ความคิดเห็นที่ 1 ผมวัดแสง + ถ่าย RAW ครับ ต่อให้วัดแสงมาถูก ผมก้อมาปรับสี ดึง curve เล่นโน้นเล่นนี่อยู่ดี จากคุณ : naung เขียนเมื่อ : 24 ก.พ. 54 18:10:00 A:223.206.147.150 X: TicketID:159472

ความคิดเห็นที่ 2 คนเก่ง ๆ จบด้วย JPG มีเยอะแยะครับ แต่การถ่ายด้วย RAW แล้วมาปรับแต่งต่อ ช่วยเติมเต็มสิ่งที่จินตนาการได้ครับ ส่วนผมถ่าย RAW มาก่อน ถ้าชอบรูปก็ convert เป็น JPG เลย ถ้าไม่ชอบค่อยแต่งภาพต่อ จากคุณ : Yube เขียนเมื่อ : 24 ก.พ. 54 18:32:13

ความคิดเห็นที่ 3 ถ่ายด้วย RAW แล้วมาแต่งภาพ ช่วยให้ภาพสวย แล้วช่วยเติมเต็มความต้องการได้มากกว่าครับ แต่ถ้าถ่ายปกติ จะได้ภาพที่ใกล้เคียงความเป็นจริง จะสวยหรือไม่ก็อีกเรื่องครับ แล้วส่วนหนึ่ง Software ในกล้องก็ปรับแต่งภาพได้อยู่แล้วบางส่วน ผมเองก็หวังว่าสักวันนึงจะจบที่ JPG โดยไม่ต้องปรับแต่งเหมือนกับใครๆเขาบ้่าง จากคุณ : ปีกวายุ เขียนเมื่อ : 24 ก.พ. 54 18:39:13

