ความคิดเห็นที่ 1 ภาคเสริม 1: โลกผกผันของดิจิตัล กับอนาล็อก *ส่วนภาคเสริมนี่ไม่ได้มีสาระในการใช้งานจริงอะไรมากนัก เป็นสาระน่าสนุกสำหรับ technical geek มากกว่า นักถ่ายภาพทั่วไปสามารถข้ามส่วนนี้ไปได้เลย* ในระบบฟิล์มนั้นเรารู้กันอยู่แล้วว่าเป็นระบบอนาล็อก ส่วนกล้องดิจิตัลนั้นทำงานในระบบดิจิตัล แต่เรื่องน่าแปลกคือ ในการทำงานจริงๆ นั้น ฟิล์มทำงานแบบดิจิตัล แต่เซ็นเซอร์ดิจิตัล ดั้นทำงานแบบอนาล็อกซะงั้น โมเลกุลของ Silver Halide ในผลึกตัวรับแสงของฟิล์มนั้น เมื่อถูกแสง จะเปลี่ยนสภาพ และถ้าไม่ถูกแสงจะคงสภาพเดิม ซึ่งสามารถถอดความได้ว่าเป็นรหัสเปิดปิด 0 และ 1 มันคือการทำงานเหมือนดิจิตัล 100% เลย แต่ว่าปริมาณอันมากมายของโมเลกุลเกลือซิลเวอร์ในฟิล์ม ที่สามารถพูดโดยรวมได้ว่ามีปริมาณเป็นอนันต์ ทำให้การไล่ระดับการเปลี่ยนแปลงของแสงเป็นอนันต์ ก็คือเป็นอนาล็อกในทางปฏิบัติ ส่วนการทำงานของตัวรับแสงในเซ็นเซอร์ดิจิตัล จะทำงานโดยการนับปริมาณอิเลคตรอนที่เกิดขึ้นในแต่ละเซลไซต์ ซึ่งเป็นการทำงานไม่แบ่งขั้น เป็นการทำงานแบบอนาล็อกแท้ๆ แล้วจึงเอาไปผ่านขั้นตอนการแปลงเป็นขั้นๆ ให้เป็นค่าแบบดิจิตัลอีกทีหนึ่ง ด้วย Analog to Digital Converter สมมุติเช่นถ้ามีอิเลคตรอน 1-100 ตัวให้นับเป็น 0 ถ้า 100-1000 ให้นับเป็น 1 เป็นต้น แก้ไขเมื่อ 04 ส.ค. 54 18:01:07 จากคุณ : อะธีลาส เขียนเมื่อ : 4 ส.ค. 54 11:31:36

ความคิดเห็นที่ 2 ในหลักการแล้วการชดเชยแสงยังคงเหมือนเดิม คือเมื่อเราถ่ายภาพที่มีสีอ่อน ซึ่งจะวัดแสงได้มากกว่าค่าแสงของเทากลาง เครื่องวัดแสงในกล้องจะถูกหลอกให้เข้าใจว่า วัตถุนั้นได้รับแสงมาก กล้องจะปรับลดการเปิดรับแสงลงมากกว่าที่ควรจะเป็น ผลที่ได้คือภาพที่จะมืดกว่าปกติ เราจึงแก้ไขโดยการเปิดรับแสงให้มากกว่าค่าที่เครื่องวัดแสงในกล้องเลือกให้ เรียกว่าการชดเชยแสงทางบวก เพื่อให้ได้ค่าเปิดรับแสงที่ถูกต้อง และในทางตรงกันข้าม หากถ่ายวัตถุสีดำ กล้องก็จะเปิดรับแสงมากกว่าความเป็นจริง เราจึงต้องแก้ไขโดยการลดค่าการเปิดรับแสงลงเพื่อให้ได้ค่าการเปิดรับแสงที่ถูกต้อง หลักการนี้ไม่เคยเปลี่ยน ไม่ว่าในยุคฟิล์ม หรือในยุคดิจิตัล จากคุณ : อะธีลาส เขียนเมื่อ : 4 ส.ค. 54 11:32:12

ความคิดเห็นที่ 3 ภาคเสริม 2: ค่าเทากลางคือเท่าไหร่ คำถามที่คน 99% ตอบผิด นี่เป็นอีกเรื่องนึงในหลายเรื่อง ที่เราถูกสอนต่อๆ กันมาแบบไม่เคยมีการตรวจสอบ ก็คือสีเทากลางในการวัดแสงนั้นคือ Gray 12% ไม่เคยมีการใช้ Gray 18% ในการวัดแสง ค่าสีเทากลางในการวัดแสงในกล้องดิจิตัลนั้นจะใช้ค่า 12% เป็นค่าเทากลางตามมาตรฐาน ANSI PH3.49-1971 เสมอ mid gray 18%จะถูกใช้อ้างอิงในขั้นตอนการพิมพ์หรืออัดภาพลงกระดาษเท่านั้น ไม่เกี่ยวกับการถ่ายภาพ ที่มาของตัวเลข 18% นี้คือ Ansel Adams ที่เป็นปรมาจารย์ทางโซนซิสเต็มเป็นผู้ผลักดัน gray 18% และถูกตอบรับโดยโกดัก ผู้ผลิต Gray Card ทำให้มีการอ้างอิงไว้ในตำราวัดแสง ถ่ายรูป และการพิมพ์ของแอนเซล อดัมส์ และเมื่อมีการสอนวัดแสงในยุคหลัง จะอ้างอิงจากตำรานี้มา เพราะเป็นตำราแรก และตำราที่ได้รับความเชื่อถือที่สุดเกี่ยวกับการเปิดรับแสง และถ้าดูในระบบ Zone System ก็จะเข้าใจที่มา เนื่องจากระบบนี้ไม่ได้เป็นเฉพาะการเปิดรับแสงในการถ่ายภาพอย่างเดียว แต่เป็นระบบเปิดรับแสงที่ครอบคลุมตั้งแต่การถ่ายรูปมาจนถึงการพิมพ์อย่างแนบแน่น  การใช้ 18% จึงสมเหตุสมผล แต่ในเฉพาะการเปิดรับแสงของการถ่ายภาพ โดยเฉพาะระบบดิจิตัล หากเราตัดข้อความ 18% ในตำรานี้ออกไป หรือเปลี่ยนเป็น 12% ก็จะไม่ได้ทำให้มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปเลย เพราะหลักการ และการปฏิบัติก็ยังคงเดิม ส่วนทางโกดัก การผลิต gray card 18% สำหรับโกดัก ก็เป็นเรื่องง่ายกว่าการทำ 12% เพราะเป็นค่ามาตรฐานในทางการพิมพ์อยู่แล้ว ด้วยเหตุผลทั้งหลาย ทำให้ gray 18% ยังคงอยู่ในการเรียนการสอนถ่ายภาพมาจนวันนี้ ทั้งที่ไม่ได้มีการใช้งานในทางปฏิบัติแต่อย่างใด ป.ล. ผมพิมพ์ตัวเลขผิดจาก 18 เป็น 14 ขอแก้ไขใหม่ตามที่ทักท้วงมาครับ แก้ไขเมื่อ 04 ส.ค. 54 20:06:17 แก้ไขเมื่อ 04 ส.ค. 54 16:12:31 จากคุณ : อะธีลาส เขียนเมื่อ : 4 ส.ค. 54 11:33:11

ความคิดเห็นที่ 4 ในเมื่อหลักการพื้นฐานยังคงเดิม แต่ในยุคดิจิตัลก็มีบางอย่างที่เปลี่ยนไป นั่นคือการทำงานของดิจิตัลเซ็นเซอร์ กับการทำงานของฟิล์มไม่เหมือนกัน การทำงานของดิจิตัลจะเป็นระบบทวีคูณ เพื่อเข้าใจง่ายผมจะลองสมมุติตัวเลขที่ไม่ใช่ความเป็นจริง แต่เพื่อให้เข้าใจได้ง่ายแบบนี้ครับ ถ้านับอิเลคตรอนได้ 0-10 จะตีความว่าเป็นค่า 0 หรือส่วนดำไม่มีรายละเอียด ถ้านับอิเลคตรอนได้ 10-100 จะตีความว่าเป็นค่า 1 หรือส่วนสีดำมีรายละเอียด ถ้านับอิเลคตรอนได้ 100-1000 จะตีความว่าเป็นค่า 2 หรือส่วนเทากลางมีรายละเอียด ถ้านับอิเลคตรอนได้ 1000-10000 จะตีความว่าเป็นค่า 3 หรือส่วนขาวมีรายละเอียด ถ้านับอิเลคตรอนได้ 10000-100000 จะตีความว่าเป็นค่า 4 หรือส่วนขาวสว่างไม่มีรายละเอียด ----------------------------------------- ปัญหาแรกอยู่ตรงที่ว่า ในตัวรับภาพ มันจะมีค่า Noise ไม่ว่าจะอย่างไรมันจะมีสัญญาณรบกวนเป็นขยะอิเลคตรอนอยู่ค่าหนึ่งเสมอ สมมุติ 1 ตัว ดูจากตัวอย่าง จะเห็นได้ว่าในส่วนมืด 0 จะมีขยะอยู่ 1 จากสิบ แต่ในส่วนสว่าง 3 จะมีแค่ 1 ในหมื่น เวลาดูภาพ ปริมาณขยะ 1 ในสิบ ย่อมจะเห็นได้ชัดกว่า 1 ในหมื่น ในทางปฏิบัติจะเห็นได้ว่าน้อยส์ของภาพ จะเห็นได้ชัดเจนในส่วนเงา มากกว่าในส่วนสว่าง หรือน้อยส์ที่เพิ่มขึ้นเวลาเราเพิ่ม ISO เนื่องจากการเพิ่มความไวแสง เป็นเทคนิคทางคอมพิวเตอร์ที่จับเอาค่าต่ำๆ มาขยายให้เป็นค่าสูง เช่นจับเอาค่า 1 มาเร่งสัญญาณให้เป็นค่า 3 ซึ่งในการเร่งนี้ มันจะเร่งพร้อมๆ กันทั้งอิเลคตรอนจริง และอิเลคตรอนขยะ จาก ISO ต่ำๆ ที่มีขยะ 1 ในหมื่น ในส่วนขาว (หรือส่วนของค่า 3 ปกติ) หากเอาค่า 1 มาเร่งให้เป็น 3 จะกลายเป็นขยะ 1 ในร้อย ที่ความไวแสงสูงๆ ขึ้นมาแทน นั่นแหละคือน้อยส์ที่เราเห็นเวลาเร่ง ISO แก้ไขเมื่อ 04 ส.ค. 54 18:48:26 จากคุณ : อะธีลาส เขียนเมื่อ : 4 ส.ค. 54 11:33:52

