ความคิดเห็นที่ 1 ไม่มีครับ ตัวรับภาพของกล้องมันตาบอดสี เห็นทุกอย่างเป็นขาวดำ จากคุณ : อะธีลาส เขียนเมื่อ : 8 ก.ย. 53 21:06:56

ความคิดเห็นที่ 2 อื่มมมม น่าจะช่วงคลื่นที่ตาเรามองเห็นครับ ..... 400-700nm ประมาณ แต่ตามที่น้าอะธีลาสบอก มานบอดสี จริงๆแล้ว มันแปลงคลื่นที่รับได้เป็นสัญญาณคอมพิวเตอร์ ตามจำนวน bit ที่เซนเซอร์รับได้ บางตัวก็ 8bit บางตัวก็ 12bit 16bit ...แล้วแต่ว่าเซนเซอร์ตัวนั้นทำได้ละเอียดแค่ไหน ถ้า8 bit ก็ 2กำลัง8 ก็เท่ากับ 256 ในคอมมันก็ระบุออกมาเป็นเลข 0-255 ...... ซึ่ง..บังเอิญญญญญญญญญญญญ โปรแกรมทำภาพส่วนใหญ่ จะระบุค่าช่วงแสงไว้ 0-255 เท่ากันเลย .(บังเอิญตรงไหน - - เหอะๆๆ) -------------------------------------------------------------- ตรงนี้แอบมึน อย่าไปใส่ใจเลย ^^" -------------------------------------------------------------- ปล. จะเห็นได้ว่า ภาพบางภาพ ที่เป็นภาพ 11บิต 12บิต 16บิต ไม่สามารถเปิดในโปรแกรมอย่าง ps หรือโปรแกรมทำภาพทั่วๆไปได้ ........ เพราะโปรแกรมไม่ได้ทำมารองรับภาพขนาด เกินกว่า 8บิต ครับ ....... ต้องใช้โปรแกรมเฉพาะ ในการเปิด หรือ ตัวช่วยเหลือต่างๆสำหรับโปรแกรมนั้นๆ ....... เอ๋...แต่จะว่าไป ps มันก็สร้างไฟล์งาน 8bit 16bit 32bit เลยนี่ แหง่มๆๆๆๆ งงดีแหะ - - แก้ไขเมื่อ 08 ก.ย. 53 22:01:56 แก้ไขเมื่อ 08 ก.ย. 53 21:58:26 จากคุณ : reni เขียนเมื่อ : 8 ก.ย. 53 21:54:30

ความคิดเห็นที่ 3 LAB จากคุณ : DoraeMew เขียนเมื่อ : 8 ก.ย. 53 22:31:45

ความคิดเห็นที่ 4 เมื่อก่อนโน้นเคยเข้าใจว่า LAB คือสีในห้องปฏิบัติการ จากคุณ : มังกรดำ เขียนเมื่อ : 9 ก.ย. 53 01:29:33

ความคิดเห็นที่ 5 บิตสี กับ ความกว้างสี คนสับสนกันเยอะครับ ความกว้าง สมมุตแทนตัวเลข .. 0 1 2 3 4 5 6 7 8 9 ... Adobe กว้างมากมีขอบเขต 0 1 2 3 4 5 6 7 8 9 sRGB ขอบเขตแคบมาหน่อยเก็บได้ 0 1 2 3 4 5 6 7 บิตสีคือความจุที่เก็บตัวเลขได้ สมมติให้ 8 บิต เก็บเลขได้ 6 ตัวละกัน เวลามันเก็บสีของ AdobeRGB สมมติเก็บช่วง [0 1 3 5 6 9] เวลามันเก็บสีของ sRGB สมมติเก็บช่วง [1 3 4 5 6 7] จะเห็นว่า บิตสีที่เท่ากัน การเกลี่ย หรือความหนาแน่นสีของ sRGB จะหนาแน่นกว่า AdobeRGB ดังนั้นถ้าเอาบิตสีต่ำ ๆ มาเก็บ AdobeRGB บางภาพอาจเห็นการแบ่งชั้นของสีได้ง่ายกว่า sRGB ดังที่เห็นว่าตัวเลขที่หายไป (ในขอบเขต) นั้นน้อยกว่า AdobeRGB ดีกว่า sRGB แน่นอน ถ้าไม่ถูกจำกัดใส่บิตสีภาชนะ ๆ เล็ก ๆ ที่ไม่พอเพียง และต้องขึ้นอยู่กับ output ที่แสดงผลมันออกมาได้ด้วย ซึ่งปัจจุบัน แทบไม่มี (ในราคาที่จับต้องได้) จากคุณ : noraneko เขียนเมื่อ : 9 ก.ย. 53 01:32:54

