* * * คำเตือน * * * กระทู้นี้ยาวมากไม่เหมาะกับผู้ที่ไม่ชอบอ่านอะไรยาว ๆ
...........หลายคืนก่อน...ผมฝันถึงแม่ใหญ่ครับ... (แม่ใหญ่ก็คือยายของเรานี่แหละครับ เผื่อใครไม่ทราบ) ในห้วงฝัน ผมจำอะไรไม่ได้มากนักเพราะค่อนข้างมั่วตั้วไปหมด จำได้เพียงว่าแกใส่เสื้อคอกระเช้านุ่งผ้าถุงลายไทยสีออกแดง ๆ น้ำตาล ๆ อันเป็นเครื่องแบบของแม่ใหญ่ที่ผมคุ้น และชินมาตั้งแต่เด็ก แม้จะฝันมั่วซั่วเพียงใด แต่ก็ภาพหนึ่งที่ถูกเมมไว้โดยอัตโนมัติ ข้ามภาพฝันขณะหลับ มาถึงห้วงคิดขณะตื่นของผม นั่นคือภาพของแม่ใหญ่นั่งอยู่ที่เสากลางบ้าน ซึ่งมีเชี่ยนหมากทองเหลืองวางอยู่โคนเสา แกนั่งชันเข่าข้างหนึ่ง มือเหี่ยว ๆ ขาว ๆ ของแกกำลังจัดใบพลูที่กำลังสะเด็ดน้ำให้เรียงใบกัน ขั้นต่อไปแกจะต้องเอาไม้พายอันเล็ก ๆ ลงไปกวนในโถปูน ก่อนจะนำมาปาด ๆ ๆ ลงที่ใบพลูที่แกจัดเรียงเอาไว้ ...............ผมชอบนั่งมองแกพันคำหมากมาตั้งแต่เด็ก...............
.............ขณะนั้นคือยามเช้า สังเกตุได้จากแสงแดดอ่อน ๆ สีทองหม่นไหลตัวลอดระแนงไม้เข้ามาจากด้านข้าง แสงหลายลำส่องมาตกที่เชี่ยนหมากของแม่ใหญ่ บางลำพาดผ้าถุง บางลำพาดไปบนผมของแก.... แล้วต่อมา.......ผมก็เห็นตัวเอง เดินเข้าไปในเฟรมนั้น ค่อย ๆ วางกระเป๋ากล้องใบใหญ่ของตัวเองไว้นอกระยะแสง ดึงเอากล้องตัวเองออกมาจากกระเป๋า ค่อย ๆ คลานเข่าเข้าไปหาแก ก้ม-เงยหามุม แล้วถ่าย ๆ ๆ ๆ ....ก้มดูภาพที่ LCD หลังกล้อง แล้วก้ม ๆ เงย ๆ ถ่าย ๆ ๆ ๆ ...ก้มดูภาพที่ LCD อีกครั้ง ในฝัน....ผมคิด.....แสงเข้าด้านข้าง ถ้าผมก้มตัวให้แสงมันสวนหน้าเลนส์ โดยใช้รูรับแสงแคบ ๆ แหล่งกำเนิดแสงจะเป็นแฉก ซับเจ็คท์หลักคือแม่ใหญ่กำลังก้มหน้าพันคำหมาก มีแสงลอดระแนงไม้ และแฉกของดวงอาทิตย์คือซับเจ๊คท์รอง ใบพูลสะเด็ดน้ำต้องแสง ดูวิ้ง ๆ เชี่ยนมากทองเหลืองกระทบแสงจะขับผิวให้ดูทองระเรื่อ... .....มันคือภาพถ่ายที่มีชีวิต ! ! ! เลนส์นอร์ม่อล เก็บได้ไม่หมดแน่ ต้องใช้เลนส์ไวด์ ! ! ! .....ผมคิดได้แค่นั้น....จริง ๆ แล้วผมก็คลานออกไปเปลี่ยนเลนส์เป็น 10-20 ก่อนจะคลานกลับเข้ามาอีกรอบ ก้มตัวลงจนเกือบ ๆ จะนอน เอาหน้าตัวเองไปวางให้แสงมันพาดทับ ประทับกล้องแล้วมองที่วิวไฟน์เดอร์ แสงริมไลท์จับรอบตัวแม่ใหญ่ทั้งส่วนผมและแขนของแก แม่ใหญ่ก้มหน้าป้ายปูนกับใบพลูอยู่ด้านซ้าย ระแนงไม้เรียงเป็นตับมีแสงลอดผ่านอยู่ด้านหลัง ดวงอาทิตย์ที่เปล่งแสงอยู่ด้านขวาบน เงาของแฟร์เล็ก ๆ ผ่านไปที่ปลายเท้าข้างที่ชันขึ้นของแก ผมโฟกัสที่หน้าแม่ใหญ่ แล้วโยกกล้องช้า ๆ ให้แสงจ้าของดวงอาทิตย์ไปหลบหลังระแนง เพื่อให้มันปล่อยแสงในจังหวะที่พอเหมาะ ......แล้วกดชัตเตอร์จม!!! ฟรึ้ดดดด ๆ ๆ ๆ......4 ภาพรวด..... ก้มมอง LCD ......ภาพมันสวยมากกกกกกก..... เงยหน้ามองแม่ใหญ่...ตั้งใจจะอวดภาพให้แกดู แต่ภาพที่ผมเห็นคือ แม่ใหญ่มองหน้าผม...เอียงคอ ขมวดคิ้ว ราวสงสัย...ในการกระทำของผม ครู่หนึ่ง...ที่เรามองหน้ากัน...เราไม่พูดอะไรกัน....ไม่ยิ้ม.... แล้วผม....ก็จำอะไรไม่ได้อีก...... .....มีเพียงภาพแม่ใหญ่ทำหน้าตาสงสัยในการกระทำของผมเท่านั้น ที่ดูแจ่มชัดตราบจนนาทีนี้....