ความคิดเห็นที่ 5 ภาคเสริม 3: ISO ย่อมาจากอะไร? คำถามที่คน 90% ตอบผิด เพราะมันไม่ได้ย่อมาจาก International Standard Organization อย่างที่คนส่วนใหญ่เข้าใจ หรือ International Organization for Standardization อย่างที่คนส่วนใหญ่ของส่วนน้อยเข้าใจ (งงมั้ย) ที่จริงแล้ว ISO ไม่ใช่คำย่อเลยด้วยซ้ำ เนื่องจากชื่อย่อของ "องค์กรระหว่างประเทศเพื่อการกำหนดมาตรฐาน" หรือในภาษาอังกฤษว่า International Organization for Standardization สามารถมีได้หลากหลาย ตามแต่ละภาษา เช่นในภาษาฝรั่งเศสว่า Organisation Internationale de Normalisation   แค่สองประเทศตัวตั้งตัวตีในการจัดตั้งองค์กรก็ย่อต่างกันแล้ว คือ IOS ในภาษาอังกฤษ และ OIN ในภาษาฝรั่งเศส แต่เพราะผู้ร่วมก่อตั้งไม่ยอมกัน ว่าจะย่อชื่อองค์กรว่าอย่างไรดีในภาษาใดดี ดังนั้นผู้ร่วมก่อตั้งจึงตัดสินใจใช้ชื่อแบบสั้น แทนการย่อตัวอักษรจากชื่อเต็มขององค์กร เหมือนองค์กรอื่นที่นิยมทำกัน   โดยเลือกใช้คำว่า ISO ที่มาจากภาษากรีก isos ที่แปลว่า เท่ากัน มาใช้เป็นชื่อแบบสั้น แทนการใช้ชื่อย่อ นอกจากแปลว่า 'เท่ากัน' แล้วยังสื่อความหมายของ 'เสมอภาค', 'เท่าเทียม', 'เป็นมาตรฐาน' อีกด้วย ดังนั้นองค์กรนี้ จึงไม่มีการใช้ชื่อย่อองค์กร ไม่ว่าในภาษาใด หากไม่ใช้ชื่อเต็ม ก็จะใช้ชื่อแบบสั้น หรือชื่อเล่น ที่เป็นภาษากรีกเขียนด้วยอักษรโรมันตัวพิมพ์ใหญ่แทนเสมอ  แม้แต่การเขียนถึงชื่อองค์กรนี้ในบทความภาษาไทย ถ้าไม่ใช้ชื่อเต็มภาษาไทยว่า องค์กรระหว่างประเทศเพื่อการกำหนดมาตรฐาน ก็จะต้องเขียนว่า ISO นะครับ จะไม่เขียนว่า ไอเอสโอ หรือไอโซ่เด็ดขาด http://www.iso.org/iso/about/discover-iso_isos-name.htm และเพื่อแก้ความเข้าใจผิด โลกนี้ไม่มีองค์กรที่ชื่อว่า International Standards Organization ครับผม ส่วนการอ่านออกเสียง ในเว็บของ ISO ระบุให้อ่านคำนี้ว่า ไอ-โซ่ ครับ ผมขอเพิ่มเติมแหล่งอ้างอิงเพื่อความชัดเจน “..ISO: International Organization for Standardization [Greek isos  equal; often wrongly thought to be an abbreviation for International Standards Organization]..” Collins English Dictionary - Complete & Unabridged 10th Edition 2009 © William Collins Sons & Co. Ltd. 1979, 1986 © HarperCollins Publishers 1998, 2000, 2003, 2005, 2006, 2007, 2009 “..ISO: An organization, the International Organization for Standardization, that sets standards in many businesses and technologies, including computing and communications. The term ISO is not an abbreviation, but instead derives from the Greek word īsos,  meaning equal..” The American Heritage® Science Dictionary Copyright © 2002. Published by Houghton Mifflin. ในหน้า Wikipedia ก็ระบุไว้ครับ ว่าไม่ใช่ชื่อย่อ http://en.wikipedia.org/wiki/InternationalOrganizationfor_Standardization แก้ไขเมื่อ 04 ส.ค. 54 20:15:30 จากคุณ : อะธีลาส เขียนเมื่อ : 4 ส.ค. 54 11:35:56

ความคิดเห็นที่ 6 แปะให้ ไม่ต้องตามไปก็ได้ จากคุณ : อะธีลาส เขียนเมื่อ : 4 ส.ค. 54 11:36:54

ความคิดเห็นที่ 7 ปัญหาที่ 2 เวลาเราเอาภาพไปปรับแต่งการไล่รายละเอียด ไล่โทนแสงสี การไล่โทน 10 ระดับในส่วน 0 ก็ย่อมจะไล่ได้ไม่ละเอียด และเป็นขั้นๆ กว่าการไล่โทน หมื่นระดับในโซน 3 ซึ่งในทางปฏิบัติจริงๆ เราจะเห็นได้ชัดเรื่องการไล่โทนในส่วนเงาของภาพ ซึ่งจะหยาบเป็นขั้น ไม่เนียนละเอียดเหมือนการไล่โทนในส่วนสว่าง ----------------------------------------- ปัญหาทั้งสองข้อนี้ ถ้าจะให้เข้าใจอย่างแจ่มแจ้งผมขอแนะนำให้ดูวิดีโอของพี่หาว 2 ตอนนี้ครับ เพราะผมไม่สามารถอธิบายได้ดีเท่าพี่หาว มีทั้งภาคทฤษฎี และปฏิบัติอย่างชัดเจน จากคุณ : อะธีลาส เขียนเมื่อ : 4 ส.ค. 54 11:37:29

ความคิดเห็นที่ 8 พี่หาวบอกอย่างชัดเจน ว่าไม่ควรเปิดรับแสงโดยการถ่ายอันเดอร์ เพื่อหวังว่าจะได้สีและโทนดีกว่า ควรถ่ายให้พอดี หรือโอเวอร์นิดหน่อย ซึ่งจะมีประโยชน์สองอย่างคือ จำนวนข้อมูลของแต่ละพิกเซลในไฟล์ภาพจะเยอะกว่า และจำนวนน้อยส์จะต่ำกว่าการถ่ายพอดี หรือติดอันเดอร์ จากคุณ : อะธีลาส เขียนเมื่อ : 4 ส.ค. 54 11:38:28

ความคิดเห็นที่ 9 แต่ผมจะขอเพิ่มจากพี่หาวนิดนึงตรงนี้ครับ คือ ..แม้แต่เวลาถ่ายภาพวัตถุสีเข้ม การชดเชยแสงในกล้อง ให้อันเดอร์ลง ก็ไม่ควรทำ เวลาถ่ายภาพ หากต้องการให้ได้คุณภาพไฟล์สูงสุด ควรให้จำนวนพิกเซลสว่าง มีจำนวนมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ หรือถ้าดูในฮิสโตแกรม ก็คือ พยายามให้ฮิสโตแกรมชิดขวาให้มากที่สุด แค่พอให้ไม่ตกขอบขวาก็พอ หากเราถ่ายวัตถุสีเข้ม เราควรจะใช้วิธีแก้ค่าแสงโดยการไปปรับลดค่าแสงในซอฟท์แวร์จัดการภาพแทนการปรับลดจากกล้อง เนื่องจากหากถ่ายมาโดยส่วนสว่างเยอะกว่าปกติ แปลว่าเรามีข้อมูลเยอะกว่า สามารถจับมาบีบให้เล็กลงโดยรักษาคุณภาพได้สูง มีข้อมูลที่จะกดให้ต่ำลง ให้ตัดทิ้งได้เยอะกว่าปกติ และเรามีอัตราส่วนปริมาณขยะ(น้อยส์) ต่อปริมาณข้อมูลจริงต่ำกว่าปกติ  ทำให้เวลาปรับให้มืดลง ขยะมันจะถูกกำจัดให้หมดได้มาก จะได้ภาพที่ Clean กว่า การไล่โทนดีกว่า เทคนิคการชดเชยแสงจากกล้อง จากคุณ : อะธีลาส เขียนเมื่อ : 4 ส.ค. 54 11:39:15

ความคิดเห็นที่ 10 โลกเปลีี่ยนไป หลักการไม่เปลี่ยน แต่ในทางปฎิบัติมันเปลี่ยนไปแล้วครับ หากไม่สนใจคุณภาพไฟล์ จะใช้เทคนิคโบราณชดเชยแสงให้อันเดอร์จากกล้อง ตามที่บรรพบุรุษทำมาร้อยกว่าปี   ก็ตามใจท่านเถิด หากยอมรับได้ว่าคุณภาพไฟล์จากกล้องมืออาชีพ จะลดเหลือแค่กล้องมือสมัครเล่นที่ชดเชยแสงจากซอฟท์แวร์ แต่สำหรับผู้ที่อยากได้คุณภาพสูงสุด เท่าที่อุปกรณ์และเทคโนโลยีจะทำได้ "เลิกชดเชยแสงทางลบจากกล้องได้แล้วครับ" แก้ไขเมื่อ 04 ส.ค. 54 11:51:26 จากคุณ : อะธีลาส เขียนเมื่อ : 4 ส.ค. 54 11:40:20

ความคิดเห็นที่ 11 เข้ามาลงชื่อรับความรู้ครับน้านิค จากคุณ : far away from the north pole เขียนเมื่อ : 4 ส.ค. 54 11:48:41

ความคิดเห็นที่ 12 จดๆๆๆๆๆๆ ความรู้ทั้งน้านนนนน^^ ขอบคุณน้าอะธีลาสสำหรับความรู้ที่นำมาให้ครับ จากคุณ : NuuKewz เขียนเมื่อ : 4 ส.ค. 54 11:51:15

ความคิดเห็นที่ 13 มันลึกซึ้งมากสำหรับมือใหม่อย่างผม ขอบคุณครับ จากคุณ : 701ls เขียนเมื่อ : 4 ส.ค. 54 11:54:29

ความคิดเห็นที่ 14 จากคุณ : taxi-zero เขียนเมื่อ : 4 ส.ค. 54 11:57:36

ความคิดเห็นที่ 15 อืม ต้องลองดูครับ ขอบคุณสำหรับกระทู้ดีๆ จากคุณ : meisboo เขียนเมื่อ : 4 ส.ค. 54 11:57:52