ความคิดเห็นที่ 6 ผมตอบตามคู่มือกล้องกับคำแนะนำในการใช้งานของโปรแกรมPSแล้วกันนะครับ   ทั้งสองที่มาเค้าแนะนำตรงกันว่าถ้าต้องการเอามาต่อในPSแนะนำให้ใช้AdobeRGBในการทำงานครับเพราะกามุตสีที่กว้างกว่าย่อมทำงานได้ง่ายกว่าครับ  แต่ถ้าต้องการถ่ายมาแล้วเอาไปอัดภาพตามเล็ปดิจิตอลแนะนำให้ถ่ายมาเป็นSRGBครับ  อย่างเราถ่ายภาพเพื่อเอาลงเว็ปนี่แม้AdobeSRGBจะให้ช่วงสีที่กว้างกว่าก็จริงแต่สุดท้ายก่อนที่เราจะทำภาพลงเว็ปเราก็ต้องคอนเวิทกลับมาเป็นSRGBอยู่ดี    แต่ถ้าถ่ายภาพเพื่องานพิมพ์ตามโรงพิมพ์นี่จะเห็นความแตกต่างได้มากเลยครับแนะนำเป็นอย่างยิ่งให้ถ่ายมาเป็นADobeRGB จากคุณ : ตากล้องหนุ่ม เขียนเมื่อ : 9 ก.ย. 53 08:05:30

ความคิดเห็นที่ 7 อธิบายเพิ่มเติมครับ ในระดับฮาร์ดแวร์ของตัวรับภาพแบบไบเออร์ กล้องดิจิตอลเป็นกล้องโมโนโครมโดยสมบูรณ์ รับรู้ได้แค่ระดับความสว่างเท่านั้น แต่ไม่รับรู้สี และถึงแม้ว่าจะเป็นกล้องดิจิตอล แต่การทำงานที่เป็นหัวใจของมันกลับเป็นระบบอนาล็อก เทคนิคในการที่ทำให้เกิดสี จะเกิดขึ้นในระดับซอฟท์แวร์ อธิบายการเกิดภาพคร่าวๆ ได้แบบนี้ครับ เมื่อแสงกระทบเซ็นเซอร์จะเกิดสัญญาณไฟฟ้า สัญญาณนี้จะถูกเก็บ และแปลงจากอนาล็อก ที่ไม่แบ่งขั้น ให้กลายเป็นขั้นๆ แบบดิจิตอล โดยใช้ Analog to Digital Microchip (ที่จริงคือซอฟท์แวร์ที่ฝังอยู่ในชิป) ขั้นนี้กล้องจะยังคงบอดสีอยู่ ระดับขั้นของแสงที่แต่ละเซลไซต์มองเห็นจะละเอียดมากน้อยก็แล้วแต่ระดับกล้อง ว่าเป็นระดับไหน กี่บิตแสง 10, 12, 14 หรืออื่นๆ ยิ่งบิตมาก ก็ยิ่งแบ่งขั้นได้ละเอียดมากขึ้น ไม่ได้หมายความว่ามีบิตมาก จะมีไดนามิคมาก หรือประสิทธิภาพมาก มีแสงสีมาก หรือเข้มข้น แต่หมายถึงยิ่งบิตมาก ก็ยิ่งให้ภาพมีหลายระดับขั้น ใกล้เคียงกับอนาล็อกมากขึ้น ถ้าเป็นในทางทฤษฎี (อาจจะมีในกล้องโบราณ) ข้อมูลนี้ คือข้อมูลที่จะส่งออก โดยแนบการตั้งค่าต่างๆ ของกล้องไปด้วย แล้ว Export เป็น RAW แต่ในปัจจุบันไม่มีกล้องใดส่งข้อมูลนี้ออกไปดื้อๆ อีกแล้ว จะเอาข้อมูลนี้มาปรุงแต่ง (Treatment) ก่อน มากน้อยแล้วแต่กล้อง ก่อนจะ Export เช่นการกำจัดน้อยส์ในระดับฮาร์ดแวร์เลย (พูดอีกอย่างว่า ความเชื่อเรื่อง RAW คือไฟล์ที่ไม่ได้ปรับแต่ง เป็นเรื่องโกหกทั้งเพ) จากคุณ : อะธีลาส เขียนเมื่อ : 9 ก.ย. 53 08:10:03