.........แม่ของผมทำงานใน กทม. ในขณะที่อุ้มท้องผม แต่วันที่คลอดผมแกกลับมาคลอดที่บ้านแม่ใหญ่(ก็บ้านแม่นั่นแหละ)ที่ลพบุรี ผม...ซึ่งเป็นคนเดียวในเจนเนอเรชั่น ที่ถูกทำคลอดโดยหมอตำแย(ลูกน้า ๆ คลอดที่โรงพยาบาลกันหมดทุกคน) ในวัยเตาะแตะ ผมก็ถูกแม่หิ้วจากลพบุรีบ้านเกิด ไปอยู่แถว ๆ ราชวัตร-ศรีย่าน ด้วยงานของแม่ที่หนักขึ้น...ผมเริ่มโตขึ้น แม่ผมจึงจำต้องส่งผมกลับไปให้แม่ใหญ่เลี้ยงดูที่บ้านเกิดแทน ผมจึงได้กลับมาอยู่กับแม่ใหญ่ ในวัยที่รู้เรื่องบ้าง ไม่รู้เรื่องบ้างอีกครั้งหนึ่ง และได้เข้าเรียนประถมที่นี่....
แม่ใหญ่เคยเล่าให้ฟังว่าตอนแกไปนา แกจะคอนกระบุงไปด้วย กระบุง 2 ข้าง คอนด้วยไม้คาน ข้างหนึ่งคือข้าวกลางวัน น้ำดื่ม ผ้าพลัด มีดพร้าฯลฯ ส่วนอีกข้างคือตัวผม....ที่แกต้องคอนไปนาเกือบทุกวัน
แม่ใหญ่มีลูก 12 คน แม่ผมเป็นคนโต น้อง ๆ ของแม่หรือน้า ๆ ของผม เมื่อมีเหย้ามีเรือนแล้ว ก็จะพากันไปฝังตัวอยู่ไกลบ้านเกิดกันทั้งนั้น(ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน) ส่วนใหญ่อยู่ กทม. ที่เหลือก็สระบุรี สิงห์บุรี โคราช กำแพงเพชร ระยอง ..และตรัง พอมีลูกมีหลาน หากเป็นภาระเนื่องจากต้องทำงานหาเงิน น้า ๆ ก็หอบกันเอามาให้แม่ใหญ่เลี้ยง แล้วส่งเสียเงินทองมาให้ตามอัฐภาวะของแต่ละท่าน บ้านของแม่ใหญ่จึงเหมือนสถานรับเลี้ยงเด็กไปโดยปริยาย แต่พอปีใหม่-สงกรานต์ทีนึง....บ้านของเรา ไม่ต่างกับงานวัดขนาดย่อม ๆ เลยทีเดียว
ชีวิตเด็กน้อยกว่า 30 ชีวิต หมุนเวียนกันเข้ามาอยู่ในอาทรสถานแห่งนี้ บ้างพอเดินได้ พ่อแม่ก็มาหอบลูกกลับไป บ้างได้งานใหม่ที่ดีกว่าเดิมก็พาลูกกลับไปอยู่ด้วย บ้างเอามาให้เลี้ยงแค่ 7 วัน ก็ร้องห่มร้องไห้มารับลูกกลับ เพราะทนคิดถึงไม่ไหว บ้างทิ้งไว้ตั้งแต่เกิด จนเรียนจบ ทำงานใน กทม. แต่งงานมีลูกมีเต้าแล้วด้วย ก็ยังไม่เคยกลับมารับไป (ตั้งแต่ผมเกิดมาผมยังไม่เคยเห็นหน้าน้าคนนี้เลย รู้ว่ายังไม่ตาย แต่ไม่รู้ว่าแกรู้รึเปล่าว่าแกมีหลานแล้ว) บางคนก็ไป ๆ มา ๆ อยู่ 1 ปี หายไป 2 ปี แล้วกลับมาใหม่อีกครั้ง เมื่อมาอยู่ที่นี่ทุกชีวิตจึงอยู่ในกำมือแม่ใหญ่ ถ้าเป็นทีมฟุตบอลก็เรียกได้ว่าแม่ใหญ่คือ ผู้จัดการทีม บริหารทีมโดยระบบโรเตชั่น(รอย อีแวนส์ ใช้ระบบนี่กะลิเวอร์พูลของผม..ซึ่งบางนัดโคตรเศร้า...TT)
บ้านแม่ใหญ่มีผู้เล่นหลักตายตัวเลยประมาณ 10 คน เพศและอายุก็แตกต่างกันไป เมื่อผมโตพอที่จะดูแลน้อง ๆ ได้แล้ว แม่ใหญ่จึงให้ผมอยู่บ้านคอยดูแลน้องไม่ต้องไปนา แต่แทนที่ผมลูกทีมคว้าแชมป์ เอ้ย!!แทนที่จะดูแลน้อง แบ่งเบาภาระแม่ใหญ่ บางวันผมกลับพาน้อง ๆ รื้นค้นข้าวของในบ้านกระจุยกระจาย(เล่นค้นหาสมบัติกัน) บางวันก็พาน้องไปตัดต้นกล้วยมาต่อแพจะลอยข้ามฝั่งคลอง(โชคดีแพแตกตั้งแต่ริมตะลิ่ง) หนักสุดพาน้องคนหนึ่งนั่งรถโดยสารสุดสายไปอีก ตำบลหนึ่งซึ่งญาติ ๆ กันอาศัยอยู่ ...แต่เด็ก ป.4 ไม่รู้ว่าบ้านญาติ คนนั้นอยู่หลังไหน...! ! ! ต้องให้คนขับรถสองแถวคันนั้นไปถามหาให้ กว่าจะเจอ เกือบ 1 ทุ่ม(วีรกรรมครั้งนั้น พอกลับบ้านมาได้...เละครับ) วีรกรรมฯลฯและฯลฯ
