ความคิดเห็นที่ 1 มารอฟังเหมือนกันครับ จากคุณ : ซิกัมซ้า ซิกัมซ้า เขียนเมื่อ : 18 ม.ค. 55 11:17:30

ความคิดเห็นที่ 2 ด้วยคนครับ... จากคุณ : archparty เขียนเมื่อ : 18 ม.ค. 55 11:18:36

ความคิดเห็นที่ 3 อีกคนครับ :) จากคุณ : ToonFx เขียนเมื่อ : 18 ม.ค. 55 11:27:26

ความคิดเห็นที่ 4 ตามที่ผมเข้าใจนะครับ D-Lighting คือดึงรายละเอียดเฉพาะส่วนมืดให้แสดงออกมา ปรับได้หลายเลเวลในกล้อง Nikon ส่วน HDR จะทำการประมวล dynamic range ให้กว้าง (ตามชื่อ) ถ้าทำในโปรแกรมจะต้องใช้ 3 รูป คือ รูปที่มีดีเทลของส่วนมืด + รูปที่มีดีเทลของน้ำหนักกลาง + รูปที่มีดีเทลส่วนสว่าง มารวมกัน จะได้รูปที่มีรายละเอียดทั้งรูป ยกตัวอย่าง ถ่ายนางแบบสาวสวยเซ็กซี่บิกินี่ ในห้องที่มีหน้าต่างอยู่หลังนางแบบ มีรีเฟล็กสะท้อนแสงใส่นางแบบ (แดดจ้า) ถ้าน้าถ่ายปกติ วัดแสงหน้านางแบบ น้าจะได้นางแบบสวย ผนังห้องที่ไม่โดนแดดมืด ท้องฟ้าสว่างจ้าา D-lighting - จะทำให้เห็นดีเทลในห้องได้ แต่ไม่สามารถทำให้ฟ้าเป็นสีฟ้าเข้มๆได้ HDR - นางแบบก็แหล่ม ห้องก็เห็นรายละเอียด แจกง แจกันมาหมด ฟ้าก็ซ๊วยสวย ^ ^ แก้ไขเมื่อ 18 ม.ค. 55 11:32:44 จากคุณ : JaoMom เขียนเมื่อ : 18 ม.ค. 55 11:29:46

ความคิดเห็นที่ 5 ถ่ายเป็น raw แล้วมาปรับ + - ก็ได้ครับผม แต่ดีกว่าถ่ายมา 3 ภาพรึเปล่า ไม่แน่ใจครับ รอผู้เชี่ยวชาญต่อไป จากคุณ : JaoMom เขียนเมื่อ : 18 ม.ค. 55 11:31:01

ความคิดเห็นที่ 6 เอาง่ายๆ ตามที่ผมเข้าใจ สั้นๆ HDR (High Density Range) คือ การทำภาพให้สว่างทั้งภาพ ให้สมดุลกัน บางโปรแกรมเพียง   .jpg  ภาพเดียวก็สามารถทำได้แล้วครับ แต่สู้ถ่ายคร่อมมาไม่ได้ D-Lighting คือการดึงส่วนมืดของภาพขึ้น ลดส่วนสว่าง ไม่ได้ดึงทั้งภาพ รายละเอียดตามนี้เลยครับ http://www.pixpros.net/forums/showthread.php?t=40886 http://www.pixpros.net/forums/showthread.php?t=15288 เพิ่มข้อความครับ ^_^ แก้ไขเมื่อ 18 ม.ค. 55 11:39:36 จากคุณ : คนเจ้าชู้อยู่ได้ทุกที่ เขียนเมื่อ : 18 ม.ค. 55 11:33:54

ความคิดเห็นที่ 7 thk ทุก comment ครับ จากคุณ : boypooh เขียนเมื่อ : 18 ม.ค. 55 11:45:28

