ความคิดเห็นที่ 1 แต่สำหรับช่างภาพมืออาชีพหลายๆ คน... เค้าให้ความเห็นว่า แม้ว่าเค้าจะขายรูปผ่านทาง stock photo website ได้เหมือนกัน แต่ในช่วง สามถึงสี่ปีที่ผ่านมา รายได้หลักของพวกเค้าลดลงถึง  30-50% ต่อปี บางราย ลดลงถึง 90% จนต้องลาจากวงการ นี่ยังไม่นับรวมไปถึงโอกาสของช่างภาพ ที่จะสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวกับลูกค้า (อ้างอิงมาจาก British Journal of Photography ครับ) เขาบอกว่าข้อเสียหลักของ stock photo website ก็คือระบบ royalty free (RF) เพราะมันเป็นเนื้อร้ายที่จะทำลายวงการการถ่ายภาพในระยะยาว โดยทั่วไปแล้ว RF ก็คือสัญญาการซื้อขายภาพแบบหนึ่งนั่นเอง... เป็นสัญญาที่ผู้ซื้อจ่ายค่าลิขสิทธิ์เพียงครั้งเดียว แต่มีอิสระในการนำภาพไปใช้ได้ หลายๆ ครั้ง โดยไม่จำกัดระยะเวลา เปรียบได้กับการซื้อ CD  เพลง หรือ DVD หนัง ที่เราสามารถเปิดฟัง (ดู) เมื่อไหร่ก็ได้ ไม่จำกัดจำนวนครั้ง ไม่ผิดลิขสิทธิ์ตราบเท่าที่ยัง ไม่เอาไปก๊อบขายครับ (ปล ในบางกรณี RF ของแต่ละเจ้าก็แตกต่างกันไปต้องศึกษาดีๆ ครับ) . . ... จริงหรือเปล่าผมก็ไม่รู้ เพราะไม่ได้อยู่ในวงการนี้ครับ ??? จากคุณ : theorem เขียนเมื่อ : 27 มิ.ย. 55 05:27:22

ความคิดเห็นที่ 2 เห็นระบบ RF นี่ก็ใช้อยู่ในวงการอื่นๆ เช่น เพลง หนัง มานานแล้ว แต่คงยัง ใหม่อยู่สำหรับวงการการถ่ายภาพ ที่เพิ่งเริ่มต้นในยุคดิจิทัล ก็เลยยังเป็นเรื่อง ที่ต้อง debate กันอยู่ในหลายๆ ประเทศ หาข้อมูลเพิ่มเติมอีกหน่อยก็เจอตัวอย่างที่ระบบ RF เข้ามาทำให้เจ้าตลาดแบบเดิม ต้องเจ๊ง ก็คือเคสของ Blockbuster กับ Netflix ที่เห็นเป็นข่าวอยู่หลัดๆ ในปีนี้ที่ อเมริกานี่เองครับ Blockbuster เป็นเจ้าตลาดร้านเช่าหนังมาช้านานทำธุรกิจในรูปแบบโมเดลเดิมๆ คือเปิดร้านเช่า DVD คิดค่าเช่าต่อแผ่นต่อวัน ส่วน Netflix นำโมเดลธุุรกิจใหม่เข้า มาใช้ คือจ่ายค่าดูเป็นรายเดือน จะดูกี่เรื่องก็ได้ ตอนแรกๆ ที่ Netflix เข้ามาสู่ตลาด เค้าจะใช้ระบบ สั่ง DVD ออนไลน์ และแผ่นจะถูกส่งมาทางไปรษณีย์แบบวันเดียวถึง แรกๆ เห็น Netflix ทำอย่างงี้ Blockbuster ก็ทำมั่ง อาศัยความได้เปรียบที่ตัวเองมีร้าน อยู่ทั่วประเทศอยู่แล้วให้ลูกค้าจะเช่า/คืน ได้ทางร้านหรือทางไปรษณีย์ก็ได้ แต่พอมา ทีหลัง เจอ Netflix ใช้กลยุทธ์ใหม่ คือเช่าหนังแบบ stream ผ่านทาง Internet จ่ายเดือนละ $7.99 แต่ดูหนังผ่านทางทีวีที่ต่อ Internet ได้ รวมถึง คอมพิวเตอร์ และ เครื่องเล่นเกมส์ที่ต่อ WiFi ได้อย่าง Wii XBox PS3 แบบไม่จำกัดเรื่อง จำกัดรอบ แถมยังกดคลิ๊กเดียวเปิดหนังดูได้เลย เจออย่างงี้ Blockbuster ก็เจ๊งสิครับ ไม่มีตังค์มาโปะค่าใช้จ่ายใน store ที่มีอยู่ทั่วประเทศ ในประเทศที่ระบบ Network มีความเชื่อถือได้รวมทั้งยังเร็วปรุ๊ดปร๊าดเหมือนในอเมริกา ใครมันจะไปขยันขับรถไปเช่าหนังมาดูทีละเรื่องสองเรื่อง นั่งเคี้ยวป๊อบคอร์นจิบไวน์ บนโซฟาไป มือกดรีโมทเลือกหนังไป สบายกว่าเยอะ จริงๆ พออ่านเรื่องของการสู้รบระหว่างสองบริษัทนี้แล้วมันส์มากครับ แต่พอก่อน เดี๋ยวจะนอกเรื่องเกินไป -------------------------------------------------- รูปประกอบจาก http://pintura-verde.** ไม่ใช่ลิควิด **/2011/08/netflix.html แก้ไขเมื่อ 27 มิ.ย. 55 05:35:01 จากคุณ : theorem เขียนเมื่อ : 27 มิ.ย. 55 05:27:56

ความคิดเห็นที่ 3 กลับมาถึงเรื่องของวงการการถ่ายภาพ... อย่างที่เกริ่นไว้ว่าผมไม่ได้อยู่ในวงการนี้ ก็อยากทราบว่า น้าๆ ปร้าๆ มีความเห็นยังไงกับเรื่องของ stock photo ระบบ RF รวมไปถึงระบบ การสื่อสารยุคดิจิทัล ที่รูปภาพส่วนใหญ่ถูกใช้งานและเผยแพร่บนหน้าจอ มากกว่าบนหน้ากระดาษแบบเดิมๆ ครับ? . . คิดไปคิดมา มันพาให้นึกไปถึงคำนิยามของปัจจัยที่จะนำไปสู่ความสำเร็จ ของช่างภาพที่ถูกกล่าวไว้ใน British Journal of Photography... ความเชื่อเดิมๆ ที่ว่า “good photography at a reasonable price” "รูปที่ดี ในราคาที่สมเหตุสมผล"... มันล้าสมัยไปแล้ว... ในยุคนี้ มันควรจะถูกเปลี่ยนเป็น... "highly distinctive imagery reflecting a clear and compelling aesthetic vision, marketing savvy, sharp business skills, adaptability and persistence" "นอกจากรูปภาพที่ต้องมีความโดดเด่นสวยงาม ช่างภาพต้องมีความรอบรู้ทางด้าน การตลาด มีความเข้าใจในระบบธุรกิจ ปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ได้ดี และยังรวม ไปถึงความอดทนและเพียรพยายาม ที่ต้องมีมากขึ้น" . . จากคุณ : theorem เขียนเมื่อ : 27 มิ.ย. 55 05:28:13

ความคิดเห็นที่ 4 แถมข้อมูลสถิติหน่อย รายชื่อเว็บ จำนวนรูปภาพกับจำนวนช่างภาพมาจากเว็บนี้ http://inspirationfeed.com/resources/tools/top-15-commercial-stock-photography-websites/ ตัวเลขจริงหรือมั่วผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับ ส่วนจำนวนคนเข้าชมนี่ผมจัดอันดับเอาเองจาก www.alexa.com เว็บนี้ค่อนข้างเชื่อถือได้ครับ อันดับบนๆ นี่น่าจะส่งรูปเข้าไปขายยากหน่อย แต่ก็มีโอกาสขายได้สูงกว่า เพราะมีคนเข้าไปดูเยอะ เอามา 6 เว็บ เรียงอันดับจาก Global Rank ล่างขึ้นบนละกันครับ อันดับ 6: Bigstockphoto Photo Collection: 8,000,000+ Photographers: N/A Global Rank: 3108 US Rank: 1563 จากคุณ : theorem เขียนเมื่อ : 27 มิ.ย. 55 05:30:05

