ความคิดเห็นที่ 1 ขออภัยที่มาตอบ ด้วยความที่ผมเป็นมือใหม่ ผมจะใช้ M ก็ต่อเมื่อทั้ง S / A ให้ผมไม่ได้ เช่น ในโหมด A กล้องให้สปีดเร็วเกิน อยากให้สปีดช้ากว่าที่เป็น (เช่นถ่ายน้ำตกแล้วอยากให้มันเป็นสายนุ่มๆ) และในโหมด S เมื่อมันไม่ยอมปรับรูรับแสงให้กว้างตามที่ต้องการ ผมว่ามันแล้วแต่สถานการณ์ตอนนั้น ว่าเราคิด และอยากได้รูปแบบไหน แล้วแต่คนใช้มากกว่านะครับ จากคุณ : ไก่แก้ว สาริกา เขียนเมื่อ : 25 ก.ค. 54 18:17:12

ความคิดเห็นที่ 2 โหมด A เราต้องเลือก รูรับแสง เอง / ส่วน สปีดชัตเตอร์ มันอัตโนมัติ โหมด S เราต้องเลือก สปีดชัตเตอร์ เอง / ส่วน รูรับแสง มันอัตโนมัติ โหมด M เราต้องเลือก สปีดชัตเตอร์ และ รูรับแสง เอง จากคุณ : WinStOry เขียนเมื่อ : 25 ก.ค. 54 18:17:51

ความคิดเห็นที่ 3 ต้องการตั้งค่าเปิดรับแสงล่วงหน้าไว้ก่อนถ่าย ต้องการล็อคไม่ให้ค่าเปิดรับแสงเปลี่ยนไปมา ต้องการควบคุมแสงให้ได้มากขึ้นเมื่อใช้กับแฟลช ใช้เทคนิค Zone System โหมด M ในกล้องที่มี bar graph แสดงค่าแสงจะปรับได้ง่าย และเร็วกว่าออโต้ แก้ไขเมื่อ 25 ก.ค. 54 18:27:00 จากคุณ : อะธีลาส เขียนเมื่อ : 25 ก.ค. 54 18:26:23

ความคิดเห็นที่ 4 จขกท. ลองดู Exif ไฟล์รูปที่ผมโพสต์นะครับ มองดีๆจะมีรายละเอียดชั้นเมฆด้วย และ สว่างด้วย (ไม่ผ่านการแต่งใดๆ นอกจากย่อ+ลายน้ำ) ถ้าใช้โหมด A สปีดชัตเตอร์ จะไปถึง สองสามวินาทีเลยมั้ง (ถ้าผมจำไม่ผิด) ถ้าใช้โหมด S รูรับแสงจะเปิดสุด จนรายละเอียดที่ก้อนเมฆ ไม่มี ซึ่งรายละเอียดตรงนี้ที่ผมอยากได้ ผมเลยใช้โหมดM ตั้งสปีดที่ 1/50 และ f ที่ 11 เพื่อเก็บรายละเอียดก้อนเมฆ อย่างที่บอก โหมด M ผมจะใช้ก็ต่อเมื่อ ทั้ง S และ Aตอบโจทย์ภาพที่ผมอยากได้ไม่ได้ เพราะในบางสถานการณ์ สเกลบอก โอเวอร์/อันเดอร์ มันไม่สำคัญเท่ากับภาพที่เราจะสื่อครับ ปล. ผมมือใหม่ครับ พึ่งจับ DSLR มาแค่เดือนกว่าๆ แก้ไขเมื่อ 25 ก.ค. 54 18:35:03 จากคุณ : ไก่แก้ว สาริกา เขียนเมื่อ : 25 ก.ค. 54 18:34:33

ความคิดเห็นที่ 5 ที่จริงโหมด A ,S แทนโหมด M ก็ได้นะ แต่จะถนัดรึเปล่า โหมด A ถ้าอยากได้ speed shutter ก็ปรับ Iso โหมด S ถ้าอยากได้ รู้รับแสง  ก็ปรับ Iso ถนัดแบบไหนก็ใช้แบบนั้น ผมใช้โหมด A,S และ Auto ISO แบบว่า ให้กล้องคิด ยกเว้นต้องกำหนด f , speed shutter จากคุณ : dji_2000 เขียนเมื่อ : 25 ก.ค. 54 19:12:06

