ความคิดเห็นที่ 1 ^///^ จากคุณ : อายวี่ เขียนเมื่อ : วันออกพรรษา 54 23:52:16

ความคิดเห็นที่ 2 คิด เหมือนกันเลยครับ  ว่าเหตุผลที่ ต้องมี กระจก และ ปริซึม , ในอดีต ก็เพื่อให้ เราเห็นในสิ่งที่กำลังจะถ่าย และทำการ  compose  และ focus ขณะเดียวกัน ก็ป้องและบัง  film ยังไม่ถูกแสง  เลยต้องมี กระจก ปริซึม และ ม่าน shutter   แต่เด๋วนี้ อาจไม่จำเป็นแล้ว จริงๆ ปอ.ลิง. ทำม๊าาาาย nikon ทำ J1 ,  V1 ออกมาไม่โดนใจเราเลยอ่ะ ..... นี่หาก Canon ทำ mirrorless ออก มาแบบ ประมาณ NEX5N คงมีย้ายค่ายกัน โกลาหล ... อิ ...อิ จากคุณ : Advil เขียนเมื่อ : 13 ต.ค. 54 00:30:33

ความคิดเห็นที่ 3 Dynamic จากคุณ : raksapondet เขียนเมื่อ : 13 ต.ค. 54 00:38:35

ความคิดเห็นที่ 4 อารมณ์ความต้องการมองภาพผ่าน VF ผ่านเลนส์แบบตาเปล่ามากกว่ามองผ่าน EVF มั้งครับที่ทำให้เสน่ห์ของ DSLR ยังไม่หายไป DSLR พัฒนาไปถึงจุดๆนึงแล้วครับ (ผมมองว่าเป็นระดับFFนะ) ซึ่งระดับต่อจากนี้ผมไม่รู้ละ ว่าจะแข่งกันที่ pixel , dynamic range , high iso , burst mode เป็นต้น แต่Mirrorless ยังพัฒนาไม่ถึง FF ครับ ทำได้มากก็ใกล้เคียง อาจจะเนื่องจากเลนส์ AF ยังไม่หลากหลายในตลาด ดังนั้นอนาคตย่อมมีโอกาสพัฒนาไปได้ เพื่อให้เทียบเท่า DSLR ครับ คห.ส่วนตัวนะ จากคุณ : BommasteR เขียนเมื่อ : 13 ต.ค. 54 03:45:46

ความคิดเห็นที่ 5 สิ่งที่ปัจจุบัน mirrorless ทำได้ดีกว่า DSLR, FF คือ realtime object tracking , continous shot , realtime view after process เห็นบนจอยังไงได้อย่างงี้น สีเพี้ยนเปลี่ยนก่อนถ่าย , หลังเบลอ realtime เลือกระดับความเบลอหลังได้ง่ายกว่า(เลือกโบเก้ ก็ได้) ตลาดไม่เหมือนกันนะ กลุ่มลูกค้าไม่เหมือนกันนะ กลุ่มลูกค้ากับผู้วิจารณ์อยู่คนละกลุ่ม มักจะติโน้นนี้ ลืมไป  mirrorless พัฒนา touch screen focus ดีขึ้นเรื่อยๆ สามารถเลือกทุกๆจุดบน screen ได้  การถ่าย VDO ง่ายไปด้วย  และมีการจำวัตถุ tracking focus แม้จะมีคนเดินตัดหน้า มันก็ยัง Tracking วัตถุที่จำ แก้ไขเมื่อ 13 ต.ค. 54 05:16:56 แก้ไขเมื่อ 13 ต.ค. 54 04:30:57 แก้ไขเมื่อ 13 ต.ค. 54 04:28:42 แก้ไขเมื่อ 13 ต.ค. 54 04:19:26 จากคุณ : dji_2000 (dji_2000) เขียนเมื่อ : 13 ต.ค. 54 04:17:50