....เด็ก....ก็คือเด็กครับ เรื่องดื้อเรื่องซนมันคู่กันอยู่แล้ว การที่ได้พบ ได้เห็น ได้เข้าใจในสิ่งใหม่ ๆ การได้ฟังเรื่องเล่าแปลก ๆ ก็ตื่นตาตื่นใจกันไป ผมมันมีความสุขกับการได้ค้นหา ค้นพบสิ่งต่าง ๆ ตามประสาเด็ก ซึ่งความสุขของผม...มักจะซุกซ่อนอยู่ในความปวดหัวของแม่ใหญ่และพ่อใหญ่เสมอ
ชีวิตผมและน้อง ๆ พาเรื่องราวชวนปวดหัวมาให้แม่ใหญ่มากมายเหลือเกิน แต่ตอนนั้นยังเด็กครับ และพวกเราก็ยังไม่มีใครคิดได้เกินเด็ก จึงยังซนเป็นลิงทุกคน คนที่มีลูก 1 คนหรือ 2 คนช่วยตอบหน่อยได้ไหมครับว่า เลี้ยงลูกดูแลลูก แค่นั้นคุณเหนื่อยไม่ครับ แน่นอนทุกคนเหนื่อยแน่ แต่แม่ใหญ่ผมเลี้ยงลูก 12 คน เลี้ยงหลานอีก นับไม่ถ้วน ผมไม่อยากคิดแทนแกเลยจริง ๆ เพราะแค่คิดก็เหนื่อยแล้ว โรงเรียนประถมที่ผมเรียนมีหลานแม่ใหญ่เข้าเรียน ทุกห้องตั้งแต่ ป.1 จนถึง ป.6 อยู่หลายปี แต่ถึงกระนั้น พวกเราก็ไม่เคยอด ข้าวได้กินครบทุกมื้อ ขนมจะมีในบางวันที่แม่ใหญ่นึกครึ้มอกครึ้มใจทำให้กิน
ที่ลพบุรี ผมอยู่ให้แม่ใหญ่ร้าวรานใจ 9 ปี เรียนอนุบาลจนจบ ป.6 แม่ผมจึงรับมาอยู่ด้วย ระหว่างที่ผมเรียนมัธยม ปวช. จนทำงานใน กทม. ผมก็ยังเทียวแวะไปทำให้แม่ใหญ่หนักใจเล่นอยู่เนือง ๆ แต่ระยะหลังผมได้เจอเพื่อนใหม่ ๆ กับชีวิตวัยรุ่น ผมเริ่มออกไปใช้ชีวิตนอกบ้าน พ่อผมต้องรับผิดชอบงานของบริษัทขยายสาขามาที่โคราช แม่และน้องชายของผมย้ายตามมาด้วย แต่ผมกลับไม่ยอมตามไปด้วย ยังขอฝังตัวเองอยู่ใน กทม. เพียงเพราะ....เพื่อน วัยรุ่น...เพื่อน คือสมบัติอันล้ำค่า เพื่อนคือทุกอย่าง ไม่รู้ว่าใครเป็นคนตั้ง แต่ผมหนีกฎเกณฑ์นี้ไม่พ้น นั่นจึงทำให้ผมเริ่มห่างพ่อและแม่ ห่างจากบ้านเกิดและแม่ใหญ่อยู่หลายปี จนวันหนึ่งที่ชีวิตผมต้องเปลี่ยนไป ด้วยอุบัติเหตุทางชีวิตครั้งใหญ่ ผมหอบร่างกายอันผอมโซ อมโรคดูเจียนตาย พร้อมกับเงินติดกระเป๋าไม่ถึงร้อย กลับมาหาแม่ใหญ่อีกครั้งหนึ่ง หลังจากไม่ได้กลับบ้านมานานหลายปี มาครั้งนี้ แม่ใหญ่ดูแก่ลงไปถนัดตา เวลาเดินหลังค้อมงุ้มกว่าเดิม ณ.วันนั้น แม่ใหญ่ไม่สามารถ ดูแลหลานเล็ก ๆ คนใดได้อีกแล้ว ทั้งเรี่ยวแรงที่หดหาย ทั้งเบาหวาน ทั้งความดันมันกร่อนความแข็งแรงของแกจนสิ้น บ้านที่เคยรื่นร่าด้วยเสียงเด็กน้อยหลายชีวิต บัดนี้ดูเงียบเหงา มีเพียงแม่ใหญ่ พ่อใหญ่ แหละน้องสาวที่ยังเรียนปวช. อยู่กันอย่างเหงา ๆ 3 ชีวิต ผมพักฟื้นร่างกายอยู่เกือบ 2 เดือนจึงเริ่มออกกำลังกายได้ เริ่มวิ่งได้ และเริ่มทำงานหนักได้...
