ความคิดเห็นที่ 1   2ช้านนนนนนนนนน,,, มันไว้ปรับระนาบแสง ลดการสะท้อนของแสง ใช้ถ่ายอะไรก็ได้ที่มีแสงสะท้อน เห็นผลทันตา   หมุนๆๆๆ แล้วฟ้าก็สีเข้มขึ้น จากคุณ : guitarnice เขียนเมื่อ : 3 ต.ค. 53 23:24:33

ความคิดเห็นที่ 2 มี 2 ชั้น ตามหลักการpolarizerครับ จากคุณ : Tama2kun เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 53 00:34:47

ความคิดเห็นที่ 3 สิ่งที่หลายคนไม่เคยรู้คือ .. CPL มีชิ้นส่วนขวางทางแสงทั้งหมด สี่ ชิ้น แสงมันมีทิศทางของขั้วแม่เหล็ก-ไฟฟ้า (electromagnetic POLE) แสงที่สะท้อนมาจากผิวมันเงา ที่ไม่เป็นสื่อไฟฟ้า เช่น น้ำ หยดน้ำในอากาศ ฯลฯ แนวขั้วทิศทางของแสง มันจะกระจัดกระจาย สับสน ... เมื่อบันทึกลงฟิล์ม ความกระจัดกระจายสับสนนี้ จะทำให้ contrast ต่ำลง POLE (noun)-> POLAR (adjective noun) + _IZER (suffix) = Polarizer ... การทำให้อะไรที่ไม่มีขั้ว เกิดความเป็นขั้วขึ้น เราไม่สามารถบังคับขั้วทิศทางของแสงได้ แต่สามารถ "กรอง" เอาแสงที่กระจายไปตามทิศทางต่างๆออก ให้เหลือแต่ทิศทางที่เราต้องการ แผ่น polarizer ในตัวฟิลเตอร์ LINEAR polarizer จะทำหน้าที่ที่ว่านี้ ... ดูเผินๆ .. ฟิลเตอร์ polarizer มีแผ่นนี้แผ่นเดียว แต่อย่าลืมว่า แก้ว ไม่ได้มีความสามารถในการ polarize (กรองทิศทางที่ไม่ต้องการ) ตัวแผ่นฟิล์ม PL ตะหากที่ทำหน้าที่ "กรอง" แผ่นแก้ว สอง แผ่น จะทำหน้าที่ "ประกบ" แผ่นกรองนี้ ------------------------------------------ ตั้งแต่ คห.40 เป็นต้นไป เป็นวิวาทะ ระหว่างผม กับ คนที่ต้องการป่วนกระทู้ (คุณตอสระอือ) ไม่มีเนื้อหาวิชาการ ไม่ก่อประโยชน์ ไม่ประเทืองปัญญา ท่านที่เข้ามาอ่านในภายหลัง หากไม่ประสงค์จะเกลือกกลั้วกับปลักน้ำโสโครกนี้ ได้โปรดหยุดอ่านที่ คห.#39 เท่านั้นนะครับ ขอบคุณที่เข้าใจ และขออภัย ที่ทำให้เนื้อหาและวัตถุประสงค์ของกระทู้แปดเปื้อน 07:54น., 08 ตุลาคม 2553 แมวเหมียวพุงป่อง ------------------------------------------------ แก้ไขเมื่อ 08 ต.ค. 53 07:54:35 แก้ไขเมื่อ 04 ต.ค. 53 08:01:18 จากคุณ : แมวเหมียวพุงป่อง เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 53 08:01:00

ความคิดเห็นที่ 4 แล้ว CIRCULAR polarizer (CPL) หละ???? ทำไมต้องมี ทำไมต้องใช้??? จาก คห.บน จะเห็นว่า แสงที่ลอดผ่านตะแกรงกรอง ของตัว POLARIZER มันมีทิศทางเดียว แต่ .. โครงสร้างส่วนหนึ่งของกระจกสะท้อนแสง ภายในกล้อง dSLR จะทำตัว"เสมือน"เป็นตะแกรง PL อีกตะแกรงหนึ่ง   ... คือ ตรงส่วนที่ต้องปล่อยให้แสงทะลุผ่านไปได้ เพื่อให้แสงไปถึงมิเตอร์วัดแสง ทำให้แสงที่ผ่าน PL/lens เข้ามาซึ่งเป็นขั้วอำนาจขั้วหนึ่ง อาจ ผ่านหรือไม่ผ่านขั้วอำนาจเดิม ที่เป็นกระจกในกล้องนี้ ถ้าปล่อยเป็นอย่างนั้น ความเข้มแสงที่วัดได้ จะแปรปรวน ไม่สามารถพยากรณ์ได้ เพราะมุมมองที่เบี่ยงเบนนิดเดียว ก็ก่อให้ความขัดแย้งระหว่างขั้วสองขั้วได้มหาศาล ดูรูปข้างล่างนี้ประกอบนะครับ #2 คือ กระจกสะท้อนแสง .. สะท้อนภาพไปยัง #5 ซึ่งเป็นปริซึมในกระโหลกหัวกล้อง ที่จะสะท้อนแสง และกลับหัวกลับหางภาพให้ถูกต้องตามทิศทาง ออกสู่ช่องมองภาพ #6 จะเห็นว่า ใต้ #2 มันมี #10 .. #10 คือ กระจกสะท้อนแสง ที่จะสะท้อนแสงที่ทะลุผ่าน กระจกหลัก (#2) ให้ไปยังเซนเซอร์วัดแสง (#11) กระจก #10 มันสะท้อนแสง แล้วแสงจะทะลุผ่านได้อย่างไร? ก็ทำให้มันเป็นรูเล็กๆ เล็กมากๆๆๆๆๆๆ เหมือนม่านบังแดดรถยนต์นั่นแหละครับ รูเล็กๆ พวกนี้ นอกจากจะปล่อยให้แสงแค่ "บางส่วน" ผ่านได้แล้ว มันจะก่อม็อบ เอ๊ย มันจะเป็นเหมือนตะแกรง POLARIZER ด้วย ... ซึ่งถ้าแสงที่ผ่านเลนส์ (#1) มา แต่ดันเป็นแสงที่มีขั้วอำนาจอยู่แล้ว มันก็จะเกิดการชนกันของขั้วอำนาจ อย่างที่ผมว่าไป ฉะน จากคุณ : แมวเหมียวพุงป่อง เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 53 08:16:19

ความคิดเห็นที่ 5 การใช้ PL ทำให้แสงเกิดขั้วอำนาจที่ไม่ยอมเบี่ยงเบนทิศทาง ขัดแย้งกับขั้วอำนาจเดิมในกล้องได้ แต่ ถ้าไม่ใช้ PL แสงที่สับสน ทำให้ภาพมี contrast ต่ำลง โดยเฉพาะแสงที่ผ่านการสะท้อนมาจากน้ำ หรือ ไอน้ำในอากาศ .. เราต้องการแสงที่มีขั้วอำนาจเดียว แต่เปลี่ยนแปลงตาม เอ๊ย แต่เปลี่ยนแปลงตัวเองได้ เพื่อผลประโยชน์ของเรานี่นา มันมีกฏเกณฑ์ทางแสง .. สมการยาวเหยียด แต่สรุปสั้นๆได้ว่า .. ถ้าเราทำให้แสงมันโง่ลง 1/4 ความยาวคลื่นแสงได้ มันจะทำให้แสงที่มีขั้วเดียว หมุนคว้างเป็นลูกข่าง วนๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ไม่มีทางรู้ว่า โดนใครปั่นหัว   แสงที่โดนเลือกให้เหลือทิศทางเดียว (polarized light) ... ถ้าโดนปั่นหัว มันก็ยังมีทิศทางเดียว เจอตะแกรงรั่วไหน  มันก็ลอดผ่านได้ทั้งนั้น สิ่งที่ทำให้แสงมันหมุนติ้วๆ จนเสียหลักการเดิมของตัวเอง เขาเรียกมันว่า quater wavelength (1/4 ความยาวคลื่นแสง) wave retardation (ทำให้แสงช้าลง, retard = ช้าลง) ตามภาพข้างล่าง ---------------------------------- ที่ว่ามาทั้งหมด ... เพื่อตอบคำถาม จขกท.ที่ถามสั้นๆ ว่า CPL ประกอบด้วยชิ้นส่วนขวางทางแสงทั้งหมด กี่ชิ้น สี่ชิ้นครับ 1.แผ่นแก้วแผ่นหน้า 2.แผ่น POLARIZER 3.แผ่น RETARD 4.แผ่นแก้วแผ่นหลัง ทำให้เกิดพื้นผิวรอยต่อกับอากาศ ที่สะท้อนแสงได้ 8 พื้นผิว จบจ้ะ มีใครมีอะไรสงสัยอีกไหม ปล. ถ้าไม่รบกวนเกินไป ช่วยกดเก็บเข้าคลังให้ด้วย พิมพ์บ่อยๆ มือจะหงิกเอา จากคุณ : แมวเหมียวพุงป่อง เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 53 08:25:24

ความคิดเห็นที่ 6 โอ้ว...............เคลียร์เลยครับ ตั้งคำถามไว้ กลับมาอ่านอีกทีตอนเช้า นอกจากจะไขข้อข้องใจตัวเองได้แล้ว ยังได้ความรู้ในภาคทฤษฎี และที่มาของการนำมาใช้เพิ่มขึ้นอีก ขอบคุณทุกท่าน ขอบคุณ น้า guitarnice, น้า Tama2kun และน้า แมวเหมียวพุงป่อง มากๆครับ................... เลยมีคำถามต่อเลย................. จากที่ผมพยายามค้นหาคำตอบเรื่อง CPL ก่อนหน้านี้ เลยไปเจอข้อความนึงเกี่ยวกับการวัดแสงของกล้องฟิล์ม และกล้องดิจิตอลว่า กล้องดิจิตอล ถ้าเราใช้ PL ธรรมดา(ที่ใช้กับกล้องฟิล์ม) ที่ไม่ใช่ CPL แสงที่ออกมาหลังจากผ่านการกรองด้วยฟิลเตอร์จะเป็น linear ทำให้กล้องวัดค่าแสงผิดเพี้ยนได้ เลยต้องมีการออกแบบบังคับแสงให้ผ่านฟิลเตอร์แล้วเป็น circular เพื่อให้ตัววัดแสงกล้องทำงานได้ ทำไมแสงที่ผ่าน PL ที่เป็น linear  ถึงวัดแสงกับกล้องดิจิตอลแล้วมีปัญหาครับ ระบบวัดแสงของกล้องฟิล์มแตกต่างกับดิจิตอลอย่างไร ถ้าถามมากไป ขออภัยด้วยนะครับ...............พอดีลองไปค้นต่อแล้ว ยังไม่เจอคำตอบ ส่วนใหญ่จะเจอแต่บทสรุปว่า ใช้แล้วอาจมีปัญหา……..แต่ไม่บอกว้ว่าทำไมถึงมีปัญหา ขอบคุณล่วงหน้าอีกครั้งครับ จากคุณ : จขกท (NJ THE KOP) เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 53 09:43:54

ความคิดเห็นที่ 7 ข้อ 4 กับ 5 ต้องอ่านใจเย็นๆ ครับ ... เพราะนี่เป็นสาเหตุให้ "พอดีลองไปค้นต่อแล้ว ยังไม่เจอคำตอบ ส่วนใหญ่จะเจอแต่บทสรุปว่า ใช้แล้วอาจมีปัญหา" "เหตุผล" เบื้องลึก ที่ไม่มีคำตอบ และมีแต่บทสรุป .. มันคือ ความปวดหัวของข้อมูล ที่อยู่ใน คห.4 และ คห.5 ถ้าให้สรุป สั้นๆง่ายๆ คือ 1. แสงที่ผ่าน PL ธรรมดา มันมีทิศทางหนึ่ง 2. กระจกแบ่งแสง ในกล้อง มันมีอีกทิศทางหนึ่ง 3. สองอย่างมาเจอกัน .. ก่อปัญหา .. ไม่รู้ว่าจะผ่าน หรือ จะไม่ผ่าน หรือ ผ่านได้มากน้อยแค่ไหน .. ทำนายไม่ได้ 4. แต่ถ้าเป็นแสงที่ผ่าน CPL .. มันมีทิศทางเดียว แต่ควงสว่าน การควงสว่าน จะทำให้มันผ่านได้แน่นอน และปริมาณที่ผ่านได้ .. ทำนายได้ชัดเจน จากคุณ : แมวเหมียวพุงป่อง เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 53 13:49:44