ความคิดเห็นที่ 4 วัดแสงไม่คล่องถ่ายภาพเป็น RAW แล้วมาปรับได้ไหม คำตอบคือ ได้ แต่ไม่ดี ถ้าเปิดรับแสงจนออกนอกขอบเขตช่วงรับแสง(Exposure Range) ของ RAW ต่อให้เทพแค่ไหนก็ขุดรายละเอียดออกมาไม่ได้ ในกรณีที่เปิดรับแสงผิดไป -2 stop  แม้ว่ายังอยู่ใน Exposure Range ของ RAW แต่พอขุดมันขึ้นมา สิ่งที่ตามมาคือ Noise จำนวนมากมาย ซึ่งต้องไปลด Noise ทำให้ภาพไม่คมอีก เสียเวลา Process สีเพี้ยนอีก   ถ่ายภาพ 10 วินาทีต่อภาพ  Process รูปล่อไป 15 นาทีต่อภาพ เที่ยวภูกระดึง 1 ทริป 5 วันถ่ายไป 100 ภาพ กลับมา 2 เดือนยัง Process ภาพไม่หมดเลย ทำไมไม่วัดให้ถูกตั้งแต่แรก จะได้เอาเวลาไปทำอย่างอื่น วัดแสงถูกกับวัดแสงผิด เสียเวลาถ่ายภาพเท่ากันนั่นละ ถ้ามีความรู้และฝีกฝนอยู่ประจำจนเกิดทักษะ จะวัดแสง แล้วถ่ายภาพ  จะใช้เวลาเท่ากับ วัดแสง ชดเชยแสง ถ่ายภาพ ใช้เวลาปรับกล้องเท่ากัน  แต่ผลไม่เท่ากัน ทำไมผมถึงบอกว่าใช้เวลาเท่ากัน สมมติว่าคุณถ่ายภาพวัตถุขาวชิ้นหนึ่ง แล้วอยากให้วัตถุนั้นเท่ากับ L(Lightness) 95 คนเล่นกล้องใหม่ๆ ที่ตั้งใจจะวัดแสง Normal ก่อน แล้วชดเชยแสง คุณกำลังวัดแสงสองเด้ง แต่ถ้าคุณมีทักษะอันมีพื้นฐานจากความรู้   คุณวัดแสงไปที่ +2.3(แล้วแต่กล้อง ไปลองกันเอาเอง)ได้เลย ไม่ต้องไปเริ่มต้นที่ Normal มันก็เลยใช้เวลาเท่ากัน การชดเชยแสงไม่ทำให้เสียเวลา แค่มองก็รู้แล้วว่าต้องเท่าไร(ถ้ามีทักษะอันเกิดจากความรู้ที่ถูกต้อง) JPEG จากกล้องสมัยนี้คุณภาพด้านรายละเอียดและความคมไม่ด้อยไปกว่า RAW สักเท่าไรถ้าปรับตั้งกล้องเป็น     หากไม่มีปัญหาอะไรในภาพมาก หรือไม่ได้มีจุดมุ่งหมายพิเศษในอนาคตสำหรับภาพนั้นๆ  สามารถจบที่ JPEG ได้เลย โดยการปรับค่า Contrast, Saturation, Sharpness รวมทั้งการดึงรายละเอียดอย่าง D-Lighting, Hilight Priority อะไรพวกนั้น แต่........ คุณจะรู้ได้อย่างไรว่าวินาทีนี้คุณไม่ได้ตัดสินใจผิดพลาด การมีไฟล์ RAW เป็นยันต์กันตาย  เผื่อพลาดพลั้งยังมี RAW ช่วยชีวิต เราจะซื้อกล้องดีๆ การ์ดเร็วๆ มาทำไม การถ่ายภาพ RAW มันไม่ทำให้ชีวิตช้าลงหรอก ยกเว้นคุณจะถ่ายภาพต่อเนื่องประเภทนาทีละ 30 ภาพไม่มีหยุด อันนั้นค่อยไม่ต้องถ่าย RAW เพราะมันเขียนข้อมูลลงการ์ดไม่ทัน อีก 3 ปีถัดไป เผื่อมีโปรแกรมเทพๆ เกิดใหม่  เอามา Process ไฟล์ RAW เก่าๆ ที่ถ่ายเอาไว้  ภาพมันก็จะดีขึ้นได้ เพราะโปรแกรมประมวลผลมันก้าวหน้าขึ้น  อาจจะได้ภาพดีกว่าเดิมอีกหลายขีด โดยเฉพาะเรื่อง White Balance ปรับจาก RAW ได้ดีกว่าปรับแก้สีจาก JPEG มากมายนะครับ ไม่เชื่อไปลองดู  โดยเฉพาะกับภาพที่สีของแสงมัน Cross Over ประเภทด้านหนึ่งแสงนีออน อีกด้านทังสเตน อีกด้านเป็นแสงธรรมชาติ  คำตอบอยู่ที่การลองทำ เมื่อวานผมไปดู HD สำหรับเก็บภาพถ่ายลูกสาว 2TB ราคา 2,900 บาทแล้ว จะห่วงอะไรนักหนากับความจุที่ต้องเพิ่มกับ RAW 2TB ราคาวันนี้ 2,900 บาท สมมติว่า RAW+JPEG สูงสุด ขนาด 40 MB HD 2TB 1 ลูกจุได้ 50,000 ภาพ ตกภาพละ 0.058 บาท คงไม่แพงเกินไปกระมัง ตอนผมแต่งงาน ผมบอกน้องช่างภาพที่ถ่ายงานผมว่า ถ่าย RAW ไว้ให้ด้วย  ทุกรูป  ช้าไม่ว่า เปลืองไม่ว่า   เสร็จจากงานแต่งผมโคตรดีใจเลยที่มีไฟล์ RAW ไม่งั้นนรกแน่ๆ แก้ไขเมื่อ 24 ก.พ. 54 19:24:20 จากคุณ : หนูน้อยต้อยตีวิด.. เขียนเมื่อ : 24 ก.พ. 54 19:03:15

ความคิดเห็นที่ 5 จะจบด้วย raw หรือ jpeg ไม่เกี่ยวนะ .. ยังไงก็ต้องวัดแสงให้ถูก(ที่สุดเท่าที่จะทำได้) ทุกวันนี้ ยุค digital ทำให้คนถ่ายรูปมักง่ายขึ้นเยอะ กดๆไป ไม่สนใจวัดแสง ดูหลังกล้องไป ไม่พอใจลบ พอใช้ได้ค่อยกลับไปแต่งอีกที .. - -" จากคุณ : ^^ เขียนเมื่อ : 24 ก.พ. 54 19:12:20

