ความคิดเห็นที่ 1 รูปสมัยนั้นการทำให้ภาพชัดทั้งรูปคือความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ เพราะกล้องทุกตัวในยุคฟิล์มมันทำหน้าชัดหลังเบลอได้ปกติตามธรรมชาติของกล้องอยู่แล้ว การให้ชัดทั้งภาพคือต้องใช้ F สูงๆความเร็วต่ำระดับต้องพึ่งขาตั้งอย่างเดียว ภาพนี้ผมใช้ F11 ชัตเตอร์ 125 ได้มาเท่านี้แหละ จากคุณ : คนธนฯ เขียนเมื่อ : 5 ต.ค. 54 23:52:57

ความคิดเห็นที่ 2 ตามติดขอบจอ จากคุณ : Bank_Photolista เขียนเมื่อ : 5 ต.ค. 54 23:54:47

ความคิดเห็นที่ 3 ภาพแบบมุมเสยไปเสยมาแบบนี้แหละที่สมัยนั้นคนชอบเปิดหนังสือต่างประเทศกับนิตยสาร อสท. หามุมเทพๆ(ในสมัยนั้น)ถ่ายกัน ใครได้รูปแบบนี้มาแบ่งกันดูจะบอกว่า มารดาเจ้าท่านถ่ายมาได้อย่างไรขอรับ แต่เดี๋ยวนี้มันธรรมดา ชิวๆ เด็กติ่งหูใช้ไอโพนก็ถ่ายมุมนี้แหละ ภาพนี้ F8 ชัตเตอร์ 125 จากคุณ : คนธนฯ เขียนเมื่อ : 6 ต.ค. 54 00:03:28

ความคิดเห็นที่ 4 ใครได้รูปแบบนี้มาแบ่งกันดูจะบอกว่า มารดาเจ้าท่านถ่ายมาได้อย่างไรขอรับ 555555555555555555555555555555555555555555555555555555 จากคุณ : เจ้าชายรองเท้าแตะ 655 เขียนเมื่อ : 6 ต.ค. 54 00:21:27

ความคิดเห็นที่ 5 ในปี 2509 กับฟิล์มม้วนแรก สิ่งที่ผมจะต้องถ่ายให้ได้คือรูปที่คนรักการถ่ายภาพต้องมีทุกคนคือภาพวัดพระแก้วมุมที่มองจากฝั่งพระบรมมหาราชวัง สิ่งที่เลนส์ Voigtlander Color-Lanthar 50mm f/2.8 ของ Voigtländer เยอรมันแท้ๆผลิตเองทุกส่วนมันจะให้ภาพเทพแค่ไหนในภาพแสงดีๆ ภาพนี้คือสิ่งที่ใช้เทียบกับกล้องตัวอื่น เพราะสมัยน้นภาพนี้คือมุมมหาชนของคนกรุงเทพฯโดยแท้ ไม่มีใครในกรุงเทพที่มีกล้องแล้วจะไม่เคยถ่ายภาพนี้ ภาพนี้ผมใช้ F22 ชัตเตอร์ 300 ได้ภาพออกมาแสนชื่นใจ Voigtländer เลนส์เทพตัวน้อยๆนี่เอง กล้อง Leica M3 เลนส์คิตในสมัยเดียวกันก็ยังไม่กล้าแหยมกับเลนส์ค่ายนี้เพราะมันชนกันได้แบบหมัดต่อหมัดขอให้แสงมันดีๆเถอะเลนส์ Voigtländer ไม่เคยถอยให้ใคร จากคุณ : คนธนฯ เขียนเมื่อ : 6 ต.ค. 54 00:23:34

ความคิดเห็นที่ 6 จากคุณ : Piggie MM เขียนเมื่อ : 6 ต.ค. 54 00:31:48

ความคิดเห็นที่ 7 มาดูโฟล์คตัวเก่งของน้าคนธนฯครับ จากคุณ : raksapondet เขียนเมื่อ : 6 ต.ค. 54 00:51:19