ความคิดเห็นที่ 6 - กล้อง DSLR ไม่สามารถเดินหน้าต่อไปได้ ส่วนกล้อง Mirrorless มีทิศทางที่เปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น ก็ไม่ผิดนะครับ DSLR เหมือนตันแล้ว canon ออกรุ่นใหม่ ยังจับฟังก์ชั่นถ่าย vdo ใส่เข้าไปเลย แต่ในส่วนที่จำเป็นสำหรับการถ่ายภาพ มันได้พัฒนาจนตอบโจทย์การใช้งานได้หมด แทบจะไม่มีอะไรที่ผู้ใช้เรียกร้องอีกแล้ว ส่วน mirrorless มันเพิ่งเริ่มต้นได้ไม่นาน ยังมีข้อบกพร่องที่ต้องปรับแก้กันเยอะ ก็เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น ตลาดคนใช้จริงจัง คนที่ต้องการคุณภาพของงาน หรือมืออาชีพ ยังไงก็ต้องใช้ DSLR โดยเฉพาะพวกรุ่นโปร ส่วน entry level โดนกล้องปีศาจแย่งส่วนแบ่งตลาดไปพอสมควร โอลิมปัสถึงทิ้ง entry ไปทำ evil จากคุณ : j เขียนเมื่อ : 13 ต.ค. 54 05:01:19 A:27.130.152.2 X: TicketID:268645

ความคิดเห็นที่ 7 สิ่งที่ขาดหายไปใน mirrorless คือ "การเห็นสิ่งที่จะถ่าย" & "ปฏิสัมพันธ์" dSLR และ RF .. เราเห็นสิ่งที่จะถ่าย และมีปฏิสัมพันธ์ด้วย แต่ mirrorless .. เราเห็นภาพบน LCD หลังกล้อง และแทบไม่มีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งที่จะถ่ายเลย จุดแตกต่างเล็กๆนี่ ประมาณรถเกียร์ออโต้ vs เกียร์ธรรมดา ในแง่ของคนใช้ส่วนใหญ่ ที่ใช้รถเพื่อทำงาน จ่ายกับข้าว ฯลฯ .. จะไม่มีทางเข้าใจว่า รถเกียร์ธรรมดา มันดีตรงไหน จากคุณ : แมวเหมียวพุงป่อง เขียนเมื่อ : 13 ต.ค. 54 07:19:50

ความคิดเห็นที่ 8 ตราบใดที่ VF แบบ Optical ยังมีอยู่แต่บน DSLR (น้อยและคุณภาพต่างกันมากบน compact) ผมก็ยังคงต้องใช้มันอยู่ต่อไป ถึงแม้จะมี E-VF มาแล้ว ยังไงก็ยังไม่เหมือน แต่ถึงที่สุดถ้า VF แบบ Optical มันหายไป ค่อยว่ากันอีกทีก็แล้วกัน จากคุณ : fannel เขียนเมื่อ : 13 ต.ค. 54 07:39:44

ความคิดเห็นที่ 9 น้าแมวครับ ผมสงสัยครับ อยากทราบความหมายชัดๆ จาคำนี้ " แต่ mirrorless .. เราเห็นภาพบน LCD หลังกล้อง และแทบไม่มีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งที่จะถ่ายเลย " เราก็เห็น จากข้างนอกที่ไม่ต้องดูผ่านกล้อง ซึ่งเป็นสีจริงธรรมชาติอยู่แล้ว ถ้าต้องการถ่ายคน แล้ว ปฏิสัมพันธ์กับคนที่เป็นแบบ ผมแค่หมุนที่เลนส์นิดๆเดียวมันก็กลายเป็นซูม 7x ครับ เห็นนัยตาคน ยอมรับว่าความรู้สึกอาจไม่เท่า แก้ไขเมื่อ 13 ต.ค. 54 07:54:17 แก้ไขเมื่อ 13 ต.ค. 54 07:53:40 แก้ไขเมื่อ 13 ต.ค. 54 07:51:59 จากคุณ : dji_2000 เขียนเมื่อ : 13 ต.ค. 54 07:50:21

ความคิดเห็นที่ 10 ผมว่ามันอยู่ที่อารมณ์ในการถ่ายภาพ และความสะดวกในการใช้งาน คนที่มี DSLR ก็อยากได้ Mirrorless มาไว้พกพาเวลาไปท่องเที่ยวสบาย ๆ สักตัว คนมี Mirrorless ก็อยากลอง DSLR พร้อมกับเลนส์ช่วงต่าง ๆ ส่วนอนาคตต้องดูต่อไปครับ ว่าการพัฒนาจะเป็นไปในรูปแบบใด จากคุณ : Lonely Kop เขียนเมื่อ : 13 ต.ค. 54 08:26:58

ความคิดเห็นที่ 11 ขอตอบแบบคนที่ไม่มีความรู้ในเรื่องนี้เลยครับ มันเป็นเทคโนโลยี..ซึ่งมันสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงได้ตามแต่เจ้าของเทคโนโลยีจะคิดพัฒนาขึ้นมาครับ ขอบคุณครับ.. จากคุณ : พายหอม&พีมะ เขียนเมื่อ : 13 ต.ค. 54 08:29:47

