก็เป็นอัตราส่วนของ focal ratio ที่ผมข้ามมาย่อหน้าบนนั่นแหละ
ดังนั้นขนาดรูเปิดรับแสงของ F-stop 5.6 ของเลนส์แต่ละตัวมันไม่เท่ากันหรอกเพราะ focal ratio ที่ผมข้ามมานั่นเอง
จบแล้วครับ ที่มาของคำว่า Stop , F-stop , Shutter จริงมั่ง โม้มั่ง จำได้มั่ง ไม่ได้มั่ง เพราะครูก็เมา ผมก็เมา ตอนที่เล่าเรื่องนี้กันเมื่อเกือบสี่สิบปีก่อน
.
จากคุณ |
:
คนธนฯ
|
เขียนเมื่อ |
:
2 ก.ย. 53 04:03:04
|
|
|
|
 |