ความคิดเห็นที่ 6 1. ผมว่าไม่ถูกครับ เพราะหากวัดแสงไม่ดีแล้ว หากมันโอเวอร์มากเกินไปมากๆ หรืออันเดอร์มากเกินไปมาก จะปรับกลับมาให้เหมือนให้ดูมันก็ยากมาก ดีไม่ดีบางรูปอาจจะเพี้ยนจนหมดความสวยไปเลยก็ได้ ให้ดีควรให้ดีตั้งแต่วัดแสงเสร็จคตรั้งแรกนั่นแหละครับดี หากขดๆนิดๆหน่อยๆ Raw ช่วยได้ แต่หากไม่ระวังจนไม่ได้นึกเรื่องวัดแสงแล้วขาดๆเกินๆเยอะจบเหมือนกัน Raw ก็ช่วยท่านไม่ได้ 2. ก็ไม่แน่ครับ กล้องบางรุ่น JPG สวยกว่า Raw ก็มีครับ  แต่ส่วนมากก็ Raw จะดูดีกว่า JPG นั่นแหละ เพียงแต่จะบอกว่า มันก็ไม่ใช่ทั้งหมด ส่วนถ่าย JPG อย่างเดียวดีมั้ย เป็นผมเลือกถ่าย JPG+Raw เพราะว่าหากไฟล์มันได้ดั่งใจแล้ว JPG ก็สามารถใช้งานได้เลย แต่หากมันยังขาดๆเกินๆนิดๆหน่อยๆก็ Raw พึ่งพาได้ แก้ไขเมื่อ 24 ก.พ. 54 19:14:29 จากคุณ : tump เขียนเมื่อ : 24 ก.พ. 54 19:12:32

ความคิดเห็นที่ 7 RAW+JPEG จากคุณ : กระเพราไข่เจียว เขียนเมื่อ : 24 ก.พ. 54 20:00:14

ความคิดเห็นที่ 8 ปกติ ผมจะถ่าย Raw ตลอด ยกเว้นซ็อตที่ต้องถ่าย รัวๆ เช่นภาพกระโดด ทริปล่าสุด เที่ยวกับครอบครัว หลังจากถ่ายภาพกระโดดเสร็จแล้ว ลืมปรับคืนเป็น Raw ถ่าย jpg ไปอีกประมาณ ร้อยกว่าภาพได้ พอรู้ตัว ใจแป้วไปเลยครับ  ยังดีที่ถ่ายกันเล่นๆ ไม่ต้องการแสงสีที่ถูกต้องมากนัก แหม่ รู้งี้ ตั้งใจถ่ายทุกช๊อตดีกว่า จะได้ติดเป็นนิสัยปราณีตๆหน่อย   DPP มันจะสะดวกเกินไปหน่อยแล้ว ทั้ง WB ทั้ง Picture style เฮ้อ... จากคุณ : เดอะไรท์ เขียนเมื่อ : 24 ก.พ. 54 20:16:24

ความคิดเห็นที่ 9 "จบหลังกล้อง" มันก็แค่ "ถ่ายมาให้ดีที่สุด เท่าที่ศักยภาพของทุกสิ่งที่มีอยู่ในตอนนั้น สามารถทำได้" วัดแสง  60% อุปกรณ์80% ของที่จะถ่าย100%   งานที่ออกมามันจะได้ 60% วัดแสง100% อุปกรณ์80% ของที่จะถ่าย  70%   งานที่ออกมามันจะได้ 70% วัดแสง100% อุปกรณ์80% ของที่จะถ่าย100%   งานที่ออกมามันจะได้ 80% ลองพิจารณาดูครับ ^ ^ จากคุณ : espucino-ccj เขียนเมื่อ : 24 ก.พ. 54 20:30:20