ความคิดเห็นที่ 5 อันดับ 5: Dreamstime Photo Collection: 12,000,000+ Photographers: 120,000+ Global Rank: 846 US Rank: 878 จากคุณ : theorem เขียนเมื่อ : 27 มิ.ย. 55 05:30:23

ความคิดเห็นที่ 6 . จากคุณ : theorem เขียนเมื่อ : 27 มิ.ย. 55 05:30:51

ความคิดเห็นที่ 7 อันดับ 4: 123rf Photo Collection: 11,179,406+ Photographers: N/A Global Rank: 512 US Rank: 622 จากคุณ : theorem เขียนเมื่อ : 27 มิ.ย. 55 05:31:10

ความคิดเห็นที่ 8 อันดับ 3: Fotolia Photo Collection: 15,155,048+ Photographers: 150,000+ Global Rank: 448 DE Rank: 58 (Germany) จากคุณ : theorem เขียนเมื่อ : 27 มิ.ย. 55 05:31:29

ความคิดเห็นที่ 9 อันดับ 2: Shutterstock Photo Collection: 16,868,648 Photographers: 329,542 Global Rank: 349 US Rank: 380 จากคุณ : theorem เขียนเมื่อ : 27 มิ.ย. 55 05:31:48

ความคิดเห็นที่ 10 อันดับ 1: iStockphoto Photo Collection: 7,000,000+ Photographers: 80,000+ Global Rank: 345 US Rank: 264 จากคุณ : theorem เขียนเมื่อ : 27 มิ.ย. 55 05:32:10

ความคิดเห็นที่ 11 อ้อ... แถมอีกนิด ใครอยากเปรียบเทียบราคารูปภาพจากจาก stock photo provider หลายๆ เจ้า ก็เชิญทางนี้เลยครับ เว็บนี้ช่วยท่านได้... http://www.spiderpic.com/ จบแล้วจ้า... . . จากคุณ : theorem เขียนเมื่อ : 27 มิ.ย. 55 05:33:19

ความคิดเห็นที่ 12 ส่วนตัวผมมองว่าความต้องการของตลาดภาพแบบนี้ไม่จบแค่ 16,868,648 ครับ เพราะไม่มีทางที่ ใน 16,868,648+ จะมีภาพที่ตรงกับความต้องการขอลลูกค้า หรือ ผู้ใช้แบบ 100% แน่นอน ซึ่งตลาดสื่อโฆษณาในหลายอย่างยังคงต้องจ้างช่างภาพ + แบบเองอยู่ดี อีกทั้งตลาดในบ้านเราส่วนมากจะเน้นเรื่องการถ่ายภาพบุคคลซะเป็นหลัก ดังนั้นน่าจะได้รับกระทบจากเรื่อง Stock น้อยมากๆ ส่วนเรื่อง RF ผมว่าแล้วแต่คนมองนะ อย่างเวลาผมไปเที่ยว หรือ ถ่ายของนั่นโน้นนี่ที่ซื้อมา แทนที่จะเก็บไว้ที่บ้าน ก็เอามาส่งขายก็คือว่านอกจากความภูมิใจแล้ว ภาพเหล่านั้นก็ยังเป็นมูลค่าให้เราได้อีก ส่วนเรื่องความกังวลการทำซ้ำ ผม ( คิดเอาเอง ) ว่า ถ้าเค้าไม่โหลดมาแล้ว อัด RAR ปล่อยให้โหลดตาม Internet มันก็ยังไม่ถือว่าเลวร้ายอะไร เพราะคนโหลด 1 คน 1 ร้าน 1 บริษัท ส่วนมากก็ไม่ได้จำหน่ายจ่ายแจกต่อให้กับ ร้าน หรือ บริษัท อื่นอยู่แล้ว ( หรือเปล่า ) ส่วนรื่อง VDO ผมมองว่ามันคนละเคสกับภาพอะครับ ตราบใดที่ต้นทุนการสร้างสรรค์ผลงานภาพไม่สูงมาก สามารถว่าจ้างได้ ผมว่าคนส่วนมากน่าจะว่าจ้างให้ถ่ายให้ใหม่มากกว่าครับ ไม่เชื่อลองนึกภาพสิ่งที่อยากได้สัก 5 อย่าง แล้วไปหาภาพที่ตรงกับความต้องการเราดูครับ เชื่อเถอะภาพที่ตรงกับที่เราอยากได้จริงๆมีไม่ครบหรอก เว้นว่า "เราไม่มีเป้าหมายแต่ต้น แค่เข้าไปเลือกจากที่มีให้อยู่แล้ว" ปล. ความเห็นส่วนตัวล้วนๆครับ จากคุณ : ง่วงป่าว เขียนเมื่อ : 27 มิ.ย. 55 06:01:50

ความคิดเห็นที่ 13 ขอบคุณครับน้าง่วงป่าว... เรื่องความต้องการนี้ผมบอกไว้ในหัวกระทู้แล้วครับว่าเป็นในกรณีที่ไม่ต้องการ รูปที่เฉพาะเจาะจงมาก เอามา customize ทีหลังได้ ซึ่งผมว่าส่วนแบ่งของตลาด นี่ก็ไม่น่าจะน้อยนะครับ ส่วนเรื่อง หนัง นี่ ตรงๆ เลยครับ แต่ผมเน้นไปที่ "ระบบ" การเช่า ไม่ใช่ตัว product หรือ "หนัง" ครับ แต่ก็อาจจะเป็นอย่างที่น้าบอกครับ ว่าต้นทุนการถ่ายภาพของบ้านเรามันไม่สูงเท่าไร เพราะฉะนั้นอาจจะไม่กระทบมากก็ได้ครับ แก้ไขเมื่อ 27 มิ.ย. 55 06:16:40 จากคุณ : theorem เขียนเมื่อ : 27 มิ.ย. 55 06:11:39

ความคิดเห็นที่ 14 แต่สำหรับช่างภาพมืออาชีพหลายๆ คน... เค้าให้ความเห็นว่า ตรงนี้ คือ สิ่งที่ขัดแย้งกันเองครับ ช่างภาพมืออาชีพ เดือดร้อนแน่ เพราะคนจ้างไปถ่ายภาพเฉพาะกิจ ลดน้อยลง = รายได้หดหาย ความต้องการภาพ ไม่มีลดน้อยลง มีแต่จะเพิ่มขึ้น เพิ่มขึ้น & เพิ่มขึ้น แล้วทำไมช่างภาพ "มืออาชีพ" ถึงรายได้ลดลง เพราะรายได้นั้น ถูก "กระจาย" ไปยังมือสมัครเล่น นับแสน นับล้านคน ที่ร่วมกันสร้างสรรภาพสิบหกล้านภาพ ในสิบหกล้านภาพนั้น .. 10% อาจจะพอดูได้ .. ก็หนึ่งล้านหกแสนภาพ ในล้านหกแสนภาพนั้น .. 10% ที่โดดเด่น (outstanding) .. ก็หนึ่งแสนหกหมื่นภาพ แสนหกหมื่นภาพ ที่ผู้ซื้อมีสิทธิเลือก, เทียบเคียง, ทดลองใช้ ฯลฯ ได้เห็นภาพก่อนจ่ายเงิน vs ศูนย์ภาพ ที่ผู้ซื้อมีไม่มีสิทธิเลือก, ไม่สามารถเทียบเคียง, ไม่มีทางได้ทดลองใช้ ฯลฯ และที่สำคัญสุดคือ จ่ายเงินก่อน ช่างภาพมืออาชีพ .. ตายแน่นอน -------------------- นึกถึงรถยนต์ เมื่อหกสิบปีที่แล้ว .. อาชีพ "คนขับรถ" รุ่งเรืองพอสมควร คนมีเงินหน่อย จ้างคนขับรถประจำบ้าน เพราะรถ ไม่ใช่ขับกันง่ายๆ ดูแลง่ายๆ บำรุงรักษาง่ายๆ ศูนย์บริการมีเกลื่อนเมือง มันต้องการคนที่มีความรู้ความสามารถระดับ "มืออาชีพ" แต่สมัยนี้ อาชีพคนขับรถส่วนบุคคล .. แทบล้มหายตายจาก ที่จะอยู่รอด ก็คัดแล้วคัดอีก โลกมันหมุนไปเรื่อยๆ ช่างภาพมืออาชีพ ระดับ iStock ไม่กี่ร้อยกี่พันคน มีหรือจะสู้ช่างภาพมือสมัครเล่น ระดับเดียวกัน ที่มีจำนวนนับแสนนับล้าน ที่เกิดขึ้นใหม่วันละเป็นพันๆคน? จากคุณ : แมวเหมียวพุงป่อง เขียนเมื่อ : 27 มิ.ย. 55 06:32:46

