โจทก์ ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายจำนวน 1,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 2 และที่ 3 ให้การขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณาจำเลยที่ 2 และที่ 3 ยื่นคำร้องขอให้เรียกบริษัทเอส.ที. วีดีโอ จำกัด เข้ามาเป็นจำเลยร่วมที่ 1 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาต และจำเลยร่วมที่ 1 ยื่นคำร้องขอให้เรียกนายสุรินทร์เข้ามาเป็นจำเลยร่วมที่ 2 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาต
จำเลยร่วมที่ 1 และที่ 2 ให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนจำเลยทั้งสามและจำเลยร่วมทั้งสอง โดยกำหนดค่าทนายความให้คนละ 10,000 บาท
โจทก์อุทธรณ์ โดยได้รับอนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถา
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยที่ 1 ใช้เงินจำนวน 100,000 บาท จำเลยที่ 2 ร่วมกับจำเลยที่ 3 ใช้เงินจำนวน 100,000 บาท จำเลยร่วมที่ 1 ใช้เงินจำนวน 200,000 บาท และจำเลยร่วมที่ 2 ใช้เงินจำนวน 200,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงินแต่ละจำนวนตามลำดับ นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 กับจำเลยร่วมที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความรวม 20,000 บาท สำหรับค่าธรรมเนียมศาลในชั้นอุทธรณ์ที่โจทก์ได้รับอนุญาตให้ดำเนินคดีอย่าง คนอนาถานั้น ให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 กับจำเลยร่วมที่ 1 และที่ 2 นำมาชำระต่อศาลในนามของโจทก์
จำเลยที่ 2 ที่ 3 และจำเลยร่วมที่ 2 ฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะ ฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและ การค้าระหว่างประเทศวินิจฉัยว่าข้อเท็จจริงในเบื้องต้นรับฟังได้ว่า โจทก์ซึ่งเป็นผู้ประพันธ์และเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ในงานวรรณกรรมนวนิยาย เรื่องดาวพระศุกร์ได้อนุญาตให้จำเลยร่วมที่ 2 นำนวนิยายเรื่องดังกล่าวไปสร้างเป็นภาพยนตร์ 35 มิลลิเมตร ได้ 1 ครั้ง เพื่อจัดฉายตามโรงภาพยนตร์ทั่วประเทศภายใน 7 ปี ตามหนังสือสัญญาอนุญาตให้สร้างภาพยนตร์ลงวันที่ 17 พฤษภาคม 2537 จำเลยร่วมที่ 2 ได้นำนวนิยายเรื่องดังกล่าวไปสร้างเป็นภาพยนตร์แล้วนำออกฉายตามโรงภาพยนตร์ จากนั้นจำเลยร่วมที่ 2 นำภาพยนตร์เรื่องดังกล่าวไปบันทึกเป็นวิดีโอเทป แล้วนำวิดีโอเทปนั้นออกจำหน่ายและให้เช่า นอกจากนี้จำเลยร่วมที่ 2 