ความคิดเห็นที่ 1 เปรียบเทียบให้ดูนะครับ ซ้ายมือ 50 mm f/1.4 ขวามือ 50 mm f/1.8 จากคุณ : Kawpod เขียนเมื่อ : 20 เม.ย. 55 15:49:00

ความคิดเห็นที่ 2 จากการสังเกตด้วยสายตา คิดว่าเลนส์ 50 mm f/1.4 เมื่อมองด้วยตาเปล่าแล้ว ที่ f/1.4 นั้น ให้ภาพที่มืดกว่า f/2 หรือ 2.8 เมื่อถ่ายที่แสงเท่ากัน (คือลดความไวชัตเตอร์ให้ช้าลงสัมพันธ์กับรูรับแสงที่แคบขึ้น) ส่วนตัว 50 mm f/1.8 ก็ให้ผลในลักษณะเดียวกันแต่น้อยกว่ามาก (อย่ามองตรงขอบมุมภาพนะครับ มันมีขอบดำหรือ falloff อยู่แล้วเป็นลักษณะเฉพาะเมื่อรูรับแสงกว้าง) ขออนุญาตสรุปนะครับ เลนส์ที่ไวแสง (รูรับแสงกว้าง) เมื่อเปิดรูรับแสงกว้างสุด แสงที่ได้นั้น ไม่ได้เข้ามาเต็มที่เท่ากับรูรับแสงจริงตามทฤษฎี หรือหากผมเข้าใจอะไรผิดไป รบกวนชี้แนะด้วยครับ จากคุณ : Kawpod เขียนเมื่อ : 20 เม.ย. 55 15:54:24

ความคิดเห็นที่ 3 แต่ความคาใจของผมก็ไม่หมดแค่นั้น ผมก็เลยสงสัยว่า แล้วเลนส์ซูมล่ะ ให้ผลในลักษณะเดียวกันไหม ก็เลยยืมของจากเพื่อนมาครับ Canon EOS 500D + Tamron 17-50 f/2.8 ผลที่ได้ คล้ายกันครับ ที่กว้างสุด มันไม่ได้แสงเข้ามามากเหมือนที่ควรจะเป็น สรุปว่า กว้างสุด กว้างไม่จริงครับ (สีต่างกันเล็กน้อยจากกล้องคนละตัวและ picture style ครับ สังเกตแสงเอาแล้วกันครับ) แก้ไขเมื่อ 20 เม.ย. 55 15:58:08 จากคุณ : Kawpod เขียนเมื่อ : 20 เม.ย. 55 15:57:03

ความคิดเห็นที่ 4 ค่า f number เป็นค่าที่บอกลักษณะทางกายภาพของเลนส์ตัวหนึ่งๆครับ ไม่ได้บอกปริมาณแสงเข้าโดยตรง จากคุณ : Ontjung เขียนเมื่อ : 20 เม.ย. 55 16:26:45

ความคิดเห็นที่ 5 การถ่ายรูปก็เหมือนรินน้ำลงแก้ว รูใหญ่ก็รินได้ไวกว่ารูเล็ก รูเล็กก็รินได้ช้ากว่าในสภาพแสงน้อยเล็นส์ไวแสงเปิดที่รูรับแสงกว้างๆให้สปีดชัเตอร์ที่เร็วกว่าเขาถึงเรยกว่าเล็นส์ไวแสง ตามความเห็นที่1.จะเห้นได้ว่ความเร็วชัเตอร์ของ 1.4 เร็วกว่อย่งเห็นได้ชัด แต่ที่รูรับแสงเท่ากันชัตเตอร์มันก็เท่ากันนั่นแหละ จากคุณ : ลุงเปี๊ยก (kajohnwit) เขียนเมื่อ : 20 เม.ย. 55 16:33:43

ความคิดเห็นที่ 6 เพิ่งสังเกตข้อมูลภาพ จริงอย่างที่ลุงเปี๊ยกว่า เจ้าของกระทู้ถ่ายที่ EV เดียวกันนี่นา ผมนึกว่าแกทดลองที่ f กว้างสุดของทั้งสองเลนส์.. จากคุณ : Ontjung เขียนเมื่อ : 20 เม.ย. 55 16:41:45