ความคิดเห็นที่ 10 raw + jpg  อีกเสียงครับ จากคุณ : plao2000 เขียนเมื่อ : 24 ก.พ. 54 21:33:46

ความคิดเห็นที่ 11 ปัญหาโลกแตกของการถ่ายภาพในยุคดิจิตอล จากคุณ : chiji09 เขียนเมื่อ : 24 ก.พ. 54 21:45:24

ความคิดเห็นที่ 12 Raw ไว้ไม่เสียหาย ส่วนวัดแสง จะจบที่ไหนก็ต้องวัดให้ถูก จากคุณ : Teerarod เขียนเมื่อ : 24 ก.พ. 54 21:50:39

ความคิดเห็นที่ 13 โดยหลักการ การจบในกล้องย่อมดีที่สุดทำให้เสียเวลาน้อย แต่เรามีข้อกัดมีความชำนาญที่ไปไม่ถึงก็เลือกที่เหมาะกับความต้องการของเราไม่ต้องสนผู้อื่น   ไม่เก่งการถ่าย ได้อะไรจาก การถ่าย Raw File 1.  WB ไม่ตรงกับแสง ปรับแก้ในคอม ทำให้ได้ภาพดีขึ้น  ฉลาดใช้ ใช้เรียนรู้เพื่อให้สามารถถ่ายใกล้เคียงในสนามจริง ถ้าเป็นขอจำกัดกล้อง ก็แก้ บนคอมนี่แหละ 2.  วัดแสงไม่ตรง ปรับแก้ในคอมได้ เรียนรู้แต่ละเหตุการณ์ ควรวัดแสงอย่างไร คราหน้าจะได้ปรับได้ถูกได้ใกล้เคียง 3.  Post process  มีมากมายในคอม สร้างจินตนาการได้อีกมากมาน อย่าจำกัดแค่ picture style ในกล้องที่มีไม่กี่ตัว 4.  เล่นสีเล่นแสง  มองภาพในคอม  เรียนรู้บางครั้งทำให้นึกได้ เจอเหตุการณ์ลักษณะนี่ ควรถ่ายอย่างไร 5.  crop ภาพจัดองค์ประกอบ  ทำไมในสนามไม่จัดอย่างนั้นอย่างนี้ ทำให้คราหน้าจะได้วางแผนการจัดองค์ประกอบที่จะได้ภาพสวยที่เราต้องการ 6.  crop ภาพ อยากได้รูปใหญ่ ขี้เกียจเดินไปถ่ายใกล้ๆ 15 MP 18 MP จะใช้แค่ 2 MP ไปทำไมครับ   ประหยัดเงินค่าเลนส์โดยการ crop ภาพ ก็ยังได้ ประสบการณ์จะทำให้ เราปรับจูน การถ่าย raw และ jpeg หรือการใช้ คอม ไปเองตามความสมเหมาะของสถานกาณ์และความสามารถ ครับ แก้ไขเมื่อ 24 ก.พ. 54 22:08:29 จากคุณ : dji_2000 เขียนเมื่อ : 24 ก.พ. 54 22:04:42

ความคิดเห็นที่ 14 สมมุติว่าวันนึงผมโปรแล้วนะ ผมก็จะเลือกถ่าย RAW อยู่ เพราะจินตนาการของผมไม่ได้จบที่หลังกล้องอ่ะครับ แห่ะๆ... แก้ไขเมื่อ 25 ก.พ. 54 00:18:45 จากคุณ : สะบายดีบางกอก เขียนเมื่อ : 24 ก.พ. 54 22:40:52

ความคิดเห็นที่ 15 ขอบคุณทุกๆความเห็นครับ จากคุณ : BuBiBuBo เขียนเมื่อ : 24 ก.พ. 54 22:47:34

ความคิดเห็นที่ 16 jpg อย่างเดียวแล้วไปหาความแตกต่างที่มุมมองเอาครับ มุมเดิมสีต่างผมไม่ชอบ ไปเที่ยวถ่ายทีหลายภาพ ขี้เกียจแก้บนคอม เวลาว่างไม่ค่อยมีด้วย (บ้านจน hd ไม่พอจะเก็บ raw ด้วยแหล่ะ 555) จากคุณ : killerG เขียนเมื่อ : 24 ก.พ. 54 22:56:44 A:58.11.24.105 X: TicketID:295993