ความคิดเห็นที่ 16 ขอบคุณครับน้านิค ได้ความรู้ใหม่ ๆเยอะเลย ผมก็ติดการชดเชยแสงมาตั้งแต่ใช้กล้องฟิล์มเหมือนกัน จากคุณ : raksapondet เขียนเมื่อ : 4 ส.ค. 54 12:01:46

ความคิดเห็นที่ 17 ขอบคุณมากครับ จากคุณ : doklumjiak (leeney) เขียนเมื่อ : 4 ส.ค. 54 12:02:59

ความคิดเห็นที่ 18 ขอบคุณครับน้า .... ช่วยกันเก็บความรู้ด้วยครับ จากคุณ : ไก่แก้ว สาริกา เขียนเมื่อ : 4 ส.ค. 54 12:04:14

ความคิดเห็นที่ 19 สุดยอดครับ เรื่อง gray 12% ผมก็พึ่งรู้วันนี้แหละ ก็ตำราทุกเล่มมันเขียน 14% หมด จากคุณ : chongkho เขียนเมื่อ : 4 ส.ค. 54 12:07:36

ความคิดเห็นที่ 20 ขอบคุณครับ แต่เดี๋ยวขออ่านทวนอีกซักสองสามรอบก่อนนะครับ จากคุณ : เด็กน้อยด้อยปัญญา เขียนเมื่อ : 4 ส.ค. 54 12:09:06

ความคิดเห็นที่ 21 ...ขอบคุณน้านิค มากเลย ตั้งแต่ ให้ผมกลับไปอ่านทบทวนเรื่อง CoC ล่ะ มีเวลา เลยไปอ่านเพิ่มเติม อีกเยอะ เลย อ่านกระทู้นี้ เสร็จ ไปศึกษา เพิ่มเติมอีก แจ่มเลย ผมเป็นคนหนึ่งที่เวลาถ่ายรูปชดเชยให้โอเวอร์นิด แต่ถ้าวัตถุสีเข้ม ๆ ผมปล่อยเลยไม่ชดเชย เอาไปปรับใน LR แทน กระทู้นี้ จุดประกายมากเลยครับ ถึงอ่าน งง สักนิด แต่ไปหาศึกษา เพิ่ม รับรอง เข้าใจถ่องแท้เลย จากคุณ : แสบสันต์ หมายเลข 8 เขียนเมื่อ : 4 ส.ค. 54 12:22:46

ความคิดเห็นที่ 22 ชื่อนี้ไม่เคยทำให้ผิดหวังจริงๆครับ ขอบคุณ น้าอะธีลาส  สำหรับบทความดีๆครับ จากคุณ : b_@ll เขียนเมื่อ : 4 ส.ค. 54 12:30:26

ความคิดเห็นที่ 23 ขอบคุณครับบบ ยังไม่มีเวลาทำความเข้าใจ อ่านสรุปวิธีใช้จริงก่อนละกัน   ว่างๆ กลับมาอ่านใหม่ ^^ จากคุณ : bomwoq เขียนเมื่อ : 4 ส.ค. 54 12:32:13

ความคิดเห็นที่ 24 จะค่อยๆอ่าน ขอบคุณ จากคุณ : chaiseed เขียนเมื่อ : 4 ส.ค. 54 12:49:25

ความคิดเห็นที่ 25 ตอนแรกงงๆ นิดหน่อย พอดูวีดีโอพี่หาว แจ่มแจ้งเลยครับ ขอบคุณนะครับ จากคุณ : Dusk&Dawn เขียนเมื่อ : 4 ส.ค. 54 12:55:22

ความคิดเห็นที่ 26 ผมคนนึงล่ะ  ที่ชอบถ่ายชิดขวา  แต่......  กะ Highlight พลาดประจำ ผมเรียนรู้เทคนิคนี้มาจากมือสมัครเล่นคนนึงครับ  เค้าวัดแสงไม่เป็น แต่เวลาผมเอาไฟล์จากเค้ามาทำ โอ๊ะ มันได้ไฟล์สุดท้ายออกาสวยกว่าแฮะ ขอบคุณที่นำคำอธิบายของพี่หาวมาให้รับชมครับ  อธิบายได้ดีมากกกกกก สมกับเป็นระดับครูจริงๆ ที่ไม่เคยต้องไปโจมตีเวปอื่น จากคุณ : แฉลบยอดหญ้า เขียนเมื่อ : 4 ส.ค. 54 12:55:25

ความคิดเห็นที่ 27 มาลงชื่อเข้าชั้นเรียนด้วยคนค่ะ จากคุณ : libra-cat เขียนเมื่อ : 4 ส.ค. 54 12:58:55

ความคิดเห็นที่ 28 มารับความรู้ด้วยคนนะครับ จากคุณ : stupidine เขียนเมื่อ : 4 ส.ค. 54 13:04:01

ความคิดเห็นที่ 29 ดูวีดีโอของพี่หาวในเวป ชื่นชมในการอธิบายข้อมูลจริงๆ กลายเป็นติดตามพี่เขาทาง FB และ G+ ไปซะแล้ว จากคุณ : Mr.pokpak เขียนเมื่อ : 4 ส.ค. 54 13:05:55

ความคิดเห็นที่ 30 ขอบคุณครับ ต้องอ่านทวนอีกหลายรอบเพื่อที่จะได้เข้าใจ มีประโยชน์มากๆครับ จากคุณ : เท้าท่องลม เขียนเมื่อ : 4 ส.ค. 54 13:56:36

ความคิดเห็นที่ 31 ขอบคุณความรู้ดีๆ ครับ เริ่งถ่ายโอเวอร์ดีกว่าอันเดอร์ ผมก็อ่านเจอในหนังสือของ scott kelby เหมือนกัน ปกติก็ฝังใจไปกับการถ่ายมืดดีกว่า แล้วมาดึงเอาในโปรแกรม ตอนนี้เลยต้องลองวิชาใหม่ดูบ้างแล้ว แก้ไขเมื่อ 04 ส.ค. 54 14:09:09 จากคุณ : ผมชื่อจอห์นไม่เคยกลัวใคร เขียนเมื่อ : 4 ส.ค. 54 14:08:44

ความคิดเห็นที่ 32 แจมรูปตัวอย่างที่ถ่ายด้วย expose to the right 1 รูปครับ แหะๆ งัดรูปเมื่อปลายปีที่แล้วมา วัดแสงที่เสื้อทางขวาของรูปครับ + ไปเลย 2 1/3 stop รูปออกมาก็เว่อร์ไปหมด พอดึงลงมา noise ก็หายไปแล้วครับ ปรับแสงให้เข้าที่เข้าทาง  ภาพออกมาจะใสกว่่าภาพที่ under แล้วดึงขึ้นนะครับ ส่วนที่ clip ไป เพราะมันเป็น style ผมครับ ภาพนี้ ISO 800 นะครับ จากคุณ : ชวนมาเป็นพวกเอียงขวา อิอิ (แฉลบยอดหญ้า) เขียนเมื่อ : 4 ส.ค. 54 14:25:12

ความคิดเห็นที่ 33 ผมก็ถ่ายโอเวอร์ 1 stop มาสักพักแล้วครับ ตัดในสิ่งที่ไม่ต้องการออกไป ง่ายกว่าดึงเอาในสิ่งที่ไม่มีออกมา แก้ไขเมื่อ 04 ส.ค. 54 14:43:33 แก้ไขเมื่อ 04 ส.ค. 54 14:42:49 จากคุณ : sk8er60yd เขียนเมื่อ : 4 ส.ค. 54 14:40:55

ความคิดเห็นที่ 34 ขอบคุณสำหรับความรู้ดีดีนะครับ จากคุณ : คนคายาก เขียนเมื่อ : 4 ส.ค. 54 15:06:13

ความคิดเห็นที่ 35 ขอบคุณมากครับ  เหมาะสำหรับ ช่างภาพที่ไม่จบที่กล้องอย่างเดียว เน้นนำไฟล์กลับมาปรับแต่งเพื่อเพิ่มคุณภาพเข้าไปอีกทอดหนึ่ง  เพราะถ้าเป็นแบบบางคนถ่ายๆ เล่นๆ มาแล้วเอาเข้าไปพรินท์อัดที่ร้านเลย หรืออัพโหลดลงเวบเลย  ก็คงต้องถ่ายตามหลักการเดิมๆ   ไม่งั้นก็จะเป็น ถ่ายมา over ได้ จากคุณ : NAF เขียนเมื่อ : 4 ส.ค. 54 15:11:36

ความคิดเห็นที่ 36 ได้เวลาปรับแก้ฐานข้อมูลใหม่ซะแล้วเรา...หลังจากใช้มาสามทศวรรษ. จากคุณ : คลองจั่น ซอย8 เขียนเมื่อ : 4 ส.ค. 54 15:17:14

ความคิดเห็นที่ 37 เข้าใจชัดเจนครับผม ^o^ จากคุณ : ชื่ออะไร เขียนเมื่อ : 4 ส.ค. 54 15:20:06

ความคิดเห็นที่ 38 " ทำไมผมเคยได้ยินแต่ 18% Grey Card อ่ะ.. Zone System เป็นสิ่งที่มีประโยชน์มากเสมอมา และเป็นเหตุผลว่าทำไมภาพหลังกล้องถึงยังไม่ควรดูดีในตอนนั้นเลย " จากคุณ : ตุ๊กตาหมี เขียนเมื่อ : 4 ส.ค. 54 15:34:46

ความคิดเห็นที่ 39 ยอดเยี่ยม เข้ามาอ่านทำความเข้าใจ... จากคุณ : นายอยากหมุน เขียนเมื่อ : 4 ส.ค. 54 15:36:12