ความคิดเห็นที่ 8 พอจะเข้าใจเพิ่มแล้วครับ แบบนี้ต้องเซฟกระทู้เก็บไว้เป็นข้อมูลแล้ว...... ขอบพระคุณอีกครั้งครับน้าแมวเหมียวฯ สำหรับคำตอบ.............. จากคุณ : NJ THE KOP เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 53 14:14:47

ความคิดเห็นที่ 9 เนื้อหาสาระดีมากครับ ถึงแม้จะอ่านไม่ค่อยเข้าใจ จากคุณ : pianchai เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 53 15:06:20

ความคิดเห็นที่ 10 ถ้าจะให้เปรียบเทียบชัดๆเจนๆ มันต้องวกเข้าเรื่องที่ผมรังเกียจมากๆ .. เรื่องของการเมือง มหาชน ที่มาชุมนุมกันเป็นหมื่นเป็นแสน .. สับสน ไร้ทิศทาง ถึงแม้ว่าดูเผินๆจะร่วมอุดมการณ์เดียวกัน แต่เอาเข้าจริงๆ เสียงที่เปล่งออกมา ... ไม่ชัดเจน, low contrast ... เมื่อเมื่อไร มีการแบ่งขั้วอำนาจที่ชัดเจน พวกที่อุดมการณ์ไม่เหมือนฉัน เขี่ยออกไปซะ ให้แต่พวกเดียวกัน ผ่านเข้ามาได้ ... ถึงแม้ผ่านเข้ามาได้ น้อยลงไป 1.5 - 2.5 stop ... แต่ความเปรียบ(เทียบ)ต่าง .. contrast จะชัดเจนสูงขึ้น contrast สูงขึ้น ... แต่มีปริมาณคนที่ผ่านเข้ามา(ความสว่าง) เท่าไหร่หละ เราไม่รู้ .. ก็ต้องวัด ปัญหามันอยู่ที่ ... กระบวนการวัด มันไม่สามารถเอาคนทั้งหมดมานับได้ ต้องทำโพลล์ .. สุ่มตัวอย่าง ปัญหาของโพลล์คือ .. มันเที่ยงตรงหรือเปล่า ถ้าเที่ยงตรง เชื่อถือได้ แม้จะสุ่มมาแค่ 2-3% .. ก็เชื่อได้ว่า เป็นเสียงเป็นความต้องการของขั้วอำนาจ (power pole) กลุ่มนั้นๆ ปัญหามันอยู่ตรงนี้แหละ กระบวนการ "สุ่มตัวอย่างแสง" ในกล้อง ... มันไม่เที่ยงตรง หนึ่งในกระบวนการสุ่ม มีการแบ่งขั้วอำนาจ ถ้าการแบ่งขั้วอำนาจ ในกระบวนการสุ่ม ตรงกัน กับขั้วอำนาจที่ผ่านเลนส์เข้ามา การวัดปริมาณ จะบอกว่า .. แสงที่ผ่านเข้ามา มีปริมาณเท่านี้เท่้านั้น ฯลฯ !!! แต่ !!! ถ้าการแบ่งขั้วอำนาจ ในกระบวนการสุ่ม ตรงข้าม กับขั้วอำนาจที่ผ่านเลนส์เข้ามา การวัดปริมาณ จะบอกได้ว่า .. ไม่มีแสงที่ผ่านเข้ามาเลย ทำไมเป็นอย่างนั้น? เพราะหน่วยสุ่มคัดกรองแสง (กระจกหมายเลข #2 และ #10 ใน คห.4) มันมีอคติ ... มันมีขั้วอำนาจที่ัตัวเองชอบ แสงไหน ที่มีขั้วอำนาจตรงกัน ก็ปล่อยผ่าน แสงไหน มีขั้วอำนาจขัดแย้ง มันก็บล็อกไม่ให้ผ่าน ผลคือ หน่วยตรวจนับปริมาณแสง (#11) .. มันจะงง --------------------------------------- แล้ว circular polarized light ... แสงที่ถูกบิดเป็นเกลียวหละ? พวกนี้ มีขั้วพิเศษ .. เพราะถูกแผ่น quater wave ทำให้ "ความเร็ว" ช้าลง (brain retard) ถึงจะ ปญอ. ช้าลง แต่สิ่งที่ได้มาแทนคือ ความสามารถในการ กลิ้งๆๆๆๆๆ หมุนๆๆๆๆ เข้ากับทุกฝ่ายได้ทั้งนั้น ขอเพียงมี "ช่อง" ให้ได้ผ่านเข้านั่งในสภาเหอะ ตรูจะหมุนๆๆๆ เพื่อให้ผ่านเข้าให้ได้ เซลล์วัดแสง มันจึงจะวัดปริมาณแสงได้แม่นยำ ว่าพวกที่กลิ้งๆๆๆ เข้ามานี้ มีปริมาณเท่าไหร่ ... ------------------------------------ นี่ผมลากเรื่องเทคโนโลยีกล้อง ไปเกี่ยวกับการเมืองได้ ตั้งกะเมื่อไหร่หว่า? จากคุณ : แมวเหมียวพุงป่อง เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 53 16:57:37

ความคิดเห็นที่ 11 น้าแมวเหมียวฯตอบได้หวาดเสียวดีเหลือเกินครับ.......... ขอบคุณในน้ำใจที่สละเวลามากมายมาตอบ และขอบคุณสำหรับความรู้ดีๆอีกครั้งครับ......... จากคุณ : จขกท (NJ THE KOP) เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 53 19:36:20

ความคิดเห็นที่ 12 น้าแมวสุโค่ย very much จากคุณ : AprilSnow เขียนเมื่อ : 5 ต.ค. 53 06:14:06

ความคิดเห็นที่ 13 โอ้ เคลียร์ชัดเจน ขอบคุณน้าแมวมากครับ จากคุณ : Son&Ning เขียนเมื่อ : 5 ต.ค. 53 06:57:19

ความคิดเห็นที่ 14 เรื่องแบบนี้ ไปเขียนลงหนังสือกล้อง... คนจะชอบไหมหว่า....ให้ตายสิ... จากคุณ : proofman เขียนเมื่อ : 5 ต.ค. 53 08:40:31

ความคิดเห็นที่ 15 เจ้าของกระทู้ สงสัยเหมือนผมเมื่อก่อนเลยครับ เพื่อนผมก็บอกมาอย่างนั้นเหมือนกัน จนมีโอกาสได้พิสูจน์(ชันสูตร)ด้วยตัวเอง 555   ตามทฤษฏีแล้ว PL มันประกอบด้วยชิ้นส่วนตามที่น้าแมวเหมียวฯ ได้กล่าวไปนั่นแหละ แต่ในขั้นตอนการผลิต  ผู้ผลิตเค้าจัดการประกอบมันจนเป็นชิ้นเดียวไปแล้วจึงไม่น่าจะมีปัญหาน้ำเข้าไปได้ถ้าไม่เกิดความผิดพลาดในการผลิตครับ Filter ตัวที่เห็นในรูป ซื้อมานานมากแล้ว ผ่านสมรภูมิมาโชกโชนเลยครับ ลงไปดำผุดดำว่ายเล่นในน้ำตกมาแล้วด้วย ปัจจุบันยังคงใช้งานได้ดี ไม่มีร่องรอยของคราบน้ำภายในให้เห็นครับ ถ้าดูรูปขยายที่มุมขวาดีจะเห็นว่ามีรอยของการเอากระจกสองชิ้นมาประกบกัน และมีการฝนขอบให้เรียบเพื่อประกอบกับกรอบของตัว filter ครับ จากคุณ : NeoFelis เขียนเมื่อ : 5 ต.ค. 53 09:10:23

ความคิดเห็นที่ 16 น้าแมวยอดเยี่ยมมากครับ จากคุณ : kengDD เขียนเมื่อ : 5 ต.ค. 53 09:32:34

ความคิดเห็นที่ 17 ชาบูๆ .. จากคุณ : Ananda_F11 เขียนเมื่อ : 5 ต.ค. 53 10:02:43

ความคิดเห็นที่ 18 สุดยอดเลย CPL version การเมือง จากคุณ : Bion@l_Fantasy_X เขียนเมื่อ : 5 ต.ค. 53 10:11:42

ความคิดเห็นที่ 19 เข้ามาเก็บข้อมูลครับ ขอบคุณสำหรับความรู้มาก ๆ ครับ   จากคุณ : เพียงแค่ดินโคลน เขียนเมื่อ : 5 ต.ค. 53 10:19:03

ความคิดเห็นที่ 20 น้าแมวเลิกตอบกระทู้แบบนี้ซะทีเถอะครับ ู มันเปลืองกิ๊ฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟ ขอบพระคุณสำหรับความรู้ที่น้ามอบให้เป็นวิทยาทานครับ จากคุณ : กาฮัง (กาฮัง) เขียนเมื่อ : 5 ต.ค. 53 10:43:29

ความคิดเห็นที่ 21 โอ้....... ขอบคุณคุณ NeoFelis ด้วยครับ กระจ่างไปอีกขั้น..............ขออนุญาตเซฟรูปนะครับ รูปที่คุณ NeoFelis ลง เป็นรูปที่ผมพยายามหาแล้วหาอีกในกูเกิ้น เพราะต้องการดูหน้าตัดของเจ้าฟิลเตอร์ชิ้นนี้ ถึงจะไม่ใช่รูปหน้าตัดตรงกลางแผ่น ก็หายสงสัยแล้วครับ พอดีว่าเมื่อคืนก็ทดลอง CPL ของตัวเอง โดยการหมุนแบบมาร์กจุดไว้ที่หน้าฟิลเตอร์ทีละหน้า ถ้าหากเป็น 2 แผ่นแบบหมุนแยกกัน จุกมาร์กที่ทำไว้ที่ฟิลเตอร์จะต้องหมุนแยกจากกัน แต่จากการทดลอง + กับที่น้าแมวฯมาตอบก่อนหน้า เลยทำให้คิดว่าเค้าน่าจะติดเจ้า 2 แผ่นนี้เข้าด้วยกัน เหมือนกระจกลามิเนตที่มีชั้นฟิล์มหรือกาวอยู่ตรงกลาง......แล้วก็เดาถูกจริงๆ..........แหะๆ จากคุณ : จขกท (NJ THE KOP) เขียนเมื่อ : 5 ต.ค. 53 12:04:24

ความคิดเห็นที่ 22 เลยทำให้คิดว่าเค้าน่าจะติดเจ้า 2 แผ่นนี้เข้าด้วยกัน เหมือนกระจกลามิเนตที่มีชั้นฟิล์มหรือกาวอยู่ตรงกลาง......แล้วก็เดาถูกจริงๆ ถูกต้องแล้วครับ!!! และลองนึกถึงฟิล์มติดรถยนต์ดูให้ดีๆ ขนาดฟิล์มดีๆ ฝีมือเจ๋งๆ ... การติดฟิล์มเข้ากับกระจก ยังติดได้ไม่เนียน 100% มีฟองอากาศ กาวติดไม่สนิท แผ่นฟิล์มหนาบางไม่เท่ากัน ฯลฯ ขนาดนั้น ฟิล์มยี่ห้อดีๆ (ไม่ใช่ยี่ห้อ RS) ... ยังโดนด่าเรื่อง "ขึ้นสนิม" เลย เพราะอากาศสามารถแทรกเข้าไประหว่างรอยต่อฟิล์ม กับ กระจกได้ ทั้งๆที่มีกาวยึดประสานฟิล์มกับกระจก ซึี่งน่าจะกันไม่ให้อากาศเข้าไปได้ ตรงจุดนี้ ที่ B+W เอามาโฆษณา CPL ของเขาอย่างมากว่า สร้างมาอย่างดี ซีลอย่างดี อากาศและความชื้นเข้าไม่ได้ ฯลฯ ไม่มีโอกาสที่ฟิล์มจะเพี้ยน (discoloration) จนต้องตรวจ DNA พิสูจน์ จากคุณ : แมวเหมียวพุงป่อง เขียนเมื่อ : 5 ต.ค. 53 14:17:00