ความคิดเห็นที่ 12 "การเห็นสิ่งที่จะถ่าย" & "ปฏิสัมพันธ์"  ต้องยอมรับ ว่าในช่องมอง optical  มันให้ความรู้สึกดีกว่าจริงๆครับ   ตั้งแต่ส่องช่องมองภาพ SLR  ครั้งแรกตอน ม. 3 - 4 จนถึงบัดนี้ ผมก็ยังรักมันอยู่ แต่ข้อเสียคือ ภาพที่เห็น มันก็ไม่ใช่ภาพที่ออกมาจริงๆนะ   จุดโฟกัส +  DOF + WB  ยังไม่เป็นภาพที่ได้ เหมือนจาก liveview อ่ะครับ หลังจากนั้น ภาพมันก็ไปปรากฏในจอ LCD   กับ จอคอม  แล้วค่อยมาโผล่บนกระดาษ เหมือนกันอ่ะครับ   การพัฒนากล้องในโลกนี้ เริ่มแรก เป็น focus  scale กะระยะเอาจาก scale บนเลนส์ หลังจากนั้น ก็เป็น Rangefinder หาระยะโฟกัส เมื่อ rangefinder มี parallax  และไม่ใช่ภาพที่เห็นจริงๆ เลยมีการพัฒนาต่อมาเป็น Single lens reflex SLR ก็มีปัญหา Front back  screen เึคลื่อน กระจกเพี้ยนอยู่ พอไม่มีกระจก ไม่มี focus screen   ความเพี้ยนตรงจุดนี้ ก็หายไปอีกครับ DSLR  พัฒนาต่อไปได้ เช่นการถ่าย VDO และ Liveview   แต่ก็ต้องยกกระจกพับขึ้่นเก็บ   กลายมาเป็น mirrorless ตัวใหญ่ๆ หรือไม่ก็ต้องกลายมาเป็น translucent mirror ไปอ่ะครับ จากคุณ : tamrong เขียนเมื่อ : 13 ต.ค. 54 08:58:49

ความคิดเห็นที่ 13 เรื่องปฏิสัมพันธ์นี่ มันยากจะเข้าใจนะเนี่ย..... สมัยก่อน ผมใช้กึ่งเอสแอลอาร์ ผมก็มองช่องมองภาพอิเล็กทรอนิกส์มาตลอด พอมาเป็นเอสแอลอาร์จริง ๆ ก็ไม่ได้รู้สึกต่างอะไรมาก แค่ไม่เห็นผลการปรับค่ากล้อง จากคุณ : proofman เขียนเมื่อ : 13 ต.ค. 54 09:08:22

ความคิดเห็นที่ 14 เอาน่า เขามากันถูกทางแล้วล่ะ ผู้ผลิตมีทีมคิด/วิจัย นับร้อยๆคน แต่ละคนคือผู้เชียวชาญทั้งนั้น แถมมีผู้ที่มอง"ศาสตร์"ล่วงหน้า อิกนับ 10 เรามันแค่มนุษย์เงินเดือนประกอบ อาชีพที่ไม่ใช่นักวิจัย ก้อคิดได้แค่ คาดการเท่านั้น จากคุณ : FOXTROT เขียนเมื่อ : 13 ต.ค. 54 10:04:24

ความคิดเห็นที่ 15 น้า dji ครับ ถ้าถ่ายคน .. ต่อให้ตาแนบช่องโฟกัส ความรู้สึกจากเรา ก็ยังส่งไปถึงนางแบบ นึกถึงเวลาที่เราคุยกับเพื่อน ที่ห่างกันสามสี่เมตร ส่งเสียงตะโกนคุยกัน แล้วมีใครมายืนขวาง "สายตา" เราต้องโยกตัว โยกหัว โดยไม่รู้ตัว เพื่อใ้ห้ "คุยกันรู้เรื่อง" ทั้งๆที่เรื่องที่ีคุยกัน ได้ยินแต่เสียงก็รู้เรื่องเท่าเดิม แต่เมื่อไม่มี eye contact .. "มันเหมือนมีอะไรขาดหายไป" สิ่งที่ขาดหายไป ไม่ได้มาก เหมือนกินข้าว ไข่เจียว ก็กินได้ แต่ถ้าราดน้ำปลาบนข้าวอีกซักหน่อย มันอร่อยเพิ่มขึ้นอีก ความอร่อยนี้ วัดไม่ได้ แต่ "ใจ" เรารู้ว่า มันมีอยู่ .. ที่ตรงนั้น จากคุณ : แมวเหมียวพุงป่อง เขียนเมื่อ : 13 ต.ค. 54 15:38:44