ได้ทำสัญญาอนุญาตให้จำเลยร่วมที่ 1 นำภาพยนตร์เรื่องดังกล่าวไปบันทึกเป็นวิดีโอเทปแล้วนำม้วนวิดีโอเทปนั้นออก จำหน่ายตามหนังสือสัญญาซื้อขายลิขสิทธิ์ภาพยนตร์ไทยเพื่อบันทึกเป็นเทป บันทึกภาพและเสียง (วิดีโอเทป) ลงวันที่ 24 มิถุนายน 2537 (ที่ถูกเป็นสัญญาอนุญาตให้ใช้สิทธิ) ต่อมาจำเลยร่วมที่ 1 ได้อนุญาตให้จำเลยที่ 2 นำม้วนมาสเตอร์เทปภาพยนตร์เรื่องดังกล่าวไปผลิตเป็นวิดีโอเทปออกจำหน่าย ตามหนังสือสัญญาการขายลิขสิทธิ์ภาพยนตร์ไทย ลงวันที่ 5 กรกฎาคม 2537 (ที่ถูกเป็นสัญญาอนุญาตให้ใช้สิทธิ) แล้วจำเลยที่ 2 โดยจำเลยที่ 3 กรรมการผู้จัดการได้ผลิตวิดีโอเทปภาพยนตร์เรื่องดังกล่าวออกจำหน่าย ตามสัญญาอนุญาตให้สร้างภาพยนตร์ลงวันที่ 17 พฤษภาคม 2537 ซึ่งเป็นสัญญาอนุญาตให้ใช้ลิขสิทธิ์ว่า โจทก์ได้อนุญาตให้จำเลยร่วมที่ 2 นำนวนิยายเรื่องดาวพระศุกร์ซึ่งเป็นงาน วรรณกรรมอันมีลิขสิทธิ์ของโจทก์ไปสร้างเป็นภาพยนตร์ 35 มิลลิเมตร ได้ 1 ครั้ง เพื่อจัดฉายตามโรงภาพยนตร์ทั่วประเทศภายใน 7 ปี นั้น แม้จำเลยร่วมที่ 2 จะสร้างภาพยนตร์เรื่องดาวพระศุกร์โดยได้ รับอนุญาตจากโจทก์ผู้เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ในงานวรรณกรรมนวนิยายเรื่องดัง กล่าว อันเป็นการนำเอางานอันมีลิขสิทธิ์มาดัดแปลงและจำเลยร่วมที่ 2 มีลิขสิทธิ์ในงานภาพยนตร์ที่ได้ดัดแปลงขึ้นตาม พ.ร.บ. ลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2521 มาตรา 9 ซึ่งเป็นบทกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในขณะที่ทำสัญญาก็ตาม แต่สิทธิในลิขสิทธิ์สำหรับงานภาพยนตร์ดังกล่าวของจำเลยร่วมที่ 2 ที่ได้มาตามสัญญามีจำกัดอยู่เพียงสิทธิในการโฆษณาหรือเผยแพร่ต่อสาธารณชน ซึ่งภาพยนตร์นั้นด้วยการฉายตามโรงภาพยนตร์ทั่วประเทศภายใน 7 ปี เท่านั้น จำเลยร่วมที่ 2 ไม่มีสิทธิในการทำซ้ำหรือดัดแปลง นำออกโฆษณาหรือเผยแพร่ต่อสาธารณชนซึ่งภาพยนตร์นั้นด้วยวิธีอื่น ไม่อาจให้เช่าต้นฉบับหรือสำเนางานภาพยนตร์นั้น หรือให้ประโยชน์อันเกิดจากลิขสิทธิ์ในงานภาพยนตร์นั้นแก่ผู้อื่นได้ ตลอดจนไม่อาจอนุญาตให้ผู้อื่นทำซ้ำหรือดัดแปลง นำออกโฆษณาหรือเผยแพร่ต่อสาธารณชนซึ่งงานภาพยนตร์นั้น หรือไม่อาจอนุญาตให้ผู้อื่นใช้สิทธิในการให้เช่าต้นฉบับหรือสำเนางาน ภาพยนตร์นั้นตามที่บัญญัติไว้ใน พ.ร.บ. ลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2521 มาตรา 13 และ พ.ร.