ความคิดเห็นที่ 6 โหมด M สำหรับผม ส่วนใหญ่ใช้กับเวลาที่ถ่าย งานพิธีที่ต้องการแสงคงที่เท่ากันทุกภาพ อย่างเช่น ถ่ายรูปญาติๆตรงซุ้มดอกไม้ในงานแต่ง ซึ่งโหมด M จะทำให้แสงคงที่ ไม่ใช่ บางรูปสว่าง บางรูปมืด จากคุณ : Hong_G เขียนเมื่อ : 25 ก.ค. 54 19:14:34

ความคิดเห็นที่ 7 คห 6 ทุกตำแหน่งของห้องพิธีแสงเท่ากันหรือครับ กล้องก็กล้องเดียวกันไม่ว่าจะใช้โหมดไหน ผลลัทธ์เหมือนกัน จากคุณ : dji_2000 เขียนเมื่อ : 25 ก.ค. 54 19:23:04

ความคิดเห็นที่ 8 เราคิดว่า หาก กล้องไม่มี mode M นี่จะลำบากมาก ตอนถ่ายภาพกลางคืนอ่ะ แต่ปกติเราจะถ่าย 5-6 shot ก่อนนะ กว่าจะปรับค่า ต่างๆ ลงตัว แบบว่า ถ่ายไปแล้วก็ กดดู ทีละใบ เสร็จแล้วปรับค่าแก้...แล้วถ่ายใหม่ ทำวนไปเรื่อยๆ จนกว่าจะได้แบบที่ต้องการน่ะ  ปอลิง : นอกจาก f-stop และ shutter speed แล้วยังมี   เลือก iso , mode วัดแสง  และ wb ด้วยนิ   เราว่า mode M ในการถ่ายภาพกลางคืนนี่ คล้ายๆ เป็นการสอบ final เลยนะ คือ ทดสอบความเข้าใจทั้งหมด ไม่ใช่ทดสอบความรู้....  แต่ก็สนุกและมันส์มาก ฮับ จากคุณ : Advil เขียนเมื่อ : 25 ก.ค. 54 19:35:43

ความคิดเห็นที่ 9 ปัจจัยหลักในการถ่ายภาพ มี 3 ปัจจัย ISO, speed และ aperature โหมด Auto กล้องคุม 3 โหมด A หรือ S .. กล้องคุม 1 เราคุม 2 โหมด M เราคุมหมด จากคุณ : แมวเหมียวพุงป่อง เขียนเมื่อ : 25 ก.ค. 54 20:26:20

ความคิดเห็นที่ 10 Manual mode จากคุณ : Advil เขียนเมื่อ : 25 ก.ค. 54 20:28:18

ความคิดเห็นที่ 11 S A กล้องคิดให้ M   ลิงหลังกล้องคิดเอง จากคุณ : พายหอม&พีมะ เขียนเมื่อ : 25 ก.ค. 54 20:53:42

ความคิดเห็นที่ 12 ขอบคุณทุกคำตอบมากครับ แต่ก็ยังสงสัยเรื่องนึง สมมุติว่าผมใช้โหมด A ถ่าย แล้วสปีดชัตเตอร์มันไม่ได้อย่างที่ต้องการ ผมก็ปรับเพิ่มลดการชดเชยแสง ค่าสปีดก็จะเปลี่ยน อย่างนี้มันก็จะคล้ายกับการใช้โหมด M แบบกลายๆ ใช่ไหมครับ คือ สงสัยว่าการใช้โหมด M กับการทำแบบนี้มันคล้ายกันหรือเปล่า หรือว่าผมเข้าใจการชดเชยแสงผิดไป ขอบคุณมากๆครับ จากคุณ : kanompung01 เขียนเมื่อ : 25 ก.ค. 54 21:41:50

ความคิดเห็นที่ 13 สำหรับผม M มันคือ A+S ครับ เพียงแต่มันจะยากกว่าหน่อยตรงที่เราต้องมาปรับค่าเองทั้งหมดกล้องไม่คำนวนให้ แต่ผมว่าถ้าใช้ไปสักพักก็จะจับทางได้ครับว่าสภาพแสงแบบไหนควรปรับตั้งค่ายังไง ^^ จากคุณ : b_@ll เขียนเมื่อ : 25 ก.ค. 54 21:56:23