ความคิดเห็นที่ 7 ถ้าใช้ F เท่ากัน ความใสความสว่างวัดกันที่ชิ้นเลนส์ล่ะครับ ^^ จากคุณ : Wink77 เขียนเมื่อ : 20 เม.ย. 55 16:45:31

ความคิดเห็นที่ 8 เอาเรื่องปวดหัวมาเพิ่ม เซนเซอร์ในกล้อง มันมีหลายแบบ เซนเซอร์รับภาพ (Imager sensor) ก็แบบหนึ่ง เซนเซอร์วัดระยะ (AF sensor) ก็อีกแบบหนึ่ง เซนเซอร์วัดแสง (light value sensor) ก็อีกแบบหนึ่ง สามแบบนี่ ต่างกันมากพอสมควร เซนเซอร์รับภาพ ขนาดของจุดรับภาพที่แท้จริง(photosite, PS) มันเล็ก และ เบียดเสียดยัดเยียด และด้วยลักษณะทางโครงสร้างของเซนเซอร์ ทำให้ต้องมี 'เลนส์รับแสงขนาดจิ๋ว (microlens, ML)' อยู่เหนือ PS ไมโครเลนส์ ทำหน้าที่รวบรวมแสงที่จะตกลงมาบน PS ทุกโฟตอน ให้ลงสู่หลุมสร้างสัญญาณ (photodiode, PD) แต่ความที่ PS มันเยอะ และเบียดเสียด microlens มันจึงมีขนาดจำกัด และเพราะเลนส์ทุกตัว มันมีคุณสมบัติติดตัว 2 อย่างคือความยาวโฟกัสของเลนส์ และ "ความสว่าง (f/stop)" microlens ก็มี 2 คุณสมบัตินี้เช่นกัน ความยาวโฟกัสของ ML มันจะเท่าไหร่ ไม่สำคัญ แต่ .. f/stop มันขึ้นอยู่กับ "ขนาดความกว้าง" ของ ML อิทีนี้ .. ขนาดความกว้างของ ML มันจำกัด ใหญ่สุด กว้างสุด ก็ได้แค่ขนาดของ PS ทำให้ f/stop กว้างสุดของมัน (ในเทคโนโลยียามนี้) คือ f/2.0 เลนส์ถ่ายภาพ .. ให้แสงผ่านเท่าไหร่ .. ไม่สำคัญ เพราะมันให้แสงผ่านได้แค่ f/2.0 จากคุณ : แมวเหมียวพุงป่อง เขียนเมื่อ : 20 เม.ย. 55 16:49:35

ความคิดเห็นที่ 9 ถ้าแค่นี้ หมดปัญหา ออกไปถ่ายรูปกันเถอะ มันจะให้แสงผ่านเท่าไหร่ ชั่งมัน มันก็ดีอะดิ ปัญหาที่ตามมา ก็คือ จุดรับแสงของเซนเซอร์วัดแสง (light sensor) .. ขนาดมันใหญ่มากๆๆ .. เมื่อเทียบกับจุดรับแสงของเซนเซอร์รับภาพ ใหญ่กว่ากันมาก PS ของเซนเซอร์รับภาพ .. แถวๆ 6-8 micron PS ของเซนเซอร์วัดแสง .. ส่วนใหญ่ ไม่ต่ำกว่า 200 micron เรียกได้ว่า .. กว้างใหญ่ จนไม่จำเป็นต้องมี microlens เพื่อรวมแสง แล้วมันแปลว่าอะไร? แปลว่า แสง 100 หน่วย ที่ผ่านเลนส์ถ่ายภาพเข้ามา มันไปถึงเซนเซอร์วัดแสง 100 หน่วยเต็ม (เอาตัวเลขหยาบๆคร่าวๆ) เซนเซอร์วัดแสงก็รายงานว่า .. แสงที่คุณกำลังจะถ่ายเนี่ยนะ .. มันสว่าง 100 หน่วย คุณจึงตั้ง f/stop, speed, ISO ฯลฯ เพื่อให้ภาพมันสว่างด้วยแสง 100 หน่วยพอดี แต่ในเสี้ยววินาทีที่ม่านชัตเตอร์เปิด .. แสง 100 หน่วย ถูกหักเห จากเซนเซอร์วัดแสง กลับมาส่องเซนเซอร์รับภาพ ไปกระทบผิวหน้า microlens 100 หน่วย แต่หลุดลงไปถึงก้นบ่อ ที่เปลี่ยนแสงเป็นสัญญาณภาพแค่ 50 หน่วยเท่านั้น จากคุณ : แมวเหมียวพุงป่อง เขียนเมื่อ : 20 เม.ย. 55 16:50:03