ความคิดเห็นที่ 40 เคยได้ยินแต่เทา 18% (ทางด้านการพิมพ์นะครับ) แต่ถ้าถ่ายถาพ 12% แบบน้าอะธีลาสว่าครับ ส่วนเรื่องชดเชยแสง กับการถ่ายภาพ แยกไว้นิดนะครับ ผมเองมักจะถ่าย ให้ภาพโดยรวมส่วนใหญ่ Over ไว้ครับ แต่ไม่ให้ส่วน Hilight มันหลุดนะครับ เพราะถ้าถ่าย under บอกได้เลย ขุดรายละเอียดนี่ noise มาบานแน่ๆ ส่วนถ่ายภาพถ้าในภาพนั้นวัตถุสีเข้ม เป็นจำนวนมาก แล้วมีวัตถุที่สว่างๆ อยู่บ้าง ผมก็ยังเลือกที่จะให้มีชดเชยแสงทางลบครับ แต่ชดเชยที่ผมชดเชย อย่างที่บอกครับ ไม่ใช่ชดเชยเพื่อ Under นะครับ แต่ชดเชยเพื่อไม่ให้ Hilight ของวัตถุสว่างหลุดออกไปครับ หรือบางทีชดเชยเพื่อให้อารมณ์ของภาพมันเป็นไปตามที่เราต้องการมากกว่าครับ แก้ไขเมื่อ 04 ส.ค. 54 16:06:39 จากคุณ : ริมธารา เขียนเมื่อ : 4 ส.ค. 54 16:05:24

ความคิดเห็นที่ 41 สำหรับมือใหม่ อย่างผมอาจจะงง สวนใหญ่จะได้ยินที่ว่า ถ่ายวัตถุสีขาว ชดเชยแสงทางบวก ถ่ายวัตถุสีดำ ชดเชยแสงทางลบ อันนี้จุดประสงค์ เพื่อต้องให้สีตรง แต่ของ คุณ อะธีลาส อธิบายมา คือต้องการ ไฟล์ที่มีคุณภาพดีแล้วนำไปปรับต่อ จากคุณ : Mr.pokpak เขียนเมื่อ : 4 ส.ค. 54 16:13:38

ความคิดเห็นที่ 42 ขออภัย ผมลงตัวเลขผิดเองครับ จาก 18 เป็น 14 ซะงั้น ขอแก้ไขตามที่ทักท้วงมาครับ วันนี้ไปคุยกับเพื่อนมาเรื่องนี้ เพื่อนผมแนะนำแบบนี้ครับ มองหาส่วนที่สว่างที่สุดที่อยากเก็บไว้ แล้ววัดแสงจุดนั้น ชดเชยแสง + 2.0 EV หรือมากน้อยกว่านั้นตามความสามารถของกล้องที่จะเก็บรายละเอียดส่วนสว่างไว้ได้ ถ้าไม่แน่ใจลองเปิดดูเทสในเว็บเอา หรือให้ดี ทดลองถ่ายเอาเองจะแม่นกว่า (เพื่อความสะดวกตั้งชดเชยแสงค้างไว้เลยก็ได้) แล้วถ่ายเลย จากนั้นค่อยเอาไปปรับลดความสว่างให้พอดีในโฟโต้ชอปเอา ป.ล. เพื่อนบอกว่าในบางสถาบันในไทยสอนเรื่องนี้แล้วนะครับ ในหัวเรื่อง Digital Zone System แก้ไขเมื่อ 04 ส.ค. 54 16:21:36 จากคุณ : อะธีลาส เขียนเมื่อ : 4 ส.ค. 54 16:18:55

ความคิดเห็นที่ 43 ตามที่น้าว่าไว้ในความเห็นที่ 42 น่าจะ save ครับน้า ไม่งั้นบางสถานการณ์ มีหลุดแน่ๆ   เอาเป็นว่าอาศัยประสบการณ์ เลือกโหมดวัดแสงให้ถูก ชดเชยแสงเป็น พลิกแพลงตามสถานการณ์จริงๆ ครับ แก้ไขเมื่อ 04 ส.ค. 54 16:32:36 จากคุณ : ริมธารา เขียนเมื่อ : 4 ส.ค. 54 16:24:39

ความคิดเห็นที่ 44 " ที่ว่ามาถูกต้องแล้วครับ 'มองหาส่วนที่สว่างที่สุดที่อยากเก็บไว้' ขอเสริมนิดนึงครับ.. ส่วนที่สว่างที่สุดในภาพต้องเลือกจุดที่เหมาะสมครับ เพราะบางครั้งมันก็เป็น highlight สว่างที่สุด แต่ไม่มีประโยชน์ที่จะขุดรายละเอียด แถมยังทำให้ภาพรวมเสียอีกด้วย เช่น กันชนรถยนต์ที่มันวาว หรือดวงอาทิตย์ครับ นอกจากนี้ต้องดูองค์ประกอบโดยรวมว่ามันมีสัดส่วนและความสำคัญมากน้อยอย่างไรด้วย เพื่อนำมาประกอบการพิจารณาในการเปิดรับแสงครับ นอกจากเรื่องสีแล้วยังต้องดูแสง แล้วคุณจะเป็น Master อย่างแน่นอนครับ และควรต้องทดสอบกับอุปกรณ์ของตนเองด้วย จะได้แนวทางการชดเชยแสงในระดับที่เหมาะสมครับ " แก้ไขเมื่อ 04 ส.ค. 54 16:36:01 จากคุณ : ตุ๊กตาหมี เขียนเมื่อ : 4 ส.ค. 54 16:32:51

ความคิดเห็นที่ 45 ขอบคุณครับ จากคุณ : NopView เขียนเมื่อ : 4 ส.ค. 54 16:35:17

ความคิดเห็นที่ 46 อยากถามอะไรนิดหน่อยครับ ว่าเวลาถ่ายไฟล์ RAW แล้ว Histogram กับ highlight ที่กระพริบมันเป็นของ JPG ในไฟล์ RAW ใช่รึเปล่าครับ จากคุณ : หมูแจ๊ค เขียนเมื่อ : 4 ส.ค. 54 16:39:37

ความคิดเห็นที่ 47 " ประเด็น #46 น่าสนใจครับ ถ้าอยากทราบต้องลองถ่ายค่าเดิม แล้วเปลี่ยน parameter ดู.. อย่างเช่น เพิ่ม Contrast และ Saturation ปกติถ้าจะเอามา process ผมจะตั้ง Neutral ค่า Default ตลอดๆ สงสัยต้องลองทดสอบให้เห็นแจ้งกันอีกที " จากคุณ : ตุ๊กตาหมี เขียนเมื่อ : 4 ส.ค. 54 16:46:56

ความคิดเห็นที่ 48 เรียนด้วยคน รวมถึงกรณีที่ต้องเลือกระหว่างขวากับซ้าย ให้เลือกขวาดีกว่าใช่หรือเปล่าครับ จากคุณ : ZtahC เขียนเมื่อ : 4 ส.ค. 54 16:58:44

ความคิดเห็นที่ 49 ต่อไป จะมีกล้องที่ตั้ง default เป็น ไม่มีชดเชยทางลบ ไหมเนี่ย... เอาหลักการนี้ไปเล่นเป็นเรื่องเป็นราวดีกว่า.... จากคุณ : proofman เขียนเมื่อ : 4 ส.ค. 54 17:25:36

ความคิดเห็นที่ 50 พอดูวิดีโอพี่หาวตอนออกใหม่ๆ ผมก็ว่าจะเขียนเรื่องนี้แหละ พอดีไปเจอบทความในลูมินัสแลนสเคป ที่ลุงสก็อตเคลบี้แนะนำผ่านทวิตเตอร์ ก็เลยคิดว่าได้ฤกษ์เขียนซะที ไม่งั้นหัวข้อนี้คงดองเข้ากรุเหมือนเคย และผมก็เห็นด้วยกับผู้เขียนคอลัมน์นี้ว่าบริษัทกล้อง สมควรทำกล้องที่ชดเชยแสงทางลบ แบบชดเชยด้วยซอฟท์แวร์ฝังมาในกล้อง ได้แล้ว บทความเกี่ยวกับการจัดชิดขวา ETTR - Exposure To The Right อยู่นี่ครับ แต่ขอสารภาพไว้ก่อนว่าผมไม่ได้อ่านละเอียด อ่านแบบคร่าวๆ ผ่านๆ เท่านั้น http://www.luminous-landsc​ape.com/tutorials/optimizi​ng_exposure.shtml เพิ่มเติมลิ๊งค์ ตามที่เพื่อนๆ แนะนำมาครับ http://www.luminous-landscape.com/tutorials/expose-right.shtml แก้ไขเมื่อ 05 ส.ค. 54 14:45:04 จากคุณ : อะธีลาส เขียนเมื่อ : 4 ส.ค. 54 17:39:23

ความคิดเห็นที่ 51 " ผมล่ะอยากให้มีกล้องที่สามารถรู้ก่อนถ่ายได้เลยว่าเราต้องการให้มันได้ค่า Combination ที่ให้ค่าสว่างมากที่สุดก่อนเกิด Highlight Clipping คือถ้าขยับบวกไปอีก 1/3 Stop ก็จะเริ่มเกิด Clipping ว่างั้น โดยที่เรายังคงรู้อยู่แก่ใจว่า Highlight ในภาพมันคืออะไร ถ้ามีโหมด 'AV Preserve Highlight' หรืออื่นๆที่คล้ายกันออกมาน่าจะดี ไม่งั้นก็ต้องวัดแสงเอง หรือดู Histogram ใน Live View เอา ซึ่งต้องใช้ความเข้าใจเป็นอย่างมาก " แก้ไขเมื่อ 04 ส.ค. 54 19:21:24 จากคุณ : ตุ๊กตาหมี เขียนเมื่อ : 4 ส.ค. 54 17:44:47

ความคิดเห็นที่ 52 ในหนังสือผิดหมดเลยหรือ จากคุณ : กำนันเชียร เขียนเมื่อ : 4 ส.ค. 54 17:52:00

ความคิดเห็นที่ 53 สุดยอดมากๆ เพิ่งเปิดกะลา จากคุณ : โบโซ่จำแลง เขียนเมื่อ : 4 ส.ค. 54 17:53:15

ความคิดเห็นที่ 54 อย่างนี้นี่เองงงงงง!!! จากคุณ : เคยรู้อะไรกะเค้ามั่งมั๊ยเนี่ย เขียนเมื่อ : 4 ส.ค. 54 18:45:53

ความคิดเห็นที่ 55 ขอบคุณมากครับ น้าอะธีลาส ได้เวลาเปลี่ยนเม็มในสมองใหม่แล้ว อิอิ จากคุณ : malesh เขียนเมื่อ : 4 ส.ค. 54 19:24:04

ความคิดเห็นที่ 56 ผมว่ายังไงชดเชยแสงทางลบก็ยังจำเป็นครับน้า ชัดๆเลยก็การถ่ายมาโครหลังดำครับที่วัดแสงจริงได้เท่าไหร่ ดันลบไปให้เต็มลิมิต ^__^" จากคุณ : b_@ll เขียนเมื่อ : 4 ส.ค. 54 19:25:35