ความคิดเห็นที่ 23 555 หมอแมว ไม่ตกรถไฟ ซักเรื่อง   จากคุณ : แพรมรกต เขียนเมื่อ : 5 ต.ค. 53 16:11:38

ความคิดเห็นที่ 24 เก็บเข้าคลังแล้วครับ ความรู้ดีๆ จากคุณ : veemail เขียนเมื่อ : 5 ต.ค. 53 16:41:12

ความคิดเห็นที่ 25 เก็บกระทู้เข้าคลังเรียบร้อยแล้วครับ จากคุณ : ToZe เขียนเมื่อ : 5 ต.ค. 53 17:28:36

ความคิดเห็นที่ 26 ขออนุญาตขยายความจากน้าแมวเหมียว (ตามความเข้าใจส่วนตัว) polarization เป็นอย่างไร ถ้านึกไม่ออก ลองหยิบไม้บรรทัดมาดูครับ สมมติให้ไม้บรรทัดนั้นคือขบวนของคลื่น (แสง) polarization ก็เหมือนการที่ไม้ทรรทัดวิ่งไปหากล้อง เมื่อวางตั้งขึ้น |  หรือนอนลง ---- นั่นคือมันเป็น linear แต่เมื่อเป็น circular ก็คือไม้บรรทัดมันวิ่งแบบควงสว่านไปหากล้องนั่นเอง ถามว่าทำไมต้องเป็น circular จากที่อ่าน คห. น้าแมวเหมียว ก็แสดงว่าตัวกระจกแบ่งแสงมันเป็นโพลาไรซ์ (ตัดแสงในบางทิศทาง) ออกไปด้วย สมมติว่ามันตัดโพลาไรซ์แนวนอน ไม้บรรทัดแนวนอนจะโดนตัด มาได้แต่ไม้บรรทัดแนวตั้ง ทีนี้ถ้าตัว PL มันดันตัดแนวตั้ง มาได้แต่แนวนอนเข้า ไม้บรรทัดที่มันมาแนวนอน มาเจอกระจก กระจกตัดแนวนอน เลยไม่มีอะไรเหลือ ดังนั้น เลยต้องสรรหาวิธีแก้ จนกลายมาเป็น CPL ที่ตัดออกมาแล้วกลายเป็นไม้บรรทัดควงสว่าน เพราะว่า ถ้ามันควงสว่าน แปลว่ามันจะไม่โดนตัด ไม่ว่าแนวไหนๆ (เพราะควงสว่านคือมันรวมมาจากทั้งแนวตั้งแนวนอน ซึ่งหมายความว่าถ้าโดนตัดแนวตั้ง แนวนอนก็ยังอยู่ ถ้าโดนตัดแนวนอน แนวตั้งก็ยังอยู่) งง (กว่าเดิม) ไหมครับ ฮี่ๆๆๆๆ จากคุณ : ปั๊ปโปะจัง เขียนเมื่อ : 5 ต.ค. 53 19:10:46

ความคิดเห็นที่ 27 ความรู้ ความรู้ ต้องเก็บครับ ^  ^ จากคุณ : การเดินทางของภาพถ่าย เขียนเมื่อ : 6 ต.ค. 53 00:14:05

ความคิดเห็นที่ 28 Filter PL หรือ C-PL ส่วนใหญ่เป็นกระจก 2 ชั้นนะครับ แต่ก็มีบางแบรนด์ บางรุ่น (อย่างน้อยก็ของ Canon รุ่นที่ผมใช้) เป็นกระจกชิ้นเดียว ( Canon ใช้เทคนิคเอาแผ่นฟิล์ม C-PL มาแปะอยู่ด้านหลังชิ้นเลนส์ Filter เลย) ส่วนคำอธิบายเรื่องวิธีการทำงานของ C-PL Filter ของคุณแมวเหมียวพุงป่อง  นั้นผมอ่านแล้วงง+มึนครับ แรกๆก็โอแต่พอมาในรายละเอียด คห.5 มีแสงหมุนติ้วๆ จนเสียหลักการเดิมของตัวเอง  มีแผ่น RETARD  มีแสงช้าลงได้ด้วย ? ผมไม่รู้เรื่อง  และผมคิดว่าไม่สามารถอธิบายเช่นนั้นได้แล้วครับ สำหรับผม Filter PL ทำหน้าที่กรองแสงที่ไม่ใช่แนว Polarized (ในบางองศาที่เราหมุน Filter ไปตัด) เท่านั้นเอง ส่วนที่ว่าทำไมต้องทำเป็น C-PL ออกมาก็เพราะ  พอมาถึงยุคกล้องโฟกัสอัตโนมัติ  เซนเซอร์โฟกัสนั้นอยู่หลังกระจกสะท้อนภาพ ซึ่งกระจกสะท้อนภาพนั้นปล่อยให้แสงบางส่วนผ่านไปได้เป็นแนว PL หากเราใช้ PL Filter ธรรมดาๆ  ในจังหวะหมุนบางองศามันอาจไปตัดแสงจนกล้องหาโฟกัสไม่ได้ ก็จึงต้องพัฒนาจนกลายเป็น C-PL ขึ้นมา หากใครสงสัยว่าแสง Polarized คืออะไร  ที่ไม่ใช่คืออะไรก็ค่อยๆศึกษาหาความรู้เอาเองดีกว่านะครับ ผมยกตัวอย่างง่ายๆว่าแสงจากจอ LCD ที่เราใช้ๆกันนี่เป็นแสงที่ Polarized มาแล้ว (ผ่านกริดของ LCD ) ลองเอา Filter C-PL หมุนตัดแสงหน้าจอเล่นก็ได้ครับ  บางมุมจะมืดเลย (แต่ถ้าเป็น จอ CRT หรือจอ Plasma จะทำไม่ได้แม้นว่าแสงนั้นจะถูกยิงตรงมาหาเราแต่ก็ไม่ได้ผ่านการทำให้เป็น Polarized ) ผมลองถ่ายภาพตัวอย่างให้ดูนะครับ  เพิ่งถ่ายเมื่อกี้ไม่ได้เอา EXIF ออกครับดูข้อมูลได้ ถ่ายโดยเอาตลับฟิลเตอร์   วางไว้ที่หน้าจอ LCD (ซึ่งเปิดเป็นพื้นขาวไว้) แก้ไขเมื่อ 06 ต.ค. 53 17:23:03 จากคุณ : ตอสระอือ เขียนเมื่อ : 6 ต.ค. 53 17:15:50

ความคิดเห็นที่ 29 หลังจากนั้นก็ใส่ Filter C-PL หมุนตัดแสงหน้าจอเพื่อให้มืดลง มันมืดได้สนิทขนากนี้เลยครับ  ที่เอาตลับฟิลเตอร์มาวางไว้ก็เพื่อให้เห็นว่าแสงบางส่วนถูกตลับพลาสติกหักเหจน Filter C-PL ไม่สามารถตัดแสงได้ 100% จึงปรากฎเป็นแสง Spectrum (สีรุ้ง) ใครชอบเล่นสนุกก็ลองถ่ายดูได้ครับ  หลักวิทยาศาสตร์ ม.ต้น ธรรมดาๆไม่ใช่เรื่องพิสดารอะไรเลย ขอให้ทุกท่านมีความสุขกับการถ่ายภาพครับ จากคุณ : ตอสระอือ เขียนเมื่อ : 6 ต.ค. 53 17:21:48

ความคิดเห็นที่ 30 มากดเข้าคลังให้ครับ..ของดีมีประโยชน์ จากคุณ : Kay75013 (nongMalisa) เขียนเมื่อ : 6 ต.ค. 53 23:13:16

ความคิดเห็นที่ 31 วิทยาศาสตร์ ม.ต้น (รวมถึง ม.ปลาย) ไม่ได้สอนถึงเรื่อง CIRCULAR polarization ครับ จึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไมถึงงงๆ ต้องค่อยๆอ่าน ใจเย็นๆ เำพราะเรื่องของ CPL มันไม่ใช่เรื่องของ ม.ต้นเช่นกัน ทั้งๆที่หลักการมันไม่ได้ยากเกินกว่าที่ ม.ต้น จะเข้าใจเช่นกัน และไม่ได้ยาก เกินกว่าจะทำความเข้าใจ -------------------------------- ในขณะที่คนส่วนใหญ่ ไม่รู้ว่า เกียร์อัตโนมัติ มันทำงานได้อย่างไร มันรู้ว่า ควรต้องเปลี่ยนเกียร์เมื่อไหร่ และไม่สนใจด้วยซ้ำ แต่ บางคน (โดยเฉพาะ จขกท.นี้ และเนื้อหาของกระทู้นี้) เขาต้องการทราบหลักการทำงาน ของมัน ผมก็เลยพยายามพิมพ์สั้นๆ ง่ายๆ เพื่อให้เนื้อหาเหมาะสมกับ "เว็บบอร์ด" เอาเข้าจริงๆ "หลักการทำงาน"ของอะไร ที่มัน "ง่ายๆ" มันไม่เคยง่าย และไม่เคยสั้น เลยเป็นอย่างที่เห็นนี่แหละครับ จากคุณ : แมวเหมียวพุงป่อง เขียนเมื่อ : 6 ต.ค. 53 23:13:57

ความคิดเห็นที่ 32 คุณตือ ไม่"แปลกใจ" หรือว่า ทำไม แสงสีขาว ที่ออกมาจากจอ LCD จึงแตกออกเป็นแสงสีรุ้งได้ เมื่อผ่านปลาสติกแผ่นบางๆ ธรรมดาๆ ไม่ใช่ปริซึมซักกะหน่อย ทำไม สีขาว จึงไม่เป็นสีขาวอีกต่อไป ทำไม ฯลฯ --------------------------- คนที่สนใจในรายละเอียดเรื่องนี้ และค้นคว้า วิเคราะห์ฺ วิจัย เพิ่มเติม ... เขาพบว่า มันไม่ใช่เรื่องธรรมดา เรื่องไม่ธรรมดานี้  เมื่อนำมาประยุกต์ ทำให้ค้นพบการวินิจฉัยโรคใหม่ๆ ทำให้ค้นพบการตรวจสอบความวิบัติซ่อนเร้นของโครงสร้่าง ทำให้สามารถผลิตชิ้นแก้วเลนส์ที่มีคุณภาพ ทำให้กระจกหน้ารถที่แตกออกเวลาเกิดอุบัติเหตุ ไม่เกิดอันตรายอย่างหนักต่อผู้โดยสาร ฯลฯ แสงสีรุ้งธรรมดาๆ ที่เห็นนั่น ... มีคุณค่าอย่างมหาศาลครับ จากคุณ : แมวเหมียวพุงป่อง เขียนเมื่อ : 6 ต.ค. 53 23:21:43

ความคิดเห็นที่ 33 คุณ แมวเหมียวพุงป่อง แผ่นRetard ที่ทำให้แสงบิดเป็นเกลียว มันใช้หลักการอะไรทำให้แสงบิดเป็นเกลียวได้ แล้วการบิดเป็นเกลียวทำให้ความยาวคลื่นแสงเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรครับ จากคุณ : HWalker เขียนเมื่อ : 6 ต.ค. 53 23:22:05