ความคิดเห็นที่ 10 มันแปลว่า คุณวัดแสง .. ได้ 1/200, f/1.4 @ ISO 100 แต่แสงที่สร้างภาพ มันเหลือแค่ครึ่งเดียว .. ถ้าคุณไม่ลดความเร็วลงเป็น 1/100 หรือ เพิ่ม ISO เป็น 200 ภาพคุณจะมืด กว่าที่ควรจะเป็น เมื่อวันก่อน  .. น้าหนูน้อยต้อยตีวิด (ขออ้างถึงนะครับ) ถึงได้บอกว่า "ปัญหาอีกอย่างที่จะเจอคือ Exposure Accuracy ของกล้องอาจจะผิดพลาดได้มากถึง +-1 EV  ในขณะที่เครื่องวัดแสงมือถือผิดได้เพียง 0.1 EV เท่านั้น" สำหรับคนที่ถ่ายภาพเล่นสนุกๆ โชว์ภาพแค่ในเว็บอย่างผม .. เรื่องนี้ มันไม่ใช่ปัญหา แต่สำหรับคนที่ทำมาหากิน ด้วยการรับจ้างถ่ายภาพ .. จากคุณ : แมวเหมียวพุงป่อง เขียนเมื่อ : 20 เม.ย. 55 16:50:29

ความคิดเห็นที่ 11 >> จริงๆ แล้ว แสงที่ผ่านเข้ามาตกยังเซ็นเซอร์หรือฟิล์ม มันไม่ได้มาเท่ากับค่าของมันที่ควรจะเป็น น้อง kawpod ครับ เรื่องนี้ เป็นเฉพาะแต่กับเซนเซอร์ครับ กับฟิล์ม .. ไม่มีปัญหาแต่ประการใด ฟิล์ม ไม่ต้องการ microlens เพราะแสง .. ไม่ว่ามาจากทิศทางใด ก็สามารถชน 'สารรับแสง' เพื่อก่อเกิดปฏิกิริยาเคมีได้ทั้งนั้น จากคุณ : แมวเหมียวพุงป่อง เขียนเมื่อ : 20 เม.ย. 55 16:55:14

ความคิดเห็นที่ 12 ผมเข้าใจว่าหลังเลนส์หลัก กล้องคงชดเชยอะไรต่ออะไรหมดแล้วมังครับ รวมถึงแสงที่เสียไปกับ ML ด้วย จากคุณ : Ontjung เขียนเมื่อ : 20 เม.ย. 55 17:03:32

ความคิดเห็นที่ 13 ปัญหา ที่ตากล้อง 'มืออาชีพ' จะต้องเจอแน่ .. ถ้าเผลอ คือ ตอนแสงน้อยๆ .. ใช้ f/1.4 และชดเชยแสง +1 .. เพราะรู้ (แม้ไม่ได้อ่านเรื่องนี้) จากประสบการณ์การถ่ายภาพมานาน & จากภาพชุดแรกๆ ที่เสียไป ว่า "เลนส์สว่างๆ ถ้าเปิดกว้างๆ มันเสียแสง" ถ้าถ่ายปกติ ไม่มีปัญหา แต่ถ้ารีบร้อนๆ .. เปลี่ยนจาก f/1.4 ไป f/2.8 .. เพราะแสงมันมากขึ้น ไอ้ที่ชดเชยไว้ +1 มันจะทำให้ภาพ over จน highlight คลิปได้ อย่าลืมว่า .. คลิปแล้ว คลิปไปเลย เอาคืนกลับมาไม่ได้ .. จากคุณ : แมวเหมียวพุงป่อง เขียนเมื่อ : 20 เม.ย. 55 17:03:36

ความคิดเห็นที่ 14 มาเก็บเกี่ยวความรู้ครับ ขอบคุณครับ จากคุณ : Comet's Tail เขียนเมื่อ : 20 เม.ย. 55 17:20:01