ความคิดเห็นที่ 17 ถ้ามั่นใจแล้วก็ถ่าย Raw มาเถอะครับ พลาดนิดพลาดหน่อยก็ยังแก้ได้ คุณภาพดีกว่า ถ้ามันดีอยู่แล้วก็ไม่ต้องทำอะไรแค่ กด Batch Convert เป้น Jpeg เท่านั้นเอง เดี๋ยวนี้ Mem HDD ราคาถูกมากมาย จากคุณ : choggaduub เขียนเมื่อ : 24 ก.พ. 54 23:13:13

ความคิดเห็นที่ 18 วัดแสงไม่จำเป็นต้องให้ถูกต้อง แต่ต้องวัดให้ถูกใจเรามากกว่า จากคุณ : La Divinite เขียนเมื่อ : 24 ก.พ. 54 23:52:29

ความคิดเห็นที่ 19 เห็นด้วยกับ น้า La Divinite ครับ จะวัดแสงยังไงขึ้นอยู่กับว่า อยากเสนออกมาแบบไหนเพราะ การถ่ายรูป มันคืดการ วาดภาพด้วยแสง บางครั้ง เกินๆ ขาดๆ มันก็ดูน่าสนใจกว่า พอดีนะครับ ^^ จากคุณ : ก็ว่ากันไป (b_@ll) เขียนเมื่อ : 25 ก.พ. 54 02:34:41

ความคิดเห็นที่ 20  " ผมถ่าย jpeg เฉพาะไฟล์ที่ไม่จำเป็นต้องเก็บไว้ และมีเวลามานั่งคิดว่าจะปรับอะไรบ้างดี แบบละเอียดๆ.. นอกนั้นถ่ายเป็น RAW ทั้งหมด เพราะไม่อยากปรับให้มันเป็นไปอย่างใดอย่างหนึ่งแล้วจบที่แค่นั้น แต่อาจทำหลายๆ แบบกับมัน อีกอย่าง วิถีแห่ง RAW สำหรับผมแล้วมันไม่ใช่ถ่ายสั่วๆ เสมอไป " จากคุณ : ตุ๊กตาหมี เขียนเมื่อ : 25 ก.พ. 54 04:06:39

ความคิดเห็นที่ 21 โหวตครับ หลากหลายแนวคิด และมุมมอง ดีจริง ๆ จากคุณ : Supermop เขียนเมื่อ : 25 ก.พ. 54 07:14:46