ความคิดเห็นที่ 34 อ่อก!!! เจอคำถามเรื่อง wave retardation ผมง่อกองอขิงเลยครับ มันเรื่องยาว .. และทฤษฏีฟิสิกส์ทางแสง ระดับป.ตรีมหาวิทยาลัยล้วนๆเลยนะครับ มาดูรูปสวยๆกันดีกว่าครับ หลักการเดียวกับ คห.29 แต่เป็นผลงานจาก Dr. Margaret Oechsli, Jewish Hospital, Heart & Lung Institute - Louisville, Kentucky .. ผลึกของยารักษามะเร็ง (Mitomycin) .. จากคุณ : แมวเหมียวพุงป่อง เขียนเมื่อ : 6 ต.ค. 53 23:47:20

ความคิดเห็นที่ 35 หลักการคร่าวๆคือ แสง เป็นคลื่น "แม่เหล็กไฟฟ้า" สนามแม่เหล็ก และสนามไฟฟ้า เดินทางไปในตัวกลาง ด้วยความเร็วเท่ากัน และอยู่ในเฟสเดียวกัน แผ่น retard จะมีคุณสมบัติคือ ในแนวหนึ่ง สนามไฟฟ้าจะผ่านด้วยความเร็วปกติ แต่อีกแนวหนึ่ง มันจะทำให้สนามไฟฟ้าแผ่กระจายผ่านด้วยความเร็วที่ช้าลง เขาเรียกคุณสมบัตินี้ว่า bi-refringent ครับ ถ้าแผ่น retard มีความหนาเท่ากับ 1/4 ความยาวคลื่นแสง สนามไฟฟ้า จะถูกหน่วงให้ช้าลงหน่อย .. เท่ากับ 1/4 ความยาวคลื่นเช่นกัน เมื่อออกพ้นแผ่น retard ทั้งสนามไฟฟ้า และสนามแม่เหล็ก จะเคลื่อนที่ด้วยความเร็วเท่าเดิม แต่สนามไฟฟ้าอยู่ล้าหลัง 1/4 ความยาวคลื่นแสง คุณลักษณะพื้นฐาน ของคลื่นแสงอย่างหนึ่งคือ เราไม่สามารถแยกคลื่นแม่เหล็ก ออกจากคลื่นไฟฟ้าได้ ... และสิ่งที่เราตรวจวัด หรือ รับทราบได้ คือ เวคเตอร์รวมที่เกิดจากเวคเตอร์ย่อยสนามแม่เหล็ก+เวคเตอร์ย่อยสนามไฟฟ้า ฉะนั้น ... แสงที่ผ่านแผ่น retard ซึ่งสนามไฟฟ้าตามหลังสนามแม่เหล็ก จะสร้างเวคเตอร์สนามรวม เสมือน มันควงสว่าน รอบๆ ทิศทางการเคลื่อนที่ของมัน ฟังแล้วปวดหัวดีไหม อย่าต่อดีกว่า เพราะถ้าต่อ มันไม่ใช่เรื่องของห้องกล้อง ที่ถ่ายรูปกัน เพื่อความสนุกสนานแล้ว จะกลายเป็น "วิทยาศาสตร์การถ่ายภาพ" แน่ๆ ตั้งแต่ คห.40 เป็นต้นไป เป็นวิวาทะ ระหว่างผม กับ คนที่ต้องการป่วนกระทู้ (คุณตอสระอือ) ไม่มีเนื้อหาวิชาการ ไม่ก่อประโยชน์ ไม่ประเทืองปัญญา ท่านที่เข้ามาอ่านในภายหลัง หากไม่ประสงค์จะเกลือกกลั้วกับปลักน้ำโสโครกนี้ ได้โปรดหยุดอ่านที่ คห.นี้เท่านั้นครับ ขอบคุณที่เข้าใจ และขออภัย ที่ใช้ทำให้เนื้อหาและวัตถุประสงค์ของกระทู้แปดเปื้อน 07:49น., 08 ตุลาคม 2553 แมวเหมียวพุงป่อง ----------------------------------------------- แก้ไขเมื่อ 08 ต.ค. 53 07:49:37 จากคุณ : แมวเหมียวพุงป่อง เขียนเมื่อ : วันเกิด PANTIP.COM 53 00:00:24

ความคิดเห็นที่ 36 ไปต่อที่ห้องหว้ากอได้ครับ คุณแมวเหมียวพุงป่อง สรุปว่าการRetardคือการหน่วงแฟสของสนามไฟฟ้า ทำให้รูปร่างคลื่นเปลี่ยนจากsin เป็นคลื่นแบบเกลียวสินะครับ ระหว่างหาในgoogle เจอรูปนี้เลยเอามาแบ่งปันครับ credit http://www.halfbottle.net/wp/photography/polarizer-filter จากคุณ : HWalker เขียนเมื่อ : วันเกิด PANTIP.COM 53 00:23:41

ความคิดเห็นที่ 37 อีกรูปครับ สังเกตส่วนบน เฟสของสนามไฟฟ้า และสนามแม่เหล็กตรงกัน ทำให้เกิดSin wave ส่วนล่าง เฟสของสนามแม่เหล็ก ไม่ตรงกับสนามไฟฟ้า เลยเกิดเป็นSpiral ผมจำได้ว่าฟิสิก ม.ปลาย มีเกริ่นๆเรื่องElectro Magnetic Wave เอาไว้ ซึ่งอาจารย์บอกว่า ถ้าสนามไฟฟ้าเฟสไม่ตรงกับสนามแม่เหล็กคลื่นมันจะหมุนเป็นเกลียวแทน แก้ไขเมื่อ 07 ต.ค. 53 00:36:10 จากคุณ : HWalker เขียนเมื่อ : วันเกิด PANTIP.COM 53 00:30:00

ความคิดเห็นที่ 38 เปลี่ยนรูปใหม่ อันเดิมไม่ชัด credit http://www.apioptics.com/quarter-wave-retarders.html แก้ไขเมื่อ 07 ต.ค. 53 00:38:45 จากคุณ : HWalker เขียนเมื่อ : วันเกิด PANTIP.COM 53 00:36:37

ความคิดเห็นที่ 39 เข้ามาดูกระทู้อีกที ดีใจที่มีการต่อยอดความรู้เพิ่มขึ้นไปอีก ขอบคุณทุกท่านที่มาให้แบ่งปันความรู้ดีๆอีกครั้งครับ จากคุณ : จขกท (NJ THE KOP) เขียนเมื่อ : วันเกิด PANTIP.COM 53 00:50:58

ความคิดเห็นที่ 40 คุณแมวเหมียวอย่าออกอาการสิครับ ที่ผมบอกว่าหลักวิทยาศาสตร์ ม.ต้น (ความจริงอยากบอกว่าเรื่องประถมด้วยซ้ำไป) นี่เรื่อง Spectrum ครับ เราเรียนเรื่องแสง (ที่ตาเรามองเห็น) แยกออกเป็น 7 สีได้มาตั้งแต่ ป.4 แล้วมั้ง ? คุณจะมาโยงไปไหนครับ  อ่านหนังสือให้เคลียร์ๆก่อนสิครับ อย่าคิดว่า คห.29 ของผมต้องอธิบาย คห.อื่นๆด้วย แล้วผมก็คิดว่าผมตอบตรงคำถามนะ จขกท. ถามว่า .....สงสัย CPL Filter เป็นชิ้นเลนส์ 2 ชั้น หรือชั้นเดียวครับ..... ผมเห็นไม่มีคนตอบว่าเลนส์ชิ้นเดียวก็มี  ผมก็เลยเข้ามาตอบ ส่วนที่คุณตอบหลัง คห.ที่ 4 ผมอ่านไม่รู้เรื่อง  ผมก็บอกว่าไม่รู้เรื่อง (จะบอกว่าเข้าขั้นเพ้อเจ้อ  ก็เกรงว่าคุณจะเสียใจ) มันอธิบายแบบนี้ไม่ได้หรอกครับ ลองกลับไปอ่านที่คุณพิมพ์มานะ - แสงที่สับสน ทำให้ภาพมี contrast ต่ำลง แสงนะครับไม่ใช่สิ่งมีชีวิต  มันไม่ได้สับสนอะไร ภาวะแสงสะท้อนในอากาศ มันเป็นปรากฎการณ์ทางวิทยาศาสตร์ธรรมดาๆ   - แสงที่มีขั้วอำนาจเดียว แต่เปลี่ยนแปลงตัวเองได้ เพื่อผลประโยชน์ของเรา อะไรกันเนี่ย  อ่านแล้วเกินกว่าผมจะเข้าใจ  มีคนอ่านรู้เรื่องด้วยหรือนี่  สมาชิกห้องกล้องรุ่นใหม่นี่เก่งจริงๆ - ถ้าเราทำให้แสงมันโง่ลง 1/4 ความยาวคลื่นแสงได้ เอาเข้าไป - จะทำให้แสงที่มีขั้วเดียว หมุนคว้างเป็นลูกข่าง วนๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ไม่มีทางรู้ว่า โดนใครปั่นหัว คุณรู้หรือเปล่าว่าการแผ่รังสีของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ในช่วงที่สายตามนุษย์มองเห็นนั้น   มีมุมการแกว่งของคลื่นที่วิ่งวนเป็นวงกลมอยู่ปะปนกับทิศทางอื่นอยู่แล้ว เราเอา C-PL Filter ไปกรองแสงทิศทางอื่นๆออกไปครับ   ไม่ใช่ไปทำให้แสงที่วิ่งเข้ามาหมุนวนเป็นลูกข่างอะไรของคุณก็ไม่รู้ คุณยกศัพท์แสงทางวิชาการมามากมาย  ผมถามจริงๆเถอะคุณรู้เรื่องจริงๆหรือครับ ?   - สิ่งที่ทำให้แสงมันหมุนติ้วๆ จนเสียหลักการเดิมของตัวเอง เขาเรียกมันว่า quater wavelength (1/4 ความยาวคลื่นแสง) wave retardation (ทำให้แสงช้าลง, retard = ช้าลง) โอ้...  แปลว่า 1/4 ความยาวคลื่นแสงคือสิ่งที่ทำให้แสงหมุนติ้ว - ที่ว่ามาทั้งหมด ... เพื่อตอบคำถาม จขกท.ที่ถามสั้นๆ ว่า CPL ประกอบด้วยชิ้นส่วนขวางทางแสงทั้งหมด กี่ชิ้น สี่ชิ้นครับ คุณตอบผิดครับ ที่ผมออกมาทักท้วงคุณแมวเหมียวในครั้งนี้ เป็นเพราะว่าผมเห็นความเลอะเทอะในการตอบกระทู้มากขึ้นเรื่อยๆจนผม งง ขึ้นทุกวัน ส่วนใหญ่ผมอ่านเจอก็ทำเฉยๆนะครับ หลังจากนี้ก็คงจะทำเฉยๆต่อไป เพราะผมเคยบอกหลายครั้งแล้วว่าผมไม่ค่อยรู้เรื่องวิชาการเลย  ถ่ายภาพเล่นแค่สนุกๆเท่านั้น แต่บางเรื่องผมรู้ว่ามันไม่ใช่  ก็แปลกใจที่ทำไมบางคนให้ความรู้หรือให้ข้อมูลคนอื่นแบบมั่นใจอะไรขนาดนั้น ศัพท์แสงประหลาดๆเกิดขึ้นแทบทุกวัน  สนับสนุนกันเข้าไป  เข้าป่ากันไปลึกๆก็ดีครับเจออะไรแล้วออกมาบอกผมด้วย เท่านี้แหละครับ จากคุณ : ตอสระอือ เขียนเมื่อ : วันเกิด PANTIP.COM 53 01:25:31