ความคิดเห็นที่ 8 แต่เมื่อใดก็ตามที่แสงน้อย เลนส์ตัวนี้มันจะออกแนวซอฟทันที ภาพนี้ผมใช้ F2.8 ชัตเตอร์ 30 เพราะแสงในระเบียงคตน้อยมากแถมมีสีสะท้อนไม้เพดานที่ทาสีแดงสดอีกต่างหาก แล้วผมก็พลาดจนได้ กล้อง Range finder มันไม่แสดงภาพจริง ยิ่งถ่ายอะไรใกล้ต้องบวกเผื่อมุมภาพจริงกับภาพที่เห็น วิธีแก้มีสองทางคืออย่าถ่ายอะไรที่ฟิตเฟรม กับอีกอย่างคือบวกระยะข้างให้พอดีแต่วิธีนี้ต้องคุ้นกับกล้องแล้วสักหลายๆม้วน พอถ่ายบิดกล้องถ่ายแนว Portrait รูปแรกก็เจอปัญหาเก่าทันที เพราะขอบเหลืองของเฟรมมันเลือนเมื่อแสงน้อย บวกกับระยะเยื้องของเลนส์เลยยิ่งไปกันใหญ่ เอาเป็นว่าสมัยปี 2509 ผมมีรูปที่ถ่ายออกมาเฟอะฟะแบบนี้มากมายประมาณสามล้านกว่ารูป จากคุณ : คนธนฯ เขียนเมื่อ : 6 ต.ค. 54 01:03:39

ความคิดเห็นที่ 9 รูปนี้แสงดีพอใ่ช้เลยทีเดียว เฟรมเหลืองชัดเจน และผมเริ่มจำได้ว่ากล่อง RF มันต้องบวกข้าง ยิ่งถ่ายแนวเอียงกล้องแบบ Portrait ต้องบวกข้างอีกคืบทุกระยะหนึ่งเมตร แม้รูปนี้จะบวกไม่ค่อยดีนักก็ถือว่าเป็นก้า้วสำคัญของคนใช้กล้อง RF มือละอ่อนในสมัยนั้น เวลานั้นผมถ่ายได้รูปเท่านี้ก็ถือว่าคืนนั้นนอนตาหลับแล้วทั้งที่ผมบวก RF ขาดซ้ายไปตั้งคืบ สมัยปี 2509 หนังดอกดิน กัญญามาลย์ภาพยนต์ ยังถ่ายหลุดเฟรมบ่อยๆมิตร ชัยบัญชายังชกผู้ร้ายตกจอหลุดเฟรมกล้องเลย เอาอะไรกันมากมายกับมือสมัครเล่น รุปนี้เจอแดดเต็มๆ เลนส์แฟร์เล็กน้อย F16 ชัตเตอร์ 300 จากคุณ : คนธนฯ เขียนเมื่อ : 6 ต.ค. 54 01:25:04

ความคิดเห็นที่ 10 ปาดๆๆๆๆๆๆ จากคุณ : โอโย๊ะโย๋ เย้! เขียนเมื่อ : 6 ต.ค. 54 01:37:19

ความคิดเห็นที่ 11 ผมอยากจะเทียบให้ดูอีกรูปว่ากล้อง VF หรือ RF มันไม่ปัญหากับระยะที่ไกลขึ้นอีกนิด เพราะภาพในช่องมองภาพกับภาพจากเลนส์มันเกือบจะทับกัน สมัยนั้นเรื่องทฤษฎี สี่จุดเก้าช่อง มันไม่ค่อยมีใครทำกันหรอก ถ่ายแบบเปิ่นเทิ่นมันเทศ ภาพต้องกลางเป๊ะแบบนี้แหละถึงสวย ใครถ่ายภาพเอียงข้างเน้นจุดสนใจให้ลงระยะ 1/3 จะถูกวิจารณ์ทันทีว่าใช้นิ้วอันใหญ่ในกางเกงกดชัตเตอร์ถ่ายอ่ะเป่า ภาพเอียงขนาดนั้น ภาพที่สวยมันต้องกลางเป๊ะๆซิถึงจะเรียกว่าเทพถ่าย นั่นคือความคิดในการถ่ายภาพของผมในปี 2509 จะบอกว่าของผมคนเดียวไม่ได้หรอก อสท.ก็ถ่ายแบบนี้แหละ น้ำตกอยู่กลางภาพ ต้นไม้อยู่กลางภาพ เจดีย์อยู่กลางภาพเหมือนส่องกระจกอย่างไรอย่างนั้น แม้แต่ภาพ street ในหนังสือจากเมืองนอกก็กดกันกลางเฟรม ภาพนี้ F8 ชัตเตอร์ 125 จากคุณ : คนธนฯ เขียนเมื่อ : 6 ต.ค. 54 01:44:29