ความคิดเห็นที่ 22 เมื่อวันหยุดที่ผ่านมา ผมไปเที่ยวกระบี่ ตอนกลางคืน ตอนกำลังกินเลี้ยงกลางแจ้วกันอยู่ ฝนตก!!!! $#@#!@#$~!!!! วิ่งหลบฝนกันจ้าละหวั่น แต่ เมื่อหลบเข้าไปอยู่ในชายคา มองกลับไปยังที่จัดงานเลี้ยง แสงไฟที่ส่องผ่านฝนมา สวยมากๆ ผมเลยปรับกล้องไปที่ ISO 1600 แล้วกดถ่ายไปหลายรูป ดูจาก LCD หลังกล้อง อืมม์ ... มันก็ใช้ได้ แล้วปรับโหมดไปที่ขาวดำ .. กดถ่ายอีก .. แสงสวยมาก รอ .. เกือบครึ่งชั่วโมง ฝนไม่หยุดตก พนักงานเอาร่มมารับ ไปส่งห้อง เหมือนไข้จะขึ้น ผมกลืนพาราไปสองเม็ด แล้วนอนเลย (อ๊ายยยยย) พอตอนเช้า ตีห้ากว่าๆ ลุกขึ้นมา นอนไม่หลับแล้ว .. เพราะนอนยาวไปเกือบสิบชั่วโมง เลยหยิบกล้องไปถ่ายรูปชายทะเลตอนเช้า พระอาทิตย์ัยังไม่ขึ้น ผมก็เลยถ่ายพระจันทร์ริมหาดไปเรื่อยๆ ภาพดูเหงาๆดี พอพระอาทิตย์เริ่มขึ้น ผมก็หันไปถ่ายพระอาทิตย์ แต่แปลก .. ดูจาก LCD หลังกล้อง แสงเงิน มันดูขาวๆ แสงทอง ก็ไม่เป็นแสงทอง มันดูขาวๆ เช่นกัน ผมลองปรับ WB ไปที่ 9000K แสงเงินแสงทองก็ยังดูขาวๆ "อืมม์ มันยังไม่สว่างมั้ง" แสงเลยออกมาเพี้ยนๆอย่างนี้ ผมก็ถ่ายไปเรื่อยๆ สลับกันระหว่างพระจันทร์ทางตะวันตก ที่ยังมืดอยู่ ทุกอย่างดูซีดจาง ขาว-ดำ กับพระอาทิตย์รุ่งอรุณ กว่าจะมารู้ตัว ก็เริ่มเห็นเปลวพระอาทิตย์ ผมยังเก็บภาพด้วยโหมด ขาว-ดำ อยู่ !!! ใจหายวาบ .. ก่อนถอนใจอย่างโล่งอก เพราะผมถ่าย raw + jpg เป็นกิจวัตร ไม่เคยเปลี่ยน setting อันนี้เลยตั้งแต่ซื้อกล้องมาใช้ กลับไปที่ห้องเพื่ออาบน้ำ ถอดการ์ดออก เสียบใส่คอมพ์ ให้มันล้างภาพเกือบ 200 ภาพนั้น ให้ออกมาเป็น jpg โดยเลือก WB เป็น 6500k แล้วไปกินข้าว กลับมา .. คอมพ์ทำเสร็จ JPG ที่ได้มา ... สีเป็นอย่างที่ควรเป็น โล่งอกไป เพราะการเดินทางมาทีนึงๆ ไม่ใช่เรื่องง่าย ความผิดพลาด ... หมายถึง หมดโอกาสไปอีกยาว ... จากคุณ : แมวเหมียวพุงป่อง เขียนเมื่อ : 25 ก.พ. 54 08:51:33