ความคิดเห็นที่ 15 ภาพสายนี้ส่วนมากนอกจากคุณภาพสูงแล้วยังเน้นเรื่องของปริมาณด้วยอะครับ เพราะเป็นที่รู้กันว่า "ยิ่งส่งมาก ยิ่งหลากหลาย ยิ่งมีโอกาสขายมากกว่า" ซึ่งในอนาคตการแข่งขันจะสูงปรี๊ดเลยทีเดียว แต่...อย่างที่ผมบอกคือ "ไม่มีทางที่เราจะได้ภาพที่เราต้องการจาก Stock แบบที่ตรงกับความต้องการเรา 100%" นั้นหมายถึงว่า Stock เป็นอีกทางเลือกเท่านั้นครับ และการแข่งขันจะสูงแค่ใน Stock เท่านั้น ซึ่งความต้องการภาพที่ตรงกับความต้องการกับงานโฆษณาสินค้า หรือ การถ่ายภาพบุคคลยังต้องว่าจ้างอยู่ดี ส่วนเรื่อง "ต้องการแบบไม่จำเพาะ" ส่วนมากก็เป็นแบบนั้นอะครับ การสมัครแบบเหมา รายอาทิตย์ รายเดือน หรือ รายปี เช่น 1 อาทิตย์ โหลดได้ 10 ภาพ ในราคานี้ ถ้าจ่ายไปแล้ว ยังเหลืออีก เค้าก็จะเลือกภาพที่น่าสนใจแล้วโหลดไว้จนครบ 10 ภาพ ส่วนที่ผมบอกว่าคนละเคสกับหนังคือ ตามเวปขายภาพ เค้าไม่ได้ซื้อภาพเราไปครับ เค้าแค่เอาภาพเราไปให้คนอื่นซื้ออีกที นั่นที่ทำให้ต่างกับหนัง ที่ร้านซื้อไปแล้วปล่อยเช่าอีกที ส่วนแบ่งค่าเช่า ไม่ได้จ่ายกลับไปให้ผู้สร้างหนัง ส่วนเวปขายภาพ เค้าไม่ได้ซื้อภาพเราไป แต่ถ้าใครมาซื้อภาพเรา ( โหลดภาพเรา ) เราจะได้ส่วนแบ่งจากเวปนั้นๆด้วย ( คล้ายการฝากขาย ) ดังนั้น หนังจะขายให้กับร้านเช่า 1 ร้านจะขายได้แค่ครั้งเดียว ( ในกรณีจากที่ จขกท ยกมา ) ส่วนภาพ จะขายได้เรื่อยๆ เพราะอย่างที่บอกว่า "ถ้าเค้าไม่เอาภาพจาก Stock มาปล่อยฟรีตามเนท" มันก็ยังไม่เลวร้ายอะไร และ อย่างที่บอกตอนต้นครับว่าการแข่งขันจะสูงแค่ใน Stock เท่านั้น เพราะยังมีอีกหลายอย่าง Stock ก็ไม่สามารถให้ตรงกับความต้องการได้ ^^ แก้ไขเมื่อ 27 มิ.ย. 55 06:42:57 จากคุณ : ง่วงป่าว เขียนเมื่อ : 27 มิ.ย. 55 06:36:45

ความคิดเห็นที่ 16 กรณี iStock ต่างกับ blockbuster ก็คือ เรื่องของ "ต้นทุน" BB ต้องการ physical space .. พื้นที่แท้จริง .. ในการจัดเก็บสินค้า, จำแนก, แจกจ่าย, ควบคุมสต็อก ฯลฯ ต้องพึ่งพา คน สถานที่ กระบวนการ ฯลฯ จำนวนมหาศาล ในขณะที่เหล่า iStock .. ต้นทุนทุกอย่าง เมื่อเทียบกับรายรับคืนกลับ มันแทบจะเรียกได้ว่า practicaly zero ภาพ 20 ล้านภาพ ที่รูปละ 10 MB กินพื้นที่เก็บเพียง 200 TB เท่านั้น HDD RAID 10, SSI หรือ FV ขนาด 200 TB ราคาไม่ถึง $1,000,000 ใช้ได้เป็นปีๆ .. สถานที่สำหรับเก็บ HDD 200 TB นี้ .. ตู้คอนเทนเนอร์ตู้เดียว ก็เกินพอที่จะเก็บทั้ง server 1 ฝูง, HDD, ระบบควบคุมสภาวะแวดล้อม, UPS ฯลฯ คนที่จะดูแลระบบทั้งหมด .. 100 คนก็มากเกินพอ ซอฟต์แวร์บริหารจัดการระบบทั้งหมด อาจราคาแพงตอนเริ่มต้น แต่ในระยะยาว .. practically zero เช่นกัน ต้นทุนที่ต่ำมากขนาดนี้ มันถึงทำให้ "ราคาขาย" เตี้ยแหม่กแต่ก แต่ราคาขายที่ต่ำเตี้ยติดรากหญ้า คูณกับปริมาณคนที่จ่ายเงินที่มากเหมือนจำนวนหญ้า มันก็พอให้ได้กำไรเป็นกอบเป็นกำ จนสามารถเลี้ยงตัวเองให้อยู่รอด อยู่นาน และรุ่งเรือง และสามารถเลี้ยง "วัตถุดิบ" .. ช่างภาพมือสมัครเล่น ให้แพร่พันธ์มากขึ้นเรื่อยๆ & เรื่อยๆ จากคุณ : แมวเหมียวพุงป่อง เขียนเมื่อ : 27 มิ.ย. 55 06:48:04

ความคิดเห็นที่ 17 ^ ^ น้าแมวพูดซะเห็นภาพเลย หุหุหุ จากคุณ : ง่วงป่าว เขียนเมื่อ : 27 มิ.ย. 55 07:01:36

ความคิดเห็นที่ 18 ขอบคุณน้า theorem สำหรับบทความดี ๆ ครับ ... ผมเองก็ไม่ได้อยู่ในวงการถ่ายภาพ เลยไม่รู้เรื่องนี้เท่าไหร่ อ้อ ... เคยอ่านเจอว่าตอน blockbuster ยังรุ่งเรื่อง CEO ของ NetFlix เคยขอให้เข้ามาลงทุน แต่ blockbuster เชิ่ดใส่! ... อิอิ @น้าแมว ... อธิบายได้เยี่ยม จากคุณ : ผัดไทยกุ้งสด เขียนเมื่อ : 27 มิ.ย. 55 07:31:58

ความคิดเห็นที่ 19 ในฐานะที่เป็นช่างภาพสต็อกโฟโต้อยู่ ขออ่านอย่างเดียวค่ะ ^^ จากคุณ : A little dark girl เขียนเมื่อ : 27 มิ.ย. 55 07:38:42

ความคิดเห็นที่ 20 ขอบคุณสำหรับบทความดี ๆ ครับน้าติ๊ก ผมไม่เคยขายภาพมีแต่ให้ฟรีเลยไม่เดือดร้อน อิอิ จากคุณ : raksapondet เขียนเมื่อ : 27 มิ.ย. 55 08:10:56