ความคิดเห็นที่ 12 ความฟลุ๊กกับกล้องฟิล์มคือของคู่กัน เพราะว่าการวัดแสงของซีเลเนียมที่ติดมากับกล้องคือการวัดแสงเฉลี่ย แต่ภาพนี้ถ้าเป็นดิจิตอลจะวัดแสงเป็นจุด ดังนั้นการดูเข็มของมิเตอร์วัดแสงแล้วกดมาได้แบบนี้เอาไปโชว์แล้วคุยได้สามวันว่า Light meter ของกล้องตัวนี้แม่นยำอิ๋บอ๋ายเลยขอรับท่านเจ้าคุณของไอ้แห้ว สมัยนั้นผมก็ชอบถ่ายดอกไม้แล้วไม่ต่างกับทุกวันนี้ จะบอกว่าทุกม้วนของฟิล์มที่ผมถ่ายต้องมีดอกไม้เสมอ กล้อง Voigtländer Vitoret DR มันโฟกัสใกล้สุดได้ประมาณครึ่งเมตร ดังนั้นดอกไม้ใน พศ.2509 ของผมมันมีแต่แบบนี้แหละ อย่างน้อยมันก็ให้ดอกไม้สวยกว่า Olympus S ตั้งเยอะ ภาพนี้ F5.6 ชัตเตอร์ 60 วัดแสงโดย selenium meter ผลิตโดย Gossen ซึ่งสร้างมายัดใส่กล้อง Leica ด้วยนะขอรับท่าน ไม่ใช่อุจาระๆเลยสักนิด เป็นสมัยนี้คนดูภาพนี้คงคิดว่า ไอ้แห้วเอ้ยยย...ถ่ายรูปนี้มาหาพระแสงด้ามยาวอะไรของมันกันหว่า แต่อย่าลืมว่าภาพแบบนี้ตอนสมัย 2509 สำหรับผมแล้วมันคือภาพถูกใจยิ่งนัก โชว์เพื่อนไม่เบื่อจนภาพจืดแล้วจืดอีก จากคุณ : คนธนฯ เขียนเมื่อ : 6 ต.ค. 54 02:03:47

ความคิดเห็นที่ 13 ได้ภาพแบบนี้มาสมัยก่อนนี้ผมเอามาดูแล้วดูอีกว่าได้เลนส์เทพมาครอบครองแล้ว มันให้ภาพละเอียดไม่แพ้ภาพในหนังสือดีๆที่มาจากเมืองนอกเลย แถมยังชัดทั้งรูปอีก ไม่มีหน้าชัดหลังเบลอหรือหน้าเบลอหลังชัด บุญของไอ้แห้วเหลือเกินนี่มันเลนส์เทพแท้ๆ สมัยนั้นในความคิดของผม สิ่งที่ต้องอยากจะสื่อต้องอยู่กลางภาพทั้งที่สมัยนี้ผมไม่เอาหินอ่อนข้างล่างเลี่ยนๆติดภาพมาหรอก ผมจะเดินเข้าไปอีกนิดแล้วเสยขึ้นหน่อยเพื่อหนีฐานหินอ่อนข้างล่างที่แบนราบให้มีมุมและมิติอีกนิด จะไม่ให้มันออกมาแบนๆเป็นกล้วยปิ้งแบบนี้หรอก แต่นั่นคือมุมมองของผมสมัยยังฝีมือละอ่อนถือกล้องออกไปเก็บเกี่ยวประสบการณ์ในปี 2509 รุปนี้ F22 ชัตเตอร์ 300 จากคุณ : คนธนฯ เขียนเมื่อ : 6 ต.ค. 54 02:21:29

ความคิดเห็นที่ 14 สมัยนั้นทฤษฎีเรื่องแสงวิ่งอ้อมรูแคบๆแล้วย่านพลังงานแต่ละความถี่มันโดนกระจายตัวฟุ้งเหมือนมีปริซึ่มขนาดจิ๋วรอบๆรูยังไม่มีใครรู้จัก ทฤษฎีควอนตั้มมันอยู่แต่ในมหาวิทยาลัยชั้นนำในเมืองนอกไม่กี่แห่งที่มีคนเข้าใจในโลกไม่ถึงยี่สิบคน สมัยนั้นคนทั้งโลกเข้าใจเพียงรูปแบบของแสงและสเป็กตัมของแสงด้วยสมการอนุกรมฟูเรียร รูปนี้ผมใช้ F22 ชัตเตอร์ 300 แต่ได้รูปแบบนี้มา สมัยนั้นผมจะหาคำตอบไม่ได้หรอกว่ามันเกิดอะไรขึ้น เลนส์ก็โค๊ทมาสุดยอดตัวหนึ่งของโลก ความเร็วก็สูงถึง 300 มือไม่สั่นแน่นอน แล้วภาพมันออกมาแบบนี้ได้ไง โฟกัสไม่เข้าคือสิ่งที่ผมโทษตัวเองแต่ที่จริงแล้วมันไม่ใช่เลย ในสมัยนั้น ผมจะให้คำตอบตัวเองง่ายๆคือ แสงแบบนี้อย่าใช้ F แคบขนาด F22 กับวัตถุสะท้อนแสงได้ใกล้ตัว แต่สมัยนี้ผมจะมีสมการ Light field ใหลวนอยู่ในหัวแทน ภาพนี้ทั้งฟุ้งทั้งแฟร์และขอบภาพมีสีรุ้งทั้งที่  F22 ชัตเตอร์ 300 แต่ผมเปลี่ยนมุมยืนอีกนิดเดียวภาพมันออกมาคนละโลกเลยที่เดียว นั่นคือละอ่อนแบบผมในปี 2509 ที่พยายามหาคำตอบในภาพที่ไม่เข้าใจ และหาเหตุผลในสิ่งที่ตัวเองไม่รู้ ส่วนเรื่ององค์ประกอบภาพ เอาเป็นว่านั่นคือมุมยืนถ่ายภาพของผมในสมัยนั้นซึ่งเป็นสมัยนี้ผมไม่ยืนมุมนั้นแล้วกดชัตเตอร์หรอก ภาพออกมามุมมองเชยโคตรๆ จากคุณ : คนธนฯ เขียนเมื่อ : 6 ต.ค. 54 02:46:57