ความคิดเห็นที่ 23 ขอขยายความจาก คห18 นิดหน่อยนะครับ เพื่อขยายความคำว่า "วัดแสงถูกใจ" มิได้มีเจตนาในทางลบใดๆ นะครับ "วัดแสงให้ถูกใจไม่จำเป็นต้องถูกต้อง" เป็นประโยคที่ผมเคยใช้สอนถ่ายภาพให้กับน้องๆ ชมรมถ่ายภาพฯ ตั้งแต่ผมเรียนมหาวิทยาลัยปี 2   ก็ประมาณ 20 กว่าปีที่แล้ว   หลังจากนั้นผมสอนถ่ายภาพให้กับสมาชิกนิตยสารถ่ายภาพอยู่ 5 ปี สอนให้สมาคมถ่ายภาพ  สอนให้กับน้องๆที่ขับรถ Fortuner แล้วชอบถ่ายภาพเหมือนๆ กัน หรือใครก็ตาม ผมก็พูดประโยคนี้เสมอ กลายเป็นประโยคยอดฮิทสำหรับคนสอนและเรียนเรื่องวัดแสง แต่...................................... ประโยคนี้ มักถูกถ่ายทอดออกมาไม่หมด ถ้าคิดจะจริงจังกับการถ่ายภาพ ต้องวัดแสงให้ถูกต้องเป็นเสียก่อน เมื่อวัดแสงถูกต้อง คุมปริมาณแสงได้แม่นยำดังใจแล้ว ค่อยวัดแสงให้ถูกใจ วัดแสงให้ถูกใจคือ  จิตนาการว่า ภาพนั้นควรออกมาในลักษณะใดถึงจะได้ "อารมณ์" ของภาพอย่างที่ต้องการ ซึ่งไม่จำเป็นต้องตรงกับสิ่งที่ตาเห็น(สิ่งที่ตาเห็นก็คือถูกต้อง) ถ้าทำถูกต้องไม่เป็น จะทำให้ถูกใจได้อย่างไร ประโยค " วัดแสงให้ถูกใจ ไม่จำเป็นต้องถูกต้อง" เอาไว้สรุปสุดท้าย หลังจากทุกจบจบการอบรม "วัดแสงให้ถูกต้อง" เพื่อเป็นการย้ำว่า "การสร้างภาพตามจินตนาการ สำคัญที่สุด" ไม่ว่าจะแม่นทฤษฎีขนาดไหน มันก็แค่วิทยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์อยู่เบื้องหลังศิลปะ จินตนาการนำหน้า วิทยาศาสตร์คอยสนับสนุน ถ้าเราไม่รู้ว่า เจ้าผงขาวๆ นี่มันคือเกลือ แล้วมันมีรถเค็ม จะรู้ได้อย่างไรว่า จะต้องเอาเจ้าผงนี้ ใส่ในหมูต้มเค็ม แล้วต้องใส่ปริมาณเท่าไร เกลือมีรสเค็ม  คือ วัดแสงให้ถูกต้อง แต่จะใส่เท่าไร เค็มมาก เค็มน้อย คือ วัดแสงให้ถูกใจ บางคนชอบหม็ต้มเค็มแบบ เค็มนิดๆ ก็ใส่น้อยหน่อย บางคนชอบเค็มมาก ก็ใส่เยอะหน่อย มันเป็นความชอบส่วนบุคคล จะทำกินเอง ก็ไม่ต้องสนคนอื่น  ให้คนอื่นกิน ก็คิดถึงใจเขาด้วย ถ่ายภาพดูเอง ยังไงก็ได้ ถ่ายภาพให้คนอื่นดู ก็ต้องเดาใจคนดู เวลาใครวัดแสงไม่เป็นมั่วซั่ว คุมแสงไม่ได้ แล้วเอาประโยคนี้ขึ้นมาอ้าง อยากให้ช่วยอธิบายขยายความด้วยนะครับ ไม่อย่างนั้นจะเจอพวก ไม่เห็นต้องสนเลย ให้ถูกใจก็พอ ถ่ายภาพไปครึ่งชีวิต ยังหาวิธีทำให้ตัวเองถูกใจไม่ได้เลย เพราะไม่รู้ว่า การทำให้ถูกใจ มันทำอย่างไร จากคุณ : หนูน้อยต้อยตีวิด.. เขียนเมื่อ : 25 ก.พ. 54 09:16:49

ความคิดเห็นที่ 24 ผมถ่าย jpg อย่างเดียวเลย... จากคุณ : auxin เขียนเมื่อ : 25 ก.พ. 54 09:29:21

ความคิดเห็นที่ 25 พันทิพเราจะเอาภาพจาก Photobukket มาได้ไงครับ ทำเท่าไรก็ทำไม่ได้สักที แก้ไขเมื่อ 25 ก.พ. 54 09:34:17 จากคุณ : หนูน้อยต้อยตีวิด.. เขียนเมื่อ : 25 ก.พ. 54 09:33:04