ความคิดเห็นที่ 57 " ค่าความแตกต่างของแสง กับข้อจำกัดเรื่องช่วงความสามารถในการเก็บรายละเอียดของกล้อง.. นั่นล่ะครับที่ต้องนำมาพิจารณา ทำให้บางครั้งเราต้องแก้ปัญหาด้วยการเติมแสงเพิ่มเข้าไป บังแสง หรือกรองแสงให้นุ่มขึ้นครับ " จากคุณ : ตุ๊กตาหมี เขียนเมื่อ : 4 ส.ค. 54 19:53:15

ความคิดเห็นที่ 58 ไม่บอกผมไม่รู้เลยครับ ปกติผมชอบภาพโทนใสๆสว่างๆ กล้องผมทุกตัวเลย ตั่งเริ่มต้นขั้นต่ำ +0.7 มาตลอด2ปี พึ่งรู้ว่ามีประโยชน์แบบนี้ครับ ขอบคุณครับ แก้ไขเมื่อ 04 ส.ค. 54 20:01:35 จากคุณ : LIVE 4 LIVE เขียนเมื่อ : 4 ส.ค. 54 19:53:52

ความคิดเห็นที่ 59 ผมชอบเรื่อง ISO ผมก็เชื่อในเรื่องที่ว่ามันมาจากภาษากรีก ไม่ใช่คำย่อ แต่ที่เห็นส่วนใหญ่ตามเว็บ..ไปกันเรื่อยเปื่อย ต่างๆกันไปอีกต่างหาก จากคุณ : คนบางปะอิน เขียนเมื่อ : 4 ส.ค. 54 19:59:17

ความคิดเห็นที่ 60 ขอบคุณครับ เข้ามาเรียนรู้ครับ ถ้าจริง ผิดมาตั้งนาน แหะๆ จากคุณ : หอมเจียว (RTB) เขียนเมื่อ : 4 ส.ค. 54 20:01:39

ความคิดเห็นที่ 61 แล้วแต่ความเหมาะสมนะครับ ป๋มว่า บางอย่างก็ under เยอะๆ สวย บางอย่าง over เยอะสวยกว่า จากคุณ : F:A:B:R:E เขียนเมื่อ : 4 ส.ค. 54 20:49:14

ความคิดเห็นที่ 62 ความเห็นหลังๆเหมือนไม่ได้อ่าน สักแต่ตอบ -*- จากคุณ : คุโรโร่ ลูซิเฟอร์ เขียนเมื่อ : 4 ส.ค. 54 20:59:31

ความคิดเห็นที่ 63 ขอบคุณครับสำหรับข้อมูลดี ๆ แล้วถ้าเปิดโหมด D-Lighting ของ Nikon ใช้แทนกันกับการชดเชยแสงทางบวกได้หรือไม่ครับ ขอบคุณครับ จากคุณ : underdome เขียนเมื่อ : 4 ส.ค. 54 21:00:13

ความคิดเห็นที่ 64 เฮ้อ!....หายโง่เลยตู ขอบคุณครับ สิ่งที่เคยสงสัยมานานหายไปอีกเรื่องหนึ่งแล้ว จากคุณ : ตาบอดสี เขียนเมื่อ : 4 ส.ค. 54 21:05:54

ความคิดเห็นที่ 65 ขอบคุณครับน้า ปกติจะชดเชยโอเวอร์ไว้ก่อนเสมอ คิดแต่ว่าน้อง oly เราnoiseแรง ชดเชยโอเวอร์ไว้ก่อนดีกว่าเท่านั้นเอง ฮ่าๆ จากคุณ : ovanpanda เขียนเมื่อ : 4 ส.ค. 54 21:38:39

ความคิดเห็นที่ 66 ปัญหาของ expose to the right คือ .. กล้องบางยี่ห้อ/รุ่น .. highlight headroom มันไม่มี ลองไปดู test ที่ dpreview ดูนะครับ .. เขาจะเอาเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่เลย ..ี จากคุณ : แมวเหมียวพุงป่อง เขียนเมื่อ : 4 ส.ค. 54 22:19:59

ความคิดเห็นที่ 67 ขอบคุณครับ ขอเก็บเข้าสมอง อธิบายได้เข้าใจง่ายมาก จากคุณ : BlueBoat เขียนเมื่อ : 4 ส.ค. 54 23:03:45

ความคิดเห็นที่ 68 นึกถึงวิชาดิจิตอลเลย จากคุณ : FME13 เขียนเมื่อ : 4 ส.ค. 54 23:34:34

ความคิดเห็นที่ 69 กำลังสงสัยอยู่พอดีเลยครับ จากคุณ : venfaa เขียนเมื่อ : 5 ส.ค. 54 00:57:31

ความคิดเห็นที่ 70 อ่านแล้วก็เข้าใจครับ แต่ของแบบนี้ต้องพิสูจน์ ------------------------------- Get แล้ว ปัญหาเรื่องดึงภาพมืดมาเป็นสว่างแล้ว noise ติดมาด้วยนี่เรื่องจริง แต่ความหมายที่น้านิค และพี่หาวพูดถึง น่าจะหมายถึงการที่ถ้าเรารู้อยู่แล้วว่าวัตถุสีมืด ถ้าจะถ่ายให้พอดี สเกลควรจะอยู่ตรงไหนถึงพอดี จากนั้นให้เผื่อจากจุดพอดีขึ้นมาอีกนิดหนึ่ง เพื่อเก็บรายละเอียดส่วนมืดเพิ่มมา คงไม่ได้หมายถึงการที่ดูแต่สเกลแล้วให้สเกลมาทาง over นิดหนึ่งเสมอ ถูกมั้ยครับ แก้ไขเมื่อ 05 ส.ค. 54 01:10:50 จากคุณ : ถอยหลังไปข้างหน้า เขียนเมื่อ : 5 ส.ค. 54 01:00:50

ความคิดเห็นที่ 71 แบบนี้มันต้องลอง จากคุณ : ต้องประตูน้ำพระอินทร์ (ต้องประตูน้ำพระอินทร์) เขียนเมื่อ : 5 ส.ค. 54 01:11:33

ความคิดเห็นที่ 72 บุ๊คมาร์คไว้ก่อน แล้วจะเข้ามาอ่านใหม่คะ จากคุณ : Angel Tanya เขียนเมื่อ : 5 ส.ค. 54 03:04:13

ความคิดเห็นที่ 73 จากคุณ : thep911 เขียนเมื่อ : 5 ส.ค. 54 04:04:54

ความคิดเห็นที่ 74 ขอบคุณมากครับทั้งพี่หาวและพี่นิค ได้การล่ะคราวนี้ จากคุณ : mama_shinbi เขียนเมื่อ : 5 ส.ค. 54 08:26:54

ความคิดเห็นที่ 75 ขอลงชื่อด้วยคน อ่านแล้วยังไม่เข้าใจ ...บริษัทกล้องเขารู้เรื่องนี้หรือไหม เขาได้แจ้งในข้อบ่งใช้หรือเปล่า ...โปรแกรมกล้องเขาออกแบบมาแก้ค่าข้อจำกัดของ ccd/cmos ตามที่ว่า นี้แล้วหรือเปล่า ...อันนี้ค้นพบโดยประสบการณ์ของผู้ใช้กล้องเองใช่ไหมครับ เป็นความรู้ที่แพร่หลาย ผู้ใช้กล้องดิจิตอลต้องยอมรับตามนี้แล้วใช่ไหม คือยังไม่เข้าใจ เรื่องใหญ่แบบนี้  น่าจะมีการจัดสัมมนาน่ะครับ ขอลงชื่อเข้าฟังด้วยคน . จากคุณ : ninecha เขียนเมื่อ : 5 ส.ค. 54 09:02:04

ความคิดเห็นที่ 76 ขอบคุณครับน้า... link ใน #50 ไม่มีแล้ว  น่าจะเป็นอันนี้นะครับ ขออนุญาต... http://www.luminous-landscape.com/tutorials/expose-right.shtml จากคุณ : RedAtHeart เขียนเมื่อ : 5 ส.ค. 54 09:06:11

ความคิดเห็นที่ 77 เยี่ยมครับ ต้องเปลี่ยนความคิด และวิธีการถ่ายรูปใหม่ครับ ขอบคุณหลายๆสำหรับความรู้ จากคุณ : Will not grow old เขียนเมื่อ : 5 ส.ค. 54 10:06:06

ความคิดเห็นที่ 78 ตามที่เคยไปนั่งเรียนกับน้าหาว  แนวคิดที่ว่าถ่ายให้เวอร์ไว้ก่อน ทำเอาหลายคนต้องเสีย self กันเลยทีเดียว ถามว่าแล้วเวลาถ่ายรูปจริงๆ จะทำยังไงให้มั่นใจ  เพราะดูจากรูปในกล้องมันจะขาวๆ เวอร์ๆ น้าหาวก็บอกว่าเวลาถ่ายก็ให้ self ๆ หน่อย (ประมาณว่าให้เชื่อมั่นในตัวเองว่า มา process ภายหลังจะดีกว่าเยอะ) จนป่านนี้ผมก็ยังไม่ self ซะที... จากคุณ : RedAtHeart เขียนเมื่อ : 5 ส.ค. 54 10:50:26

ความคิดเห็นที่ 79 ขอบคุณครับ จากคุณ : เด็กวัดช้าง เขียนเมื่อ : 5 ส.ค. 54 11:24:22

ความคิดเห็นที่ 80 ขอบคุณครับ ข้อมูลดีมากเลย ความรู้ใหม่ ๆ แต่ก็ยังงง ๆ - -* สงสัยแล้วในกรณีมาโครหลังดำล่ะครับ หรือถ่ายพวก low key ไรงี้ ยังไงก็ต้อง under ใช่ไหมครับ หรืออย่างไร ??? จากคุณ : Plus Size+ เขียนเมื่อ : 5 ส.ค. 54 12:24:22

ความคิดเห็นที่ 81 " ดัน Over ได้หลายระดับ ตราบเท่าที่ยังไม่เกิด Highlight Clipping.. รายละเอียดของภาพในด้านสว่างจะยังคงอยู่ ขอให้มั่นใจ มันพิสูจน์ได้จริง ให้ระวังจุดที่มีขนาดเล็กๆ ในภาพ อย่างเช่น ขาแว่นตาเวลาถ่ายย้อนแสง อย่างนี้เป็นต้น ยิ่งถ้าในภาพมีโทนกลางกับเงามืดยิ่งดึงขึ้นมาได้เยอะ เงาจะได้สว่างตามไปด้วย บางครั้ง บางจุด ที่เป็น Highlight มันสว่างมากเกินไป และไม่มีความสำคัญต่อภาพก็ปล่อยให้หลุดไปได้บ้างครับ " แก้ไขเมื่อ 05 ส.ค. 54 12:32:40 แก้ไขเมื่อ 05 ส.ค. 54 12:30:24 แก้ไขเมื่อ 05 ส.ค. 54 12:29:18 จากคุณ : ตุ๊กตาหมี เขียนเมื่อ : 5 ส.ค. 54 12:26:56