ความคิดเห็นที่ 41 ขอใส่รูปกับใส่ Link สักนิดนะครับ http://en.wikipedia.org/wiki/Circular_polarization ทำไมถึงเรียก C-PL (Circular Polarized) Filter เพราะ Filter ทำงานโดยปล่อยให้แสง Polarize ผ่านเข้ามาในแนวโค้งกลม (เมื่อมีแสงผ่านเข้ามาได้ทุกแนวทั้งตั้งและนอนการทำงานของกล้องแบบออโต้โฟกัสจึงไม่มีปัญหา) แสงวิ่งเป็นแนวนี้ก่อนมาชนฟิลเตอร์อยู่แล้วครับ  ถ้าจะหักล้างความเข้าใจของผมตรงนี้ผมขอคนที่รู้จริงนะครับ  แล้วจะนับถือเป็นอาจารย์ เพราะเรื่องวิชาการผมก็ไม่ค่อยรู้เรื่องหรอกครับ  อยากเจอคนเก่งๆมาช่วยอธิบายให้เข้าใจง่ายๆเหมือนกัน ไปจริงๆแระ จากคุณ : ตอสระอือ เขียนเมื่อ : วันเกิด PANTIP.COM 53 01:48:31

ความคิดเห็นที่ 42 จะว่าไป คคห.ของคุณแมวเหมียวมันก็อ่านยากจริงๆ ศัพท์แปลกๆ ที่เขียนแล้วน่าจะเข้าใจง่ายๆ กลับกลายเป็นต้องแปล ไทย-ไทย จากคุณ : HWalker เขียนเมื่อ : วันเกิด PANTIP.COM 53 01:59:09

ความคิดเห็นที่ 43 การเปลี่ยนแปลงในสนามแม่เหล็ก ก่อให้เกิดสนามไฟฟ้า และการเปลี่ยนเปลี่ยนแปลงในสนามไฟฟ้า ทำให้เกิดสนามแม่เหล็ก ทิศทางของสองสนามนี้ก็ตามกฎมือขวาครับ เป็นตามกฎนี้ทุกคลื่น(แม่เหล็กไฟฟ้า) ตั้งแต่เตาอบไมโครเวฟ ไปจนโทรศัพท์มือถือ ถ้า Phase ของทั้งสองตรงกัน ก็จะมี Polarization แนวนอน แนวตั้ง หรือแทยง แต่ถ้า มีความแตกต่างระหว่าง Phase ของสองสนามนี้ เป็นระยะทางเท่ากับ 1/4 ของความยาวคลื่น (ที่น้าแมวเหมียวฯอธิบายไว้ก่อนแล้ว) ถ้าเรารับแสงเข้ามา แล้วหน่วงให้ระนาบนึงช้ากว่าอีกระนาบ 1/4 Wavelength หรือ 90º ได้ เราก็ทำให้มันหมุนควงได้ครับ *ดูรูปประกอบ คลื่น Sine อันนึงแทน สนามแม่เหล็ก อีกเส้นแทนสนามไฟฟ้า ผลรวมของ Vector ทั้งสอง เป็น Helix (เกลียว) ครับ ** คราวนี้ลองจินตนการผลรวมของ Vector ทั้งสองเมื่อ Phase ตรงกันดูครับ ถ้าอยากรู้เรื่องนี้มากๆ คงต้องเรียน telecommunication ไม่ก็ optics ล่ะครับ แก้ไขเมื่อ 07 ต.ค. 53 03:55:48 จากคุณ : navalsamurai เขียนเมื่อ : วันเกิด PANTIP.COM 53 03:54:26

ความคิดเห็นที่ 44 โหวตแล้ว ไม่เคยเห็น 2ชิ้น จากคุณ : oui_superman เขียนเมื่อ : วันเกิด PANTIP.COM 53 09:56:55

ความคิดเห็นที่ 45 เรียนคุณ ตอสระอือ ผมอ่านรู้เรื่องครับ คนที่เรียนด้านแม่เหล็กไฟฟ้ามา พอจะอ่านความเห็นคุณแมวเหมียวรู้เรื่องครับ ผมว่าคุณควรจะกำจัดอคติออกไปก่อนนะครับ ไม่ใช่ว่าคุณอ่านไม่รู้เรื่อง แล้วจะเหมาว่าคนอื่นอธิบายมั่ว อย่างนี้มันไม่ถูกนะครับ เรื่องการทำงานของ CPL คุณแมวเหมียวอธิบายไปหมดแล้ว แล้วคุณมาบอกว่าไม่ถูก รอคนอื่นมาอธิบาย ตลกดีนะครับ เรื่องพวกนี้ หาอ่านได้ตาม wiki ด้วยซ้ำครับ ลองศึกษาดูคร่าวๆ แล้วกันครับ (รอคนอื่นมาบอก มันไม่น่าเชื่อถือเท่าศึกษาเอาเองนะครับ) ปล. ผู้ไม่รู้ ย่อมไม่ผิดครับ ไม่แปลกที่จะไม่รู้ เพราะมันเป็นความรู้เฉพาะด้าน     แต่ผู้ไม่รู้ แล้วอวดรู้ ตั้งแง่ว่าผู้อื่นผิดไว้ก่อน แบบนี้ก้ตัวใครตัวมันดีกว่านะครับ จากคุณ : ปั๊ปโปะจัง เขียนเมื่อ : วันเกิด PANTIP.COM 53 10:18:23

ความคิดเห็นที่ 46 ตอบคุณ HWalker คลื่นมันเป็น sine wave อยู่นั่นแหละครับ เพียงแต่ว่า ทิศทางที่ sine wave วิ่งไปนั้น จากเดิม linear มันจะวิ่งเป็นเส้นตรง (นึกถึงไม้บรรทัดที่ผมเคยบอก) พอผ่านตัวกลางพิเศษ phase จะถูกดีเลย์ไป พอออกมาก็เลยเปลี่ยนไปจากเส้นตรง เป็น sine wave ที่มีทิศทางวิ่งแบบควงสว่าน อาจจะงงๆ แต่ผมว่าหยิบไม้บรรทัดมาเป็นตัวแทน sine wave น่าจะเห็นภาพได้มากกว่านะครับ จากคุณ : ปั๊ปโปะจัง เขียนเมื่อ : วันเกิด PANTIP.COM 53 10:21:54

ความคิดเห็นที่ 47 อ่านแล้วคิดถึงสมัยเรียนเลยครับ จบมาไม่เคยได้ใช้รวมไปถึงจำไม่ได้แล้วทั้งๆที่สมัยก่อนต้องเรียนมัน อยู่ตั้ง 4 หรือ 6 เทอมนี่แหละ 555+ แทบเอาชีวิตไม่รอดจำได้แค่นั้นเองครับ แม่ไม่หน้าขายนาส่ง ควายเรียนเล้ย...อิอิ... ขอบคุณทุกๆน้าที่มาให้ความรู้มากๆเลยนะครับ ขอบพระคุณมากครับ. จากคุณ : B-Nursery เขียนเมื่อ : วันเกิด PANTIP.COM 53 14:35:26

ความคิดเห็นที่ 48 ที่ผมออกมาทักท้วงคุณแมวเหมียวในครั้งนี้ เป็นเพราะว่าผมเห็นความเลอะเทอะในการตอบกระทู้มากขึ้นเรื่อยๆจนผม งง ขึ้นทุกวัน ถ้าคุณเห็นว่า ตอบเลอะเทอะ คุณก็ออกมาตอบให้มันกระจ่าง ขัดเจน ให้คนที่ต้องการอ่าน อ่านแล้วเข้าใจ ได้ความรู้กลับไปสิครับ ไม่มีใครห้าม ไม่มีใครหวง การออกมาให้ความรู้กับคนอื่น ผมรับประกันได้เลยว่า มีแค่คนชื่นชม ส่วนการจะออกมาแสดงความกร่าง ว่า "ข้าเก่งกว่าเอ็ง" "เอ็งมันพูดผิด แต่ผิดตรงไหน กรูก็ไม่รู้ เพราะกรุไม่มีความรู้เหมือนกัน กรูรู้แต่ว่า เอ็งพูดผิด" ฯลฯ ให้มันได้ประโยชน์อะไร ผมไม่เข้าใจ และงง เหมือนกัน เพราะผมเคยบอกหลายครั้งแล้วว่าผมไม่ค่อยรู้เรื่องวิชาการเลย  ถ่ายภาพเล่นแค่สนุกๆเท่านั้น แต่บางเรื่องผมรู้ว่ามันไม่ใช่  ก็แปลกใจที่ทำไมบางคนให้ความรู้หรือให้ข้อมูลคนอื่นแบบมั่นใจอะไรขนาดนั้น ไม่ต้องแปลกใจหรอกครับ ลองหัดให้ความรู้คนอื่นดูเถอะครับ จะพบว่า มันไม่ใข่เรื่องน่าแปลกใจอะไร ที่แปลกใจ เพราะมัวแต่คอยจับผิด หรือโขว์ว่า ข้ามีความรู้เหนือกว่า เพราะความรู้สึกของข้ามันบอกว่า ข้ามีความรู้อย่างนั้นจริงๆ แม้ว่า องค์ความรู้บนรอยหยักในสมองของข้านั้น ไม่เคยมี ไม่เคยสะสมไว้ พอสองอย่าง มันขัดแย้งกัน มันก็เลยเกิดความแปลกใจอย่างนี้ มันเป็นเรื่องปกติ ... ไม่ควรแปลกใจ ----------------------- รู้น้อยว่ามากรู้ เริงใจ กลกบเกิดอยู่ใน สระจ้อย แก้ไขเมื่อ 07 ต.ค. 53 15:04:51 จากคุณ : แมวเหมียวพุงป่อง เขียนเมื่อ : วันเกิด PANTIP.COM 53 15:02:53

ความคิดเห็นที่ 49 และที่สำคัญ อย่ามั่นใจว่า สมาชิกคนอื่นๆ จะต้องโง่เหมือนคุณ คุณอ่านแล้วงง อ่านแล้วไม่เข้าใจ อ่านแล้วคิดว่า คนเขียนมันเลอะเทอะ เพราะคุณโง่ เพราะคุณไม่มีพื้นฐานความรู้พอที่จะเข้าใจ แล้วจะมากะเกณฑ์ว่า คนอื่น ต้องอ่านแล้วงง อ่านแล้วไม่เข้าใจ เพราะโง่ เพราะไม่มีพื้นฐานความรู้พอที่จะเข้าใจ ต้องเป็นอย่างคุณ คิดอย่างคุณ งงอย่างคุณ ไม่รู้เรื่องอย่างคุณ มันดูถูกสมาชิกคนอื่นๆ เขามากเกินไปครับ จากคุณ : แมวเหมียวพุงป่อง เขียนเมื่อ : วันเกิด PANTIP.COM 53 15:10:20

ความคิดเห็นที่ 50 คุณรู้หรือเปล่าว่าการแผ่รังสีของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ในช่วงที่สายตามนุษย์มองเห็นนั้น   มีมุมการแกว่งของคลื่นที่วิ่งวนเป็นวงกลมอยู่ปะปนกับทิศทางอื่นอยู่แล้ว เราเอา C-PL Filter ไปกรองแสงทิศทางอื่นๆออกไปครับ   ไม่ใช่ไปทำให้แสงที่วิ่งเข้ามาหมุนวนเป็นลูกข่างอะไรของคุณก็ไม่รู้ คุณยกศัพท์แสงทางวิชาการมามากมาย  ผมถามจริงๆเถอะคุณรู้เรื่องจริงๆหรือครับ ?   ถ้าคุณไม่ย้อนถามผมตรงนี้ ผมคงจะคิดว่าแซวกันเล่นๆ แต่เมื่อย้อนถามแบบนี้ ผมมั่นใจ 100% ว่าคุณโง่จริงๆ ดีนะ ที่นี่เป็นแค่ห้องกล้อง คุณจึุงโดนผมด่าคนเดียว ถ้าคุณไปพูดแบบนี้ที่ห้องหว้ากอ คุณจะโดนนักวิทยาศาสตร์ฟิสิกส์แท้ๆที่ห้องนั้น ด่าเสียผู้เสียคนยิ่งกว่านี้ "เราเอา C-PL Filter ไปกรองแสงทิศทางอื่นๆออกไปครับ" คนที่มีความรู้ เขาหัวเราะเยาะกันตายชัก!! คุณไม่ต้องมาถามหาคำตอบจากในเน็ตหรอก เพราะเดี๋ยวจะว่า ผมหาพวกมาเข้าข้าง คิดว่า เพื่อนที่เป็นนักวิทยาศาสตร์ฟิสิกส์พอมี ไปถามหลักการทำงานของ Circular Polarizer ดูเอาเองดีกว่า ว่า มันต่างจากที่ผมว่ามาตรงไหน!! ------------------------ ล้องูเห่าเล่นได้ ... ใจกล้าๆ จากคุณ : แมวเหมียวพุงป่อง เขียนเมื่อ : วันเกิด PANTIP.COM 53 15:20:09