ความคิดเห็นที่ 26 บังเอิญชินกับการถ่ายสไลด์มาก่อน ยังไงก็ทิ้งการวัดแสงไม่ได้ มันชินมือ แต่ตั้งแต่ถ่าย RAW มา มันก็อดไม่ได้ ..ยังไงก็ต้องถ่าย Raw อยู่ดี 1. ถึงไม่แก้แสง ก็เผื่อเอาไว้ปรับอย่างอื่นเล่น (ที่บ่อยสุดคือ WB) ได้ภาพหลายสไตล์จากการถ่ายแค่ครั้งเดียว 2.  RAW กินพื้นที่มาก เป็นการบังคับให้ (ตัวเอง) รู้จักยั้งมือ คิดก่อนถ่าย ไม่ใช่สักแต่ว่ากด (แค่กดได้มากกว่าตอนถ่ายฟิล์มก็น่าจะพอใจสุดๆ แล้ว) ..โดยส่วนตัวแอบสังเกตตัวเองว่า งานไหนใช้ card 6-8GB ได้ภาพมามากก็จริง แต่ "มักจะ" มีภาพที่ถูกใจสุดๆ น้อยกว่าวันที่ลืม card สำรอง แล้วต้อง Manage การถ่ายให้อยู่ในการ์ดแค่ 2GB ...เพราะฉะนั้น โดยส่วนตัวจะถ่าย RAW ตลอดค่ะ  แม้ว่าบางครั้งจะ Select all แล้ว export เลยก็ตาม ปล. แต่ที่ไม่เหมือนท่านอื่นๆ คือ เราไม่เคยถ่าย Raw+jpg นะคะ รู้สึกมันซ้ำซ้อนโดยใช่เหตุอ่ะ ในเมื่อ raw มันก็มา batch process แป๊บเดียวก็ได้ jpg แล้วนี่นา -*- ปล.2 อยากให้ gift หลาย คห.มากๆ เลย ติดไว้วีคหน้านะคะ ^_* แก้ไขเมื่อ 25 ก.พ. 54 12:00:40 แก้ไขเมื่อ 25 ก.พ. 54 11:57:28 แก้ไขเมื่อ 25 ก.พ. 54 11:56:02 จากคุณ : จิตรางคทา เขียนเมื่อ : 25 ก.พ. 54 11:50:19

ความคิดเห็นที่ 27 ร่วมแจม... ของผมเองไม่ได้ใช่ raw เลยครับ อาจมาจาหลายสาเหตุ เช่นแต่งโฟโต้ไม่เป็น เสียเวลาแปลงไฟล์ ..... แต่ที่หนักไปกว่าขาดความรู้ทางโปรแกรม คือ สิ่งที่ติดในหัวตลอดเวลา คิดตลอดเวลา ถ้าเราจะกลับมาแก้โน่นแก้นี่ เหมือนเรากำลังโกง โกงรูปสวย แสงสวย ทั้งที่วัดแสงมาผิดๆ ใช้ F กับ Speed หรือเทคนิคที่ควรจะใช้ ไม่สมกับเหตุการณ์ เพราะคิดว่าไม่จำเป็นต้องเรียนรู้ ไม่ต้องศึกษา เดี๋ยวมาแก้เอาภายหลังก็ได้ แบบนี้ผมว่าเราจะพลาดเข้าซักวัน ความที่เป็นคนใช้กล้องฟิลม์มาก่อน ซึ่งแต่ก่อน อย่างมากก็แค่ทะเลอะกับช่างปริ้นท์ ว่าอ่านฟิลม์ถูกหรือป่าว รูปออกมาขาวจัง แสงเวอร์จัง มึดไปไหม ประมาณนี้ แต่มันก็ทำให้เราพัฒนาขึ้นนะ เพราะถ้าเราอยากจะได้รูปที่ผ่านการแก้สีของช่างให้น้อยที่สุด เราก็ต้องถ่ายหรือแก้สีมาให้ดีที่สุดก่อน จะด้วยการชดเชย การวัดแสง การใช้ฟิลเตอร์ การใช้เทคนิคต่างๆ ผมว่ามันน่าสนุกกว่านะ เช่นถ้าคุณจะถ่ายรูปน้ำวน เวลาไปน้ำตก คุณอาจจะต้องสร้างฟองสบู่ปลอมๆมาช่วย ทำให้มันเห็นเป็นเส้น เป็นทาง ความเร็วต้องได้ F ต้องไม่แคบไป โอ้ยอีกสารพัดที่ต้องลองกัน ....แต่ที่ว่ามาก็ไม่ครอบคลุมทุกเหตุการณ์หรอกนะ อันนี้ก็เข้าใจในเทคโนโลยี แต่ว่าคุณจะให้มันช่วยคุณมากไปไหม อันนี่สิ อยากให้คิด มันอาจจะดูหัวโบราณไปหน่อย แต่นั้นก็เป็นอีกแค่ความคิดเห็นเท่านั้นนะครับ จากคุณ : khop_pi (khop_pi) เขียนเมื่อ : 27 ก.พ. 54 16:46:03