ความคิดเห็นที่ 82 ขอบคุณครับ ได้ยินเรื่องนี้มานาน วันนี้พึ่งได้รู้เหตุผล จากคุณ : เพียงแค่ดินโคลน เขียนเมื่อ : 5 ส.ค. 54 14:50:02

ความคิดเห็นที่ 83 ลึกซึ้งฮะ ยอดเยี่ยม จากคุณ : +One Side Love+ เขียนเมื่อ : 5 ส.ค. 54 14:52:28

ความคิดเห็นที่ 84 ขอบคุณมากครับ ผมก็ชอบถ่ายติดเว่อร์นิดๆมาตลอด แต่ไม่รู้หรอกว่ามีประโยชน์อย่างนี้ จากคุณ : kengDD เขียนเมื่อ : 5 ส.ค. 54 15:30:44

ความคิดเห็นที่ 85 สุดยอด  หามานาน จากคุณ : เม็กนีโต้ เขียนเมื่อ : 5 ส.ค. 54 16:36:15

ความคิดเห็นที่ 86 ขอบคุณกับความรู้เพิ่มเติมครับ จากคุณ : tui_100shot เขียนเมื่อ : 5 ส.ค. 54 17:03:09

ความคิดเห็นที่ 87 น้านิก จะหาชื้อ ชีดีของ น้าหาว ได้ที่ไหนครับ จากคุณ : ต้องประตูน้ำพระอินทร์ (ต้องประตูน้ำพระอินทร์) เขียนเมื่อ : 5 ส.ค. 54 18:02:19

ความคิดเห็นที่ 88 สำหรับมือใหม่ > ถ้าท่านถ่ายเป็น JPG เอาไปใช้โดยไม่แต่งอีก ก็ควรชดเชยให้พอดี ที่บอกว่ายิ่งสว่างยิ่งดีนั้นถูกต้อง แต่ถ้าถ่ายแล้วนางแบบผมออกมาสีเทา จะบอกว่า นี่แหละถูกต้องก็ไม่ใช่ละ (ส่วนใหญ่คงทราบดี อธิบายเผื่อบางท่าน) ส่วนเนื้อหาทั้งหมด ใครอ่านแล้วงง ดูคลิปพี่หาวแกชัดเจนมากครับ.... จากคุณ : (oidutS skcarT eriT) (Tire Tracks Studio) เขียนเมื่อ : 5 ส.ค. 54 18:47:29

ความคิดเห็นที่ 89 คลิปพี่หาว กับหัวกระทู้จริงๆ มันคนละประเด็นกันครับ พี่หาวพูดถึงการถ่ายภาพออกมาให้มืด หรือสว่างกว่าพอดี แต่ทีน้านิคว่ามามันเรื่องการชดเชยแสงไปทางบวกหรือลบ ซึ่งการชดเชยลบ แต่ให้ภาพออกมาสว่างกว่าปกติ ในสถานการณ์ที่เจอวัตถุสีมืด มันมีความเป็นไปได้ครับ ดังนั้น ถ้าจะสรุปสิ่งที่พี่หาวพูดถึง แล้วรวบรัดว่า ไม่ควรมีการชดเชยลบ ผมว่ามันผิดความหมายครับ การถ่ายภาพให้ "สว่างกว่าพอดี" หมายความว่า เราต้องรู้ว่าภาพนี้ คำว่า "พอดี" สเกลมันจะอยู่ตรงไหน และ "สว่างกว่าพอดี" มันก็แค่เลยจากสเกลนั้นค่อนไปทางบวกนิดหน่อย ซึ่งถ้าสถานการณ์นั้น "พอดี" อยู่ ที่ -1 stop คำว่าสว่างกว่าพอดีนิดหน่อยอาจจะอยู่ที่ -1/3 ก็ได้ มากกว่านั้นจะกลายเป็นติดโอเวอร์มากไปถึง 1 stop หรือมากกว่า ซึ่งมากจนอาจจะเสียรายละเอียดส่วนสว่างไปได้ด้วยซ้ำ งานนี้ถ้ามือใหม่ไปเข้าใจว่าการชดอันเดอร์เป็นเรื่องที่ไม่ควรทำนี่ ผมว่าจะกลายเป็นการเข้าใจผิดไปได้ครับ อีกอย่าง ถ้าเป็นการถ่ายภาพแบบที่ต้องส่งงานเลย โดยที่ไม่มีโอกาสได้มา process วิธีนี้อาจจะใช้ไม่ได้ครับ อย่างไรก็ดี สิ่งที่นำมาฝาก ถือว่าเป็นความรู้ใหม่ให้ได้ถกเถียงกัน เรื่องนี้ผมก็เพิ่งสังเกตได้กับตัวเอง เพราะในหลายๆ สถานการณ์ ผมจงใจถ่ายมาติดอันเดอร์ เพราะคิดว่าดึงขึ้นจะได้รายละเอียดมากกว่าถ่ายติดโอเวอร์ และ noise ก็ตามมาบาน เพราะผมใช้โอลี่ 55 แก้ไขเมื่อ 05 ส.ค. 54 19:27:09 จากคุณ : ถอยหลังไปข้างหน้า เขียนเมื่อ : 5 ส.ค. 54 19:22:55

ความคิดเห็นที่ 90 ผมคิดว่าเทคนิกนี้ส่วนใหญ่จะใช้กับไฟล์ RAW นะครับ  และก็คิดว่า ถ้ามาใช้กับไฟล์เจเพ็กแล้วมาแต่งต่อ  มันก็ไม่ได้ทำให้คุณภาพดีขึ้นแต่อย่างใด และคิดว่ามันอาจจะส่งผลเสียซะมากกว่าด้วย อันนี้ตอบแบบไม่รู้เลยนะ และก็คิดอีกว่า  ถ้าถ่ายเป็นเจเป็กน่ะ  วัดแสงเดิมๆแหละดีแล้วครับ ผิดถูกยังไง รบกวนแนะนำด้วยครับ  ต้องบอกตรงๆว่า  ผมไม่มีความรู้เรื่องนี้เลยครับ แล้วก็  ใครที่บอกว่าหนังสือเก่าๆผิดหมดเลยเหรอ  ผมคิดว่าไม่ใช่ครับ  เพียงแค่เนื้อหานั้นมันเก่า  ใช้งานกับพวกฟิมล์  โดยหลักการส่วนใหญ่ก็ยังเอามาใช้ในระบบดิจิตอลนะครับ  เพียงแค่ตัวบันทึกภาพมันเปลี่ยนไป  มีข้อมูลที่แก้ไขได้ง่าย  ไม่เหมือนฟิมล์ที่มันเป็นแผ่นๆเคลือบสารไวแสง  ทำปฎิกิริยากับแสง ย้ำนะครับ  ผิดถูกยังไงรบกวนแนะนำด้วย จากคุณ : Art_bambo เขียนเมื่อ : 5 ส.ค. 54 19:40:16

ความคิดเห็นที่ 91 " มันคงไม่ใช่เรื่องใหม่เสียทีเดียว เพียงแต่เป็นการปรับใช้กับยุคดิจิทัลเท่านั้นเอง.. " จากคุณ : ตุ๊กตาหมี เขียนเมื่อ : 5 ส.ค. 54 21:05:28

ความคิดเห็นที่ 92 ขอบคุณน้านิคมากๆครับ ที่เอาความรู้ดีๆมาเผยแพร่กัน ^_^ จากคุณ : new rose เขียนเมื่อ : 5 ส.ค. 54 21:24:05

ความคิดเห็นที่ 93 อ่านแล้วยังไม่เข้าใจ ...บริษัทกล้องเขารู้เรื่องนี้หรือไหม เขาได้แจ้งในข้อบ่งใช้หรือเปล่า ...โปรแกรมกล้องเขาออกแบบมาแก้ค่าข้อจำกัดของ ccd/cmos ตามที่ว่า นี้แล้วหรือเปล่า ...อันนี้ค้นพบโดยประสบการณ์ของผู้ใช้กล้องเองใช่ไหมครับ เป็นความรู้ที่แพร่หลาย ผู้ใช้กล้องดิจิตอลต้องยอมรับตามนี้แล้วใช่ไหม ขอยกมาทั้ง คห. 1. บริษัทกล้อง .. รู้ครับ ผมไม่มีหลักฐาน แต่เชื่อมัน 100.000% ว่า วิศวกรผู้ออกแบบเซนเซอร์, กล้อง และ ฯลฯ รู้ชัดๆ รู้จริงๆ การสร้างกล้อง ไม่ใช่การตัดกระดาษมาแปะๆกัน แล้วไปซื้อสายไฟจากตลาดข้างบ้านมาพันๆ มันมีการศึกษา ค้นคว้า วิจัย พัฒนา ฯลฯ โดยคนผู้มีความรู้ลึกซึ้ง ทั้ง optics, electronics, physics ฯลฯ นับร้อยๆ คน มีหรือจะไม่รู้เรื่องพวกนี้ 2. บางบริษัทก็เลือกที่จะทำ .. บางบริษัทก็ไม่ ตัวแสบ อย่าง oly .. รู้ และ ทำ noise มันถึงบานเบิก แถม highlight headroom แทบไม่เหลือ ไม่ใช่เป็นแต่เฉพาะ oly รุ่นเก่าๆ ขนาดรุ่นใหม่ๆ อย่าง E-3 ยังมีปัญหานี้เลย ลองดูส่วน Con (ข้อด้อย) ที่ dpreview ติไว้ดูนะครับ http://www.dpreview.com/reviews/olympuse3/page35.asp ขนาด E-5 ที่ใหม่เอี่ยมล่าสุด ยังมีปัญหา highlight headroom ไม่มีเลย http://www.dpreview.com/reviews/olympuse5/page7.asp THERE IS NO FREE LUNCH จากคุณ : แมวเหมียวพุงป่อง เขียนเมื่อ : 5 ส.ค. 54 21:32:23