ความคิดเห็นที่ 15 นี่คือมุมมองโปรดสำหรับผมในสมัยนั้น เชยสุดขีดเมื่อเทียบกับภาพสมัยนี้ ภาพที่ไม่เล่าเรื่องอะไรเลยแบบนี้ผมมีสะสมไว้เพียบ บางครั้งผมเอาฟิล์มเก่ามาดูแล้วก็หัวเราะตัวเองว่าถ่ายมาทำไมหว่ากับรูปแบบนี้ แต่อย่างที่บอกนั่นแหละว่ามันคือมุมมองโปรดสำหรับผม ใครไม่ชอบแต่สมัยนั้นผมชอบของผม พอถึงวันนี้ผมยังบ่นตัวเองเลยว่า เอ็งถ่ายรูปแบบนี้มาทำไม้ตีพริกอะไรของเอ็งหว่า ภาพนี้ F16 ชัตเตอร์ 300 จากคุณ : คนธนฯ เขียนเมื่อ : 6 ต.ค. 54 02:57:45

ความคิดเห็นที่ 16 สมัยนั้นกับสมัยนี้ ภาพที่ผมถ่ายในปี 2509 กับปีนี้ 2554 มุมของภาพไม่ต่างกัน ถึงวันนี้ผมก็จะถ่ายด้วยมุมนี้แหละ บางสิ่งผมก็ยังใช้มุมมองเดิมในการนำเสนอแม้จะผ่านไปนานเท่าไรก็ตาม กลางเป๊ะบางครั้งมันก็ไม่เลวหรอกครับกับรูปบางรูป อาจจะดูแล้วเชยมากกับบางคน แต่สำหรับผมยังเป็นมุมมองในช่องมองภาพที่ยังเป็นมุมโปรดอยู่ไม่ยอมเลิก ภาพนี่ F16 ชัตเตอร์ 125 จากคุณ : คนธนฯ เขียนเมื่อ : 6 ต.ค. 54 03:11:02

ความคิดเห็นที่ 17 นี่คืออีกมุมที่ผมก็ยังใช้อยู่จนถึงวันนี้ ผมเคยเอาฟิล์มเก่าๆมาดูมีภาพมุมนี้อยู่ไม่ต่ำกว่ายี่สิบรูปจากหลายๆกล้อง แสดงให้เห็นว่านี่คือสิ่งที่อยู่กับผมมาไม่เคยเปลี่ยนเลยกับมุมมองแบบนี้ ถ่ายภาพยักษ์กี่ตนทั้งวัดก็ถ่ายมุมนี้เหมือนลายเซ็นต์ที่ไม่เคยเปลี่ยน ภาพนี้ F22 ชัตเตอร์ 300 เลนส์  Voigtlander Color-Lanthar 50mm f/2.8 แสดงศักยภาพของหนึ่งในสุดยอดเลนส์เยอรมันได้ดีสุดๆภาพหนึ่งในฟิล์มชุดนี้ จากคุณ : คนธนฯ เขียนเมื่อ : 6 ต.ค. 54 03:19:57