ความคิดเห็นที่ 8 HDR - ไม่ใช้เทคนิคการโพรเซส แต่มันคือภาพที่มี Danamic Range ที่กว้าง (ชื่อก็บอกอยุ่ ว่า High Dynamic Range) ซึ่งวิธีการทำมีหลายวิธี เช่น ถ่ายคร่อมแล้วมาซ้อนรูปแล้วใช้ Layer ทำการ Mask , หรือจะเข้าโปรแกรมสำเร็จรูปต่างๆ เพื่อให้ภาพไม่มีส่วนมืดส่วนสว่างทั้งภาพ เรียกได้ว่าแทบจะเห็นเหมือนที่ตาเห็นเลยทีเดียว เทคโนโลยี Active D-Lighting ก็คือเทคโนโลยีที่พยายามจะทำให้ภาพมี Dynamic Range ที่กว้างๆ โดยไม่ต้องอาศัยการถ่ายภาพคร่อมแล้วมาซ้อนเอาทีหลัง แต่ถึงอย่างนั้น Active D-Lighting ก็ยังดีสู้การถ่ายคร่อมแล้วมาซ้อน เพื่อให้ได้ภาพที่มี Dynamic Range ที่กว้างจนเราพอใจครับ ^^ ผิดถูกขออภัย ตามความคิดของตัวเองล้วนๆ แก้ไขเมื่อ 18 ม.ค. 55 12:27:54 จากคุณ : Leon Fong เขียนเมื่อ : 18 ม.ค. 55 12:17:54

ความคิดเห็นที่ 9 อีกเรื่องคือการถ่าย HDR ถ้าไม่อยากถ่ายหลายๆรูป ผมถ่ายรูปเดียวเป็น raw แล้วมา +- exposure เองทำเป็น 3 รูปแล้วค่อยไปทำ HDR ได้หรือป่าว แล้วคุณภาพจะต่างกับถ่ายคล่อมไหม ------------------------------------------- ตอบข้อนี้ครับ ทำได้ครับ แต่การดึงไฟล์ Raw สามารถดึงได้เพียง +- 2 Stop เท่านั้น และในการดึงให้สว่าง Noise ก็จะตามมา เหมือนที่เราอาจเห็นหลายๆภาพ ว่าไฟล์มันจะัไม่ใส ไม่เครีย อีกทั้ง ส่วนที่ Loss Hilight ไปแล้ว ก็ไม่สามารถดึง Detail กลับมาได้ครับ ^^ จากคุณ : Leon Fong เขียนเมื่อ : 18 ม.ค. 55 12:24:18

ความคิดเห็นที่ 10 เอาตัวเลขวิชาการหน่อยนะครับ ของที่เราจะถ่าย มีความสว่าง ตั้งแต่สว่าง 1 (EV1) ถึง สว่าง 20 (EV20) ในขณะที่ภาพที่เราพิมพ์ หรือ ดูบนจอ มันแสดงได้แค่ 8 ช่วงเท่านั้น ปัญหาคือ จะเอาช่วงไหนมาแสดงหละ ถ้าจะเอาช่วง EV5 .. ก็จะเก็บภาพที่สว่าง EV1 - EV9 เกินกว่านั้น ก็สว่างจ้า ถ้าจะเอาช่วง EV15 .. ก็จะเก็บภาพที่สว่าง EV12 - EV20 ต่ำกว่านั้น ก็มืดตื๋อ อย่ากระนั้นเลย เอาช่วง EV10 แล้วกัน เราก็จะได้ภาพที่สว่าง EV7 - EV15 เกินกว่านั้น ก็สว่างจ้า ต่ำกว่านั้น ก็มืดตื๋อ นั่นคือ ปัญหาของการถ่ายภาพที่มีช่วงมืด ไปถึงสว่าง (dynamic range) กว้างมากๆๆ แก้ไขเมื่อ 18 ม.ค. 55 12:41:56 จากคุณ : แมวเหมียวพุงป่อง เขียนเมื่อ : 18 ม.ค. 55 12:41:20