ความคิดเห็นที่ 94 #51 ถ้าจะให้กล้อง "รับรู้" ความสว่างที่เก็บไม่ได้ แปลว่ากล้องต้อง "มองเห็น" ความสว่าง ระดับที่ว่า ถึงจะบอกได้ว่าเกินมั้ย เกินเท่าไหร่ แถมระดับความสว่างที่เก็บได้ของแสง แต่ละความถี่ก็ไม่เท่ากันอีก ดังนั้นกล้องก็ต้องเห็นทั้งสามสี.... ดังนั้น ก็บันทึกมันมาในภาพซะเลยไม่ดีกว่าหรือครับ ? จากคุณ : (oidutS skcarT eriT) (Tire Tracks Studio) เขียนเมื่อ : 5 ส.ค. 54 21:48:41

ความคิดเห็นที่ 95 " #94: เรื่องทาง Technical ผมไม่รู้หรอก.. ในการทำงานผมมักจะทำแบบนั้น เลยมาลองคิดดูว่ากล้องมัน 'ช่วย' ทำแทนเราได้ไหม แล้วเราค่อยมา Override มันอีกที ถ้ามันเป็นไปไม่ได้ก็ไม่เป็นไรครับ " จากคุณ : ตุ๊กตาหมี เขียนเมื่อ : 5 ส.ค. 54 22:00:36

ความคิดเห็นที่ 96 ถ่ายโอเว่อร์ปริ่มแบบไฮไลท์เจียนหลุดแบบนี้ เฉพาะคนที่ถ่าย Raw และเป็นการถ่ายที่ตั้งใจจะเอา Raw ไปทำต่ออยู่แล้วเท่านั้นนะครับ ส่วนใครที่ต้องการจบหลังกล้องถ่ายเป็น Jpg วัดแสงแล้วถ่ายให้พอดี ครับถูกต้องแล้ว หากเน้นคุณภาพสูงๆ ถ่ายเป็น Raw เน้นๆ ว่าจะเอาไปทำต่อให้ได้คุณภาพดีที่สุดทำตามที่น้าหาวแนะนำถูกแล้วครับ ให้โอเวอร์เจียนขาดใจให้กล้องมันเก็บแสงเข้ามาได้มากที่สุด เวลาเอามาดึงลงความเนียนและการไล่โทนมันจะดีที่สุด แก้ไขเมื่อ 05 ส.ค. 54 22:21:31 จากคุณ : คุโรโร่ ลูซิเฟอร์ เขียนเมื่อ : 5 ส.ค. 54 22:20:55

ความคิดเห็นที่ 97 ขอบคุณครับ เป็นความรู้ที่ดีแต่สิ่งหนึ่งที่ผมอยากฝากช่างภาพรุ่นใหม่หลายๆคนด้วยครับว่า "ทุกวิชาล้วนมีจังหวะที่เหมาะสมในการเอามาใช้งาน" เราไม่สามารถเอาเทคนิควิชาหนึ่งไปใช้กับทุกสถานการณ์ได้ ดังนั้นเราจึงควรที่จะรู้ว่าเทคนิคไหนควรใช้เมื่อใหร่ แล้วรู้ได้อย่างไร รู้ได้ด้วยการหมั่นฝึกฝนจนช่ำชองครับ ประสบการณ์คือวิชาที่ล้ำค่าที่สุดที่จะอยู่ติดตัวเราตลอดไปครับ ใครก็มาแย่งไม่ได้ด้วย จากคุณ : นายผจญภัก (d-explorer) เขียนเมื่อ : 5 ส.ค. 54 23:11:37

ความคิดเห็นที่ 98 ไม่ค่อยเข้าใจที่น้าแมวเหมียวพุงป่องอธิบายครับ ว่าโอลิมปัส รู้ และทำอะไร แต่เท่าที่อ่านมา รู้สึกได้ว่า มันไม่ดีเอามากๆ ยังไงไม่รู้ครับ จากคุณ : daybreak เขียนเมื่อ : 5 ส.ค. 54 23:15:20

ความคิดเห็นที่ 99 ขอบคุณสำหรับความรู้ครับ ( ^ _ ^ ) จากคุณ : เป้ว_จีที เขียนเมื่อ : 6 ส.ค. 54 01:58:07

ความคิดเห็นที่ 100 oly รู้ในสิ่งที่น้านิกส์บอกไว้ในหัวกระทู้ และเลือกที่จะขุดทุกอย่างออกมาสุดๆ นั่นคือ การวัดแสง .. วัดได้อย่างไร ก็ต้องเอาตามนั้น ขืนเปิดเพิ่ม ชดเชยบวก .. highlight จะหลุดเอาง่ายๆ สไตล์ oly เขาเลยหละ พวกฉันรู้ดีที่สุด ว่าพวกเธอ(ตากล้อง)ต้องการอะไร canon เลือกที่จะเหลือ highlight headroom เพราะส่วนที่เป็นเงามืด .. สำหรับคนใช้กล้องทั่วๆไป .. จะไม่ใส่ใจส่วนที่เป็นเงามืดเท่าไหร่ จะดูแต่ดีเทลในส่วนสว่างๆ ส่วนตากล้องมืออาชีพ ที่ต้องใช้ raw .. สามารถปรับชดเชยแสงได้ตามต้องการ มันเป็นเรื่องของปรัชญาระหว่าง "We know what is the best for you better than you" vs "You can select what you want" แก้ไขเมื่อ 06 ส.ค. 54 07:49:52 จากคุณ : แมวเหมียวพุงป่อง เขียนเมื่อ : 6 ส.ค. 54 05:57:03

ความคิดเห็นที่ 101 เข้ามาเสริมความรู้ (สำหรับ geek เท่านั้น ) บ.กล้อง รู้เรื่องพวกนี้ดี แต่ก่อน เลือกที่จะไม่แยแสเท่าไหร่ แต่ระยะหลังนี่ เริ่ม "ใส่ใจ" มากขึ้น technology พวก SAT (shadow adjustment), D-lighting ฯลฯ พวกนี้ ก็เพื่อแก้ไขปัญหารายละเอียดในเงามืดที่สูญหาย ปัญหามันลามยาวมาจาก root cause .. กระบวนการสร้างภาพ jpeg อย่างที่คนส่วนใหญ่รู้ .. jpeg มีขนาดเล็ก เพราะมีการ[u]ทิ้ง[u] รายละเอียดปลีกย่อย เล็กๆน้อยๆ ที่คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยสนใจ ทำให้ภาพเหลือแต่รายละเอียดที่ขนาดใหญ่ มีลักษณะซ้ำซ้อนมากขึ้น จนสามารถใช้สัญญลักษณ์สั้นๆ แทนความหมายยาวๆ ได้ 0110 1000 1010 1100 1011 .. อันนี้ รายละเอียดเยอะ แต่ละบล็อค มีความเป็นตัวเองสูง 0100 1000  1000 1100 1010 .. อันนี้ รายละเอียดแต่ละบล็อก มีน้อย และมีความซ้ำซ้อนสูง มีบล็อคซ้ำซ้อน สามารถใช้สัญญลักษณ์สั้นๆ ทดแทนได้ แค่ทิ้งเลข 1 ตัวเดียวของบล็อคท้าย มันก็จะกลายเป็น 0100 1000  1000 1100 1000 เห็นไหมครับ มี 1000 ซ้ำถึง 3 บล็อค ถ้าเราใช้ A แทน 1000 ก็จะกลายเป็น 0100 A A 1100 A .. ลดข้อมูลไปได้ตั้ง 9 ตัวอักษร แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเรื่องของชดเชยบวกนี่หละ เลข 1 ที่ผมทิ้งไปในบล็อคสุดท้ายของตัวอย่าง มันมีความสำคัญน้อยมาก จนการมีอยู่ หรือ ไม่มีอยู่ ไม่ทำให้ค่าเปลี่ยนแปลงไปมาก รายละเอียดในส่วนเงามืดก็เป็นเช่นเดียวกัน สายตา สมอง และการรับรู้ของคนส่วนใหญ่ ไม่ให้ความสำคัญกับรายละเอียดในส่วนเงามืด (high light) แต่จะไวมากๆๆๆ กับรายละเอียดที่มีในส่วนสว่าง (high light) ผลอย่างแรกคือ วิศวกรผู้ออกแบบกล้่อง .. จึงเลือกเก็บรายละเอียดในส่วน highlight ให้มากที่สุด จากคุณ : แมวเหมียวพุงป่อง เขียนเมื่อ : 6 ส.ค. 54 08:04:57

ความคิดเห็นที่ 102 (for geek only) นอกจากเลือกการอนุรักษ์ (preserve) highlight แล้ว วิศวกร ต้องเลือกการอนุรักษ์พลังงานของแบตเตอรี่ และพลังของ CPU กล้อง ของพวกนี้ ไม่ใช่มีไม่จำกัดเหมือนคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ กระบวนการเก็บภาพแบบ jpeg .. หลังจาก"ทิ้ง"รายละเอียดที่ไม่จำเป็น (ในส่วนเงามืด)ออกไป ก็จะแบ่งภาพออกเป็น block บล็อคหนึ่งๆ มีขนาด 8x8 pixels แล้วคำนวนหาสัญญลักษณ์สั้นๆ ข้อมูลเล็กๆ ที่จะทดแทนข้อมูลบล็อคนั้นๆ กระบวนการสร้างสัญญลักษณ์นี้ กินพลังงาน กิน CPU มากมาย เพราะมันต้องอ่านข้อมูล ทั้งไฟล์ วิศวกรฯ แก้ไขปัญหาพวกนี้ โดยรวบรวมสถิติ วิเคราะห์ ค้นคว้า เพื่อหาว่า block ส่วนใหญ่ในภาพถ่ายนับล้านๆๆ ภาพ มีลักษณะร่วมอย่างไร และสร้างสัญญลักษณ์สำเร็จรุป เก็บไว้ในกล้องเลย พอได้ภาพ(ที่มีการทิ้งรายละเอียดส่วนเงามืดไปแล้ว) ก็ทำการตัดบล็อค แล้วเอาไปเทียบกับตารางว่า ลักษณะของบล็อคนั้น ตรงกับสัญญลักษณ์ตัวไหน ไม่ต้องมีการคำนวนให้ซับซ้อนวุ่นวาย แต่ ปัญหาคือ สัญญลักษณ์เหล่านั้น คำนวนโดยใช้หลักการเดียวกัน ทั้งส่วน highlight ซึ่งมีข้อมูลมาก,น้อยส์ต่ำ และ ทั้งส่วน shadow ซึ่งมีข้อมูลน้อย,น้อยส์สูง สิ่งที่เกิดขึ้นคือ .. "วุ้น" กล้องรุ่นใหม่ๆ จะมีการคำนวนแยก ระหว่างส่วน highlight/shadow (SAT, D-light ฯลฯ) แต่บอกแล้วว่า CPU กล้องมันจำกัด, พลังงานก็จำกัด, เวลาก็จำกัด ทุกอย่างต้องเร็วสุด กินไฟน้อยสุด .. ไม่งั้นคนซื้อ (ตากล้อง) โวย .. และไม่ซื้อ การสร้างภาพ jpeg จึงทำออกมาในลักษณะที่ คนส่วนใหญ่ ต้องการ ส่วนคนส่วนน้อย ที่ต้องการจัดการภาพเอง .. professional photographer ??? มี raw ให้เล่น ถ้าจะเล่น raw ก็ ***ต้อง*** รู้ว่า มันคืออะไร, ทำอะไรได้, ดีกว่า jpeg ตรงไหน, มีศักยภาพอะไรที่ซ่อนเร้นอยู่ ETTR เป็นหนึ่งในศักยภาพของ raw ที่ jpeg ไม่มี และไม่มีทางมี จากคุณ : แมวเหมียวพุงป่อง เขียนเมื่อ : 6 ส.ค. 54 08:19:39