ที่ว่างหลังบ้าน ดูรก ๆ ไปด้วยพงหญ้า เถาไม้เลื้อยต่าง ๆ ผมก็เปรย ๆ กับแม่ใหญ่ว่า " เราน่าจะปลูกคะน้า ต้นหอม ผักชีนะจะได้เด็ดจากต้นสด ๆ ไปกิน " แม่ใหญ่ก็ว่า " ดีเหมือนกัน แต่ว่ามันไกลก๊อกน้ำนะ " " แค่นี้เอง ผมหิ้วมาก็ได้ " ก๊อกน้ำกับที่รก ๆ นั้นห่างกันอยู่ราว 10 เมตร " เมิงอยากปลูกจริงเหรอ ขุดดินขึ้นแปลงเองนะ...ไหวแล้วเหรอ..." ผมหัวเราะ แทนคำตอบ รุ่งขึ้น...แม่ใหญ่หายไป ถามพ่อใหญ่ แกบอกว่าไปอำเภอ ผมก็ไม่คิดอะไร เพราะแกไปรับยา ไปเช็คร่างกายของแกประจำอยู่แล้ว แต่พอราว ๆ 10 โมง รถ 2 แถวโดยสารก็มาจอดหน้าบ้าน และแม่ใหญ่ก็ก้าวลงมา สะพายม้วนสายยางใส ๆ เข้ากับไหล่ อีกมือหิ้วถุงพลาสติคในย่อม ผมถลาเข้าไปหาทันทีที่เห็น ประคองสายยางจากไหล่แม่ใหญ่มาคล้องแทน และแย่งถุงพลาสติคในมือ " โอ้ยยย..ซื้อมาทำม้ายยยยย....ผมหิ้วเอาก็ได้ แค่นี้เอง แล้วนี้อะไรเนี่ย " ผมชูถุงพลาสติคขึ้น " เม็ดพันธุ์ ๆ น้ำนี่เมิงจะหิ้วทำไมมันเมื่อย เอาสายยางนี่แหละ ยืนฉีดเอา " (สายยางขาว ๆ ขนาดนิ้วชี้ไชเข้าไปได้ ยาว 15 เมตรหนักเท่าไหร่ ลองหามาชั่งดูกันครับ)
แล้ว 3 วันต่อมาที่ว่างรก ๆ ก็กลายรูปเป็นแปลงผัก ผมขุดดินขึ้นรูปเองทั้งหมดโดยมีแม่ใหญ่คอยกำกับดูแลอยู่ตลอดเวลา มุมหนึ่งของสวนครัวเล็ก ๆ แห่งนี้ ผมหว่านเมล็ดพันธุ์ที่แม่ใหญ่ซื้อมา ทั้งผักชี ต้นหอม คะน้า กวางตุ้ง โดยแบ่งเป็นส่วน ๆ ก่อนจะนำเศษฟางมาวางปรก ๆ เอาไว้ให้มันชุ่มน้ำ ผมเฝ้ารดน้ำและพรวนแปลงดินทุกวันให้มันรวนซุย และทุกวันเช่นกันที่แม่ใหญ่จะต้องไปนั่งชันเข่าอยู่ในแปลงผัก เคี้ยวหมากไปด้วย เก็บเอาเศษหญ้า เศษไม้ ออกจากแปลงไปด้วย แต่งดินในแปลงให้ดูตรงสวย เรียกว่าแกแทบจะเรียงดินทุกเม็ดในแปลงเลยก็ว่าได้ แกทำ ๆ หยุด ๆ พินิจพิเคราะห์ ดูแกมีความสุขมากกับพื้นที่แค่ไม่กี่ตารางวาแห่งนั้นมาก และไม่นานกล้าผักก็แตกออกมา อวดยอดเขียวอ่อนอวบใสให้เราชม ยอดมันสวยสมกับที่เราเฝ้ารอ
แต่กล้าผักมันแทงดินออกมาได้เพียงไม่กี่วัน พ่อผมก็โทรมา..... เราคุยกันอยู่นาน เมื่อรู้ว่าผมแข็งแรงดีแล้วก็ชวนผมมาหางานทำอยู่ด้วยกันที่โคราช ผมตัดสินใจว่าจะไป เพราะรู้สึกว่าอยู่เปล่า ๆ แบบนี้มันดูไร้ค่า เย็นนั้นผมจึงบอกแม่ใหญ่ไปว่าผมจะลองไปสมัครงานทำที่โคราช พ่อดูไว้ให้แล้ว แม่ใหญ่มองหน้าผม และมองแปลงต้นกล้า แกไม่ว่าอะไร บอกว่าก็ดีแล้วมีงานมีการทำมันก็ดี
. ต้นกล้ากำลังสวยพอที่จะดึงออกไปแต้มในแปลงแล้ว ผมบอกแม่ใหญ่ว่า "ไม่ต้องถอนมาแต้มนะ ไม่เกิน 3 วันหรอกเดี๋ยวผมกลับมาทำเอง " ( ผมคำนวณแล้ว ถึงบ้านพ่อ นอน 1 คืน รุ่งเช้าสมัครงาน กลับมานอนอีกคืน พรุ่งนี้กลับมารอเรียกสัมภาษณ์ที่บ้านแม่ใหญ่ รวม 3 วันพอดี ) แม่ใหญ่บอกเสียงเบา ๆ " ถึงเวลาแต้ม มันก็ต้องถอนมาแต้ม เมิงไม่ต้องหวงหรอก ไปเถอะ..... " ผมจุกจนพูดไม่ออก....
ตื่นเช้ามาผมรีบอาบน้ำแต่งตัวเตรียมไปโคราช ระหว่างจะเดินออกไปรอรถ 2 แถว แม่ใหญ่กำลังยืนหลังคู้ ฉีดสายยางรดแปลงกล้าอยู่ ผมเข้าไปหาแล้วยกมือไหว้ลา "ไปล่ะแม่ใหญ่ ไม่ต้องถอนนะเดี๋ยวผมกลับมาทำเอง " ผมย้ำแกอีกครั้ง " เออ ๆ ๆ ไปเถอะ ๆ บุญรักษา " เสียงอู้อี้เพราะคาคำหมากในปากอยู่ แกยิ้มแล้วรดน้ำแปลงผักต่อ
แต่เมื่อการณ์มันไม่เป็นไปตามคาด เช้าผมไปสมัครงาน บ่ายให้รอสัมภาษณ์ และรุ่งขึ้นผมเริ่มงานได้เลย!!! ...........นั่นจึงเป็นครั้งสุดท้ายที่ผมเห็นแม่ใหญ่ ยืนได้ด้วยตัวเอง..............