ความคิดเห็นที่ 18 นี่ก็อีกอย่างที่ผมไม่เปลี่ยน สมัยปี 2509 ใครถ่ายภาพนี้ด้วยแนว Portrait คือไอ้กบฎ เพราะภาพแนวนี้ต้อง Landscape อย่างเดียว สมัยก่อนการถ่ายภาพมีขนบธรรมเนียมของการถ่ายภาพอยู่ ภาพแบบนี้สมัยก่อนเรียกว่าภาพอึดอัดเพราะมันดูเหมือนบีบในกรอบ แต่ผมกลับชอบของผมแบบนี้ ทุกวันนี้ในปี 2554 ผมเอาฟิล์มเก่าๆมาดูแล้วเจอภาพมุมนี้หรือคล้ายๆแบบนี้ในหลายๆสถานที่ผมจะรู้สึกว่า เอ็งก็ถ่ายภาพแบบกบฎได้สวยดีเหมือนกันนี่หว่า ภาพมหาวิหารแห่งโคลญ หรือเรียกบางคนเรียกว่าโคโลญ ผมก็ถ่ายแบบนี้แนวนี้มาเพียบไปหมด ภาพนี้ผมใช้ F22 ชัตเตอร์ 300 ได้ภาพออกมาแสนชื่นใจเสียนี่กระไร แต่เป็นสมัยก่อนผมให้ใครดูก็มีแต่คนไม่ชอบ ส่วนภาพพื้นดินเอียงๆนี่เป็นนิสัยไม่ดีที่แ้ก้ไม่หายของผมมาตั้งแต่เริ่มถ่ายภาพเป็นเลยทีเดียว ทุกวันนี้ก็ยังถ่ายภาพชุยๆอยู่เหมือนเดิม จากคุณ : คนธนฯ เขียนเมื่อ : 6 ต.ค. 54 03:38:26

ความคิดเห็นที่ 19 นี่คืออีกมุมที่เชยโคตรๆสมัยปี 2509 ผมก็จะถ่ายแบบนี้แหละ แล้วชื่นชมว่าสวยดี แต่ให้ตัยซิโรบิ้น ถ้าให้ผมถ่ายตอนนี้ผมจะเอาหนึ่งในห้าของหินอ่อนด้านล่างที่ไม่เล่าเรื่องอะไรเลยออกไปด้วยการเดินเข้าไปอีกสองก้าวแล้วนั่งลงเสยกล้องขึ้นแทน แม้จะได้ยักษ์จำนวนน้อยลงแต่ภาพจะดีขึ้นอีกมากมาย แต่นี่คือโจทย์ที่ว่าถ้าเป็นเมื่อ พศ.2509 ผมถือกล้องตัวนี้วันแรกผมจะถ่ายอะไร ก็ถ่ายภาพมุมสั่วๆโบราณๆแบบนี้แหละครับ 555555 ภาพนี้ F22 ชัตเตอร์ 300 จากคุณ : คนธนฯ เขียนเมื่อ : 6 ต.ค. 54 03:52:27

ความคิดเห็นที่ 20 ขออภัยครับ แต่รอให้ถึงภาพ คห.ท้ายสุดไม่ไหว เพราะ ... โดนแทบจะทุก คห. เลย เหมือน น้าคนธนฯ ตั้งกระทู้มาสอนให้ตัวต่อตัวเลย ขอขอบพระคุณ คุณครูที่ได้ชี้แนะหนทางสว่าง ในการถ่ายภาพครับผม จากคุณ : nasay เขียนเมื่อ : 6 ต.ค. 54 04:00:17

ความคิดเห็นที่ 21 แต่ภาพนี้ถึงวันนี้ผมก็ยังถ่ายแบบนี้ แปลกดีนะภาพข้างบนผมบอกว่ามุมสั่วแล้วทำไมภาพนี้บอกว่าวันนี้ก็ยังถ่ายอยุ่ ก็หลังมันชนเสาระเบียงคตแล้วต่อให้ถ่ายอีกร้อยปีผมก็ยังถ่ายภาพนี้มุมนี้นี่แหละ Prime Lens ถอดเปลี่ยนไม่ได้มันเสียเปรียบตรงนี้แหละ ภาพนี้แสงโอเว่อร์นิดๆ ผมพลาดเองที่ดันไม่สังเกตุว่าแสงเปลี่ยนตอนถ่าย เพราะตั้งหน้ากล้องไปแล้วแต่ดันหันไปดูไฟหน้าขนาดโอเวอร์ไซส์ของยัยแหม่มที่ยืนถ่ายด้วยข้างๆเพลินไปหน่อย พอเมฆลอยพ้นไปก็กดชัตเตอร์โดยไม่สังเกตุว่าแสงไม่เหมือนเดิมแล้ว ภาพนี้ F8 ชัตเตอร์ 125 จากคุณ : คนธนฯ เขียนเมื่อ : 6 ต.ค. 54 04:04:24