ความคิดเห็นที่ 8 ข้อมูลนี้จะถูกเอามาสร้างเป็นภาพด้วยโปรแกรมในกล้อง หรือ Raw Converter ในคอมพิวเตอร์ ในขั้นนี้จะทำให้ไฟล์ภาพมีสีขึ้นมา จากเดิมที่แต่ละพิกเซลเห็นแค่ความสว่างเท่านั้น แต่เพื่อให้รับรู้สีได้ ในแต่ละเซลไซต์จะมีฟิลเตอร์สี เพื่อให้แต่ละเซลรับความสว่างของสีเพียงสีใดสีหนึ่งเท่านั้น ในระบบไบเออร์ จะใช้แม่สีสามสี แดง น้ำเงิน เขียว จะจัดเรียงอย่างไร ก็แล้วแต่เทคนิคอย่างละเอียดในการออกแบบ โปรแกรมจะเอาข้อมูลความสว่างของแต่ละพิกเซล มารวมกับข้อมูลเซลที่อยู่รอบข้าง แล้วผ่านกรรมวิธีการคำนวณทางคณิตศาสตร์ เพื่อหา (โมเม ตีขลุม หรือมั่วอย่างมีหลักการ) ว่าเซลไซต์นั้น ที่มีแค่ความสว่างของแม่สีแค่สีเดียว ควรจะเปลี่ยนเป็นพิกเซลสีอะไรดี และสว่างเท่าไหร่ดี ขั้นตอนนี้เรียกว่า Interpolation จะมั่วได้ใกล้เคียงความจริงมากน้อยแค่ไหน ก็แล้วแต่ความเก่งของ Algorithm ของแต่ละเจ้า โดยอนุโลม เราอาจจะบอกได้ว่าในขั้นนี้ กล้องจะใช้ LAB Color เป็นตัวอธิบายสีของแต่ละพิกเซล เมื่อได้ข้อมูลที่มีสีแล้ว ก็ต้องเอามาปรับภาพให้สอดคล้องกับการมองเห็นของสายตามนุษย์ก่อน เพราะข้อมูลที่ได้จะเป็น Linear แต่สายตามนุษย์ตอบสนองต่อการมองเห็นเป็นเชิง Logarithm คือจะแยกแยะข้อมูลที่มีความสว่างต่ำๆ ได้ดีกว่า การบอกความต่างของข้อมูลที่มีความสว่างสูง การ Apply Tone Curve นี้ จะมีสิ่งที่เกี่ยวข้องคือค่า Gamma ที่ใช้กำหนดความชันของเคิร์ฟ เพื่อควบคุมความสว่าง และคอนทราสท์ เรื่องสี จะมีการใส่ color profile ว่าจะอธิบายระดับแสงสี โดยใช้ตัวเลขอะไรมาแทนค่า สีนั้น เพราะโปรไฟล์สี ไม่ใช่อะไรอื่น นอกจากคู่มือ ที่จะบอกว่าค่าของตัวเลขไหนจะแสดงสีอะไรออกมา ไม่ว่า aRGB, sRGB หรือ ProPhoto ก็ทำงานเช่นเดียวกัน คือเริ่มจากตีความว่าสีนั้นคือสีอะไร แล้วเปิดคู่มือดูตาราง แล้วใส่ตัวเลขที่ตรงกับสีในตาราง เข้าไปในพิกเซลนั้น โปรไฟล์ที่ Color Gamut กว้าง และใช้ Bit depth เยอะ ก็ยิ่งมีตัวเลขหลายตัวในตารางให้เลือกใช้ และก็ยิ่งมีโอกาสเลือกใช้สีได้หลายสี หลายระดับความเข้ม ความสว่าง เพื่อให้ใกล้เคียงกับสีจริงมากขึ้น จากคุณ : อะธีลาส เขียนเมื่อ : 9 ก.ย. 53 08:10:39

ความคิดเห็นที่ 9 จากนั้นขั้นตอนการสร้างภาพก็จะเป็นพวกการกำจัด Noise ใส่ Sharpen เพื่อแก้ไขความเบลอจาก ฟิลเตอร์ทำให้เบลอ ที่ใส่เข้าไปหน้าตัวรับภาพ (Low Pass Filter เป็นข้อจำกัดของไบเออร์เซนเซอร์ในกล้องเล็ก ที่สู้ Foveon และดิจิตัลแบ็คไม่ได้ตลอดมา) ในการทำจริงๆ จะมีขั้นตอนซับซ้อนกว่านี้ และมากกว่านี้ เช่นการแก้ Distortion ฯลฯ ก่อนท้ายสุดจะส่งออกเป็นไฟล์ภาพ เช่น TIFF หรือบีบอัดเป็น Compressed TIFF แต่ส่วนใหญ่ที่เราเจอจะเป็น JPG ที่จะผ่านกรรมวิธีในการเลือกเก็บ เลือกทิ้ง และบีบอัดข้อมูลก่อน ไฟล์จะได้เล็กลง แล้วแนบ Color Profile ไปด้วย ให้เป็นคู่มือสำหรับโปรแกรมดูภาพจะได้อ่านถูก ว่าสีไหนคืออะไร เวลาอ่านก็จะทำกลับกันคือ เปิดดูว่าไฟล์นั้นใช้ตารางสีอะไร แล้วอ่านตัวเลขในพิกเซล เทียบกับตาราง แล้วดึงสีนั้นออกมาแสดง ถ้าไม่ได้แนบโปรไฟล์ไป โปรแกรมอ่านรูปก็จะไม่รู้ว่าใช้ตารางไหน มันอาจจะเลือกตารางสีที่มันถนัดมาใช้ เช่นตารางสีของจอภาพ ซึ่งอาจจะไม่ตรงกันกับในไฟล์ ทำให้แสดงสีออกมาผิดเพี้ยน หรือไฟล์เป็น aRGB แต่คอมพ์เอาตาราง sRGB มาอ่านค่าแทน ทำให้ภาพสีจืดแบบที่เราเจอกันเป็นประจำ หรืออ่านโปรไฟล์ตรง ส่งเป็นรหัส LAB (รหัสกลางของสีในระบบดิจิตอล) ตรง แต่พอไปที่จอที่ไม่ได้คาลิเบรท ก็ถอด LAB ออกมาเป็น RGB profile ของจอได้ไม่ตรง ทำให้จอแสดงสีเพี้ยน จากคุณ : อะธีลาส เขียนเมื่อ : 9 ก.ย. 53 08:10:59