ผมซื้อกล้อง DSLR ตัวแรกเมื่อวันที่ 25 ธ.ค. วันคริสต์มาสพอดี ซึ่งเดือนหน้าก็จะครบ 3 ปีแล้วที่ผมเล่นกล้องมา สมัยเรียน ผมมีเรียนถ่ายรูปเบื้องต้น 1 เทอมเต็ม ๆ ตอนนั้นรู้สึกเท่มาก ที่ได้เอากล้องฟิล์ม SLR ห้อยคอ เดินไปเดินมาในมหาลัย หลังเรียนจบผมคิดเสมอว่าจะต้องมีกล้อง SLR ซักตัวให้ได้ แต่ตอนนั้นมันแพงเหลือเกิน รู้สึกว่ามันเกินตัวของเรา งานก็เพิ่งได้ทำ เงินเดือนแค่ไม่กี่พันบาท เราไม่ได้ถ่ายเป็นอาชีพถึงจะต้องใช้กล้องแพงอะไรแบบนั้น ตอนนั้นไม่รู้จักการถ่ายรับปริญญา ถ่ายพรีเวดดิ้ง ถ่ายโปรไฟล์ ไม่รู้จักคำว่าช่างภาพอิสระ รู้แต่ว่าช่างภาพ คืออาชีพที่ต้องถ่ายในร้านถ่ายรูป ถ่ายในสตูดิโอ ถ่ายดาราหรือถ่ายวิวลงหนังสือ ถ่ายงานแต่ง งานบวช งานศพ นั่นจึงทำให้ผมห่างหายจากความคิดที่จะมีกล้องไป ความรู้เรื่องกล้องที่ยังฝังหัวผมเมื่อสมัยเรียนมีหลงเหลืออยู่เพียง รูรับแสงและสปีดชัตเตอร์มันสัมพันธ์กันอย่างไร และทำงานอย่างไร...เท่านั้นเอง นอกนั้น......ผมไม่รู้อะไรเลย จนการกำเนิดของ DSLR ราคาเยาว์และบัตรเครดิตมาพบกันโดยบังเอิญ ความคิดจะครอบครองกล้อง SLR จึงเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง....และ Nikon D60 จึงได้มาอยู่ในมือผมในที่สุด
หลังจากนั้นอีก 2 วัน ผมชวนแฟนไปที่ฟาร์มจิม ทอมป์สัน เพื่อลองกล้อง...... .....................ผลของมัน..........เหลวไม่เป็นท่า.......................... เคยเรียนกล้องฟิล์ม ใช้แต่โหมด M ไม่รู้จักเลยว่าโหมด A-S-P มันคืออะไร ถ่ายมา 200 กว่ารูป ดูได้เพียงไม่ถึง 50 รูป...แฟนก็ปลอบใจว่าไม่เป็นไรเพิ่งถ่ายครั้งแรก เดี๋ยวอาทิตย์หน้าไปลองใหม่ก็ได้....เลยนัดกันว่าวันที่ 2 ม.ค. เดี๋ยวเราไปถ่ายกันใหม่ ช่วงนี้ผมก็ฝึกควบคุมกล้องไปก่อน มีเวลาอีก 6 วัน 6 วันที่ว่า ผมจับกล้องมาลองถ่ายนู้นถ่ายนี้ทุกวัน ชิทสมัยเรียนถูกรื้อมาอีกครั้ง เปิดคู่มือดู รู้จัก ISO ถ้าใช้ต่ำ-สูง มันจะเป็นอย่างไร รู้จักโหมด A-S-P ว่ามันคืออะไร ทำงานอย่างไร วัดแสงเฉพาะจุดเป็นอย่างไร เฉลี่ยทั้งภาพเป็นอย่างไร วันที่ 1 ม.ค. วันปีใหม่ เอาล่ะ....พรุ่งนี้พร้อม...ผมจะงัดทุกอย่างที่ซุ่มทำใน 6 วันที่ผ่านมาออกมาใช้ให้สาแก่ใจเชียว แต่แล้ว.....ช่วงหัวค่ำในค่ำคืนแห่งการเฉลิมฉลองปีใหม่นั่นเอง...โทรศัพท์ผมก็ดังขึ้น...
...............แม่ใหญ่เข้าโรงพยาบาล อาการหนักมาก............
...........ผมรีบไปบอกข่าว ให้พ่อกับแม่รู้ แต่ขณะนั้นเราคงทำอะไรไม่ได้มากกว่าการภาวนาไม่ให้แม่ใหญ่เป็นอะไร.... พรุ่งนี้เราทุกคนต้องไปลพบุรี แผนถ่ายรูปแก้มือที่จิม ทอมป์สันของผมถูกพับเก็บ และเกือบ 5 ทุ่มคืนนั้น...น้าโทรเข้าเครื่องผม พร้อมบอกว่า แม่ใหญ่ สิ้นลมแล้ว..... ผมเอ๋อไปชั่วครู่...ทำอะไรไม่ถูก แม่ผมเดินเข้ามาหาผม พูดกับผมคำเดียวว่า....." ....เหรอ...???" ผมมองหน้าแม่นิ่ง ไม่พูดอะไร แต่แม่กลับทรุดตัวลงไปนั่ง แล้วร้องไห้ออกมาเหมือนเด็ก พ่อเข้ามากอด...มากุมมือแม่ไว้.... ผมคุกเข่าลงข้างพ่อกับแม่ จ้องมองพ่อกับแม่ แต่ในหัวมีแต่ภาพแม่ใหญ่วิ่งวนมัวไปหมด .....เฟรมเรทของ VDO คือราวประมาณ 24 เฟรมต่อ 1 วินาที แต่ภาพแม่ใหญ่ที่วิ่งเข้ามาในหัวผมขณะนั้นคงราว ๆ เฟรมละภาพ คือมันเปลี่ยนไวมาก เป็นภาพตั้งแต่ผมเด็ก ๆ จนเจอแม่ใหญ่ครั้งสุดท้ายเมื่อหลายปีก่อน
.....ภาพที่แจ่มชัดและเวียนมาหลายหนขณะคิดคือภาพผักแปลงนั้นกับแม่ใหญ่...........
.. หลังจากได้ทำงานที่โคราชได้เพียงเดือนเศษ ญาติที่ลพบุรีก็โทรมาบอกว่าแม่ใหญ่ไม่สบายเข้าโรงพยาบาล รุ่งอีกวันหลังได้รับแจ้งข่าว ครอบครัวผมก็เหมารถไปเยี่ยมแม่ใหญ่ที่ลพบุรี หลังจากดูอาการของแกที่โรงพยาบาลในอำเภอ ซึ่งปรากฏว่าไม่ได้เป็นอะไรมาก ผมจึงขอตัวทุกคนเข้ามาในบ้านซึ่งหากจากอำเภอราว ๆ 20 กิโล เมื่อมาถึงบ้านซึ่งถูกปิดเงียบ ในเวลาบ่าย ๆ เช่นนี้ มันดูเหงาและวังเวงอย่างบอกไม่ถูก ผมตรงไปที่แปลงผักที่เคยตั้งใจจะปลูกเมื่อเดือนก่อน ผมเดินช้า ๆ ไปรอบ ๆ แปลง ภาพที่ผมเห็นคือ แปลงผักที่ถูกแต้มกล้าไว้จนเต็มพื้นที่แปลงที่ทำไว้ ต้นของมันสูงราว ๆ คืบกว่า ๆ แต่คะน้า กวางตุ้ง ต้นหอม และผักชี แต่ละต้นมันโกร๋นและแกรน ใบหงิกงอดูน่าเกลียด ตัวเพลี้ยะจับตามใบและกิ่งก้านของคะน้า กวางตุ้ง เป็นก้อนเขียว ๆ ดำ ๆ ดินที่เคยร่วนซุยชุ่มน้ำ บัดนี้แตกระแหงบิตัวร้าวไปตามต้นของผักต่าง ๆ สายยางขาวใสเมื่อเดือนที่แล้ว มีตะไคร่น้ำเขียว ๆ ดำ ๆ จับอยู่ตลอดลำสาย มันถูกวางพาดจากก๊อกน้ำ ไปหาแปลงผักแปลงสุดท้าย.... แต่กระนั้นก็ยังพอมีร่องรอยให้เห็นว่า ก่อนจะมีสภาพอย่างที่เห็น ผักแปลงนี้เคยได้รับการดูแลอย่างดีเพียงใด .....นี่แม่ใหญ่ใช้เวลาถอนตันกล้าไปปลูกในแปลงนานขนาดไหนวะเนี่ย.....ผมถามตัวเอง แต่ก่อนจะได้คำตอบ ผมต้องรีบเงยหน้าขึ้นไปบนฟ้า เพื่อกลืนน้ำตาที่กำลังรื้นออกมาให้กลับที่เดิม ......เพราะกรูแท้ ๆ เลย..........