ความคิดเห็นที่ 21 ผมกลับคิดต่างไปครับ เนื่องจากทำ stock มาระยะนึง พอเข้าใจมากขึ้นครับ ภาพ stock เป็นภาพแบบไม่เฉพาะเจาะจง แต่มีข้อห้ามหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องบุคคที่ต้องได้รับความยินยิมให้ถ่าย ทรัพย์สินก็เช่นกัน รวมถึงพวกเครื่องหมายการค้าทุกประเภทที่ห้ามปรากฏในภาพ ดังนั้น หากเจ้าของต้องการได้ภาพสินค้าของตน หรือภาพงาน event ต่างๆ ยังคงต้องพึ่งพามืออาชีพต่อไป เช่น ถ้าต้องการรูปโรงแรมของตนที่มีป้ายชื่อชัดเจน ไม่สามารถไปหาจาก stock ได้ครับ แต่หากต้องการภาพวิวทะเล หน้าโรงแรม อาจจะพึ่งพาสต็อกได้ครับ ผมว่ามันแยกตลาดกันชัดเจน ช่างภาพมืออาชีพ ยังคงมีความสำคัญดังเดิม แต่ช่างภาพสมัครเล่น ได้มีที่ฝึกฝีมือ มีที่ตรวจการบ้านที่เข้มข้นมากขึ้น สุดท้ายแนวภาพของ stock ไม่ใช่แนวแบบศิลปะตามที่เราได้ร่ำเรียนกันมา ดังนั้น ในบางสถานการณ์ ภาพสต็อก ก็ไม่สามารถรองรับความต้องการได้ครับ จากคุณ : พลังใจ เขียนเมื่อ : 27 มิ.ย. 55 08:33:44

ความคิดเห็นที่ 22 ขอบคุณน้าง่วงป่าวที่เข้ามาอธิบายอีกครั้งครับ อยากให้กีฟมากแต่เสียดาย หมดไปตั้งแต่ต้นเดือนแล้วครับ ขอบคุณน้าผัดไทยฯ กับน้ารักษ์ จริงๆ แล้วผมแค่สงสัยไปเรื่อยครับ ไม่คิด ว่ามันจะเป็นบทความอะไร เพราะผมก็ไม่ได้รู้เรื่องในวงการนี้จริงๆ จังๆ ที่จริงคนมีประสบการณ์จริงๆ อย่างปร้าจีน่านี่น่าจะเข้าใจดีอยู่แล้วครับ ขอบคุณที่แวะมาอ่านครับ จากคุณ : theorem เขียนเมื่อ : 27 มิ.ย. 55 09:14:08

ความคิดเห็นที่ 23 ขอบคุณครับน้าแมวฯ... สงสัยชีวิตก็เหมือนกับการพายเรือทวนน้ำจริงๆ เพียงหยุดฝีพาย ก็ถอยหลังไปไหนๆ แล้ว คงเป็นอย่างงี้กับทุกอาชีพครับ... ส่วนเรื่อง stock photo นี่ผมว่ามันน่าจะคล้ายกับกรณีของ Netflix นะครับ เพราะทำธุรกิจบนเน็ทเหมือนๆ กัน สงสัยตัวอย่างที่ผมยกมามันน่าจะมั่ว แทนที่จะอธิบายได้แบบเห็นภาพ กลับยิ่งทำให้งง 555 แต่ไอเดียยังเหมือนเดิม ไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วระบบ RF นี่มันจะแย่อย่างที่เขาบอกรึเปล่าครับ จากคุณ : theorem เขียนเมื่อ : 27 มิ.ย. 55 09:14:28

ความคิดเห็นที่ 24 ขอบคุณน้าพลังใจที่เข้ามาอธิบายครับ ผมเดาๆ ว่าตลาดรูปภาพนี้มัน "น่าจะ" มีสองส่วนตามที่น้าบอกเหมือนกันครับ ส่วนแรก คือต้องการอะไรที่มัน unique จริงๆ อย่างที่น้าว่าถึงเรื่องป้ายโรงแรม ส่วนที่สอง คืออะไรที่มันหยวนๆ ได้ อย่างพวกภาพวิว ที่เอามาใส่เว็บ ใส่โบรชัวร์ครับ แต่ที่ผมว่ามันน่าสนใจคือส่วนที่สองมันกำลังกิน market share ของส่วนแรกอยู่อย่างเงียบๆ ครับ คิดง่ายๆ ว่าถ้าผมเป็นลูกค้า คงหารูปจาก stock ก่อนจะโทรหาช่างภาพ จนบางทีอะไรที่จำเป็น อาจจะเปลี่ยนเป็นหยวนๆ ก็ได้ ยกเว้นที่จำเป็นสุดๆ จริงๆ ... ก็เดามั่วๆ ไปตามประสาคนไม่รู้เรื่องครับ แหะๆๆ จริงๆ แล้วอยากรู้ว่า market share มีสัดส่วนยังไงแต่ยังหาข้อมูลไม่เจอครับ จากคุณ : theorem เขียนเมื่อ : 27 มิ.ย. 55 09:14:51

ความคิดเห็นที่ 25 ขอบคุณน้า theorem สำหรับบทความดี ๆ ครับ ขอบคุณน้าแมวฯ น้าง่วงฯ น้าพลังฯ สำหรับ คคห.มากครับ จากคุณ : Supermop เขียนเมื่อ : 27 มิ.ย. 55 09:18:27

ความคิดเห็นที่ 26 ในฐานะช่างภาพ stock แบบไม่จริงจัง มีอารมณ์ก็ส่ง ไม่มีอารมณ์ก็ไม่ส่ง..แต่ก็มีภาพอยู่ใน port ของเวปที่กล่าว 5 เวปหลายร้อยภาพ (ขาดแต่ istock) ขอบอกเลยครับว่า...ต้นทุนการถ่ายภาพใครว่าไม่สูงครับ..ลองคำนวนเงินที่หมดไปกับอุปกรณ์ + ค่าเดินทางในการไปถ่ายภาพแต่ละครั้งดูสิครับ..เยอะนะ..แต่ลองคิดกลับกันว่าสมมุติเราไปเที่ยวเราได้ความประทับใจ ได้ บรรยากาศกลับมา และก็ได้ภาพที่สามารถส่งไปขายให้คนที่เค้าอยากได้ด้วยก็ไม่เลวใช่มั๊ยครับ.. หรือถ้าเราไม่มีเวลาไปไหนอยู่กับบ้านก็สามารถนำเอาวัสดุสิ่งของในบ้านออกมาถ่ายรูปเพื่อให้สร้างมูลค่าให้กับมันได้อีก... แต่ช่างภาพอาชีพเองก็ยังมีงานที่มีความเฉพาะเจาะจง งานที่ลูกค้าต้องการแบนด์หรือ ภาพบุคคลแบบเจาะจงก็ยังสามารถหาทำงานได้อยู่ดี..แต่อยากจะบอกว่าในเวป stock ภาพที่ขายดีๆ ไม่ใช่ภาพที่ยกกล้องขึ้นมาถ่ายมั่วๆแน่นอนครับ..เชื่อผมเถอะ.. ภาพด้านล่างนี้เป็นผลงานของ Yuri Arcurs ผมเชื่อว่าคงมีคนเคยเห็นภาพนี้เยอะแยะตามนิตยสาร แก้ไขเมื่อ 27 มิ.ย. 55 12:58:13 แก้ไขเมื่อ 27 มิ.ย. 55 09:48:12 จากคุณ : Night Claw เขียนเมื่อ : 27 มิ.ย. 55 09:47:42

ความคิดเห็นที่ 27 การทำมาหากิน มันก็เปลี่ยนไปตามยุคสมัย ใครปรับตัวไม่ทัน ก็ตกยุคตายไป เหมือนไดโนเสาร์ ปรับตัวไม่ได้ก็สูญพันธุ์ จากคุณ : ตาบอดสี เขียนเมื่อ : 27 มิ.ย. 55 10:18:38

ความคิดเห็นที่ 28 ขอบคุณบทความและความเห็นดี ๆ ครับ ส่วนผม ยังคงถ่ายฟรีเอามันต่อไป จากคุณ : jerry-t เขียนเมื่อ : 27 มิ.ย. 55 10:43:25