ความคิดเห็นที่ 51 โต้เถียงเยี่ยงนักปราชญ์กันเถอะครับ จากคุณ : เสือต้าน เขียนเมื่อ : วันเกิด PANTIP.COM 53 16:23:50

ความคิดเห็นที่ 52 ผมรู้แต่ว่า ราคากระจก 2 ชิ้นนี้ราคาพอๆกับกระจกหน้ารถเฟอรารี่ได้เลยมั้ง ถ้าคิดตามพื้นที่/ราคาที่จ่าย จากคุณ : ตะอีโม่ง เขียนเมื่อ : วันเกิด PANTIP.COM 53 17:32:29 A:223.207.111.232 X: TicketID:160546

ความคิดเห็นที่ 53 อืม......จากกระทู้ความรู้เรื่อง CPL อยู่ดี ไหงกลายเป็นอะไรไปเนี่ย จากคุณ : ตาบอดสี เขียนเมื่อ : วันเกิด PANTIP.COM 53 21:12:56

ความคิดเห็นที่ 54 รู้สึกเหมือนกลับไปเรียนฟิสิกส์ ความรู้ล้วนๆ เยี่ยมไปเลยครับ จากคุณ : Tm_Rovers เขียนเมื่อ : วันเกิด PANTIP.COM 53 23:16:13

ความคิดเห็นที่ 55 คุณแมวเหมียวอธิบายลึกดีคับ  ถ้าผมอยากรู้ลึกๆ จะดีมากๆ  แต่อ่านไม่ค่อยรู้เรื่องเพราะไม่ได้อยากรู้ลึกขนาดนั้น เพราะผมโง่ด้วยกระมัง คุณตอสระอืออธิบายไม่ลึก แต่เข้าใจได้เป็นอย่างดีง่ายๆครับ แต่ทำไมต้องเหน็บแนมท่านอื่นด้วย คุณก็น่าจะอธิบายในมุมของคุณไป สุดท้าย ทั้งคุณแมวเหมียวพุงป่อง และคุณตอสระอือ ก็ออกมาโจ๊ะกัน คุณแมวเหมียวก็ว่ารุนแรงไปว่าอีกคนหนึ่ง "โง่"  ผมก็ว่าคุณแมวเหมียวฯ ว่าผมด้วยล่ะ เพราะผมก็อ่านไม่รู้เรื่อง  คุณตอสระอือ ก็ไม่รู้ว่าจะกระแนะกระแหนทำไม สรุปว่า กระทู้นี้ ผมละไว้ล่ะกัน ผมโง่เองล่ะครับ อยากให้สองท่าน ลบข้อความหลายๆ ข้อความที่ไม่เหมาะสมออก เถอะครับ  ยิ่งอ่าน ยิ่งรู้สึกเสียใจกับการที่เคยเคารพท่านทั้งสองคน ...ด้วยความเคารพในความรู้ทั้งสองท่าน โกอ้วน จากคุณ : โกอ้วน เขียนเมื่อ : วันเกิด PANTIP.COM 53 23:18:58

ความคิดเห็นที่ 56 เรื่อง โพลาไรซ์  ถ้าจำไม่ผิด ผมเรียนตอนม.ปลาย  ได้ทำแล็บร่วมกับ ปริซึมแยกแสงเป็นเจ็ดสี  อยู่ในฟิสิกส์เรื่องคลื่นมั้ง  (และจะเป็นข้อสอบอย่างยากเรื่องแสงผ่านเกรตติ้ง  )  และเรียนอีกครัั้งใน ไฟฟ้าแม่เหล็ก   ที่กล่าวมานั้นแค่จะบอกว่า ถ้ามีความรู้เรื่องไฟฟ้าแม่เหล็ก ก็จะพออ่านเข้าใจ ป.ล. เมื่อครั้งที่อ่านเจอว่า คนที่เริ่มทำฟิลเตอร์ PL เรียนเรื่องนี้ตอนม.ปลาย  แล้วลาออกไปเปิดบ. ทำฟิลเตอร์ขายก็อึ้ง  ตอนตูเรียนก็พอเข้าใจ แต่ไม่มีแนวคิดต่อยอดเหมือนเค้าเลย จากคุณ : Hanataro เขียนเมื่อ : 8 ต.ค. 53 00:39:07

ความคิดเห็นที่ 57 ใจเย็นๆครับน้าๆ มันเป็นเรื่องที่ไม่ยากครับ แต่ต้องใช้จินตนาการสักหน่อย เพราะมันมองไม่เห็น สัมผัสก็ไม่ได้ แต่เรารู้ว่ามีอยู่จริงและพิสูจน์ได้ ไม่มีคนโง่คนฉลาดหรอกครับ มีแต่รู้หรือไม่รู้ก็เท่านั้น แต่ถ้าไม่รู้ แล้วไม่รับ เขาไม่เรียกว่าชาล้นแก้วครับ เขาเรียกว่า 'แก้วคว่ำ' จากคุณ : navalsamurai เขียนเมื่อ : 8 ต.ค. 53 04:08:03

ความคิดเห็นที่ 58 ตอบคุณโกอ้วน คุณตอสระอืออธิบายไม่ลึก แต่เข้าใจได้เป็นอย่างดีง่ายๆครับ แต่ทำไมต้องเหน็บแนมท่านอื่นด้วย คุณก็น่าจะอธิบายในมุมของคุณไป เพราะผมอยากเห็นว่าภายใต้หน้ากากของใครบางคน  ที่แท้เขาเป็นอย่างไรครับ ส่วนตัวผมมองว่าคุณแมวเหมียวตอบกระทู้เลอะเทอะมานานแล้ว  ตอบผิดก็มี (แกเคยบอกว่าระบบฟิล์ม 135 เป็นฮาฟเฟรมของฟิล์มขนาดใหญ่  ผมก็มึน  แต่คนแห่ตามแกเยอะ  ตอนนั้นเลยไม่คิดจะไปสวนอะไร ) อาจเป็นอคติส่วนตัวหรืออย่างไรก็ไม่ทราบ แต่พอนานวันเข้าผมชักรู้สึกว่าไม่ค่อยเหมาะครับ  ผมว่าคนอย่างคุณแมวเหมียวมีประโยชน์ต่อห้องกล้องนะ แกขยันตอบกระทู้ดี แต่ถ้าตอบจนเลอะ หรือตอบผิดๆถูกๆก็ไม่มีคนกล้าทัก  ผมว่ามันคงส่งผลแย่กว่า   มนุษย์เราไม่มีใครสมบูรณ์ขนาดแตะต้องไม่ได้หรอกครับ  ต้องลองกดดันดูถึงจะรู้ที่แท้เขามีวุฒิภาวะอย่างไร ส่วนองครักษ์พิทักษ์แกจะหมั่นไส้ผมบ้างมันเรื่องเล็ก ผมจะถูกด่า ถูกว่าบ้างทำไมจะไม่ได้ ในโลกอินเตอร์เน็ทเรื่องพวกนี้มันสิวๆครับ  ถูกด่ามานักต่อนักแล้ว 555 แต่ผมไม่คิดนะครับว่าผมจะอยากไปด่ากลับใคร  ใครโง่ใครฉลาดไม่ใช่เรื่องที่ผมจะไปตัดสิน  เพราะไม่เคยคิดว่าตัวเองฉลาดเลย เมื่อวานติดงานทั้งวัน (ไปทำธุระกับเพื่อนๆในเว็บนี่แหละ) คิดว่าจะมีใครมาตอบกระทู้ดีๆ  อธิบายหรือชี้แจงให้ผมพ้นจากความโง่ด้วยซ้ำ แต่ปรากฎว่า  คุณแมวเหมียวไม่ได้ตอบอะไรผมกลับนอกจากด่าว่าผมโง่ เปรียบตัวเองเป็นงูเห่า  แล้วก็ไม่มีอะไรเลย (แต่สำนวนเลอะเทอะหายไปเลยนะ) ไม่เห็นจะชี้แจงในส่วนที่ผมตั้งข้อสงสัยไว้เลยครับ   ผมเองก็เปิดช่องไว้ตั้งหลายจุด ไม่รู้สิครับ  ใครอยากได้เนื้อหาสาระ  ไม่ชอบแบบเลอะเทอะอ่านไม่รู้เรื่อง (มันเสียเวลาครับ) Link จาก คห.ที่ 36 ของคุณ HWalker  น่าตามไปอ่านครับ http://www.halfbottle.net/wp/photography/polarizer-filter ดังนั้นสำหรับคนที่อยากได้ความรู้จริง  อ่านถึง คห.ที่ 36 ถือว่าจบสิ้นกระบวนความแล้วนะครับ ปล : ผมสารภาพแล้วนะครับว่าผมโง่ หลายเรื่องผมก็ไม่รู้จริงๆ  หลายเรื่องผมก็วางฟอร์มว่ารู้ (ทั้งที่เพิ่งตาเหลือกไปค้นใน Google มา) แต่อย่างน้อยผมก็ภูมิใจที่ผมได้คิดอะไรที่เป็นประโยชน์ต่อการถ่ายภาพอยู่บ้างครับ คือแต่ก่อนการถ่ายภาพ NIR ด้วยกล้อง DSLR นั้นยากลำบากต้องใช้ขาตั้งกล้อง ผมเป็นคนต้นคิดให้เอาฟิลเตอร์ IR แปะที่หน้าเซนเซอร์เลยเพื่อให้ถ่ายได้สะดวกแบบทุกวันนี้ (โดยมีคุณป๊อบน้อยเป็นเจ้าของอุปกรณ์ และน้า pax เป็นคนชำแหละกล้อง) http://topicstock.pantip.com/camera/topicstock/2006/06/O4427214/O4427214.html เราคิดก่อนฝรั่งครับ  ทำเล่นกันจนคนตามเล่นกันมากมาย (แต่บ้านเราไม่ค่อยให้เครดิตกันเลย  บางคนเล่น NIR แล้วเจอผมก็มาสอนผมอีกต่างหาก  ดีครับมีความรู้ก็แบ่งปันกัน ) ดังนั้นผมก็คิดว่าผมตอบแทนวงการกล้องไปพอสมควร  ผมคงไม่ไร้ประโยชน์เกินไปนักดอกนะครับ จากคุณ : ตอสระอือ เขียนเมื่อ : 8 ต.ค. 53 04:38:55