ความคิดเห็นที่ 103 ETTR คืออะไรครับน้าแมวเหมียว กำลังสนุกเชียว จากคุณ : pumpu เขียนเมื่อ : 6 ส.ค. 54 09:05:58

ความคิดเห็นที่ 104 โห แน่นปึ๊กไปเลย จากคุณ : แวะชม (sp_fz30) เขียนเมื่อ : 6 ส.ค. 54 09:17:24

ความคิดเห็นที่ 105 Expose (to the) Right ครับ จากคุณ : แปร๋น (แปร๋น) เขียนเมื่อ : 6 ส.ค. 54 10:14:22

ความคิดเห็นที่ 106 ขอบคุณคร๊าบ :) จากคุณ : Shundan เขียนเมื่อ : 6 ส.ค. 54 14:23:49

ความคิดเห็นที่ 107 เพิ่มเติมนิดนึง  ผมว่าอาจจะมีบางคนที่ไม่เข้าใจคำว่า ดิจิตอล กับ อนาล็อก ดิจิตอล จะประมาณว่าแทนข้อมูลด้วย 0 กับ 1  ยกตัวอย่างง่าย ๆ เช่น สวิทต์ไฟ เปิด = 1 , ปิด = 0   อนาล๊อก  จะแทนข้อมูลที่แบ่งซอยย่อยกว่าดิจิตอล   ถ้าเป็นหลอดไฟเหมือนเดิม  ก็จะเป็นสวิทย์ที่ ค่อย ๆ เพิ่มแสงจากสว่างน้อย  ค่อย ๆ เพิ่มไปจนสว่างสุดได้ จากคุณ : Hanataro เขียนเมื่อ : 6 ส.ค. 54 15:21:43

ความคิดเห็นที่ 108 ขอบคุณทั้งน้านิคและน้าแมว รวมทั้งน้าๆ ท่านอื่นที่มาแบ่งปันข้อมูลดีๆ ครับ.. จากคุณ : SeeFaa555 เขียนเมื่อ : 6 ส.ค. 54 23:06:46

ความคิดเห็นที่ 109 ได้ความรู้และมุมมองใหม่ๆ มาค้านความคิดเก่าๆได้ดีมากครับ แต่ติดอยู่นิดนึง - หลักการนี้ผมว่าใช้ได้เฉพาะการเปิดรับแสงในช่วงปกติเท่านั้นนะครับ ประเภท Burn เพิ่มเป็นหลักวินาทีเพื่อให้ภาพ Over แล้วมาดึงลงทีหลังอันนี้ก็ไม่น่าจะเหมาะ เพราะ Noise มันไม่ได้มีแค่ Noise floor หรือ Random noise เท่านั้น มันยังมีพวก Thermal noise, Coupling noise ซึ่งพวกนี้มันจะมามากเมื่อเปิดรับแสงนานๆ และพี่แกมาเป็น log ด้วยสิครับ ไม่ใช่ Linear ดังนั้นผมว่าควรจะใช้เทคนิคนี้เฉพาะกรณีความเร็วชัตเตอร์ไม่ต่ำมากนักเท่านั้น - ส่วนที่พี่หาวบอกเรื่อง Sensor ที่มีขนาด Pixel ที่เล็กจะมีปริมาณ Noise floor ที่สูงกว่าโดยเปรียบเทียบกับปริมาณ โอวันตินที่อยู่ในแก้ว พอใส่นมลงไปก็จะทำให้มี Noise สูงขึ้นง่าย อันนี้ผมว่าอธิบายข้ามขั้นตอนไปหน่อย คือจริงๆแล้ว เมื่อ Pixel เล็กลง Noise floor ต่อ Pixel ก็ควรจะลดลงไปด้วย เพราะมีพื้นที่เล็กลงนั่นเอง แต่ที่กล้องที่มี Sensor ขนาด เล็กมี Noise มากเป็นเพราะขนาด Sensor ที่เล็ก เมื่อต้องการให้ได้ความไวแสงเท่ากับขนาดที่ใหญ่มันก็ต้องขยายเยอะ กว่า (จริงๆแล้ว ไม่ว่า Sensor เล็กหรือใหญ่มันก็ต้องขยายสัญญาณทั้งนั้น แต่ Sensor ใหญ่ขยายน้อยกว่า เพราะมีพื้นที่ รับแสงมากกว่าเท่านั้น) ผลมันเลยเหมือนการไป Push ให้เองโดยอัตโนมัติ ผลที่ได้ Noise เลยโผล่มาเหมือนกับ Noise floor เยอะ แต่จริงๆแล้วไม่ ก็ไม่ใช่ว่าไม่ถูก แต่เหตุมันคลาดเคลื่อน หรือข้ามขั้นตอนไปนิดนึงครับ - โดยหลักการแล้ว ผมคิดว่าสมมุติฐานนี้น่าจะเป็นจริง ทฤษฎีเก่ามันไม่ได้ถูกลบล้างหรอกครับ มันยังคงถูกอยู่ ภาพสว่าง ในโซนสูงก็ต้องวัดแสง Over ภาพมืดในโซนต่ำก็ต้องวัดแสง Under แต่การวัดแสงแกไม่ได้บอกว่าวัดที่กล้องหรือวัดที่ ไหนหนิครับ วิธีการถ่ายมาปลิ่มๆแล้วมากดเอาให้ Under ใน Computer ก็เท่ากับวัดแสง Under ใน Computer นั่นแหล่ะ ครับ อย่ายึดติดว่าวัดแสงที่กล้องได้อย่างเดียว การถ่ายปลิ่มๆแค่เป็นเทคนิคการเก็บข้อมูลภาพ ซึ่งแน่นอน Digital กับฟิล์ม มันก็ต้องมีอะไรที่ต่างกันอยู่บ้าง เป็นธรรมดา เหมือนสมัยก่อน ฟิล์มสไลต์กับฟิล์มสียังชดเชยไม่เหมือนกันเลยครับ - อ่านมาทั้งหมด เลยเกิดความติดว่า ถ้าอย่างนี้ แทนที่เราจะวัดแสงให้พอดีที่แบบ และไม่ต้องชดเชย Under ที่กล้องกรณี วัตถุมันมืด แต่ไปชดเชยที่ Com แทนอย่างนี้ ไม่สู้เราเปลี่ยนวิธีการวัดแสงไปเป็นปรับชดเชยให้ Over แบบสุดๆ แบบ +5 stop ไปเลย แล้วไปวัดแสงที่จุดที่สว่างที่สุดในภาพ ที่เราต้องการรายละเอียดน่าจะดีกว่ามั้ย เพราะจะทำให้เราเก็บรายละเอียดค่อน ไปทาง Over ได้มากกว่าการมาวัดที่จุดที่เราต้องการแล้วปล่อยให้ช่วงสว่างทิ้งไปโดยไม่ได้ใช้ และก็ประกันว่าจุดที่เราต้องการ รายละเอียด จะไม่ขาวจน Saturate ไปหมด อันนี้ก็น่าลองนะครับ... จากคุณ : smallrat เขียนเมื่อ : 7 ส.ค. 54 01:27:12

ความคิดเห็นที่ 110 ขอบคุณสำหรับความรู้ดีๆ อีกครั้งนะครับ..เรื่องนี้โดนใจมั่กๆ.. มี case ต.ย. เปรียบเทียบระหว่าง under กับ over (นิดๆ) ให้ดูครับ.. 60D+EF70-210 Tele ตัวเก่งของผม.. ถ่ายมาเป็น JPG ครับ process ใน photoscape step เดียวกัน - โดย crop ก่อนปรับ - autolevel, ย่อ sharpen +1 - แต่ปรับ Brigtness (เพิ่มไม่เท่ากัน..แหงล่ะ..) ลองดูภาพหลังกล้อง..เทียบกันทั้ง 2 ภาพนะครับ..สังเกต EV ผมชดเชยไม่เท่ากัน (0.67 กับ 2) จากคุณ : ป๊าตัว art (แม่ยู้-ลูกหมูนะโม) เขียนเมื่อ : 8 ส.ค. 54 00:26:20

ความคิดเห็นที่ 111 อันนี้เปรียบเทียบหลังปรับแล้ว..ตอนแรกนึกว่าถ่าย under กว่าแล้วขอบม่วงจะน้อยกว่า..ที่ไหนได้พอเพิ่ม Brigthness แล้วขอบม่วงก็มาอยู่ดี.. ..ที่แน่ๆ ถ่าย under แล้วดีงแสงนี่ detail หายไปมากกว่าครับ..(..อันนี้ไม่ใช่ข้อสรุปนะครับ..แต่โดยส่วนตัวที่ได้ถ่ายภาพทำภาพมาบ้างก็รู้สึกถึงตรงนี้ได้ครับ) .. . จากคุณ : ป๊าตัว art (แม่ยู้-ลูกหมูนะโม) เขียนเมื่อ : 8 ส.ค. 54 00:30:36

ความคิดเห็นที่ 112 กลับมาอ่านอีกรอบความรู้เพียบ จากคุณ : Mr.pokpak เขียนเมื่อ : 10 ส.ค. 54 09:08:49