ความคิดเห็นที่ 29 ผมคิดง่ายๆ ในอีกมุม ช่างภาพอาชีพ ถ้าไม่ได้ค่าจ้างจะถ่ายภาพขายเองมั๊ยครับ ส่วนใหญ่ผมว่าไม่ เพราะ ลองเคยถาม สิบกว่าท่านที่รู้จัก จะถ่ายเมื่อมีงานเข้ามาเท่านั้น ถึงผมอาจจรู้จักน้อยไปหน่อย แต่ก็นี่จะพอ represent ส่วนใหญ่ได้ ยกเว้นถ่ายเพื่อประกวดจึงจะยอมถ่ายก่อน ที่จะได้เงิน ดังนั้น ช่างภาพมืออาชีพส่วนใหญ่ก็มีแนวทางมี่ชัดเจน ต่างจากช่างภาพสต็อกที่ ถ่ายก่อนโดยไม่รู้ว่าจะมีคนซื้อหรือไม่ ส่วนคนใช้ภาพสต็อก จริงอยู่ ที่ลดเรื่องการจ้างช่างภาพไปถ่ายตามที่ต้องการ แต่ในบางครั้งเค้ายังไม่รู้ว่าต้องการภาพแบบไหน หรือมีเพียงแค่ คอนเซ็ปต์ เท่านั้น แล้วไปหาใน stock เพื่อต่อยอดเอา ส่วนเรื่อง rf ผมมองว่ามันก็มีความต่างจากจ้างช่างภาพมาถ่ายให้ เนื่องจาก หากจ้างลิขสิทธิ์ของภาพจะตกเป็นของผู้ว่าจ้าง (ขึ้นอยู่กับสัญญา) ซึ่งผู้จ้างสามารถดำเนินการฟ้องร้องผู้ละเมิดได้ แต่ส่วน rf เป็นสิทธิ์ในการยินยอมให้ใช้งานภาพเท่านั้น หากมีผู้อื่นนำไปใช้ ผู้ที่ซื้อไป ไม่สามารถ ฟ้องร้องได้ (แต่ผู้ถาย และเว็บที่จำหน่ายภาพฟ้องร้องได้) ดังนั้นผมว่า stock กลับเป็นส่วนเสริมที่ลงตัวสำหรับช่างมืออาชีพครับ จากคุณ : พลังใจ เขียนเมื่อ : 27 มิ.ย. 55 10:45:00

ความคิดเห็นที่ 30 เข้ามาอ่าน^^ จากคุณ : THE CUT เขียนเมื่อ : 27 มิ.ย. 55 11:00:36

ความคิดเห็นที่ 31 เข้ามาขอบคุณ คุณ theorem สำหรับ บทความดีๆ พร้อมทั้งคำตอบจาก น้าแมว น้าง่วง ... ผมมองว่า อาชีพช่างภาพ หรือ โปรตากล้อง ยังหากินได้อีกนาน ตราบใด ที่ยังมี เอเยนซี่ โฆษณาอยู่ โดยเฉพาะ ช่างภาพอาชีพ ระดับ Hi-End (เทพ) เช่นกลุ่มที่สร้างสรรค์งาน ศิลปะ หรือ กลุ่ม คอนเซ็ปต์ ต่างๆ ส่วนช่างภาพ อาชีพ ระดับลงมา คือ รับงานอต่ง งานบวช งานศพ กลุ่มนี้ หากนลำบาก เพราะการแข่งขันมันสูง ตัดราคากัน มาว่ากันเรื่อง Photo Stock ผมว่า ขายได้เรื่อยๆ เพราะ กลุ่มสิ่งพิมพ์ กลุ่มเว็บมาสเตอร์ งานที่ไม่เน้นคอนเซ็ปต์.. แต่ถ้าเป็นงาน ระดับ ครีเอท ยังต้องจ้างช่างภาพ อยู่ดี แก้ไขเมื่อ 27 มิ.ย. 55 11:46:51 จากคุณ : น้าลีโอ เขียนเมื่อ : 27 มิ.ย. 55 11:46:05

ความคิดเห็นที่ 32 เห็นด้วยกับน้า  Night Claw  ครับ ในฐานะที่ผมก็ทำ stock photo อยู่ด้วย แต่ก็ไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็นช่างภาพมืออาชีพ  เพียงแต่ว่าบังเอิญสอบผ่านทั้ง istock และ shutterstock ผมไม่ซีเรียสอะไรมากนักกับการทำมาหากินในอาชีพนี้  คิดแค่ว่าตัวเองเป็นคนชอบเที่ยว เวลาไปเที่ยวไหนถ้าได้ภาพดีๆ สวยๆ ประเมินแล้วว่าพอขายได้  ก็เอามาแปะขาย  ขายได้บ้างไม่ได้บ้าง  ก็ช่างมัน ไม่งั้นจะซีเรียสเกินไป  เอาแค่เป็นงานอดิเรกครับ... ข้อดีคือเราได้ฝึกฝีมือ  เวลาออกทริปเที่ยวก็มีเป้าหมายในการถ่ายภาพมากขึ้น  มีรายได้เล็กๆ น้อยๆ ให้ได้ลุ้น  และหากมีรูปมากๆ โอกาสของรายได้ก็น่าจะมากตาม  เผลอๆ ถ้าทำได้ดี ก็อาจทำเป็นอาชีพหลักได้เลย (หวังไว้เช่นนั้นอยู่เหมือนกัน...)  เอ๊ะ... ไหนว่าไม่ซีเรียสไง... เอาเป็นว่าผมคิดอะไรที่มันซับซ้อนไม่ค่อยเป็น  เอาแค่พอเพลินๆ  สนุกสนานไปกับการถ่ายภาพที่มากกว่าแค่เก็บภาพไว้ดูคนเดียวละกัน... จากคุณ : RedAtHeart เขียนเมื่อ : 27 มิ.ย. 55 12:06:10

ความคิดเห็นที่ 33 ตอนนี้ตลาดวีดีโอก็มาแรงครับ คนไทยได้รายได้หลักหมื่นบาทกันหลายๆคนแล้วครับ เพราะกล้อง DSLR รุ่นใหม่ๆ ถ่ายวีดีโอได้คมชัด คุณภาพสูง สามารถ่ายสต็อควีดีโอ ส่งขายได้เลยครับ จากคุณ : bigwores เขียนเมื่อ : 27 มิ.ย. 55 12:53:46

ความคิดเห็นที่ 34 ลองแบ่งกลุ่มคนดูนะครับ กลุ่มช่างภาพ มี 3 แบบ คือ P1.มืออาชีพ พวกนี้มีรายได้หลักจากการถ่ายภาพ P2.มือสมัครเล่น พวกนี้มีรายได้จากงานประจำ การถ่ายภาพไม่สร้างรายได้ที่รับรู้ หรือ รายได้ประจำ ประเภท 2 นี้ แบ่งย่อยเป็น 2 อย่างคือ P2.1 ถ่ายเรื่อยเปื่อย ถ่ายเก็บความทรงจำ P2.2 ถ่ายงานศิลป์ ถ่ายงานคุณภาพเพื่อความสุขส่วนตัว ไม่ใช่ผมแบ่งเองโดยไม่มีกฏเกณฑ์ จะเห็นได้ว่า .. บ.กล้อง ก็แบ่งอย่างนี้เช่นกัน กล้อง จึงมีสามเซกเม้นท์หลักๆ .. กล้องสำหรับมืออาชีพ, กล้องสำหรับมือสมัครเล่น และ กล้องสำหรับคนที่ซีเรียสเรื่องการถ่ายภาพ ลูกค้าเอง .. ผู้ที่จ่ายเงินซื้อภาพ .. ก็มีสองแบบ C1.งาน event ทั่วๆไป, เก็บความทรงจำต่างๆนาๆ C2.งานจำเพาะเจาะจง ภาพที่ได้เพื่อไปเพิ่ม ยอดการขายสินค้า/บริการ แต่ก่อน ลูกค้าทั้ง 2 แบบ .. ถูกสถานการณ์เจาะจงให้เลือกได้เฉพาะตากล้องแบบแรก (P1) เท่านั้น ภาพที่ดีๆ สวยๆ ที่ "อาจจะ" มีมาจากตากล้อง P21 หรือ P22 แทบไม่มีโอกาสไปเจอลูกค้า ---------------------------- แต่ microstock ทั้งหลาย .. เป็นโบรคเกอร์ เปิดโอกาสให้ตากล้องแบบที่สอง เอารูปที่ตัวเองมั่นใจว่าสวย ส่งไปที่เขา ซึ่งสำหรับตากล้องประเภทสองแล้ว .. เขาได้ "ค่าตอบแทน" มาเรียบร้อยตั้งแต่เริ่มกดชัตเตอร์ นั่นคือ "ความสุขที่ได้ถ่ายภาพ" ฉะนั้น เมื่อรูปขึ้นไปอยู่บน microstock ค่าตอบแทนที่ได้แถมมา มันคือ กำไร 100% เพราะ"ความสุขที่ได้จากการถ่ายภาพ" ทำให้ตากล้องมือสมัครเล่น ถอนทุนคืนในวินาทีที่กดชัตเตอร์ ต้นทุน "การถ่ายภาพเพื่อขาย" จึงเท่ากับ 0 ---------------------------- ลูกค้าหละ หลักการ 80-20 มัน "พยากรณ์" ว่า ภาพ 20% ที่มีอยู่ใน microstock เป็นภาพที่ลูกค้าประเภท C2 จำนวน 80% คิดว่า "น่าสนใจที่จะใช้" 20% ของ 20% (4%) .. ลูกค้า 80% ของ 80% (2/3) คิดว่า "ใช่เลย ภาพแบบนี้แหละที่ต้องการ" เมื่อวนรอบสุดท้าย เราจะพบว่าภาพ 20% ของ 20% ของ 20% (1%) .. จะมีลูกค้า 50% พอใจ, นำไปใช้ ลูกค้า 50% หรือ ครึ่งหนึ่งของทั้งหมด พอใจ, นำไปใช้ ภาพ 1% ที่มีอยู่ ถ้าภาพมันมีแค่ 100 หรือ 1,000 ภาพ ลูกค้าก็จะไม่สนใจเข้าใช้บริการ แต่เมื่อจำนวนภาพมากพอ .. เป็นล้าน 1% มันก็เป็นจำนวนภาพที่มากพอ ที่ลูกค้าที่เดิมต้องใช้บริการจากตากล้อง P1 กว่าครึ่ง หันมาใช้บริการจาก microstock จากคุณ : แมวเหมียวพุงป่อง เขียนเมื่อ : 27 มิ.ย. 55 12:58:42