.....แม่ใหญ่เริ่มป่วยออด ๆ แอด ๆ เข้าโรงพยาบาลหลายรอบจนกลายเป็นเรื่องปกติ ปีใหม่หรือสงกรานต์บางปีที่มีโอกาสกลับไปเยี่ยมบ้าน ผมเห็นแม่ใหญ่ต้องกินยาวันละเป็นกำ แต่แกก็ยังยิ้มได้ กินข้าวได้ พูดคุยได้ ดูเหมือนไม่มีอะไรหน้าเป็นห่วง เสียแต่เพียงว่าเวลาเดินแกจะต้องใช้ตัว 4 ขาช่วยพยุงเดิน ทุกครั้งที่แม่ใหญ่ต้องเข้าโรงพยาบาล หรือเจ็บป่วย จะต้องมีแม่ผมหรือน้า ๆ คนใดที่ว่าง มาเฝ้าเวรเสมอ บางคนอยู่เป็นเดือน ๆ และโดยเฉพาะช่วงหลัง ๆ บ้านเริ่มกลับมาดูมีชีวิตชีวาขึ้น เพราะลูกหลานผลัดกันมาเยี่ยมเยียนไม่ขาด มากันทุกเดือน คนที่ไม่ได้มาเฝ้าจะส่งเป็นเงินหรือสิ่งของมาแทน เพื่อเป็นการตอบแทนคนที่เสียสละมาเฝ้าไข้เฝ้าแก่ แม่ใหญ่ สลับหมุนเวียนกันในระบบโรเตชั่นเหมือนเมื่อครั้งเรายังเด็ก....... ...........จนแม่ใหญ่สิ้นลม..... ทุกอย่างที่ผมเห็นและรับรู้ ทำให้ผมเชื่อว่าแกต้องมีความสุขก่อนตายอย่างแน่นอน.......
.........แต่ตลอดการเดินทางไปลพบุรี ผมกลับไม่ได้นึกถึงแม่ใหญ่มากนัก ผมนึกถึงแต่เรื่องกล้องและการถ่ายรูปของผม หลังจากการได้ครอบครองไม่ถึง 10 วัน ...........มันคือความเห่อ.............. ช่วงอยู่บนรถโดยสาร ผมนำกล้องออกมาถ่ายเล่นลองวิชา คิดว่าเมื่อไม่ได้ถ่ายที่ไร่จิม ก็ใช้งานศพแม่ใหญ่นี่แหละลองถ่ายซะเลย ถือซะว่าเป็นการฝึกถ่ายงานไปในตัว ได้ลองผิดลองถูกโดยไม่มีใครว่าด้วย....ผมคิดแบบนั้นจริง ๆ .
......แล้วครอบครัวผมกลับมาถึงลพบุรีราว ๆ เกือบ ๆ เที่ยง ศพตั้งไว้ที่วัด รอให้ลูกหลานมาอาบน้ำศพก่อนจะบรรจุเข้าโลง ญาติพี่น้องมากันหนาตาด้วยว่าเป็นช่วงปีใหม่ พวกที่มีแผนที่จะไม่กลับบ้านในปีนี้ต้องเปลี่ยนแผน ก็เริ่มทะยอยมา แม่ใหญ่นอนอยู่บนแท่นกลางศาลา มีผ้าห่มคลุมถึงไหปลาร้า ผมเข้าไปดู...เหมือนแกนอนหลับอยู่เฉย ๆ ไม่เหมือนคนตายเลยซักนิด ผมลูบหน้าแม่ใหญ่ กราบหน้าอก และเดินไปจับปลายเท้า.....ไม่มีน้ำตา....ไม่มีรอยยิ้ม.... .........ไม่มีความรู้สึกใด..... .........มันว่างเปล่า เช่นเดียวกับลมหายใจของแม่ใหญ่..... .........และมันคงว่างเปล่า....หากผมไม่คิดเรื่อง กล้องให้มันมากนัก....... .........................ผมเดินไปเปิดกระเป๋ากล้อง ดึง D60 กับ เลนส์ Kit ออกมา........... แล้วผมก็ถ่าย....ดูหลังกล้อง.....ถ่าย ๆ ๆ ....ดูหลังกล้อง.....ถ่าย ๆ ๆ ๆ....ดูหลังกล้อง..... .......................มันเป็นไปตามครรลองของมัน........................
น้อง ๆ เริ่มมาถึงกัน หลายคนตรงไปกราบเท้าพร้อมน้ำตาที่อาบแก้ม ดวงตาแดงกร่ำมาตั้งแต่ขึ้นบันใดศาลา ช่วงที่น้องกราบเท้า ผมใช้ร่างแม่ใหญ่เป็นเส้นนำสายตาไปหาน้อง ในช่วงมุมกว้างสุดของเลนส์ ผมใช้ร่างแม่ใหญ่เป็นฉากหน้าเมื่อซูมสุดเลนส์ ให้ใบหน้าเปื้อนน้ำตาของน้องเป็นซับเจ็คท์ ผมถ่าย ๆ รู้สึกถึงอารมณ์ที่ซึมซับเข้ามาที่หลังกล้อง มันช่างสวยและได้อารมณ์ดีจัง.....