ความคิดเห็นที่ 59 มนุษย์เราไม่มีใครสมบูรณ์ขนาดแตะต้องไม่ได้หรอกครับ  ต้องลองกดดันดูถึงจะรู้ที่แท้เขามีวุฒิภาวะอย่างไร ยิ่งพูด ยิ่งแก้ตัว ยิ่ง"โผล่" สรุปคือ วัตถุประสงค์หลัก ที่คุณตอสระอือเข้ามาในกระทู้นี้คือ ต้องการป่วนกระทู้ และ ต้องการดิสเครดิตผมโดยตรง เพราะอคติเลวร้ายที่ฝังรากลึกอยู่ในใจ โดยเอาเรื่อง "อ่านแล้วไม่รู้เรื่อง" มาเป็นข้ออ้างบังหน้า ... ก็เท่านั้นเอง เหมือนจิ๊กโก๋แว๊นซ์หน้าปากซอย ฝีมือแต่งแมงแว้นซ์เป็นเลิศ แม้จะไม่รู้เรื่อง A/F แว้นซ์จนตำรวจยังยกนิ้วชม เพราะไล่กวดไม่ทัน เผอิญในซอย มีครูฟิสิกส์อยู่คน ชอบสอนชอบติวเรื่อยเปื่อย ไม่รู้ขัดตาแกอิท่าไหน จะว่าเพราะแกใช้แต่ PCX ก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน วันนึงเดินผ่านบ้านไอ้ครูฟิสิกส์คนนั้น ได้ยินมันสอนเรื่องหลักการ planetary กรูฟังไม่รู้เรื่อง แต่ความหมั่นไส้กำเริบ เลยหยิบหินข้างทาง เขวี้่ยงหัวมันเข้าไปเปรี้ยง ตะโกนด่าว่า สอนไม่รู้เรื่อง เลอะเทอะ มั่ว แล้วยังเสือกจะสอนการแต่งรถ ให้เด็กๆชาวบ้านหลงทางอีก มั่วกระทั่งเรื่อง planetary ว่า เป็นดาวเคราะห์ หมุนรอบดวงอาทิตย์ ทั้งๆที่ทั้งโลกเขารู้กันทั่วว่า ดาวต่างๆมันหมุนรอบโลกตะหาก บลาๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ หลังด่าจบ ร้องท้าอีกว่า ถ้ามรึงแน่จริง สอนกรูให้ถูกต้องให้ได้นะเฟร้ย ------------------------------------- ผมเป็นคนต้นคิดให้เอาฟิลเตอร์ IR แปะที่หน้าเซนเซอร์เลยเพื่อให้ถ่ายได้สะดวกแบบทุกวันนี้ เราคิดก่อนฝรั่งครับ  ทำเล่นกันจนคนตามเล่นกันมากมาย เมื่อจะให้จับผิด ก็ทำให้! Wrotniak มันเล่น แถมเขียนเว็บ แนะนำวิธีเล่น NIR ตั้งแต่ปี พศ.2543 นู่น หกปี ก่อน http://topicstock.pantip.com/camera/topicstock/2006/06/O4427214/O4427214.html (พ.ศ.2549) จะถูกเขียนด้วยซ้ำ ก่อนหน้าที่อิตา Wrotniak มันจะทำเป็นเว็บ ฝรั่งเป็นร้อย เป็นพัน เอา F-707 มาชำแหละ เพื่อให้ถ่าย IR ได้ องค์ความรู้เรื่องนี้ แพร่กระจายใน internet มานานนับสิบปี Club Snap เอง มีคนเล่น NIR ตั้งแต่ปี พ.ศ.2547 ขนาดสมัยมีแต่ฟิล์มแท้ๆ ยังมีการสอนการโมดิฟายด์ โดยให้เอาฟิลเตอร์วางหน้า หรือ หลังชัตเตอร์ เพื่อให้มีแต่ IR ผ่าน แต่ไม่ขัดขวางการเห็น หรือ การโฟกัส ลองค้นดูใน rec.infrared.photography ดูได้ ก่อนจะอวดว่า ตัวเองเก่งกว่าชาวโลกสี่พันล้านคน ... เป็น คนต้นคิด ... ------------------------------- ส่วนองครักษ์พิทักษ์แกจะหมั่นไส้ผมบ้างมันเรื่องเล็ก เรื่องนี้ เป็นเรื่องสุดท้าย ที่จะขอด่าคุณตอสระอือตรงๆ อย่าดูหมิ่นสมาชิกพันทิปคนอื่นๆ ก่อนจะกล่าวหาว่า ใครเป็นองครักษ์ฯ ใคร (ซึ่งแปลว่า ใครคนหนึ่ง ต้องเป็นเจ้านาย หรือ idol ของคนๆนั้น) .. ใช้รอยหยักบนสมอง ให้มันเต็มที่หน่อย อย่าปล่อยให้มันเรียบหาย เลือนสลาย เพราะ "กินข้าวมานาน" ตั้งแต่วันแรกที่ผมเข้ามาเล่นพันทิป จนถึงวันนี้ สิบกว่าปีมานี้ ผมไม่เคยอ้างตัวว่า เป็นใคร และไม่เคยเรียกร้องให้ใครมาเป็นองครักษ์ สิบกว่าปีมานี้ ผมพบปะกับคนในพันทิป .. นับจำนวนตัวคนได้ แยกออก ระหว่างตัวตนในนี้ กับชีวิตจริง จึงไม่ต้องการให้ใครมาคุ้มครอง ป้องกัน คนที่คุณไปดูถูกเขา ว่า เป็นองครักษ์ ฯลฯ เขาเป็นสมาชิกพันทิป เท่าๆกับคุณ เท่าๆกับผม มีสิทธิ ศักดิ์ศรี หน้าที่ อำนาจ ฯลฯ เท่าๆกับคุณ เท่าๆกับผม มีความคิด อาจมากกว่าคุณ มากกว่าผมด้วยซ้ำ ความคิดของเขา เป็นของเขา มีอิสระในการคิด การใช้เต็มที่ เขาทำ ในสิ่งที่เขาเห็นสมควรจะทำ อย่าเอา "ความคิด" ที่เป็นปมด้อยของคุณ ไปยัดเยียดให้คนอื่น แล้วอ้างว่า คนอื่นก็คิดแบบคุณ ------------------------------- จะอิจฉาริษยาตาร้อน ไปถึงไหน ผมถามชัดๆ ตรงๆ ไม่เลอะเทอะอย่างที่ต้องการแล้ว ตอบได้ไหม ตอบให้ตรงคำถามด้วย ------------------------------- ล้องูเห่า เล่นได้ ใจกล้ากล้า ... จากคุณ : แมวเหมียวพุงป่อง เขียนเมื่อ : 8 ต.ค. 53 07:41:48

ความคิดเห็นที่ 60 ขอบคุณน้าแมวครับ...   แต่อ่านแล้วยากจัง....มึนไปหมดแล้ว...แค่หมุน CPL แล้วมันทำให้ฟ้าเข้มขึ้นผมก็ดีใจแล้วครับ....( ^ _ ^ ) จากคุณ : เป้ว_จีที เขียนเมื่อ : 8 ต.ค. 53 07:59:11

ความคิดเห็นที่ 61 คือแต่ก่อนการถ่ายภาพ NIR ด้วย กล้อง DSLR นั้นยากลำบากต้องใช้ขาตั้งกล้อง... แก้ไขเมื่อ 08 ต.ค. 53 08:19:06 จากคุณ : ตอสระอือ เขียนเมื่อ : 8 ต.ค. 53 08:18:16

ความคิดเห็นที่ 62 เรื่องกล้องโมให้ถ่ายภาพ NIR ผมเน้นนะครับว่ากล้อง DSLR เพราะกล้องคอมแพคมันใช้ฟิลเตอร์กับหน้าเลนส์ได้โดยตรงอยู่แล้ว  ยุคดิจิทัลใหม่ๆก็มีคนถ่ายเล่นกันอยู่แล้วผมไม่ได้ไปเกี่ยวอะไรด้วย ส่วนเรื่องไอเดียผมก็ยังยืนยันว่าพวกผมเป็นกลุ่มแรก (คุณป๊อบ-คุณ pax และผม) ที่โม DSLR ขึ้นก่อนที่ผมจะเคยเจอจากที่ไหน ถ้ามีที่อื่นที่คุณอ้างว่าทำก่อนก็ขอ Link ด้วย (อาจจะมีนะเพราะ ภาพ IR เขาก็ถ่ายกันมานานแล้ว  แต่มันเป็นยุคฟิล์มผมไม่ได้ไปเล่นด้วย) จำได้ว่าผมเคยเจอเว็บฝรั่งคนนึงเขาโม 5D ถ่าย NIR ด้วยหลักการเดียวกันแต่ระยะเวลามันใกล้ๆกันมาก  แถมเราคิดกันก่อนทำจริงหลายเดือน และสุดท้ายผมเป็นคนเอากล้องไปให้ร้านดังที่ MBK ทำ  ช่างแอ๋ เขาก็ยืนยันว่าไม่เคยทำให้ใครลองกับกล้องผมเป็นดัวแรก  ก่อนที่จะเริ่มแพร่หลายทำใช้กันทั่ว เรื่องแบบนี้มันอ้างมั่วไม่ได้ครับ  แล้วผมก็ไม่ได้อ้างว่าผมเก่งกว่าชาวโลกสี่พันล้านคน นั่นมันบ้าบอกันไปใหญ่  คนปรกติใครเขาจะมาคิดอะไรแบบนี้ เคยมีเพื่อนสมาชิกยุคเก่าๆคิดดัดแปลงอุปกรณ์ถ่ายภาพขึ้นมาใช่เยอะแยะไป  แต่ก่อนมี ท่อภีมะ , มีคนเอาฝาปิด Body มาทำ Tube ฯลฯ   คนที่คิดทำอะไรแบบนี้แปลว่าเขาเก่งกว่าชาวโลกสี่พันล้านคนหรือ ? จะพิมพ์จะคิดอะไรก็เอาให้มันพอควรเถอะนะครับ หากอยากจะคิดว่าผมแสดง คห. แบบนี้เพราะอิจฉาคุณก็เอาเลย  ตามสบาย  คิดอะไรแล้วรู้สึกดีก็คิดไปเถอะครับ เป็นคนน่ะดีแล้วอย่าไปเป็นงูเงี๊ยวอะไรเลย คนปรกติไม่น่าจะมีใครเขาคิด หรือเปรียบว่าตัวเองเป็นงูเห่าอะไรแบบนี้นะ  ผมไม่เคยเจอจริงๆ  ทานยาอย่าลืมเขย่าขวดล่ะครับ จากคุณ : ตอสระอือ เขียนเมื่อ : 8 ต.ค. 53 08:48:51