ความคิดเห็นที่ 35 เนื้อหาน่าสนใจ ว่างๆจะมานั่งอภิปรายด้วย.. ในฐานะลูกค้า..อิอิ จากคุณ : หน้าม้ารับจ้าง เขียนเมื่อ : 27 มิ.ย. 55 13:38:05

ความคิดเห็นที่ 36 ผมมองว่าทุกวงการไม่แตกต่างกันครับ...คือ ธุรกิจหมุนตามความเจริญก้าวหน้าของโลกไป ซึ่งถูกกำหนดโดย Lifestyle ของลูกค้า ไม่ว่าใครที่ทำธุรกิจอยู่ต้องการ  การปรับตัว และเรียนรู้ที่จะก้าวไปตามโลกใบนี้ จึงจะอยู่รอดได้ เช่น โปรแกรมเมอร์ สมัย ซัก 30 ปีก้อนอาจจะพูดกันถึง Cobal Frotran Pascal แต่ปัจจุบันมีคนที่ยังใช้โปรแกรมเหล่านี้อยู่มั๊ย แน่นอนมีแต่น้อยลงเรื่อยๆ โปรแกรมเมอร์คนนึงสมัยก่อนมีความรู้หาเงินด้วยการเขียนโปรแกรมที่ว่ามา แต่ถ้าคนเหล่านั้นไม่ปรับตัวมาเขียน .net อะไรเถือกนี้ปัจจุบันก็อยู่ไม่ได้ หรืออย่างร้านค้า ที่เป็นโชว์ห่วย หลายร้านหากไม่ปรับตัวให้เป็น Modern Trade ลูกค้าก็หดหายไปเหมือนกันเพราะ lifestyle ของคนสมัยนี้เปลี่ยนใบ การถ่ายภาพก็เช่นกัน สมัยก่อนไม่มี digital ไม่มีอินเตอร์เนต แต่ปัจจุบันมีคำว่า ดิจิตอลเข้ามา มีอินเตอร์เนตเข้ามา lifestyle คนใช้รูปก็เปลี่ยนแปลงไป แต่แน่นอนยังมีคนที่ต้องการใช้งานในรูปแบบเดิมๆอยู่ แต่อาจจะน้อยลง ช่างภาพที่ไม่ปรับตัว ก็ต้องยอมรับว่าลุกค้าบางส่วนก็จะหนีหน้าไปใช้บริการจาก stock แทน แต่ช่างภาพหลายคนก็ปรับตัวมาสู่วงการ stock มากขึ้น เอาง่ายๆ บ.โกดักที่ไม่สามารถปรับตัวได้ทัน ก็ถึงกับล้มละลายกันไป เหล่าช่างภาพหลายๆคนก็คงต้องคิด และต้องมองดูหล่ะครับ ว่างานที่ตัวเองทำอยู่ กับการที่มี Photo Stock เข้ามาในชีวิตเนี่ย คุณจะปรับตัวกับมันอย่างไร (เพราะมันเกิดขึ้นมาแล้ว) บางคนอาจจะมองเป็นโอกาส โอกาสที่จะขยายไลน์ธุรกิจของตัวเองออกไป บางคนอาจจะมองเป็นความเสี่ยงที่จะเข้ามากลืนกินอาชีพเดิมของคุณ ด้วยผมก็มีเพื่อนที่อยู่ในวงการนี้ไม่น้อย ก็เห็นหลายคน จับงาน Stock เพิ่มเสริมไปกับงานช่างภาพแบบเดิมๆก็มี หรือบางคนไม่สนใจยังคงยึดกับงานแบบเดิมทั้งหมดก็ไม่น้อย ซึ่งมันแล้วแต่การมองของแต่ละคนหล่ะครับ แต่สำหรับตัวผมเอง ผมมองว่างาน stock photo เป็นโอกาสอันดีมากๆๆๆๆ ของผม ทำให้ผมมีโอกาสที่จะเสนองานไปถึงลูกค้าได้โดยง่ายโดยเทคโนโลยีต่างๆที่มันเกิดขึ้นมาบนโลกใบนี้ จนปัจจุบันผมมีรายได้จากงานนี้เกือบจะแตะหกหลักต่อเดือนแล้ว จากคุณ : เอ๋อ้อย เขียนเมื่อ : 27 มิ.ย. 55 13:54:31

ความคิดเห็นที่ 37 ขอบคุณสำหรับข้อมูลดีๆ แบบนี้  น้าธีโอนี่ขยันซะจริงๆ   เคยคิดที่จะส่งภาพไปลองเล่นที่  stock photo เหมือนกันค่ะ แต่จนป่านนี้ก็ยังไม่ได้ทำเลย จากคุณ : luckyfarm6662 เขียนเมื่อ : 27 มิ.ย. 55 13:56:18

ความคิดเห็นที่ 38 ตอนแรกกะทำขำๆ ครับ เพราะรับถ่ายงานรับปริญญาเหนื่อยมาก แถมตัวดำอีก ทำไปทำมาได้หลายร้อยเหรียญต่อเดือน เริ่มฝันว่าจะออกจากงานไปทำเต็มตัวหล่ะครับ ตอนนี้เลิกรับงานถ่ายรูปไปแล้ว ได้รายได้เยอะกว่า แถมไม่ต้องร้อนตากแดดทั้งวัน ปล. ชีวิตผมก็ยังเป็นพนักงาน office อยู่แหละครับ แค่มีรายได้เสริม หลักหมื่นบาทต่อเดือนได้เพราะภาพ stock ล้วนๆ จากคุณ : หัวใจในลังกระดาษ เขียนเมื่อ : 27 มิ.ย. 55 14:01:44