ความคิดเห็นที่ 15 ต้องรอดูว่า วัสดุศาสตร์ จะก้าวไปได้ไกลเพียงพอ ในอนาคตอันใกล้รึปล่าวครับ ... ข้อจำกัดหลายๆอย่าง อย่างที่น้าแมวพูดถึงตอนนี้ ต้องรอดูว่า วิศวกรจะหาอะไรมาให้แปลกใจกันอีก ...​ฝันหวานไปถึง ML ที่ใช้สารเคลือบเพิ่มปฎิกริยาไฟฟ้า หรือ กระทั่งชิ้นเลนส์ใหม่ๆ ว่าแต่ว่า ... ซอฟท์แวร์ในกล้อง น่าจะไปเร็วกว่าอยู่ดี แหะๆ แก้ไขเมื่อ 20 เม.ย. 55 17:26:20 จากคุณ : RBJ เขียนเมื่อ : 20 เม.ย. 55 17:25:22

ความคิดเห็นที่ 16 เมื่อกี้ตามไปอ่านลิ้งค์เก่าๆมา เจอชาร์ทอันี้แต่ไม่ดูไม่เข้าใจ รบกวนถามน้าแมวหน่อยนะครับ ว่าตามชาร์ทนี้ 7D เสียแสงเยอะที่สุด อะไรประมาณนั้นรึเปล่าครับ ขอบคุณครับ จากคุณ : ไร้ญาติขาดมิตร เขียนเมื่อ : 20 เม.ย. 55 17:55:37

ความคิดเห็นที่ 17 กดเก็บเข้าคลังด่วน...ความรู้ทั้งน้าน จากคุณ : Bank_Photolista เขียนเมื่อ : 20 เม.ย. 55 18:06:27

ความคิดเห็นที่ 18 ตอนนี้รู้แล้วใช่ไหมครับว่าในสตูดิโอทำไมถึงใช้โพลาลอยด์ถ่ายเช็คแสงไม่ใช่กล้องดิจิตอล แล้วทำไมกล้อง Medium format ถึงต้องมีโพลาลอยด์แบ็กไว้ถ่ายก่อนลงแบ็กจริง ทำไมรูปดีๆโฆษณาสินค้าแบรนด์เนมพวกกระเป๋าใบละแสนนาฬิกาเรือนละล้าน ถึงกำหนดว่าไม่ใช้ดิจิตอลแบ็กแต่ใช้ฟิล์มยืนพื้น ทำไมช่างกล้องบางท่านส่งงานเป็นฟิล์มอย่างเดียว ไม่เอาฟิล์มก็ไม่ต้องมาจ้าง เพราะว่าอย่าถามหาความเป็น Linear กับอุปกรณ์ semi-conductor มันไม่มีให้ในโลกนี้หรอกครับ จากคุณ : คนธนฯ เขียนเมื่อ : 20 เม.ย. 55 18:17:11

ความคิดเห็นที่ 19 อ่อ จริงครับ ช่างภาพเป็นคนชดเชย จากคุณ : Ontjung เขียนเมื่อ : 20 เม.ย. 55 18:51:02

ความคิดเห็นที่ 20 วิศวกรกล้องรู้เรื่องนี้ดีครับ แต่ไม่มีประโยชน์ทางการตลาดที่จะต้องเอาจุดนี้มาขยายความ (ผู้ผลิตทุกรายในโลกนี้เป็นเหมือนกันหมดล่ะครับ ลองนึกดูว่าเป็นคุณขายของคุณจะเอาเรื่องที่พูดแล้วเสี่ยงให้ขายของไม่ได้มาพูดทำไมล่ะครับ)  และนี่ก็เป็น"อีกหนึ่งในเหตุผล"ที่ค่ายกล้องต้องพยายามพัฒนาให้กล้องรุ่นใหม่ที่ " จำเป็นต้องมีพิกเซลมากขึ้น? "(เพราะมันขายได้ทางการตลาด!) แต่ดันทำให้เสียแสงมากขึ้นเพราะพื้นที่ไมโครเลนส์เล็กลงเนื่องจากPSที่ต้องแออัดกว่าเดิม ถึงสามารถใช้ iso สูงๆแต่สัณญาณรบกวนน้อยลงเพื่อเอามาชดเชยแสงที่เสียไปในส่วนนี้เช่นกัน สังเกตจากที่กระทู้ก่อน จขกท. บอกว่าเมื่อปรับรูรับแสงให้สว่างขึ้น4stop แต่ isoที่ตั้งออโต้ไว้กลับสูงเกินกว่าทฤษฎีที่ควรจะต้องเป็น เพราะเขาออกแบบให้มันมีการชดเชยในตัวมันเองอยู่แล้วในระดับนึงครับ ^_^ จากคุณ : หมูทำไรก็อร่อยยกเว้นข้าวมันไก่ เขียนเมื่อ : 20 เม.ย. 55 19:02:55