ความคิดเห็นที่ 63 คุณแมวเหมียวก็ว่ารุนแรงไปว่าอีกคนหนึ่ง "โง่"  ผมก็ว่าคุณแมวเหมียวฯ ว่าผมด้วยล่ะ เพราะผมก็อ่านไม่รู้เรื่อง ต้องขออภัยคุณโกอ้วนด้วยครับ ที่คิดว่าผมว่าคุณโกอ้วนด้วยอีกคน ผมขอยกตัวอย่างเปรียบเทียบนะครับ ใช้โรคเอดส์เป็นตัวอย่างแล้วกัน เชื้อไวรัส HIV มันเป็นไวรัสแบบ RNA ตระกูล retrovirus, subtype lentivirus แพร่กระจากจาก host to host ส่วนใหญ่ผ่านทาง sexual contact แต่มีบางส่วนที่ผ่านทาง  biofluid contamination กลไกการเกิดโรคผ่านทางระบบภูมิคุ้มกันร่างกาย แบบ cell mediated immune  โดยเลือกโจมตัพวก T helper cells โดยเฉพาะ CD4+ T cells, macrophages และ dendritic cells ทั้งทำลายเซลล์โดยตรง หรือ เพิ่มอัตรา apoptosis หรือ กระตุ้นให้เซลล์เม็ดเลือดขาว CD8 cytotoxic lymphocytes มาทำลาย บลาๆๆๆๆๆๆๆๆๆ อ่านแล้วไม่รู้เรื่อง แต่ไม่ใช่โง่ และไม่จำเป็นต้องรู้เรื่อง เพราะสิ่งที่ต้องรู้ ก็มีเพียงคำสั้นๆว่า safe sex, ยืดอก พกถุง ใช้ก่อนมีเพศสัมพันธ์ นิดๆหน่อยๆ เท่านั้นเอง พอ เกินพอด้วยซ้ำ ----------------- การไม่รู้ "กลไก" ว่า เชื้อ HIV ทำให้เกิดโรค AIDS อย่างไร ไม่เข้าใจในคำอธิบาย ไม่ใช่เรื่องของความฉลาด หรือ ไม่ฉลาด ไม่รู้ ก็คือ ไม่รู้ ไม่อยากจะรู้ ก็คือ ไม่อยากจะรู้ ไม่อยากจะใส่ใจ ก็ไม่จำเป็นต้องใส่ใจ แต่ เกิดมีใครสัก 1 คน เขาอยากจะรู้ขึ้นมา .. เพราะอะไรก็ตามที เขาจึงถาม และมีคนมาตอบ ตอบแล้ว คนถามจะเข้าใจ หรือ ไม่เข้าใจ รู้เพิ่มขึ้นหรือเปล่า ... ก็น่าจะรู้เพิ่มขึ้น แม้ไม่เข้าใจ แต่ก็ได้ความรู้ไปหละน่า ถึงจะนิดๆหน่อยๆก็เหอะ คนผ่านไปผ่านมา ได้ฟังแล้ว ส่วนใหญ่ปวดหัว ไม่รู้เรื่อง เพราะรู้ "take home message " มานานสองนาน ก่อนที่จะได้ฟังบรรยายเรื่องที่เหมือนจะเกี่ยวข้องนี้ แต่ฟังแล้วไม่รู้เรื่อง แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร มันก็ไม่มีเรื่องอะไร ... --------------- จนมีคนผ่านมา แล้วร้องด่าคนที่กำลังบรรยายอยู่ว่า เลอะเทอะ! พูดไม่รู้เรื่อง!! เห็นมาหลายครั้งแล้ว พูดไปไหนมาสามวาสองศอก พาคนอื่นออกนอกลุ่นอกทาง เรื่อง HIV นี่ก็บรรยายมั่วๆ ที่จริงแล้ว AIDS มันเกิดจากการส่ำส่อน ไม่ยึดถือศีลห้าตะหาก เชื้อโรคมันก็มีอยู่แล้วตามธรรมชาติ เพียงแต่ใครสำส่อนก็ติดโรค คนไม่มั่วเรื่องเพศสัมพันธ์ก็ไม่ติด ไปเอาเรื่อง HIV มามั่วปนกับเรื่อง AIDS ให้คนอื่นหลงทางไปไหนมาไหน บัญญัติศัพท์แสงเลอะเทอะเปรอะเปื้อนขึ้นมาเอง ฯลฯ คนสอนอื่น เขาอาจหัวเราะหึ หึ แล้วก็ไม่แยแส แต่ ผมไม่ใช่คนอื่นๆ --------------- ล้องูเห่า เล่นได้ ใจกล้ากล้า ... จากคุณ : แมวเหมียวพุงป่อง เขียนเมื่อ : 8 ต.ค. 53 09:02:58

ความคิดเห็นที่ 64 เป็นคนน่ะดีแล้วอย่าไปเป็นงูเงี๊ยวอะไรเลย คนปรกติไม่น่าจะมีใครเขาคิด หรือเปรียบว่าตัวเองเป็นงูเห่าอะไรแบบนี้นะ  ผมไม่เคยเจอจริงๆ นี่โง่จริงๆ ใช่ไหม ไม่ใช่แกล้งโง่ ที่ไม่รู้จักแม้คำพังเพย สุภาษิต สำนวนเปรียบเทียบ ทั้งๆที่มันเป็น คำพังเพย สุภาษิตของคนไทย สำนวนเปรียบเทียบภาษาไทยของเราเองแท้ๆ หรือ ตอนชั้นเรียนภาษาไทย มัวแต่แดกดัน กระแนะกระแหนเพื่อน จนไม่ใส่ใจเรียน ในสิ่งที่ครูภาษาไทยท่านพร่ำสอน จากคุณ : แมวเหมียวพุงป่อง เขียนเมื่อ : 8 ต.ค. 53 09:05:50

ความคิดเห็นที่ 65 ทำไมท้ายๆมันแปลกๆ - -* จากคุณ : ป้าลูซี่ เขียนเมื่อ : 8 ต.ค. 53 09:53:41

ความคิดเห็นที่ 66 ตามมางงครับ จากคุณ : ลายแทง เขียนเมื่อ : 8 ต.ค. 53 11:10:34

ความคิดเห็นที่ 67 เมื่อไหร่จะเลิกทะเลาะกันเนี่ย โตๆจนมีลูกมีเต้ากันหมดแล้ว อายแทนห้องกล้อง จากคุณ : hisoman เขียนเมื่อ : 8 ต.ค. 53 11:29:53

ความคิดเห็นที่ 68 ได้หลายๆอย่างในกระทู้นี้นอกจากความรู้  ขอบคุณนะครับ จากคุณ : หนังไก่แกล้มเบียร์ เขียนเมื่อ : 8 ต.ค. 53 12:11:00

ความคิดเห็นที่ 69 ทั้งสองท่าน  ผมว่าอย่างนี้ดีกว่าไหม - คุณแมวเหมียวก็ตอบกระทู้ให้ความรู้เชิงลึกต่อไป - คุณตอสระอือ ก็ตอบกระทู้ให้ความรู้แบบง่ายๆ ต่อไป ผมว่ามันจะเวิร์คมากเลยนะครับ *หากใคร หรืออาจเป็นผม ที่อยากรู้เรื่องนี้เรื่องนั้นแบบคร่าวๆ ผมก็เลื่อนมาอ่านคอมเมนท์ คุณตอสระอือ *หากเรื่องไหนหรือคนไหน อยากรู้ลึกๆ ก็ค่อยๆอ่านคอมเมนท์ คุณแมวเหมียว *หากมีใครผิด ก็ลากเอาเหตุผล และหรือหลักฐานมาคุยกันคงสนุกมิใช่น้อย ไม่ใช่มาต่อว่ากันว่าโง่ ฉลาด หรือว่ามาบลัฟฟ์กันว่าตอบกระทู้ผิดเลอะเทอะ ขอได้ไหมครับ ด้วยความเคารพ ทั้งสองท่าน กระทู้หน้าเจอกัน ว่าด้วยเหตุผลล้วนๆ ผมคงพลาดไม่ได้  คงสนุกน่าดูเชียวครับ จบที่คอมเมนท์นี้เถิดครับ ได้โปรด ด้วยความเคารพในความรู้และสอนความรู้ที่มีประโยชน์ต่อท่านอื่น โกอ้วน จากคุณ : โกอ้วน เขียนเมื่อ : 8 ต.ค. 53 12:30:52

ความคิดเห็นที่ 70 ได้เสพทั้งความรู้ และดราม่า หึหึ จากคุณ : Teerarod เขียนเมื่อ : 8 ต.ค. 53 14:17:46

ความคิดเห็นที่ 71 เข้ามาดู... คนมีความรู้ ตีกัน...555 จากคุณ : BabyOiL เขียนเมื่อ : 8 ต.ค. 53 15:00:08

ความคิดเห็นที่ 72 ผม จขกท ครับ........... กลับเข้ามาอ่านอีกรอบ..................แป่ว ไง๋เป็นงี้ไปได้น๊าาาา............ คิดอยู่นานว่าผมจะพิมพ์อย่างไรดี ให้ผู้อ่านๆแล้วดูนุ่มนวลที่สุด ดูเป็นกลางที่สุด เพราะผมเองในฐานะน้องใหม่ห้องกล้อง และมั่นใจว่าด้วยวัยวุฒิน้อยกว่าน้าๆทั้ง 2 ท่านแน่ๆ คงต้องระมัดระวังคำพูดให้มากๆ คิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออก กลัวเข้ามาพิมพ์อะไรลงไปแล้วผู้อ่านตีความพลาด หรือผมสือสารไม่ครบแล้วมันจะยิ่งบานปลายเข้าไปอีก แต่พอมาเห็น คห.ของคุณโกอ้วน ในคห.69  สิ่งที่คุณโกอ้วนเขียน เป็นสิ่งที่ผมเห็นด้วย และอยากจะบอกแบบนั้นครับ........... จริงๆพิมพ์ไว้เยอะกว่านี้มาก แต่ผมกลัวโพสต์ไปจะเยิ่นเย้อเกิน แค่จะเข้ามาบอกความเห็นตามเนื้อหาข้างต้น และเข้ามาขอบคุณทุกท่านที่กรุณาให้ความรู้เพิ่มเติมครับ แม้แต่ความเห็นหลังๆ (ถ้าตัดเนื้อหาที่กระทบกระทั่งกันออกไป) ก็ยังมีอะไรที่เป็นความรู้แทรกอยู่ ถ้าถามผมว่า ที่ผมอ่านคำตอบหลายๆท่านเข้าใจหมด 100% มั๊ย ตอบได้เลยครับว่าไม่ และก็ไม่ได้เชื่อข้อมูลท่านใดแค่ท่านเดียว หรือแค่ข้อมูลเดียวครับ แต่ในเนื้อหาเหล่านั้นจากหลายๆ คห. ผมรวบรวม และกลั่นกรองข้อมูลที่ได้รับแล้วมาสร้างความเข้าใจกับตัวเองได้ และเข้าใจในเรื่องที่เคยสงสัยมากกว่าตอนเริ่มตั้งคำถามตั้งต้นและคำถามต่อยอดมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆ งานนี้ บรรลุวัตถุประสงค์ของผม ผู้ถาม และน้าๆ ผู้ให้.................เป็นอย่างดีแล้วครับ เรื่องอื่นๆ ผมขอละไว้นะครับ ด้วยความเคารพทุกท่าน และ ขอบพระคุณครับ จากคุณ : จขกท (NJ THE KOP) เขียนเมื่อ : 8 ต.ค. 53 15:04:43

ความคิดเห็นที่ 73 ขอบคุณน้อง kop และ โกอ้วน เอาอะไรมาให้อ่านเล่นๆ หลายๆคนเคยเห็นแล้ว แต่ส่วนใหญ่เลือกจะลืม จากคุณ : แมวเหมียวพุงป่อง เขียนเมื่อ : 9 ต.ค. 53 06:32:30

ความคิดเห็นที่ 74 น่าจะมีข้อ 0 กรุณาอ่านทบทวนทั้ง 10 ข้อให้เข้าใจ หากว่ารับกับข้อตกลงทั้ง 10 ข้อด้านล่างไม่ได้ ก็ไปหาเว็บอื่น ตูจะโดนด่าไหมเนี่ย!!! จากคุณ : ตาบอดสี เขียนเมื่อ : 9 ต.ค. 53 10:21:08

ความคิดเห็นที่ 75 ผมยังไม่มีโพลาไรซ์ฟิลเตอร์ใช้กะเค้าเลย เคยรู้มาว่าพอผ่าน CPL ระนาบแสงมันจะหมุนควงสว่าน แต่ไม่เคยไปค้นคว้าซะทีว่าทำไมมันถึงหมุนได้ จากคุณ : อะธีลาส เขียนเมื่อ : 9 ต.ค. 53 10:39:59

ความคิดเห็นที่ 76 ผมว่ากระทู้นี้คุณแมวเหมียวฯ ให้ความรู้ลึกไปนิดครับสำหรับห้องกล้อง แต่ว่ามันก็เป็นธรรมดาของบอร์ดพันทิป โดยเฉพาะห้องที่เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์ อย่างหว้ากอ mbk กล้อง รัชดา หรือแม้แต่ก้นครัว แต่ยังไงซะ เท่าที่ผมอ่านคร่าวๆ ผมว่าข้อมูลน่าจะไม่มั่วหรือเลอะเทอะนะครับ จากคุณ : ชาเขียว เขียนเมื่อ : 9 ต.ค. 53 11:18:14

ความคิดเห็นที่ 77 เก็บ link ไว้เข้ามาอ่านอีกทีงง อะไรกันเนี้ย ถ้าเคยไปงานของ B&W ฝรั่งมาฮธิบาย ที่จัดต้นปีครับ จะเห็น แผ่น CPL อยู่ในกระจกผนึกอยู่ และมี 2ชิ้น แล้วให้หมุนซ้อนกันจะเห็นว่าตัดแสงครับ ไม่มีอะไร ผ่านมา ยังอ่านไม่ครบ แต่เท่าที่ไปดูเค้า สาธิตมาในงานครับ จากคุณ : tee_rex_na เขียนเมื่อ : 15 ต.ค. 53 16:10:25