ความคิดเห็นที่ 39 แต่เอาจริงๆ การที่บอกว่าวงการนี้เปิดสำหรับมือสมัครเล่น เป็นคำพูดที่ถูกเพียงครึ่งเดียวครับ แน่นอนถูกในแง่ที่มือสมัครเล่นทั่วไปจะสามารถส่งรูปไปและถูกซื้อถูกขายได้ แต่จำนวนผลตอบแทนที่ได้รับกลับมา มากกว่า 90% ของคนที่ทำ Stock ไม่พอกินแน่นอนครับ เพราะถึงมูลค่าการตลาดของวงการนี้จะมากกว่า 2000 ล้าน US ต่อปี (และน่าจะแตะ 5000 ล้าน us)ในปีหน้า (อ้างอิงมาจากตัวเลขที่ SS กล่าวไว้ตอนที่ยื่น filing เข้าตลาดหลักทรัพย์) แต่มีคนจำนวนไม่มากที่กุมส่วนแบ่งทางการตลาดเหล่านี้เอาไว้ ประมาณคร่าวๆ ช่างภาพ stock  ในโลกที่ active อยู่ประมาณ 150,000 คน มูลค่าการตลาดมากกว่า 90% จะอยู่กันคนในกลุ่มนี้ไม่ถึง 5% ด้วยซ้ำ รายได้ประมาณเกือบๆหกหลักบาทไทยของผม คิดเป็น us ต่อปีก็ประมาณ 0.00002% เอง แต่จากการจัดอันดับที่ผมลองๆดูจากเว็บต่างๆ รายได้ประมาณนี้อยู่ประมาณ Top 1000 แล้ว ซึ่งเอาจริงๆรายได้ขนาดนี้ของผมหากผมอยู่ในประเทศที่ทำ  stock กันเยอะๆ (เมกา/ ยุโรป ตอบได้เลยว่าไม่พอกินแน่ๆ) แต่กับที่ผมอยู่ที่ไทยถือว่าเหลือๆ เลยทีเดียว ดังนั้นวงการนี้เหมือนเปิดกว้าง แต่จริงๆแล้วถือว่าแคบมากคนที่จะยืนอยู่ในวงการนี้ได้มีน้อยมากๆครับ แต่ใครที่อยู่ได้ก็การันตีความสบายได้เลย อันนี้คือมุมมองของผม ผู้ที่อยู่ในวงการนี้มาประมาณ 2 ปีแล้วครับ แล้วเพื่อนๆหล่ะมองต่างจากผมมั๊ย ?? มันอาจจะมีมุมหลายๆมุมที่ผมยังมองไปไม่ถึงคาดไม่ถึงอยู่ก็ได้ครับ จากคุณ : เอ๋อ้อย เขียนเมื่อ : 27 มิ.ย. 55 14:05:55

ความคิดเห็นที่ 40 ขอบคุณครับน้าป้อม ขอบคุณครับน้า Night Claw ขอบคุณครับน้าตาบอดสี ขอบคุณครับน้า jerry-t น้าพลังใจ... อืม... คิดในมุมกลับอีกที บางที stock นี่อาจจะเป็นแรงจูงใจให้ช่างภาพ รุ่นใหม่ๆ มาเข้าวงการ หรืออาจเป็นแรงกระตุ้นให้ช่างภาพรุ่นเก่าพัฒนาตัวเองไปก็ได้และ โดยรวมก็อาจจะเป็นส่วนสำคัญที่ส่งเสริมวงการต่อไป ขอบคุณสำหรับคำแนะนำครับ ขอบคุณครับน้า THE CUT ขอบคุณครับน้าลีโอ ขอบคุณครับน้า RedAtHeart ขอบคุณครับน้า bigwores น้าแมวฯ... ที่น้าว่ามานี่เป็นสมมุติฐานหลักของผมเลยครับ แต่เวอร์ชั่นของน้านี่ตรงประเด็น ย่อยง่ายกว่าเยอะ 555 เลยต้องมาตั้งกระทู้ถามหาข้อมูลเพิ่ม ขอบคุณครับ น้าหน้าม้ารับจ้างนี่ให้ไวเลยครับ รออยู่ๆๆ อิอิอิ ขอบคุณที่แวะมาชมครับปร้าลักษณ์... เรื่องอู้งานมาทำอะไรไร้สาระนี่ผมขยันเสมอครับ 555 ขอบคุณครับน้าหัวใจในลังกระดาษ ขอบคุณสำหรับข้อมูลครับน้าเอ๋อ้อย... "ดังนั้นวงการนี้เหมือนเปิดกว้าง แต่จริงๆแล้วถือว่าแคบมากคนที่จะยืนอยู่ในวงการนี้ได้มี น้อยมากๆครับ แต่ใครที่อยู่ได้ก็การันตีความสบายได้เลย" ... น่าสนใจ น่าคิดต่อครับ แก้ไขเมื่อ 27 มิ.ย. 55 14:13:53 จากคุณ : theorem เขียนเมื่อ : 27 มิ.ย. 55 14:12:55

ความคิดเห็นที่ 41 อ้อผมว่าความเสี่ยงที่จะโดนเต็มๆสำหรับคนที่เป็นช่างภาพถ่ายคนเป็นอาชีพเนี่ย http://peopleimages.com/ อันนี้เลยครับเว็บของ Yuri Arcus ผู้ที่เป็น No,1 ของ Stock Photo  มีรายได้ราว 10 ล้าน US ต่อปี เค้าทำเว็บของเค้าเองที่ให้ลูกค้าสามารถ customize งานที่ตัวเองต้องการได้เลย แล้วเค้าก็จะจัดทีมถ่ายตามนั้นเลย เป็นการผสมผสานระหว่าง Stock photo กับการรับถ่าย Concept Portrait ได้อย่างกลมกลืนเลยครับ แก้ไขเมื่อ 27 มิ.ย. 55 22:30:44 จากคุณ : เอ๋อ้อย เขียนเมื่อ : 27 มิ.ย. 55 14:20:01

ความคิดเห็นที่ 42 ผมนึกว่า Yuri ได้ปีละ 2 ล้าน US ซะอีก โอ้ แกได้ปีละ 100 ล้านเหรอเนี่ย ! แต่งานแกสุดยอดจริงๆ จากคุณ : bigwores เขียนเมื่อ : 27 มิ.ย. 55 14:31:58

ความคิดเห็นที่ 43 ช่างภาพอาชีพ กับช่างภาพสต๊อค คนละจุดเลย คุณจะขายของซักอย่างคุณจะเอารูปใน Stock photo มาแปะหน้าถุงไหมล่ะ คุณทำบ้านจัดสรร คุณจะเอารูปใน Stock photo มาโฆษณาไหมล่ะ คุณจะแต่งงานคุณจะเอารูป ใน Stock photo มาขึ้นหน้างานแต่งไหมละ นี่คือช่องทางของมืออาชีพ ที่ว่าข้างต้นยังมีอีกหลายอย่างที่หาไม่ใด้จาก Stock photo ส่วนมืออาชีพของ stock photo ที่เค้าเจ๋งจริงๆ ป่านนี้เค้าโกยเงินเท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ จนขยายสเปชมาทำเว็บของตัวเอง นั่นคือมืออาชีพของ SP ตัวจริง ปล.ธุรกิจทุกสิ่งทุกอย่างมันต้องมีขาขึ้นขาลง หากใครปรับตัวไม่ทันก็ตาย - ชาใข่มุก - ชูชิคำละ10 สารพัดอย่าง ใครทำก่อนรวยก่อน ทำทีหลังคู่แข่งเยอะ ตัดราคากำไรน้อยแข่งขันสูง หากเราเป็นช่างภาพสต๊อคและอัพรูปเพิ่มอยู่เรื่อยๆ ฝีมือเราถึงคอนเซ็ปเราได้ ไม่ต้องกลัวหรอก มีกินตลอด ไม่มากไม่น้อย 6เดือนแสนนึง ยังไหว จากคุณ : โดนยึดอมยิ้ม เขียนเมื่อ : 27 มิ.ย. 55 15:59:25 A:223.207.114.8 X: TicketID:302717

ความคิดเห็นที่ 44 เพิ่งเคยได้ยินชื่อ Yuri Arcurs จากคอมเมนท์ของน้า Night Claw กับ น้าเอ๋อ้อย นี่แหละครับ... ขอบคุณครับ... ส่วนเรื่องตัวเลขร้อยล้านนี้เดี๋ยวผมกะจะหาข้อมูลเพิ่ม ซักหน่อย ดูว่าแกทำไงถึงได้ตังค์เยอะแบบนั้นครับ อิจฉาอ่ะ... 555 มันดูเหมือนคนละ segment กันก็จริงแต่ผมว่ามันคงต้องมีส่วนเกี่ยวเนื่องกันอยู่บ้างครับ น้าโดนยึดอมยิ้ม ไม่งั้นคงไม่มีช่างภาพออกมาบ่นจนเป็นหัวข้อ debate ในหลายๆ แห่งครับ มันอยู่ที่ผลกระทบจะมีมากน้อยแค่ไหน อยู่ในทางบวก หรือทางลบ สำหรับใคร ก็เท่านั้นเองครับ แก้ไขเมื่อ 27 มิ.ย. 55 22:16:31 จากคุณ : theorem เขียนเมื่อ : 27 มิ.ย. 55 22:11:04