ความคิดเห็นที่ 21 ความรู้ทั้งนั้น...เก็บๆๆๆๆๆๆๆ คนที่ชอบแซวน้าแมวเหมียว ว่าไม่สามารถพูดภาษาคนได้....คงเหมือนประมาณ  เด็กประถม ตั้งกระทู้ถามสูตรโกงเกมส์แล้วมีพวกโปรแกรมเมอร์คุยกันเรื่องโครงสร้างภาษาของเกมส์... ผมละกลัวจริงๆ  กลัวน้าแมวเหมียวจะงอนเสียงนกเสียงกา เลิกให้ความรู้ในพันทิปทำให้คนที่อยากจะเอาขี้เลื่อยออกจากสมองอย่างผมพลอยเสียโอกาสอันมีค่าไปด้วย..... อยากจะบอกว่าความรู้ของน้าแมวเหมียวฯ ไปหาอ่านจากตำราบ้านๆ คู่มือ กล้องดิจิตอล "ไม่มี" นะครับ อยากรู้ต้องเปิดใจรับฟัง และศึกษาค้นคว้าให้ลึก ไม่รู้ก็ต้องทำให้รู้ ไม่ใช่ไม่รู้ดันบอกว่าครูสอนไม่รู้เรื่อง... พวกเด็กกวดวิชาสมัยนี้ย้ายโรงเรียนกันบ่อยก็เพราะอย่างงี้แหล่ะ..ชอบครูตลกๆ ขำๆ เล่าเรื่องผี เล่าตลกโปกหา พอเข้าเนื้อหาก็ดันง่วงเหงาหาวนอน.. จากคุณ : Night Claw เขียนเมื่อ : 20 เม.ย. 55 20:01:04

ความคิดเห็นที่ 22 น้า night claw ครับ .. แซวไม่ว่ากัน เพราะแสดงว่า ตั้งใจฟัง อยากรู้เรื่องบ้าง แล้วฟังไม่รู้เรื่อง จึงแซวคนพูด ให้พูดให้รู้เรื่อง ที่ไม่ชอบอย่างมากคือ .. คนที่รบกวนการฟังของคนอื่น .. โดยไม่สนใจเนื้อหาแม้แต่น้อยนิด ---------- น้องไร้ญาติฯ ครับ ถูกต้องตามนั้นเลยครับ ถ้ามันแค่ 0.2-0.3 stop .. ยังพอไหว เพราะถ้าชดเชยทิ้งไว้ +0.3 เพื่อป้องกันปัญหา noise ในเงามืด ที่มาพร้อมกับการ'ขุด'รายละเอียด .. ช่วง highlight จะไม่โดนคลิ้ป เพราะกล้อง dSLR ส่วนใหญ่ จะยังคงสามารถรักษารายละเอียดส่วนสว่าง แม้จะเปิดรับแสงเกินไป  (dynamic headroom) ถึง 0.5 stop แต่ถ้าตากล้องเล่น'ชดเชย'เข้าไป 1 stop .. เผลอเมื่อไหร่ .. ไฮไลท์คลิ้ปเมื่อนั้น ชนิดดึงกลับคืนไม่ได้ จากคุณ : แมวเหมียวพุงป่อง เขียนเมื่อ : 20 เม.ย. 55 20:52:28

ความคิดเห็นที่ 23 มีใครแซวน้าแมวเหมืยวพุงป่องรึครับ หวังว่าผมคงไม่ได้ทำให้คิดยังงั้นนะครับ(มองหน้ามองหลังแล้วไม่เห็นใคร) จากคุณ : Ontjung เขียนเมื่อ : 20 เม.ย. 55 21:03:36

ความคิดเห็นที่ 24 ขอบคุณคครับน้าแมว ผมว่าแล้วทำไมกล้องผม (7D) เวลาตั้ง iso auto แล้วมันดันซะสูงเชียว แบบนี้ถ้าผมจะตั้ง +EV เอาไว้ตลอดเลยจะดีมั้ยครับ ตั้งสักเท่าไหร่ดีครับ ขอบคุณครับ จากคุณ : ไร้ญาติขาดมิตร (ไร้ญาติขาดมิตร) เขียนเมื่อ : 20 เม.ย. 55 21:20:54