ความคิดเห็นที่ 10 โดยสรุปคือตัวกล้องไม่มีความสามารถในการรับรู้สีใดๆ ทั้งสิ้น สีจะเกิดขึ้นในขั้นของซอฟท์แวร์ ที่จะตีความ ดังนั้นข้อจำกัดอยู่ที่ซอฟท์แวร์ครับ ปัจจุบันคือ LAB Color แต่ Analog to Digital Converter ก็เป็นอีกข้อจำกัดหนึ่งว่าจะสร้างข้อมูลดิจิตอลได้แค่ไหน ข้อจำกัดตอนนี้คือ 14 bit (ใช่มั้ย จำไม่ได้) นี่ก็เป็นอีกข้อจำกัดหนึ่ง แต่ (ที่สอง) ตัว Digital Sensor ซึ่งอันที่จริงควรเรียกว่า Analog Sensor มันทำงานแบบไร้ขั้น มีข้อจำกัดที่สูงสุดกับต่ำสุดตามประสิทธิภาพ แต่การแยกแยะระดับขั้นความละเอียดไม่จำกัด ถ้าสามารถจับมารวมกันแบบอนาล็อกได้ (ซึ่งที่จริงทำไม่ได้) ก็จะเห็นระดับสีได้ไม่จำกัด จากคุณ : อะธีลาส เขียนเมื่อ : 9 ก.ย. 53 08:21:27

ความคิดเห็นที่ 11 โอ้โห ขอบคุณทุกท่านมากเลยครับที่เข้ามาให้ความรู้ โดยเฉพาะคุณอะธีลาส อธิบายเห็นเป็นฉากๆเลย ขอบคุณมากๆครับ จากคุณ : bBlue เขียนเมื่อ : 9 ก.ย. 53 22:32:12

ความคิดเห็นที่ 12 เหอๆ อะธีลาส มาเอง......แหล่มเลย จากคุณ : Didy450D เขียนเมื่อ : 9 ก.ย. 53 23:06:43

ความคิดเห็นที่ 13 สุดยอดครับ คุณอะธีลาส จากคุณ : Hendrix_gt เขียนเมื่อ : 10 ก.ย. 53 16:23:08

ความคิดเห็นที่ 14 ชอบยกกราฟนี้มากันจัง  พูดกันแต่ sRGB กับ aRGB ...แต่ไม่ค่อยมีใครสงสัยเรื่องแกน X กับ Y แฮ่ะ...สงสัยคิดว่ามันคงเป็นแกนเท่ห์ ๆ มาช่วยเพิ่มเติมน้านิคเรื่อง LAB Color ซึ่งเป็นมาตรฐานกลาง ที่ออกโดย CIE ซึ่ง LAB Color จะ derived ค่าที่ได้รับ XYZ อีกทีหนึ่ง ซึ่ง เจ้า XYZ คือสมการที่แทนการรับภาพในรูปแบบ cone cell ในตาเรา แต่ XYZ มันเอามาใช้ยากเพราะไม่ได้เป็นแกนสามมิติแบบที่เราคุ้นเคย แต่เจ้า LAB Color เองก็มีปัญหา เพราะเมื่อแปลงค่าแล้วมีปัญหาความไม่สอดคล้องกับดวงตามนุษย์ที่บางช่วงสี  เขาจึงพยายามพัฒนาสมการอยู่ตลอดเวลา ปัจจุบันผมใช้ CIE LAB version 2000 ในงานที่ทำอยู่  แต่ที่ตอนนี้ไม่รู้เขาใช้ LAB ไปถึง version ไหนแล้ว จากคุณ : mixz เขียนเมื่อ : 10 ก.ย. 53 21:45:36