ความคิดเห็นที่ 11 sensor และ ไฟล์ raw มันเก็บความสว่างที่ต่างกันได้ถึง 12 ช่วง แต่แสดงได้แค่ 8 ช่วง Active D ของ nikon หรือ ฯลฯ ของยี่ห้ออื่นๆ คือ เอา 7-8 ช่วงสำคัญๆ ที่มีใน raw มาจัดการตามปกติ .. และ"อัด" ลง 7 ช่วงด้านบนของภาพ jpeg และเอา 4-5ช่วง ส่วนมืด มาจัดการพิเศษ .. ให้มันสว่างขึ้น และ "อัด" ลงใน 1 ช่วงที่เหลือด้านล่าง ภาพที่ถ่ายมา มีความสว่าง 12 ช่วง .. ยัดลงในภาพที่เก็บได้แค่ 8 ช่วง .. พอไหว (ข้อมูลด้านมืด 4-5 ช่วง อัดลงภาพด้านมืด 1, ข้อมูลด้านสว่าง 7-8 ช่วง อัดลงภาพด้านปกติ 7) จากคุณ : แมวเหมียวพุงป่อง เขียนเมื่อ : 18 ม.ค. 55 12:46:07

ความคิดเห็นที่ 12 ไม่ว่า active D จะเจ๋งแค่ไหน ก็ก้าวข้ามขีดจำกัด sensor  ที่เก็บภาพ(ลงใน raw) ได้แค่ 12 ช่วงความสว่างไม่ได้ HDR .. ถ่าย 3 ภาพ ต่อให้เป็น jpeg ที่เก็บความสว่างได้แค่ 8 ช่วงก็เหอะ ภาพแรก เก็บรายละเอียดส่วนมืด 1-9 ภาพสอง เก็บรายละเอียดส่วนปกติ 7-15 ภาพสาม เก็บรายละเอียดส่วนสว่าง 12-20 เอาภาพแรก มาบีบลงภาพสุดท้ายส่วนมืด 2 ช่วง เอาภาพกลาง มาบีบลงภาพสุดท้ายส่วนกลาง 3 ช่วง เอาภาพสาม มาบีบลงภาพสุดท้ายส่วนสว่าง 2 ช่วง ภาพสุดท้าย ที่แสดงได้แค่ 8 ช่วง แต่มีรายละเอียดจากทั้งส่วนมืด, ส่วนปกติ และส่วนสว่าง ที่ต่างกันมากๆ ถึง 20 ช่วงได้ เขาถึงเรียก HIGH dynamic range จากคุณ : แมวเหมียวพุงป่อง เขียนเมื่อ : 18 ม.ค. 55 12:50:11

ความคิดเห็นที่ 13 ถ้า HDR ดีอย่างนั้น ทำไม บ.กล้อง ถึงไม่ทำอย่างนั้นซะเลยหละ??? มันหลอนครับ .. มันหลอน' ตาคนเรา, ใจคนเรา, ประสบการณ์ทั้งชีวิตของคนเรา รับรู้ (percieve) ภาพที่มีความสว่างแตกต่างกันแค่ 8-10 ช่วงเท่านั้น แสงสว่างน้อยๆ (มืด) เราก็พยายามเบิ่งตา เพื่อดู, เห็น, รับรู้ สิ่งสำคัญๆ .. โดยพยายามที่จะไม่หันไปมองแสงสว่างจ้าๆๆๆ แสงสว่างจ้าๆๆๆๆ (ชายทะเล) เราก็จะหรี่ตาลง เพื่อให้เห็นส่วนสำคัญๆแถวๆบิกินี่เท่านั้น ไม่มองส่วนมืดที่อยู่ต่ำ (เงาใต้เก้าอี้! คิดไปถึงเรื่องอะไร????!!!??) หรือส่วนสว่างเกินที่อยู่ด้านหลัง เราไม่ได้เห็นภาพชัดเจนหมด ตั้งแต่มืดตื๋อ ถึงสว่างโร่ ในคราวเดียว แต่ HDR .. มันเอาทุกอย่างมาโชว์หมด ส่วนที่เป็นเงามืด ก็มีรายละเอียด ส่วนที่สว่างแสบตา ก็ยังเห็นได้ชัด เอ๋??? ประสบการณ์ในชีวิตเรา ไม่ได้เห็นอย่างนั้นนี่หว่า เวลาเราดูภาพ HDR .. เราจึงรู้สึก "หลอนๆ" จบจ้ะ ชอบใจ ก็คลิ้กเก็บให้ด้วยจ้าาา จากคุณ : แมวเหมียวพุงป่อง เขียนเมื่อ : 18 ม.ค. 55 12:55:00