ความคิดเห็นที่ 25 รออ่านกระทู้ เลนซ์  f2.0 ลวงโลกอยู่นะครับ น่าจะช่วยประหยัดเงินในกระเป๋าเสี่ยรวยๆ มืออาชีพ โปรอุปกรณ์ และนักฝันไกลได้ดีทีเดียว เหอะๆ  จากคุณ : เจ้าชายรองเท้าแตะ 655 เขียนเมื่อ : 20 เม.ย. 55 22:40:03

ความคิดเห็นที่ 26 ความรู้ทั้งนั้นเลย ขอบพระคุณครับ :) จากคุณ : ToonFx เขียนเมื่อ : 20 เม.ย. 55 23:22:21

ความคิดเห็นที่ 27 ขอบคุณสำหรับการทดลองครับ.... f/1.2 ทั้งหลาย จะลดราคาลงมั่งมั้ยเนี่ย จากคุณ : Muyan เขียนเมื่อ : 20 เม.ย. 55 23:24:39

ความคิดเห็นที่ 28 น้าไร้ญาติฯ สิ่งที่คิดจะทำนั่นแหละ คือ ปัญหา ถ้าใช้ 7D + 50/1.4 และตั้ง +1.0 EV ตลอด .. และใช้โหมด Av (หรือ M) ตอนที่เราถ่ายด้วย f/1.4 .. แสงมันก็จะพอดี แต่ถ้าเราหรี่รูรับแสงเป็น f/2.8 เมื่อไหร่ ภาพจะ over 1 stop เอาดื้อๆ จากคุณ : แมวเหมียวพุงป่อง เขียนเมื่อ : 20 เม.ย. 55 23:47:45

ความคิดเห็นที่ 29 โชคดี ทางบ้านมีฐานะ...(ยากจน) ไม่มีตังค์ซื้อ 1.4 มาใช้ จากคุณ : Night Claw เขียนเมื่อ : 21 เม.ย. 55 01:36:27

ความคิดเห็นที่ 30 ขอรบกวนถามแบบคนไม่รู้นะ พึ่งเล่นกล้อง แต่บ้า f ต่ำๆครับ ชอบหลังละลาย ถ้ามันเกิดปัญหาแบบนี้จริงๆ กล้อง DSLR รุ่นปัจจุบัน หรือรุ่นใหม่ๆ เขาไม่ได้ปรับปรุง เฟิมร์แวร์ เพื่อแก้ไขปัญหานี้ โดยปรับค่าความต่างของแสงที่รับเข้ามาประมวลผลเป็นภาพที่เพี้ยนไปเมื่อมีการใช้เลนส์ต่ำกว่า f2 หรือครับ หรือว่าผู้ใช้กล้องเองต้องจำไว้เลยว่า เมื่อใดที่ใ้ช้กล้องและเปิด f ต่ำกว่า 2 ต้องชดเชยแสงเพิ่มนิดนึงครับ แล้วถ้าเป็นตามนี้ กรณีใช้ f1.2  และ f1.4 ในการถ่ายรูปเพื่อต้องการหลังละลาย ควรชดเชยแสงประมาณเท่าใดครับ กล้อง EOS60D เลนส์ที่ f ต่ำๆ มี เลนส์ fix ของ Sigma 30 f1.4 กับ Canon 50 f1.2 จากคุณ : nuttaponl เขียนเมื่อ : 21 เม.ย. 55 08:48:06

ความคิดเห็นที่ 31 อ้ออ แบบนี้นิเอง เมื่อก่อนไม่มี f ต่ำกว่า 2 ไม่รู้เรื่องกับเขาเลยอ่าน คราวที่แล้วก็ งงเป็นไก่ตาแตก พอมาเจอ 50 f1.4 เข้าแล้วมาเจอกระทู้นี้อีก ถึงบางอ้อ เลย แต่กว่าจะถึงบางอ้อได้ก็ต้องตจอนไปถ่าย moto show อีก เพราะว่าปกติ ต่ำกว่า 2 ก็ไม่ค่อยได้ใช้  พอ moto show ซัดไป 1.6 ดูที่รูปทำไหมเหมือนมันมืด ๆ ถ่ายมาพอดีมันมืดนิดหนึ่งจริง ๆ ด้วย ตั้งชดเชยโอเวอร์นิด ๆ กลับพอดี ถึงบางอ้อ กันเลย กระทู้นี้ จากคุณ : hookman13 เขียนเมื่อ : 21 เม.ย. 55 16:11:16