จนบ่ายโมง พิธีอาบน้ำศพเริ่ม ญาติพี่น้องเพื่อนบ้านมากันแน่นศาลาวัด ผม...ถูกดึงให้ไปยื่นขันน้ำให้แขกผู้มาร่วมงาน ที่ชักแถวมารอรดน้ำให้แม่ใหญ่ ผมตวัดกล้องจากคอไปให้น้องเขยช่วยถ่ายให้ เขารับกล้องไปแล้วทำท่าตาเหลือก " กดอย่างเดียว " ผมบอก น้องเขยผมกด ไปเรื่อย ๆ มองดูหลังกล้องไป มองหน้าผมไป แล้วส่ายหน้า ผมออกอาการลุกลี้ลุกลน " จะไหวไหมวะเนี่ย " ผมคิดในใจ น้องเขยไม่เคยใช้กล้องมาก่อน มันจะต้องถ่ายออกมาไม่สวยแน่ จริง ๆ มันต้องเป็นผมสิ ที่ควรจะไปอยู่ตรงนั้น ใครลากแขนผมมาไว้ตรงนี้นะ..... ...น้องผมคนหนึ่งเข้าคิวมารอรดน้ำ พอถึงคิวมัน หลังจากรดน้ำเสร็จแล้ว ผมรับขันคืนแล้วดึงแขนมันไว้...." มาทำแทนกรูทีดิ๊... " เสร็จแล้วผมก็เดินตัดแถว ไปรับกล้องคืนจากน้องเขย เอามาถ่ายแทน..... ...........ครรลองของมัน......ดำเนินต่อไป.................. ผมวุ่นวายกับการปั้นแต่งมุม หาฉากหน้า ฉากหลัง มุมกด มุมเงย การปรับกล้อง ปรับสปีดชัตเตอร์ ปรับรูรับแสง เปลี่ยนโหมดการใช้งาน ทั้ง M-A-S-P ใช้แฟลชบ้างไม่ใช้บ้าง เรียนรู้และลอง...ในสิ่งที่ตรากตรำทั้ง 6 วันก่อน ...........รู้สึกไม่พอใจ เมื่อรูปสว่างไปหรือมืดไป.... ...........และรู้สึกเป็นสุข.....เมื่อรูปที่ได้ออกมา ใส สว่าง อย่างที่ใจต้องการ........ ผมใช้งานศพแม่ใหญ่...ลองของ.....
3 วัน.....จนกระทั่งถึงวันเผาซึ่งวันนั้นผมถ่ายจนแบตหมด 3 วัน ผมถ่ายไปราวพันกว่ารูป คัดแล้วพอดูได้ และมุมไม่ซ้ำกันอยู่ 300 กว่ารูป รูปที่น้องเขยผมถ่ายผมไม่ได้คัดมารวมด้วย เพราะมันดูมืด ๆ มันยืนไกลไปแฟลชมันเลยไม่ถึง.....และ....มันไม่สวย..... เมื่อคัดแล้ว ผมนำไปอัด 3 ชุด เอาไปไว้ลพบุรี1 ไว้ กทม.1 เอาไว้ดูเองอีก1 และเป็นอัลบั้มที่ผมนำออกมาดูบ่อย ๆ ในช่วง 2 -3 เดือนแรกของการถ่ายรูป ผมดูบ่อย ๆ ทั้งอัลบั้มที่อัดมา และไฟล์ที่ย่อไว้ ดูรูปที่มันสวย แสงมันพอดี ชื่นชมยินดีกับฝีมือตัวเองที่ถ่ายได้ขนาดนั้น และส่ายหน้ากับบางรูปที่ถ่ายไม่ทันจังหวะที่ควร หรือถ่ายแล้วไม่ได้แสงอย่างใ คิดไว้ในใจว่าหากมีโอกาสถ่ายรูปครั้งต่อไป ผมจะต้องปรับกล้องอย่างนั้นอย่างนี้ พยายามนั่งศึกษามุมมองที่ดูขาด ๆ เกิน ๆ ตัวเอง หวังซักวันคงมีโอกาสแก้ตัวใหม่
งานศพแม่ใหญ่พยุงประสบการณ์ถ่ายรูปของผมขึ้นโดยที่ผมไม่รู้ตัว ....แต่ทุกครั้งที่นำอัลบั้มมาเปิดดู....ผมกลับไม่เคยเปิดดู ด้วยความคิดถึงแม่ใหญ่เลย.... ..........ผมทำราวกับไม่รับรู้ถึงการจากไปของแก......
.........จนถึงค่ำคืนที่ผมฝันถึงแก..... หลังจากที่ตื่นขึ้นมาอีกวัน ผมไปทำงานตามปกติ แต่สิ่งที่ไม่ปกติคือสิ่งที่อยู่ในหัวผม ผมคิดถึงแม่ใหญ่ทั้งวัน คิดถึงแปลงผักแปลงนั้น คิดถึงเรื่องเล่าที่แม่ใหญ่ชอบเล่าให้ฟัง คิดถึงอาหารที่แกทำ คิดถึงบ้าน คิดถึงถนน คิดถึงทางเข้าบ้าน และคิดถึงงานศพแม่ใหญ่ ....ที่ทำงาน ผมดึง External Harddisk ออกมาดูรูปที่เเคยถ่าย ๆ เอาไว้ เลือกรูปที่น้องเขยถ่ายในวันงานศพแม่ใหญ่มา 5 รูป ปรับสีใน PhotoShop ให้สว่างขึ้น แล้วไปอัด มันเป็นรูปที่ผมกำลังยืนคู่กับน้องสาวอีกคน น้องเป็นคนตักน้ำใส่ขันใบเล็ก ๆ แล้วเอาขันส่งให้ผม ก่อนที่ผมจะยื่นให้แขกที่มาร่วมงาน ฉากหน้าคือร่างของแม่ใหญ่นอนอยู่ ผมไม่เคยมีรูปถ่ายคู่กับแม่ใหญ่เลยตั้งแต่เล็กจนโต นี่จึงเป็นรูปชุดเดียวที่ผมกับแม่ใหญ่.....อยู่ในเฟรมเดียวกัน
เย็นวันนั้นผมแวะที่ร้านค้าปากทางเข้าบ้าน....นั่งอยู่คนเดียวพร้อมทั้งคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยซึ่งแน่นอนว่าเกี่ยวกับแม่ใหญ่ทั้งสิ้น ...ผมเอารูปที่เพิ่งอัดออกมาดู...เก็บเข้ากระเป๋า...เอาออกมาดู...เก็บเข้ากระเป๋า...วนเวียน 3-4 รอบ จนเกือบ 2 ทุ่มจึงเข้าบ้าน แฟนผมกินข้าวแล้วเตรียมอาบน้ำเข้านอน ผมยังอ้อยอิ่งอยู่หน้าบ้าน ทบทวนเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นอย่างพินิจพิเคราะห์ เดินเข้าไปในบ้าน ล้วงรูปที่เพิ่งไปอัดมาออกจากกระเป๋ากล้อง ออกมาดูที่หน้าบ้าน...อีกครั้ง ภาพแม่ใหญ่ที่นอนอยู่....กับภาพที่แกเอียงคอมองผมอย่างสงสัยในความฝัน ซ้อนสลับกันไปมา ..........แกคงไม่เข้าใจ และอยากเอ่ยถาม แต่เหมือนแกไม่ต้องการคำตอบ..... ...........เเป็นผมเสียเอง ที่กลับอยากบอกแกให้เข้าใจ ในการกระทำของตนเอง.... ........แต่ดูมันจะติดอยู่เพียงแค่......ตัวผมเองก็อยากรู้เช่นกันว่าผมกำลังทำอะไร...และเพื่ออะไร...