ความคิดเห็นที่ 22 ภาพที่ผมมองสวยในสมัยปี 2509 แต่ปีนี้ผมมองว่าเอ็งถ่ายรูปนี้มาทำไม้ตีพริกอะไรของเอ็งฟร่ะ แต่สมัยนั้นถ้าผมถือกล้องตัวนี้วันแรกผมก็ถ่ายภาพนี้แบบนี้จริงๆนั่นแหละ ทั้งมีพื้นที่ไม่เล่าเรื่องอะไรเลยอยู่กว่าครึ่งของพื้นที่ของรูป ทั้งคอมโพสก็ห่วยแตก แถมยังวัดแสงผิดไปตั้งเกินครึ่งสต็อป แต่ผมยืนยันได้เลยว่าสมัยนั้นผมกลับมองว่ารูปแบบนี้สำหรับผมสวยมากมายถูกใจเหลือหลายมีทั้งยักษ์หลายตัว ทั้งเจดีย์ ทั้งหน้าจั่วสวยๆ ทั้งแบ็กกราวด์ยอดเจดีย์ไกลๆอีกยอด ส่วนวัดแสงผิดนี่ผมก็จะแก้ตัวว่า ก็แสงข้างหลังมันสว่างเกินใครจะคุมแสงได้ บลา บลา บลา ไปตามเรื่อง เด็กเอ๋ยเด็กน้อยจริงกับความคิดของผมตอนนั้น ภาพนี้ F16 ชัตเตอร์ 125 จากคุณ : คนธนฯ เขียนเมื่อ : 6 ต.ค. 54 04:24:19

ความคิดเห็นที่ 23 จบแล้วครับสำหรับคืนนี้ ได้จับกล้อง Voigtländer Vitoret DR ปี 1965 ออกเดินถ่ายภาพด้วยโจทย์ที่ตั้งให้ตัวเองแบบอุบาทว์สุดๆทำให้วันหนึ่งของผมสนุกสุดๆอีกเหมือนกัน กล้องฟิล์มไม่มีวันตายสำหรับผม ขอบคุณเพื่อนๆทุกท่านแฟนนานุแฟนทั้งหลายที่เข้ามาปาดเป็นเพื่อนแก้ง่วงให้ผมทุกท่าน สำหรับน้าnasay ด้วยความยินดีครับ จากคุณ : คนธนฯ เขียนเมื่อ : 6 ต.ค. 54 04:33:19

ความคิดเห็นที่ 24 กลับมาชมรอบที่ 2 แล้วยังไม่จบอีกเหรอครับน้าคนธนฯ สีเข้ม สีจัดดีจริงๆครับ เรื่องทฤษฎีผมก็เอาแค่รู้พื้นฐานไม่ได้ลึกขนาดที่น้าเขียนมาเพราะเป็นคนขี้เกียจอ่านแต่ชอบถ่ายรูป..ขอบคุณที่นำภาพและความรู้มาให้ รอชมต่อไปครับ จากคุณ : KY_2003 เขียนเมื่อ : 6 ต.ค. 54 04:34:09

ความคิดเห็นที่ 25 เรียนเชิญน้าคนธนฯไปเป็นวิทยากรพิเศษบรรยายเรื่องเลนส์ Tower 2.5 35mm H.C M37 Asahiflex Screw Mount  ให้ผมที่กระทู้ http://www.pantip.com/cafe/camera/topic/O11156912/O11156912.html นี่หน่อยครับ จากคุณ : KY_2003 เขียนเมื่อ : 6 ต.ค. 54 04:36:21

ความคิดเห็นที่ 26 โห....ชมเพลินเลยครับพี่คนธนฯ ว่าแต่ว่า นี่พี่ยังไม่ได้นอน หรือว่าเพิ่งตื่นเช้าครับพี่ ? จากคุณ : Supermop เขียนเมื่อ : 6 ต.ค. 54 04:36:47

ความคิดเห็นที่ 27 ตามอ่านทุกตอน.. ขอบคุณค่ะ   จากคุณ : Lawanwadee เขียนเมื่อ : 6 ต.ค. 54 05:43:02