ความคิดเห็นที่ 14 ขนาดลูกเล่นอะไรอย่างอื่นดูหลอนกว่า ยังใส่มาในกล้องเต็มไปหมดเลยครับน้า จากคุณ : indevidal เขียนเมื่อ : 18 ม.ค. 55 13:03:57

ความคิดเห็นที่ 15 คลิกเก็บให้แล้วนะครับ น้าแมวเหมียวฯ จากคุณ : jerry-t เขียนเมื่อ : 18 ม.ค. 55 13:04:13

ความคิดเห็นที่ 16 เรื่อง "หลอน" นี่ .. เล่นเอา Microsoft เสียศูนย์ไปแล้วครับ เมื่อ 2-3 ปีก่อน MS ออกฟอร์แมตภาพยุคอนาคตมา (ผมก็เคยเขียนถึงเรื่องนี้ ด้วยความตื่นเต้น ) และคาดว่า จะกินรวบตลาดภาพ เพราะฟอร์แมตนี้ เก็บรายละเอียดได้สุดๆ .. ได้ 16 bit เต็มๆ และแสดงได้ 16 bit ด้วย แต่ผลตอบรับจากตลาดคือ .. รอยยิ้มเย็นชา เพราะไม่มีอุปกรณ์ที่จะแสดงภาพความสว่าง 16 ช่วงได้ ------------- ไม่มีอุปกรณ์? มีครับ จอที่แสดงความสว่างเกิน 16 ช่วงระดับได้ ก็มี ก็จอภาพ OLED .. แสดงได้ถึง 20 ระดับ (2 ยกกำลัง 20 = 1,000,000:1) ตลาดฮือฮาๆๆๆๆ ก่อน .. เงียบสนิท เพราะมันไม่มีสื่อ(media) ที่มีรายละเอียดขนาดนั้น ถ้าใครเคยดูหนัง (computer graphics) ที่มีความสว่างเปรียบต่างขนาดนั้น บนจอ OLED ที่สามารถเล่นได้ .. ก็จะพบว่า "มันหลอนๆ" เวทนาขันธ์(ความรู้สึก), สังขารขันธ์(การรับรู้), สัญญาขันธ์(ความทรงจำ, ประสบการณ์) .. ของคนเรา .. มันแค่ 8 บิตคร้าบ จบจริงๆ จากคุณ : แมวเหมียวพุงป่อง เขียนเมื่อ : 18 ม.ค. 55 13:05:13

ความคิดเห็นที่ 17 น้อง indevidal ครับ เห็นไหมครับว่า เขาใส่มาเป็น "ลูกเล่น" ไม่ได้เก็บภาพเป็น HDR ถ้าใครมีกล้องที่ถ่าย HDR ได้ ลองไปออกทริป และเก็บภาพเป็น HDR ทั้งทริปดูได้ครับ จะรู้ว่า มัน"หลอน" ยังงัย จากคุณ : แมวเหมียวพุงป่อง เขียนเมื่อ : 18 ม.ค. 55 13:09:22

ความคิดเห็นที่ 18 แน่นจริงๆครับน้าแมว ขอบคุณสำหรับความรู้ดีดีที่นำมามอบให้ครับ จากคุณ : Leon Fong เขียนเมื่อ : 18 ม.ค. 55 13:37:07

ความคิดเห็นที่ 19 น้าแมวมาเต็ม ทำผมมึนไปเลย ตัวเลขทั้งนั้น สงสัยเรื่องหลอน มันหลอนเพราะ contrast มันแรงด้วยหรือป่าว จากคุณ : boypooh เขียนเมื่อ : 18 ม.ค. 55 13:41:57

ความคิดเห็นที่ 20 ชัดเจนครับน้าแมว พอเข้าใจอยู่แล้วระดับหนึ่ง มาถึงตรงนี้กระจ่างเลย กดเก็บแล้วครับ จากคุณ : venfaa เขียนเมื่อ : 18 ม.ค. 55 13:48:26