ความคิดเห็นที่ 45 อ่า.... พึ่งมาเห็น ต้องขอโทษด้วย ผมพิพม์ 0 เกินไป 1 ตัวครับ Yuri Arcus มีรายได้ตกราว 10,000,000  USD/ ปี  ครับ ปล. คุณ bigwores 2 ล้านอันนั้นเป็นยอดเมื่อ 2009 ครับ (ถ้าจำไม่ผิดนะครับ) จากคุณ : เอ๋อ้อย เขียนเมื่อ : 27 มิ.ย. 55 22:34:12

ความคิดเห็นที่ 46 ผมคนนึงที่เลิกรับงานถ่ายภาพแบบลาขาดไปเลย  ทำสต๊อค ได้เงินแบบมีความสุขล้วนๆ เห็นล๊อคอินหลายๆท่านในกระทู้นี้ อยู่ที่ SPT เหมือนกัน ^.^ จากคุณ : ray daddy เขียนเมื่อ : 27 มิ.ย. 55 22:49:04

ความคิดเห็นที่ 47 แรกๆก็ไม่ได้เรื่องได้ราวแต่ทำไปเรื่อยๆคุณภาพก็มาเอง วงการนี้เริ่มโตขึ้นทุกวันๆ จากคุณ : supakitmod เขียนเมื่อ : 27 มิ.ย. 55 23:47:05 A:223.206.102.137 X: TicketID:364909

ความคิดเห็นที่ 48 ผมว่าช่างภาพอาชีพคงต้องทำงานกันหนักขึ้นครับ และคงต้องเน้นไปทางงานที่ไม่สามารถหาได้ใน stock photo มากขึ้น เช่น งานแต่งงาน งานถ่ายสินค้า ครับ ส่วนพวกภาพนำไปตกแต่งเว็บ หรือใช้ประกอบการนำเสนอ พวกนี้คงโดน stock photo กินเรียบครับ ช่างภาพที่ทำตรงนี้ก็จริงจังมาก ลองดูผลงานของหลายๆ คนสิครับ ส่งเข้าประกวดภาพถ่ายได้สบายๆ เลย ส่วนตัวไม่ส่งภาพดีๆ ไปขายครับ ส่งแต่ภาพกากๆ หรือภาพที่ไม่ได้ใช้ไปขาย ฮาๆ จากคุณ : Charles Y. เขียนเมื่อ : 28 มิ.ย. 55 00:42:39

ความคิดเห็นที่ 49 ผมเห็น Yuri แกมีเว็บของตัวเองด้วย นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมแกไม่เป็น Exclusive ที่ iStock นี่เอง กินได้หลายทางกว่า จากคุณ : bigwores เขียนเมื่อ : 28 มิ.ย. 55 07:56:40

ความคิดเห็นที่ 50 ลองไปชมสตูดิโอ(โลก) ของเฮียยูริเค้าครับ http://www.youtube.com/watch?v=VYkNKP96b84 จากคุณ : DUB-COOK เขียนเมื่อ : 28 มิ.ย. 55 16:26:59

ความคิดเห็นที่ 51 ผลกระทบของ stock อีกอย่างคือ .. การเป็น "ภาพตัวอย่าง" คนที่ download ภาพจาก stock .. ไม่จำเป็นต้องเอาไปใช้ แต่เอาไปเป็น "ตัวอย่าง" ให้ช่างภาพดูว่า ต้องการภาพแนวนี้ๆ คอนเซ็ปท์แบบนี้ๆ หรือ ที่โหดกว่านั้นคือ เอาไปให้ดู เพื่อให้ช่างภาพไปถ่ายภาพมา ให้เข้าชุดกับภาพที่ d/l ภาพที่ต้องการ เดิม  20-30 ภาพ อาจเหลือแค่ 4-5 ภาพ ที่ขาดหายไป ตรงนี้ ช่างภาพมืออาชีพ คงต้องหาทางปรับปรุงฝีมือการต่อรอง เพราะ "ถ่ายภาพมาแค่ 4-5 ภาพ ตาม concept ที่มีมาให้ชัดๆเจนๆ" การเรียกร้องค่าตอบแทน เป็นค่า "คิด concept" ... จนถึง final output มันก็จะลำบากมากขึ้น จากคุณ : แมวเหมียวพุงป่อง เขียนเมื่อ : 29 มิ.ย. 55 13:47:47

ความคิดเห็นที่ 52 P2.1 ถ่ายเรื่อยเปื่อย ถ่ายเก็บความทรงจำ  ครับ จากคุณ : เป็ดสวรรค์ เขียนเมื่อ : 29 มิ.ย. 55 16:11:30

ความคิดเห็นที่ 53 โลกมันหมุนไปทุกวันครับ อะไรๆ ก็ต้องเปลี่ยนไปตามความต้องการของกระแสโลก ถ้าไม่รู้จักปรับเปลี่ยนก้าวตามความเปลี่ยนแปลง สุดท้ายก็จบเห่ครับ จากคุณ : ยักษ์ในกระป๋องนม เขียนเมื่อ : 30 มิ.ย. 55 11:21:54

ความคิดเห็นที่ 54 ได้ความรู้มากๆ จากคุณ : Pollutor เขียนเมื่อ : 30 มิ.ย. 55 15:34:39

ความคิดเห็นที่ 55 อย่าคิดมากเดี๊ยว.........บร้าาาา..... จากคุณ : hinnamsaisuy เขียนเมื่อ : 30 มิ.ย. 55 16:28:09

ความคิดเห็นที่ 56 ขอบคุณครับน้าเอ๋อ้อย ขอบคุณครับน้า ray daddy ขอบคุณครับน้า supakitmod ขอบคุณครับน้า Charles Y. ขอบคุณครับน้า bigwores ขอบคุณครับน้า DUB-COOK สำหรับคลิปครับ ขอบคุณครับน้าแมวฯ 555 น่าคิดครับ "เดิม  20-30 ภาพ อาจเหลือแค่ 4-5 ภาพ ที่ขาดหายไป" ... เช่นอยากได้รูปภาพสินค้าเพิ่มให้เข้าชุดกัน อย่างงี้ตากล้องเซ็งแน่ ขอบคุณครับน้าเป็ดสวรรค์ ขอบคุณครับน้ายักษ์ในกระป๋องนม ขอบคุณครับน้า Pollutor คิดน้อยๆ ก็ได้ไม่เป็นไรครับน้า hinnamsaisuy แหะๆๆ จากคุณ : theorem เขียนเมื่อ : 30 มิ.ย. 55 21:48:52

ความคิดเห็นที่ 57 เป็นกระทู้ที่น่าสนใจดีครับ จากคุณ : F:A:B:R:E เขียนเมื่อ : 30 มิ.ย. 55 22:06:15

ความคิดเห็นที่ 58 ยุคเสรี ของการแข่งขัน ยุคที่ข่าวสาว เนื้อหา สามารถหาได้ แค่ปลายนิ้วคลิก ใครเร็วกว่า แจ่มกว่าในเรื่อง ไอเดีย รวมถึงราคาด้วย ก็ขายงานได้ ก็เอาตัวรอดได้ ความสะดวกสะบายในการซื้อออนไลน์ ไม่ต้องมานั่ง เซ็นสัญญาซื้อขาย นัดเจอ กันเหมือน สัญญาซื้อรูป สมัยก่อน รวมถึง เทคโนโลยีสมัยใหม่ ช่วยให้รูป ได้ และโดนใจ ผู้บริโภคมากกว่า สิ่งทั่งปวง ล้วนเป็นไปตามวันเวลา ครับ จากคุณ : น้าวัชร-จัดให้ เขียนเมื่อ : 2 ก.ค. 55 01:04:27