บ. ลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 (ซึ่งมีผลใช้บังคับเมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2538) มาตรา 15 ได้ ดังนี้ การที่จำเลยร่วมที่ 2 นำภาพยนตร์เรื่องดาวพระศุกร์ที่ ตนสร้างขึ้นไปบันทึกเป็นวิดีโอเทปในรูปของงานโสตทัศนวัสดุหรือภาพยนตร์แล้ว นำวิดีโอเทปนั้นออกจำหน่ายและให้เช่า จึงเป็นการทำซ้ำงานวรรณกรรม นวนิยายเรื่องดาวพระศุกร์ อันเป็นงานอันมีลิขสิทธิ์ของโจทก์ซึ่งมีอยู่ในภาพยนตร์นั้นโดยไม่มีสิทธิที่ จะทำได้ตามสัญญา และโดยไม่ได้รับอนุญาตจากโจทก์ผู้เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ในงานวรรณกรรมนั้น การกระทำดังกล่าวของจำเลยร่วมที่ 2 ย่อมเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ในงานวรรณกรรมนวนิยายเรื่องดาวพระศุกร์ของ โจทก์ ตาม พ.ร.บ. ลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2521 มาตรา 24 (1) หรือ พ.ร.บ. ลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 มาตรา 27 (1) ส่วนวิดีโอเทปที่จำเลยร่วมที่ 2 ทำซ้ำขึ้นแล้วนำออกจำหน่ายและให้เช่านั้นเป็นสิ่งที่ทำขึ้นโดยละเมิด ลิขสิทธิ์ของโจทก์ เมื่อจำเลยร่วมที่ 2 รู้อยู่แล้วว่าวิดีโอเทปนั้นตนได้ทำขึ้นโดยละเมิดลิขสิทธิ์ของโจทก์ยังนำออก จำหน่ายและให้เช่าเพื่อหากำไร การกระทำในส่วนนี้ของจำเลยร่วมที่ 2 ยังเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ในงานวรรณกรรมของโจทก์ ตาม พ.ร.บ. ลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2521 มาตรา 27 (1) หรือ พ.ร.บ. ลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 มาตรา 31 (1) อีกด้วย
สำหรับจำเลยร่วมที่ 1 เมื่อได้วินิจฉัยมาแล้วว่าจำเลยร่วมที่ 2 มีสิทธิตามสัญญาอนุญาตให้ใช้ลิขสิทธิ์ในงานวรรณกรรมนวนิยายเรื่องดาวพระศุกร์ของ โจทก์ เพียงนำนวนิยายนั้นไปสร้างเป็นภาพยนตร์ 35 มิลลิเมตร ได้ 1 ครั้ง เพื่อจัดฉายตามโรงภาพยนตร์ทั่วประเทศภายใน 7 ปี นับแต่วันทำสัญญาดังกล่าวเท่านั้น จำเลยร่วมที่ 2 ไม่มีสิทธินำภาพยนตร์ที่ได้ดัดแปลงขึ้นแม้เป็นลิขสิทธิ์ของจำเลยร่วมที่ 2 ไปทำซ้ำหรือดัดแปลงหรือนำออกโฆษณาหรือเผยแพร่ต่อสาธารณชนด้วยวิธีอื่น ดังนี้ จำเลยร่วมที่ 2 จึงไม่มีสิทธินำภาพยนตร์เรื่องดังกล่าวที่ตนสร้างขึ้นไปทำสัญญาอนุญาตให้ จำเลยร่วมที่ 1 ทำซ้ำโดยบันทึกเป็นวิดีโอเทปแล้วนำม้วนวิดีโอเทปนั้นออกจำหน่าย บริษัทจำเลยร่วมที่ 1 มีวัตถุประสงค์ในการประกอบกิจการซื้อขายลิขสิทธิ์ทั้งในรูปของภาพยนตร์หรือ ภาพยนตร์วิดีโอเทปเพื่อนำมาผลิตหรือบันทึกเป็นวิดีโอเทปและนำออกขาย ให้เช่า หรือให้ใช้สิทธิแก่บุคคลทั่วไปทั้งในและต่างประเทศด้วย