ความคิดเห็นที่ 21 ภาพที่ Dynamic Range กว้างๆ Contrast จะน้อยลงตามครับ เพราะอย่างที่น้าแมวอธิบายคือ มีการดึงรายละเอียดส่วนมืดขึ้น และดึงส่วนสว่างลง ทำให้ Contrast ภาพจะน้อยลงครับ ส่วนเรื่องความหลอนหรือไม่หลอน ต้องอยู่ที่ผู้ที่ต้องการนำเสนอภาพครับ ว่าอยากได้ Dynamic Range กว้างระดับไหนในความพึงพอใจ แต่เข้าใจว่าฟังค์ชันในกล้องถ่ายมาน่าจะหลอน(ผมไม่เคยใช้ฟังค์ชันในกล้อง) แต่ในแง่ถ้าถ่ายคร่อมเพื่อมาทำ HDR เราเป็นผู้เลือกเองอยุ่แล้วครับ ว่าอยากให้ Danamic Range มันกว้างเพิ่มขึ้นเป็นขนาดเท่าใดครับ Dynamic Range ปกติคือ 8 เราอยากทำภาพที่ High Dynamic Range ก็ไม่จำเป็นต้องจัดเต็ม 20EV ก็ได้ครับ ขึ้นอยู่กับตัวเราเองเลยครับ มันไม่มีกฏตายตัวครับ ซึ่งถ้าสังเกตหลายๆคน บางคนก็จัดเต็ม HDR ภาพจึงดูไม่สมจริงและผิดธรรมชาติ แต่บางคนที่เนียนๆ ก็สามารถทำให้ไม่หลอนได้ครับ อันนี้ความเห็นส่วนตัวนะครับ ผิดถูกขออภัยด้วยคร้าบบบบบ รอผู้รุ้มาแก้ ^^ จากคุณ : Leon Fong เขียนเมื่อ : 18 ม.ค. 55 13:54:28

ความคิดเห็นที่ 22 กล้องผมเก็บได้13.9 ev ครับ..(ปล.ตัวเลขใน lap ซึ่งตาเรายากที่จะแยกความแตกต่างจริงๆ) แต่จะบอกอย่างหนึ่งวา active D เองก็ไม่ได้ดีที่สุดเสมอไปนะครับ...เพราะการเปิด ​​active D ในระดับที่สูงขึ้นเรื่อยๆ จะเกิด noise ใน mid tone ซึ่งจะทำให้ภาพไม่คมครับ...ลองจินตนาการภาพถ่ายปกติ กับ ภาพถ่ายที่เปิด  Active D มาเทียบกันจะเห็นได้ชัด ยิ่งที่ iso สูงยิ่งเห็นชัดครับ... แท้ที่จริงแล้วคำสั่ง Acitve D มันก็คือคำสั่งในการดึงเอากราฟใน zone shadow & midtone ขึ้นมาเหมือนกันกับใน PS นั่นแหล่ะครับ..ดึงมาก็ Noise ขึ้นแต่จะขึ้นเฉพาะจุดที่เป็น Shadow & Midtone เท่านั้นครับ.. ดังนั้นถ้าใครแสวงหาภาพที่คมสุดใจ นอกจาก ตั้งขาตั้งกล้อง ลมไม่แรง ยกกระจก รีโมต ปิดกันสั่น แล้ว ต้องปิด Active D ด้วยครับ.. จากคุณ : Night Claw เขียนเมื่อ : 18 ม.ค. 55 14:26:26

ความคิดเห็นที่ 23 กดเก็บเข้าคลังกระทู้ครับ จากคุณ : ไก่แก้ว สาริกา เขียนเมื่อ : 18 ม.ค. 55 14:38:59