ความคิดเห็นที่ 14 การใช้งานโหมด M มันมีหลากหลายมากนะครับ อย่างแรก ก็เวลาใช้แฟลชในภาวะแสงที่ฉากหน้า (ตัวแบบ) กับฉากหลัง (วิว)แตกต่างกันมาก ลักษณะที่ว่า ฉากหลังพอดี ฉากหน้าดำปิ๊ด หรือ ฉากหน้าพอดี ฉากหลังขาวจั๊ว ถ้าแบบนี้ผมใช้โหมด M ระบบวัดแสงเฉพาะจุด วัดแสงที่ฉากหลังให้พอดีโดยสปีดไม่เกิน 250 (แฟลชผมทำได้แค่นั้นแหล่ะ) ถ้าเกิน ก็หรี่รูรับแสงเอาจนกว่าจะพอดี ส่วนฉากหน้า ผมก็กดปุ่มวัดแสงแฟลช (รูป * ของแคนอน) ปรับโฟกัส จัดองค์ประกอบ แล้วลั่นชัตเตอร์ ภาพที่ได้ หน้าหลังสว่างพอดี อีกกรณีหนึ่งก็สถานที่ ที่มีความคงที่ของแสงสว่าง เช่นในห้องที่แสงไฟสว่างเท่ากันทุกจุด ผมวัดแสงพอดีทีเดียวแล้วปรับโฟกัส กับจัดองค์ประกอบเท่านั้นเอง อย่างมากก็เพิ่มลดนิดหน่อยกรณีคนหรือเสื้อผ้าสีมันโดดขาว หรือ ดำมากเกิน แล้ว A ทำไม่ได้เหรอทำได้ครับ แต่บางที่สีเสื้อผ้า สีอุปกรณ์ตกแต่งห้องมันหลอกกล้องได้ครับ มันมีอีกมากมายสำหรับการใช้งานโหมด M จากคุณ : ตาบอดสี เขียนเมื่อ : 25 ก.ค. 54 23:13:04

ความคิดเห็นที่ 15 เมื่อก่อนถ่ายรูปใหม่ๆใช้โหมด TV เพื่อป้องกันภาพเบลอจากสปีดช้าแล้วเปลี่ยนมาเป็น M  ซักพักใช้แต่ AV ตอนนี้...ผมใช้เก่งทุกโหมดแล้วแม้แต่ P ปรับชดเชยแสง + - เป็น..แล้วทุกๆโหมดก็จะเหมือนๆกันเองครับ แต่จะสะดวกสบายต่างกันไปแล้วแต่กรณีครับ แก้ไขเมื่อ 25 ก.ค. 54 23:22:51 จากคุณ : Salt Cat เขียนเมื่อ : 25 ก.ค. 54 23:21:13

ความคิดเห็นที่ 16 ผมคิดว่า ถ้าถ่ายเป็น วัดแสงคล่อง เข้าใจการทำงานของแต่ละโหมดแล้วเนี่ย ไม่ว่าใช้โหมดไหนก็เหมือนกันนะครับ อยู่ที่ว่าคนใช้จะถนัดโหมดไหนมากกว่า ส่วนตัวผมยังเชื่อว่า คนที่ใช้งานกล้องได้คล่อง ถ่ายรูปได้เก่งแล้ว จะรู้ว่าทำยังไงถึงจะควบคุมรูรับแสงในโหมด S ได้ ทำยังไงจะควบคุมชัตเตอร์สปีดในโหมด A ได้ครับ จากคุณ : ปั๊ปโปะจัง เขียนเมื่อ : 25 ก.ค. 54 23:56:09

ความคิดเห็นที่ 17 ความคิดเห็นที่ 7   ลองไปถ่ายรูปหน้าซุ้มครับ แล้วจะรู้ว่าต้อง M นึกสภาพนะ ภาพแรกแขกใส่ชุดดำ ยืนเรียง  ภาพ2 แขกใส่ชุดขาวยืนเรียง ถ้าไม่ M คุณต้องวัดแสง ชดเชยแสงตลอด  ถ้าใช้ M วัดแสงได้รอบเดียวก็ยิงยาวแล้วครับ ... จากคุณ : battler2009 เขียนเมื่อ : 26 ก.ค. 54 00:25:53

ความคิดเห็นที่ 18 ก่อนอื่นต้องพยายามตัดประเด็นที่ว่าต้องใช้โหมด M เท่านั้นจึงจะดูเป็นมือโปร เพราะมือโปรจริงๆควรจะใช้ได้ทุกโหมดแล้วแต่สถานการณ์และความชอบ ถ้าสถานการณ์ที่ต้องการถ่ายเร็วๆ มัวมาตั้ง M ปรับนู้นปรับนี่ไม่ทันยิง แล้วไม่ได้โอกาสถ่ายภาพแบบนั้นจากโปรจะกลายเป็นฟายไปในพริบตาครับ จากคุณ : ที่จุดหมาย ยังมีสายรุ้ง เขียนเมื่อ : 26 ก.ค. 54 00:26:57