บริษัทจำเลยร่วมที่ 1 ผู้ประกอบกิจการดังกล่าวจึงควรอย่างยิ่งที่จะต้องตรวจสอบถึงสิทธิของจำเลย ร่วมที่ 2 เสียก่อนว่าบริษัทจำเลยร่วมที่ 2 มีสิทธิอนุญาตให้จำเลยร่วมที่ 1 นำภาพยนตร์เรื่องดาวพระศุกร์ไปบันทึกเป็น วิดีโอเทปแล้วนำวิดีโอเทปนั้นออกจำหน่ายได้หรือไม่ เพื่อป้องกันปัญหาที่จำเลยร่วมที่ 1 อาจต้องรับผิดฐานละเมิดลิขสิทธิ์ในงานวรรณกรรมนวนิยายเรื่องดาวพระศุกร์ของ โจทก์ซึ่งเป็นงานอันมีลิขสิทธิ์ที่อยู่ในงานภาพยนตร์นั้นได้ หากจำเลยร่วมที่ 1 ได้ตรวจสอบถึงสิทธิของจำเลยร่วมที่ 2 ก่อน ก็จะทราบว่าขณะที่จำเลยร่วมที่ 1 เข้าทำสัญญาลงวันที่ 24 มิถุนายน 2537 กับจำเลยร่วมที่ 2 จำเลยร่วมที่ 2 ไม่มีสิทธิตามสัญญาที่จะอนุญาตให้จำเลยร่วมที่ 1 นำภาพยนตร์เรื่องดาวพระศุกร์ซึ่ง มีงานวรรณกรรมนวนิยายเรื่องดังกล่าวอันเป็นลิขสิทธิ์ของโจทก์รวมอยู่ด้วยไป ทำซ้ำโดยบันทึกเป็นวิดีโอเทปแล้วนำม้วนวิดีโอเทปนั้นออกจำหน่าย การที่จำเลยร่วมที่ 1 เข้าทำสัญญาจึงมีเหตุผลให้เชื่อว่าจำเลยร่วมที่ 1 มิได้ตรวจสอบถึงสิทธิดังกล่าวของจำเลยร่วมที่ 2 ก่อน เมื่อจำเลยร่วมที่ 2 ไม่มีสิทธิที่จะอนุญาตให้จำเลยร่วมที่ 1 นำภาพยนตร์เรื่องดาวพระศุกร์ซึ่ง มีงานวรรณกรรมนวนิยายเรื่องดังกล่าวอันเป็นลิขสิทธิ์ของโจทก์รวมอยู่ด้วยไป ทำซ้ำโดยบันทึกเป็นวิดีโอเทปแล้วนำม้วนวิดีโอเทปนั้นออกจำหน่าย จำเลยร่วมที่ 1 จึงไม่อาจอ้างว่าตนมีสิทธิตามสัญญาที่จะทำซ้ำงานภาพยนตร์นั้นเป็นวิดีโอเทป ภาพยนตร์และนำม้วนวิดีโอเทปนั้นออกจำหน่ายได้ เมื่อจำเลยที่ 1 ทำซ้ำงานภาพยนตร์นั้นซึ่งมีงานวรรณกรรมของโจทก์รวมอยู่ด้วยโดยทำเป็นวิดีโอ เทปและนำม้วนวิดีโอเทปที่ทำขึ้นนั้นออกจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาตจากโจทก์ ผู้เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ในงานวรรณกรรมนวนิยายเรื่องดาวพระศุกร์ การกระทำของจำเลยร่วมที่ 1 ดังกล่าวจึงเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ในงานวรรณกรรมของโจทก์ ตาม พ.ร.บ. ลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2521 มาตรา 24 (1) และมาตรา 27 (1) หรือตาม พ.ร.บ. ลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 มาตรา 27 (1) และมาตรา 31 (1) และต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์?
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ.
( พินิจ บุญชัด - สุวัฒน์ วรรธนะหทัย - พิชิต คำแฝง )
ศาลแพ่งกรุงเทพใต้ - นายสุภัทร์ สุทธิมนัส
ศาลอุทธรณ์ - นายวิชชา ชินวงษ์พราห์ม