ความคิดเห็นที่ 32 ตอบ คห.30 ครับ กำลังถามถึงปัจจัยที่ 3 และ 4 ให้ปวดหัวเล่น ชิ้นแก้วเลนส์ มันไม่ได้ใส 100% ครับ และเนื้อแก้วเลนส์ แต่ละชิ้น ไม่ได้หนาเท่ากัน แสงที่ผ่านชิ้นแก้ว .. ความสว่างจะลดลง ปกติลด 4% - 5% .. ทั้งจากความไม่ใสของแก้ว และจากแสงสะท้อน การโค้ทดีๆ .. ทำให้แสงหายไป เหลือแค่ 0.2% - 0.5% แสงที่หายไป .. หายไม่สม่ำเสมอ ตรงที่ชิ้นแก้วหนาๆ หายมากกว่าตรงที่ชิ้นแก้วบางๆ ตรงที่ขอบมุมๆ หายมากกว่าตรงที่ตรงกลางชิ้นแก้ว ฯลฯ แทบจะเรียกได้ว่า .. เลนส์บ้องหนึ่งๆ ที่ประกอบด้วยชิ้นแก้วนับสิบชิ้น ต่อให้เปิด f/stop เท่ากัน แสงที่หายไป ก็ไม่เท่ากัน เมื่อรวมๆๆแล้ว หมายความว่า เลนส์แต่ละตัว .. มีคุณสมบัติให้แสงผ่านเท่าไหร่นั้น เป็นคุณสมบัติเฉพาะตัว ในการถ่ายภาพทั่วๆไป .. เลนส์แต่ละตัว ต่อให้ผลิตออกมาพร้อมๆกัน แสงที่ผ่านท้ายเลนส์ อาจแตกต่างกันได้ถึง +/- 0.3 stop +0.3 stop -0.3 stop มันแปลว่า ห่างกันได้ถึง 0.6 stop!!! จากคุณ : แมวเหมียวพุงป่อง เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 55 00:39:05

ความคิดเห็นที่ 33 0.6 stop นี่ .. สำหรับการถ่ายภาพทั่วไป .. มองแทบไม่ออก แต่สำหรับงาน repro .. มันหมายถึงได้ตังค์ หรือ ไม่ได้ตังค์ และสำหรับงานถ่ายหนัง มันหมายถึงเจ๊งเป็นล้านๆบาท เลนส์ถ่ายหนัง .. จะทำการวัดความใสสว่าง และกำหนดค่าออกมาเป็น t/stop .. หรือ transmitted light f/stop นั่นคือเมื่อเปิด f/stop นี้ๆ ให้แสงผ่านออกมาเท่าไหร่ หนังดีๆ แทบจะต้องส่งไปเลนส์ถ่ายไปวัดค่า t/stop นี้ใหม่ ทุกครั้งที่เริ่มถ่ายหนังเรื่องใหม่ เพื่อไม่ให้แสงในแต่ละฉาก "กระโดด" จากการเปลี่ยนเลนส์ จากคุณ : แมวเหมียวพุงป่อง เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 55 00:42:11

ความคิดเห็นที่ 34 การตรวจวัดค่า t/stop .. มันแพงมาก เลนส์ธรรมดาๆ .. ที่เราบอกว่าแพงๆ ถึงยังแพงสู้เลนส์ถ่ายหนังไม่ได้ ก็เพราะอย่างนี้ แสงเข้าข้างหน้าเลนส์ เท่ากัน เปิด f/stop เดียวกัน แสงที่ออกจากท้ายเลนส์ ไม่เท่ากัน ถ้าจะให้ firmware สามารถ'ชดเชย' ความเพี้ยนนี้ได้ เลนส์แต่ละตัว จะต้องถูกวัดค่า t/stop และฝังค่านี้ ไว้ใน firmware ของเลนส์ เลนส์ถ่ายภาพ .. ที่ทำอย่างนี้ มียี่ห้อเดียวครับ leica ผลที่ได้ ต้องบอกว่า .. ดีเยี่ยมยอดสุดๆๆๆ เลนส์ leica ที่ใช้กับกล้อง leica ขนาดสว่างถึง f/0.95 แต่ .. การวัดแสง แม่นเป๊ะๆๆๆ แสงที่ลงไปถึงเซนเซอร์ ก็แม่นเป๊ะๆๆๆ เช่นกัน โปรดอย่าถามเรื่อง 'ราคา' จากคุณ : แมวเหมียวพุงป่อง เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 55 00:46:08