ความคิดเห็นที่ 19 ตามท่านข้างบนเลย จากคุณ : ไก่แก้ว สาริกา เขียนเมื่อ : 26 ก.ค. 54 00:40:51

ความคิดเห็นที่ 20 ตอบพี่ dji_2000 ครับ  สถานการณ์ที่ผมว่า ตามที่คุณ battler2009 (ใน คห.17) บอกเลยครับ   แรกๆใช้ A แล้วผลที่ออกมาคือ แต่ละภาพวัดแสงไม่เท่ากันเลย ภาพที่ดี บางภาพก็มืดไป-สว่างไป  ผมเลยแก้ไขด้วยการใช้โหมด  M ครับ ลองกดถ่ายซักภาพนึง ตั้ง F กับ สปีดชัตเตอร์ ให้คงที่ไปเลย ทีนี้ถ่ายอย่างเดียวเลยครับ ได้ภาพที่แสงอยู่ในระดับใกล้เคียงกันกว่าเดิมมาก เวลาอัดออกมาดู จะสบายตากว่าครับ จากคุณ : Hong_G เขียนเมื่อ : 26 ก.ค. 54 01:11:29

ความคิดเห็นที่ 21 ขอบคุณน้า battler2009 , Hong_G   ระหว่างทางผมกลับบ้านผมก็พยายามคิดมีกรณีไหนบ้าง  คิดได้แต่ว่าการถ่าย ซ้ำๆ ในเวลาที่แสงไม่เปลี่ยน โหมด M ดีกว่า โหมด อื่น ต้องล็อคค่าแสงทุก shot เร่งๆก็ลืมบ้างอะไรบ้างไม่เหมาะ อีกอย่างหนึ่ง วัตถุเคลื่อนที่ ต้องวัดแสงโดยการเทียบ โดยค่าแสงไม่ต่างกันมาก เช่น พลุ ถ่ายมวย บาส และอื่นๆ ใช้ โหมด M ครับ ประเด็น ตัวแบบใส่เสื้อสีต่างกัน ทำให้ค่าวัดแกว่ง อันนี้ลึกซึงมาก พอเข้าใจ ขอบคุณมากครับ แก้ไขเมื่อ 26 ก.ค. 54 08:06:25 จากคุณ : dji_2000 เขียนเมื่อ : 26 ก.ค. 54 08:02:46

ความคิดเห็นที่ 22 ขอบคุณมากๆครับ คราวนี้เข้าใจแจ่มแจ้งและครับ และส่วนผมก็คงใช้โหมด A และ S สำหรับถ่ายทั่วๆไปต่อไป ส่วนจะเลือกใช้โหมด M ต่อเมื่อ ต้องการ Fix รูรับแสงและสปีด เพื่อควบคุมการรับแสงให้คงที่ในการถ่ายที่สภาพแวดล้อมเปลี่ยนไป คือ สมัยก่อนสงสัยน่ะครับว่าพอผมใช้โหมด M โดยการปรับให้ค่าเท่ากับ A กับ S ที่ถ่ายก่อนหน้า มันก็ได้ภาพที่เหมือนกัน แล้วมันจะมีประโยชน์อะไร คราวนี้เข้าใจและครับ เดี๋ยวจะลองเอาไปประยุกต์ใช้ดูครับ จริงๆผมถ่ายรูปมานานตั้งแต่ใช้กล้องฟิมล์ที่เป็นกล้องปํญญาอ่อน เรื่อยมา ส่วนใหญ่ก็ถ่ายแค่ให้ได้รูปน่ะครับ แต่ปัจจุบัน พอมีกำลังทรัพย์พอที่จะซื้อ DSLR มาใช้ ก็เลยเกิดความสงสัยครับ ขอบคุณมากๆครับ จากคุณ : kanompung01 เขียนเมื่อ : 26 ก.ค. 54 13:19:07

ความคิดเห็นที่ 23 เข้ามารับความรู้ครับ...ผมก็พึ่งมี DSLR ตัวแรกเหมือนกัน แรก ๆ ก็หมวด M เลย ไม่รู้วัดแสงกันยังไง และสปีดก็ปรับมั่ว ๆ ไป ผลออกมาขาวมังมืดมัง ระยะหลังเลยมาใช้หมวด A, S ตลอดเลย... เพราะยังไม่เข้าใจการวัดแสงและการตั้งค่าสปีดครับ... จากคุณ : peter pen เขียนเมื่อ : 26 ก.ค. 54 18:20:12