ด้วยความที่ไม่อยากตอบคำถาม ไม่อยากจะคุยอะไรกับใครมาก ผมเลยรอจนแฟนขึ้นนอน จึงเดินเข้าบ้านไปดึงอัลบั้มงานศพแม่ใหญ่ออกมา วางกองไว้กลางบ้าน แล้วนั่งลงเปิดไปหน้าสุดท้ายของอัลบั้มสุดท้าย ซึ่งมีพื้นที่ว่างอยู่พอสมควร ค่อย ๆ บรรจงสอดรูปที่เพิ่งอัดมา เข้าไปเรียงในอัลบั้มทีละใบ...ทีละใบ... ก้อนอะไรบางอย่างแข็ง ๆ หนัก ๆ แล่นมาจุกที่ลิ้นปี่...ดันขึ้นมาถึงคอหอย ผมสะอึก ฮึก! ๆ....แล้วสะอื้น...แผ่วเบา...........................จนเรียงเข้าอัลบั้มหมดทั้ง 5 ใบ ผมมองภาพทั้ง 5 ในหน้าสุดท้ายของอัลบั้มอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเปิดมันลงอย่างเร็ว วางอัลบั้มไว้บนตักแล้วหลับตา....... เปลือกตาที่ปิดลงมาไล่น้ำตาผมล้นออกมา รู้สึกอุ่น ๆ เป็นสายไหลผ่านแก้มไป ก่อนที่มันจะทิ้งตัวเองลงบนปกอัลบั้มพลาสติคดัง แปะ!.......... ผมหลับตานิ่ง พยายามรวบรวมสติอีกครั้ง สูดลมหายใจลึก อ้าปากผ่อนมันเข้า-ออก.....ช้า ๆ ....รู้สึกถึงก้อนสะอึกที่ขวางอยู่...... ครู่หนึ่งจึงเงยหน้าขึ้นด้านบน กระพริบตาถี่ ๆ เมื่อรู้สึกว่าไม่มีอะไรแล้ว จึงเอื้อมมือไปพลิกเอาอัลบั้มแรก ขึ้นมาวางบนตักแทน แล้วค่อย ๆ เปิดดูตั้งแต่ต้นทีละหน้า...ทีละหน้า...
.....แต่ละรูป แต่ละหน้าที่ผ่านไป ในยามนี้ ผมมองไม่เห็นเลย รูปตัวเองเคยสวยแบบไหน ผมมองไม่เห็นความงามของแสงในรูปที่เคยภาคภูมินักหนา ด้วยประสบการณ์ที่มากขึ้น ด้วยความฝันในค่ำคืนที่ปลุกย้ำความรู้สึก รูปน้องใบหน้าเปื้อนน้ำตา รูปน้าสาวร้องไห้กอดขาแม่ใหญ่ รูปน้องของแม่ใหญ่เขย่าอกพี่ตัวเองพร้อมร้องไห้โห.... เมื่อมองมันผ่านม่านน้ำตานาทีนี้......ไหนรึ...???? ความงามของรูปเหล่านี้มันอยู่ตรงไหน ผมมองไม่เห็นอารมณ์ของความเสียใจในภาพ ที่เคยภูมิใจเมื่อตัวเองเก็บช๊อตแบบนี้ได้ รูปตรงหน้าผมมันไม่ได้สวยงามอะไรเลย มันก็แค่รูปของคนที่หัดถ่ายรูปเท่านั้นเอง มันไม่เหลือความงามใด ๆ ให้เห็นอีกเลย แต่สิ่งที่ผมมองเห็นอย่างแจ่มชัดที่สุด...คือความอัปลักษณ์ของจิตใจตัวเองเท่านั้น ! ! ! เพียงไม่ถึงครึ่งอัลบั้ม ม่านน้ำตาของผมก็พังทะลายลง... ผมไม่เห็นรายละเอียดอะไรอีกเลยในอัลบั้ม มีเพียงภาพแม่ใหญ่ยามมีชีวิตอยู่ในความรู้สึกผมเท่านั้นที่งดงามเหนือทุกภาพ....
ผมปิดมันลงแล้วสะอื้นไห้โดยไร้เสียง...กอดอัลบั้มแนบอกแน่น! แล้วสะอื้นออกมาแรง ๆ แต่กลับพยายามกลืนเสียงเอาไว้....ให้ลึกที่สุด ผมอาย...หากใครมาได้ยิน....กลัวใครจะมารู้......กลัวใครจะมาถามว่า.....ผม.....กำลังทำอะไร....???
20 พฤศจิกายน 2554
จากคุณ |
:
THE CUT
|
เขียนเมื่อ |
:
วันนักถ่ายภาพไทย 54 10:31:51
|
|
|
|