ความคิดเห็นที่ 16 น้า foxtrot ถ้าจะให้ผมเทียบ cd, dvd, mp3 ฯลฯ "เขามากันถูกทางแล้วล่ะ ผู้ผลิตมีทีมคิด/วิจัย นับร้อยๆคน แต่ละคนคือผู้เชียวชาญทั้งนั้น แถมมีผู้ที่มอง"ศาสตร์"ล่วงหน้า อิกนับ แสน" แต่ cd, dvd, mp3 .. ทำให้ตาย ก็ทดแทนแผ่นเสียง หรือ เครื่องเสียง analog ไม่ได้ .. black label นุ่มลิ้น กินอร่อย ไม่บาดคอ double black หรือ blue .. ต่างกันก็แค่นิดหน่อย แต่ไหงราคาต่างกันมโหระทึก ความต่างนิดหน่อยเหล่านี้ สิ่งที่เป็น "สุนทรียภาพ" .. ไม่ว่าจะคิดค้นวิจัยกันอย่างไร มันไม่มีทางเป็น "ศาสตร์ที่สมบูรณ์"  ไปได้เลย กล้อง .. ไม่ใช่แค่เป็นเครื่องใช้เก็บภาพ แต่ กล้อง .. เป็นสิ่งสร้างสรรงานศิลปะ โดยศิลปิน ศิลปิน แต่ไหนแต่ไร ก็ไม่ค่อยเชื่อถือ "ทีมคิด/วิจัย & ผู้เชี่ยวชาญ" เท่าไหร่นักหรอก Hassy และ Leica ถึงยังอยู่มาจนทุกวันนี้ แก้ไขเมื่อ 13 ต.ค. 54 15:43:27 จากคุณ : แมวเหมียวพุงป่อง เขียนเมื่อ : 13 ต.ค. 54 15:39:51

ความคิดเห็นที่ 17 เป็นเรื่องของอนาคตกันอีกที>-< จากคุณ : โอโย๊ะโย๋ เย้! เขียนเมื่อ : 13 ต.ค. 54 16:15:18

ความคิดเห็นที่ 18 ผมเฉยๆตราบไดที่มันมองภาพได้คอมโพสได้อย่าไปยึดติดอะไรหนักหนากับว่า EVF VF มีกระจกไม่มีกระจก สมัยก่อนผมใช้วิวคาเมร่าตอนเรียน ต้องแบกผ้าดำมุดหัวถ่ายภาพ ก็ไม่มี VF ภาพตีลังกาซ้ายขวามันก็ถ่ายได้ ใช้ Haselblad มันก็ต้องใช้ก้มมองจากเงาสะท้อนที่จอรับ ไม่มี VF หรอกครับก็คอมโพสได้ แล้วถ้า EVF มันเห็นชัดเรียลไทมม์ไม่ต้องมุดผ้า ตีลังกาซ้ายขวามันก็น่าจะถ่ายได้ไม่ยุ่งยาก อย่าไปยึดติดมันมากเลยครับ ทุกอย่างตามเวลา It's just a tool. บางคนก็ยึดติด บางคนก็ปรับได้ ยังไงก็ต้องปรับทำใจไว้เหอะ ของที่เปลี่ยนไปอย่ามองข้อเสียอย่างเดียว ข้อดีมันก็มี รับไม่ได้ หรือปรับตัวไม่ได้ หรือแค่ไม่ทำใจให้ยอมรับกับสิ่งใหม่ๆ ที่มันใช้ไม่ได้ใจหรือตา จากคุณ : หมาส้มสมหวัง เขียนเมื่อ : 13 ต.ค. 54 16:17:52