ความคิดเห็นที่ 28 เพลินเลยครับ จากคุณ : Jedcon เขียนเมื่อ : 6 ต.ค. 54 07:42:24

ความคิดเห็นที่ 29 น้าคนธนนั่นมันสมัยผมเลยนะ ผมกับน้องชายขี่ฮอนด้าSupper Cup 50 CC. สามเกียร์ตระเวณถ่ายรูปกัน ตอนนี้น้องผมเสียไปแล้วแต่กล้องตัวนี้ยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์ หากมีโอกาสจะได้ไปขอหยิบยืมน้องสะไภ้มาอวดบ้างนะครับ สมัยนั้นเราใช้แต่ฟิล์มขาวดำเป็นส่วนใหญ่เพราะสามารถล้างอัดเองได้ ฟิล์มสีเป็นอะไรที่ราคาสูงเกินกว่าจะอาจเอื้อมได้ครับ **ขอบคุณน้าคนธนมากที่นำมาให้ชมทำให้คิดถึงความหลัง** จากคุณ : ลุงเบี๊ยก (kajohnwit) เขียนเมื่อ : 6 ต.ค. 54 07:49:32

ความคิดเห็นที่ 30 ...ดูแล้วเพิ่งจะรู้ว่า...แก่. จากคุณ : dih (dih2552) เขียนเมื่อ : 6 ต.ค. 54 07:57:26

ความคิดเห็นที่ 31 หวัดดีครับลุง.. กระทู้ที่รอคอยเลยทู้นี้ แต่อ่านแล้วเหนื่อยมาก.. หัวมึน แต่ท้องแข็ง.. จากคุณ : i_santi เขียนเมื่อ : 6 ต.ค. 54 08:00:45

ความคิดเห็นที่ 32 "กล้อง  TLR ก็เชยเปิ่นเทิ่น ใครถือตอนนั้นคือคนตกยุคดูแก่โคตรๆ" ^ ^ ^ ผมยังถือมันอยู่เลยครับน้าคนธนฯ :D จากคุณ : iMOst เขียนเมื่อ : 6 ต.ค. 54 08:31:41

ความคิดเห็นที่ 33 เอามาอวดมั่งได้มั๊ยน้า ของผมเป็นเจ้าตัวนี้ครับ เอามาจากบ้านผีสิง จากคุณ : เคยรู้อะไรกะเค้ามั่งมั๊ยเนี่ย เขียนเมื่อ : 6 ต.ค. 54 09:34:36

ความคิดเห็นที่ 34 เอาฟิล์มขาวดำ 400 มาเล่นเหมือนกันครับ เกรนเพียบ แต่ผมวัดแสงพลาดไปเยอะครับ เพราะใช้กล้องดิจิตอลวัดแสง พอถ่ายมา over เพียบ เดี๋ยวนี้ไม่ได้หยิบมาเล่นเลยครับ  ไม่มีที่ล้างฟิล์ม จากคุณ : เคยรู้อะไรกะเค้ามั่งมั๊ยเนี่ย เขียนเมื่อ : 6 ต.ค. 54 09:36:16

ความคิดเห็นที่ 35 เห็นทู้ของน้า ได้แรงบันดาลใจ ไปหยิบเล่นดีกว่า (แล้วจะล้างฟิล์มที่ไหนได้เนี่ย อยู่บ้านนอกลำบากจัง) จากคุณ : เคยรู้อะไรกะเค้ามั่งมั๊ยเนี่ย เขียนเมื่อ : 6 ต.ค. 54 09:40:08

ความคิดเห็นที่ 36 ต้องใช้สบู่อะไรล้างฟิมล์ครับ  ฮาฮา แบบว่าเกิดไม่ทัน ล้อเล่นครับน้า ดูแล้วนึกถึงอดูด จากคุณ : Vijung เขียนเมื่อ : 6 ต.ค. 54 09:55:19

ความคิดเห็นที่ 37 " กล้อง  TLR ก็เชยเปิ่นเทิ่น ใครถือตอนนั้นคือคนตกยุคดูแก่โคตรๆ " 2506 กล้องที่จับถ่ายเป็นเรื่องเป็นราว ได้เงินแล้วพ่อยกให้ค่าขนมไปกินโรงเรียน เป็นกล้องตัวนี้ครับ จากคุณ : wat06 (HS6GDE) เขียนเมื่อ : 6 ต.ค. 54 10:03:15

ความคิดเห็นที่ 38 ดูท่าน้าคนธนฯ จะรุ่นน้องๆ คุณลุงเจียวต้าย.. น่าจะขุดกรุภาพเก่าๆ ยุค 60's มาให้ชมบ้างนะครับ ส่วนกระทู้นี้..เนื้อหาครีเอทมาก เล่าเรื่องทั้งกล้อง ทั้งสไตล์ถ่ายภาพแนวย้อนยุค แจ่ม..ชอบ..โหวด..เก็บ ครบหมดเลยครับ จากคุณ : หน้าม้ารับจ้าง เขียนเมื่อ : 6 ต.ค. 54 10:24:43