ความคิดเห็นที่ 24 1.ภาพที่ Dynamic Range กว้างๆ Contrast จะน้อยลงตามครับ 2.บางคนที่เนียนๆ ก็สามารถทำให้ไม่หลอนได้ มี 2 จุดที่อยากเพิ่มเติมครับ DR/contrast ของต้นทาง(สิ่งที่เราจะถ่าย) และปลายทาง(อุปกรณ์แสดงผล) แยกจากกันครับ DR (contrast) ของภาพสุดท้าย มันมีอยู่จำกัดเท่าเดิม ตามขีดจำกัดของไฟล์ที่บันทึกภาพ(jpeg) และ อุปกรณ์แสดงผล (จอ, กระดาษ ฯลฯ) DR ต้นฉบับ จะสูง หรือ ต่ำ ก็ไม่ทำให้ DR ของปลายทางเปลี่ยนแปลง ภาพต้นฉบับ มี DR 20 EV .. อัดลงบน jpeg/จอภาพ ที่มี DR 8 EV สิ่งที่คนดูเห็น ก็คือ ภาพที่มี DR 8 EV ภาพต้นฉบับ มี DR 12 EV .. อัดลงบน jpeg/จอภาพ ที่มี DR 8 EV สิ่งที่คนดูเห็น ก็คือ ภาพที่มี DR 8 EV ภาพต้นฉบับ มี DR 8 EV .. อัดลงบน jpeg/จอภาพ ที่มี DR 8 EV สิ่งที่คนดูเห็น ก็คือ ภาพที่มี DR 8 EV DR ต้นฉบับ มากกว่า DR สุดท้่ายเท่าไหร่ ความหลอนก็ยิ่งมาก .. นั่นคือ "บางคนก็จัดเต็ม HDR ภาพจึงดูไม่สมจริงและผิดธรรมชาติ" ที่ว่ามาแหละครับ แต่ ไม่สมจริงและผิดธรรมชาติ, หลอน, สวย มันสามเรื่อง ที่ไม่เกี่ยวของกัน ตัวอย่างแห่งความ "ไม่สมจริงสุดๆๆ & ผิดธรรมชาติสุดๆๆ & หลอนสุดๆๆ & สวยสุดๆๆๆๆ" แก้ไขเมื่อ 18 ม.ค. 55 15:19:11 จากคุณ : แมวเหมียวพุงป่อง เขียนเมื่อ : 18 ม.ค. 55 14:46:21

ความคิดเห็นที่ 25 กล้องผมเก็บได้13.9 ev ครับ..(ปล.ตัวเลขใน lap ซึ่งตาเรายากที่จะแยกความแตกต่างจริงๆ) กล้องเก็บได้ กับ ภาพสุุดท้ายแสดงได้ คนละอย่างกันครับ ตาเรา เห็นแต่ "ภาพสุดท้าย" เท่านั้นเองครับ แต่ถ้าจะเอาจริงๆ เราเห็นได้ "เกิน" ที่กล้องจะเก็บได้ด้วยซ้ำ จากคุณ : แมวเหมียวพุงป่อง เขียนเมื่อ : 18 ม.ค. 55 14:49:00

ความคิดเห็นที่ 26 โอ้วววววววว เก็ทเลยครับ ขอบคุณน้าแมวมากๆๆครับ ตอนนี้แตกฉานแล้วครับ ขอบคุณจริงๆครับน้า จากคุณ : Leon Fong เขียนเมื่อ : 18 ม.ค. 55 15:11:42

ความคิดเห็นที่ 27 ขอบคุณสำหรับความรู้ครับ ดีครับได้รู้ที่มาที่ไป ^ ^ จากคุณ : JaoMom เขียนเมื่อ : 18 ม.ค. 55 15:39:52