ความคิดเห็นที่ 35 หรือว่าผู้ใช้กล้องเองต้องจำไว้เลยว่า เมื่อใดที่ใ้ช้กล้องและเปิด f ต่ำกว่า 2 ต้องชดเชยแสงเพิ่มนิดนึงครับ แล้วถ้าเป็นตามนี้ กรณีใช้ f1.2  และ f1.4 ในการถ่ายรูปเพื่อต้องการหลังละลาย ควรชดเชยแสงประมาณเท่าใดครับ คำตอบสรุป คือ ใช่ การชดเชยแสง .. จะชดเชยเท่าไหร่ ต้องปรับไปตามเลนส์เป็นตัวๆไป และปรับ .. ตาม f/stop ด้วย f/1.8 ชดเชยเท่าไหร่ f/1.4 ชดเชยเท่าไหร่ f/1.2 ชดเชยเท่าไหร่ ฯลฯ ต้องทดลองทดสอบเอง ยิ่งกว่านั้น วัดแสงแบบ spot vs วัดแสงแบบ pattern .. ชดเชยยังต่างกันอีก!! ลองคุยกับตากล้องมืออาชีพ ที่ถ่าย portrait รายได้งามๆ ดูได้ วัดแสงแล้ว วัดแสงอีก แทบจะเรียกได้ว่า ถ่าย set นึงเสร็จ วัดแสงใหม่/ทดสอบถ่ายใหม่ ก่อนเริ่มถ่าย set ถัดไป เลนส์ที่ใช้อยู่ ต่อให้ยับเยินแค่ไหน ก็ไม่มีการเปลี่ยน .. เพราะไม่อย่างนั้น ต้องเริ่ม calibrate & tuning กระบวนการวัดแสง/ถ่ายภาพ กันใหม่อีกรอบ .. -------------------------------- เอา 'เคล็ดลับการได้ทักษะ' ของมืออาชีพเขามาเล่าสู่กันฟัง จะโดนเอาปูนหมายหัวหรือเปล่าไม่รู้ แก้ไขเมื่อ 22 เม.ย. 55 00:55:10 จากคุณ : แมวเหมียวพุงป่อง เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 55 00:52:00

ความคิดเห็นที่ 36 สุดยอดครับ นับถือๆ  ^ ^ จากคุณ : ไร้ญาติขาดมิตร (ไร้ญาติขาดมิตร) เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 55 02:32:43

ความคิดเห็นที่ 37 ขอบคุณครับ ได้ความรู้มากๆครับ สงใสผมคงจะคงระดับตัวเอง เป็นตากล้องมือใหม่ต่อไปครับ เพราะแค่ถ่ายรูปให้ตัวเองดูแล้วพอใจ แถมความรู้เรื่องวัดแสงก็ไม่ค่อยมี ปรกติเอาแค่ถ่ายมาแล้วดูดี แค่เป็นความทรงจำส่วนตัวแค่นั้นครับ ไว้จะติดตามขอความรู้เพิ่มในกระทู้อื่นๆอีกครับ จากคุณ : nuttaponl เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 55 11:26:32

ความคิดเห็นที่ 38 ขอโทษ ขอถามหน่อย ความคิดเห็นที่ 1 ทั้ง 6 รูป ใช้ ISO แต่ละรูปเป็นเท่าไหร่ครับ พยายามหาดูแล้วไม่เจอ จากคุณ : จอมยุทธน้อยเตียบ๊อจี๊ เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 55 13:59:24 A:1.2.131.160 X: TicketID:350341

ความคิดเห็นที่ 39 ขอบคุณน้าแมวเหมียวพุงป่อง เป็นอย่างสูงครับที่ช่วยมาไขความกระจ่างให้กับหลายๆ ท่าน จากคุณ : Kawpod เขียนเมื่อ : 23 เม.ย. 55 22:13:36