ความคิดเห็นที่ 39 สุดยอดมากครับน้า   ดูภาพก็ว่าสวยแล้วอ่านคำบรรยายยังสนุกอีก ขอบคุณครับ จากคุณ : นู๊นู เขียนเมื่อ : 6 ต.ค. 54 10:53:50

ความคิดเห็นที่ 40 รูปสมัยนั้นการทำให้ภาพชัดทั้งรูปคือความท้าทายที่ ยิ่งใหญ่ เพราะกล้องทุกตัวในยุคฟิล์มมันทำหน้าชัดหลังเบลอได้ปกติตามธรรมชาติ ของกล้องอยู่แล้ว ตรงข้ามกับความนิยมสมัยนี้เลยครับ คิดๆดูแล้วคนเราชอบความแปลกใหม่ มากกว่าความสวยจริงๆหรือเปล่า จากคุณ : jaycee เขียนเมื่อ : 6 ต.ค. 54 11:00:08

ความคิดเห็นที่ 41 ผมเพิ่ง 2 ขวบครับตอนนั้น จากคุณ : คนบางปะอิน เขียนเมื่อ : 6 ต.ค. 54 13:14:13

ความคิดเห็นที่ 42 ผมยังไม่ได้เกิดเลยนะนั่น แต่หลายมุมที่น้าว่าเชย ปัจจุบัน ผมยังถ่ายมุมแบบนั้นอยู่เลย แสดงว่ามุมมองผมนี้เชยระเบิดเลยแฮะ จากคุณ : ตาบอดสี เขียนเมื่อ : 6 ต.ค. 54 16:49:08

ความคิดเห็นที่ 43 ขอบคุณแฟนนานุแฟนกระทู้ขี้วัวของผมทุกท่านครับที่เข้ามาชมเข้ามาปาด เอาไว้งวดหน้าผมจะหาเรื่องสนุกๆมาเล่นอีก ส่วนใครมาว่าผมแก่ทั้งตรงๆและเฉี่ยวๆรวมถึงคนที่คิดในใจ ขอให้ท้องเสียกินเบียร์ไม่อร่อยครับ จากคุณ : คนธนฯ เขียนเมื่อ : 6 ต.ค. 54 17:24:27

ความคิดเห็นที่ 44 ขอบคุณน้า คนธน มากครับ พอดีผมมือใหม่ ตามไม่ทันกับ น้าคนธน มากมาย ไม่เข้าใจก็หลายเรื่อง ถ้าน้าจะกรุณา อธิบายให้ เป็นวิทยาทาน แก่ ผมหรือ ท่านอื่นๆ ด้วยก็จะดีครับ เช่น  คห22 พื้นที่ที่ไม่เล่าเรื่องอะไรเลย มีเกินกว่าครึ่ง ผม ไม่เข้าใจครับ ว่า มันไม่เล่าเรื่อง ยังไง แล้ว ถ้า มันเล่า เรื่อง ต้องเป้นอย่างไร ถ้าได้ ตัวอย่างเปรียบเทียบ จะดีมากครับ เพราะว่า ถ้าเปรียบเทียบ ระหว่างเล่าเรื่องกับไม่เล่าเรื่อง อาาจะเข้าใจง่ายกว่า ขอบคุณล่วงหน้าครับ จากคุณ : ไม่ใกล้ ไม่ไกล เขียนเมื่อ : 6 ต.ค. 54 19:34:59

ความคิดเห็นที่ 45 คือภาพ 22 มันดูแล้วคล้ายกับว่ามันมีสาระเยอะไปหมด แต่ที่จริงแล้วมันไร้สาระไปครึ่งรูปเพราะว่ามันรกเกิินไปครับ มันแย่งกันแสดงเป็นตัวเอกของภาพ มันไม่ได้บอกเล่าเรื่องอะไรเลยนอกจากหามุมที่ถ่ายแล้วมีขยะใส่ให้รูปมันดูแล้วเต็ม จะเอาลิงยักษ์แบกเจดีย์ก็เน้นไปเลย หรือจะเล่นหน้าจั่วกับท้องฟ้าก็เอาไปเสียอย่าง หามุมยืนไม่ได้ก็ละลายหลังมันเสียจะได้ไม่แย่งซีนกัน แต่ถ้าเป็นนักท่องเที่ยวถ่ายถือว่าใช้ได้ครับ เวลาไปเที่ยวต่างประเทศผมจะสาดแบบนี้ไป 20% เผื่อไว้คร็อบเป็นส่วนมาใช้ จากคุณ : คนธนฯ เขียนเมื่อ : วันเกิด PANTIP.COM 54 17:37:40