ความคิดเห็นที่ 19 ขอบคุณน้าแมวมากครับ เข้าใจมากขึ้นครับ เปรียบเปรย แล้ว คหข้างบน ผมเล่นกล้องใหม่ใช้ 450 D ปีกว่า ใช้มันแบบเกียร์ auto ตลอด ตอนนี้ NEX5 เกียร์ auto เต็มตัว คห15 ผม เหมือนกินข้าว ไข่เจียว ก็กินได้ แต่ไม่ได้ใส่น้ำปลาบนข้าว ที่จริงอยากได้กล้องเหมือนเครื่องซักผ้า อยากได้ scene โหมดที่ตั้งค่าเองได้ เช่น ตั้งโปรแกรม Landscape_1 ที่สามารถตั้ง creative style หรือ post process , ต้้งf-9 , minimum shutter speed 1/50 ,  ที่เหลือ กล้อง ทดค่า iso และ shutter speed   เวลากดใช้ เลือก โปรแกรม landscape_1 ปรับ EV กดโฟกัสแล้วแช๊ะเลย ตั้งโปรแกรม Portrait_1 ที่สามารถตั้ง creative style หรือ post process , ตั้ง f-2 , minimum shutter speed 1/50, วัดแสงแบบจุด ,  ที่เหลือ กล้อง ทดค่า iso และ shutter speed ให้เอง    เวลากดใช้ เลือก โปรแกรม portrait_1 ปรับ EV ล็อคแสง กดโฟกัสแล้วแช๊ะเลย ระบบ auto shutter เช่น กำหนดระยะobject ไม่เกิน 5 เมตร และตำแหน่งfocus กลาง screen  เวลาแพนกล้องเห็นแมลงปออยู่กลาง screen ระยะไม่เกิน 5 เมตร กล้องปรับโฟกัสอัตโนมัติ แล้ว shutter อัตโนมัติเลย  หรือ กล้องจำแมลงปอแล้ว tracking อัติโนมัติ พร้อมกับปรับ focus และ continuous shutter แฮะๆ ผมเพ้อเจ้อ แก้ไขเมื่อ 13 ต.ค. 54 16:45:03 แก้ไขเมื่อ 13 ต.ค. 54 16:28:47 จากคุณ : dji_2000 เขียนเมื่อ : 13 ต.ค. 54 16:27:08

ความคิดเห็นที่ 20 ลงทุนไปกับ Dslr กันเยอะแล้วนี่เนอะ มันต้องมีปลอบใจกันมั่งเล็กๆน้อยๆ   ล้อเล่นหนะน้าแมว อิอิ ปล.เกิดมาผมไม่เคยจับ DSLR เลยครับ จะเริ่มต้นที่ SLT นี่แหละ หุ จากคุณ : FOXTROT เขียนเมื่อ : 13 ต.ค. 54 17:08:34

ความคิดเห็นที่ 21 งั้นก็คงจะวัดกันที่ พลังงาน กับ การเสื่อมของ เซนเซอร์ ซึ่ง  น่าจะเป็นจุดอ่อนที่ MR ยังแก้ไม่ได้ จากคุณ : Night Claw เขียนเมื่อ : 13 ต.ค. 54 19:48:07

ความคิดเห็นที่ 22 - กระจกกลายเป็นส่วนเกินของกล้องดิจิตอล !!    วันนี้คงยังเป็นส่วนจำเป็นอยู่ครับ   แต่ต่อไปถ้า EVF มันพัฒนาดีขั้นมากๆเทียบเท่าOVF  อาจจะสามารถตัด กระจกออกได้  แต่วันนี้ยังจำเป้นอยู่ครับ - กล้อง DSLR ไม่สามารถเดินหน้าต่อไปได้ ส่วนกล้อง Mirrorless มีทิศทางที่เปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น !!   ในอนาคตอันใกล้  ผมว่ายังไม่ถึงจุดอิ่มตัวของ DSLR~หรอกครับ จากคุณ : ฟรีค่าแรงตลอด5หมื่นโล เขียนเมื่อ : 15 ต.ค. 54 15:38:24

ความคิดเห็นที่ 23 แค่คำพูดที่หวังผลทางการตลาดของคนที่ทำของมาขายน่ะแหละ ก็เรื่องอะไรเค้าจะมาพูดว่า "ถึงระบบกระจกจะยังตอบสนองการทำงานของมืออาชีพได้เป็นอย่างดีอยู่แล้ว แต่เราก็จะทำระบบ MR ออกมาเพื่ออย่างน้อย จะได้มีชื่อเรียกสำหรับกล้องcompact เปลี่ยนเลนส์ได้ของเราที่กำลังโกยเงินมือใหม่ขี้เกียจเรียนรู้กับมือเก่าที่เฝ้าฝันให้เทคโนโลยีแห่งอนาคตมาช่วยฉุดฝีมือสุดห่วย เผื่อจะได้ภาพที่ดีขึ้น " เอาไว้เมื่อไหร่ลูกค้ายอมรับให้ใช้ MR กับงาน Seriously Product ค่อยว่ากัน จากคุณ : hayman เขียนเมื่อ : 11 พ.ย. 54 23:23:56