ความคิดเห็นที่ 28 ในเทคนิคการแต่งภาพนั้น..เราไม่ได้ปรับดึง DR ทั้งภาพนะครับ..เพราะถ้าเราปรับทั้งภาพมันก็จะเหมือนอย่างที่น้าแมวเหมียวฯ ให้ข้อมูลคือ กราฟมันจะยก(Shift)ขึ้นทั้งภาพ แต่ในกรณีการปรับเลือกดึงภาพเฉพาะส่วนที่มืด(Shadow) กับ ลดความสว่างในส่วนของแสงจ้า(Highlight) มันไม่ไปแตะต้องกันครับ นี้ยังไม่รวมในส่วน midtone นะ.. ดังนั้นกล้องที่มีDR สูงกว่า สามารถเปิดเงาและลด แสงให้มาอยู่บนภาพ Jpeg ได้ในคราวเดียวกันได้โดยไม่ต้องถึงกับเปิดเงาทุกส่วน สังเกตกราฟไม่ได้ยกไปพร้อมกันทั้งเส้น แต่ละเลื่อนเฉพาะในส่วนที่เป็นเงา โดยที่กราฟส่วนสว่างยังอยู่เหมือนเดิม เช่น กรณีเราเก็บภาพที่ กราฟมีตั้งแต่ ส่วนมืดไม่มีรายละเอียด ไปจนส่วนสว่างที่ burn ขาวรายละเอียดหาย แต่ใน คอมฯ เราสามารถจะดึงเอารายละเอียดพวกนั้นกลับมาให้อยู่ใน DR ที่ 8 ev อย่างที่ jpeg สามารถบันทึกได้ไงครับ.. เดี๋ยวจะงง​... มาเสริมให้อีกนิด...ก่อนอื่นจะบอกว่า ภาพใน jpeg  สามารถเก็บ DR ได้ 8 ev ดังนั้นการถ่ายภาพที่ 14 ev ได้ไม่ใช่ไม่มีประโยชน์นะครับ เพราะเวลาเราลดแสงที่จ้าเกินกว่าระยะที่ jpeg เก็บได้ และ เพิ่มความสว่างของเงาในส่วนที่ jpeg เก็บได้ เราก็จะสามารถแสดงรายละเอียดทั้งภาพได้ครบถ้วนไงครับ.. สำหรับคนที่ถ่ายภาพ Stock คงจะเคยทำกันบ่อยกับการจัด กราฟฮิสโตแกรมไม่ให้มีส่วนที่ burn กับ มืด ไม่งั้นโดน  Poor light ตลอด ลองดูกราฟ ฮิสโตแกรมของภาพแนว HDR กราฟจะไม่ค่อยมีส่วนที่มืดสุดกับสว่างสุด แต่ออกแบนๆ นอนๆครับ..จะไม่เป็นรูประฆังคว่ำเหมือนรูปทั่วๆไป(ที่ถ่ายได้ดีๆ) แก้ไขเมื่อ 18 ม.ค. 55 18:13:43 จากคุณ : Night Claw เขียนเมื่อ : 18 ม.ค. 55 18:00:04

ความคิดเห็นที่ 29 ทั้งน้าแมว และ น้า Night Claw ข้อมูลแน่มาก ๆ ... แต่ผมอ่านแล้วยังงง ๆ @boypooh ... ผมของตอบแต่ว่า ภาพ RAW ดึงให้ภาพนึงลงไปสัก 2 stop แล้วอีกภาพ ดึงขึ้น 2 stop ส่วนภาพตรงกลางปล่อยไว้เฉย ๆ save หรือ export ไปเป็น .TIFF แล้วเอาไปประกอบร่างกันใน software อื่น ๆ ได้เลยครับ หรือจะทำเป็น HDR ใน Photoshop, lightroom หรืออื่น ๆ จาก RAW ภาพเดียวเลยก็ได้ จากคุณ : ผัดไทยกุ้งสด เขียนเมื่อ : 18 ม.ค. 55 18:38:08

ความคิดเห็นที่ 30 มึน.....เยอะจนมึน จากคุณ : ทุ่งดุสิตาใต้ฟ้าคราม เขียนเมื่อ : 18 ม.ค. 55 19:30:18

ความคิดเห็นที่ 31 ใครอยากรู้ว่า ภาพที่ยึดหยุ่นเป็นยังไง..ต้องลองเอาภาพเดียวกัน แบบ Jpeg & RAW ไปดึงเล่นๆใน LR ดูครับ..แล้วจะรู้ว่าดึงได้มากกับดึงได้น้อยๆมันเป็นยังไง....ของอย่างงี้ต้องลอง แล้วพอลองเราจะเข้าใจเองครับ.. จากคุณ : Night Claw เขียนเมื่อ : 18 ม.ค. 55 20:12:55

ความคิดเห็นที่ 32 ^^ จากคุณ : booklovers เขียนเมื่อ : 19 ม.ค. 55 16:15:16

ความคิดเห็นที่ 33 ตามมา Lecture ค่ะ ^^ จากคุณ : by iPad (Petit.Kitten) เขียนเมื่อ : 20 ม.ค. 55 16:57:19