ความคิดเห็นที่ 1 ราคา เทคโนโลยี จากคุณ : อะธีลาส เขียนเมื่อ : วันอาสาฬหบูชา 55 09:12:03

ความคิดเห็นที่ 2 เรื่องเทคโลยีต่างๆญี่ปุ่นนำหน้าฝรั่งมานานแล้วครับ จากคุณ : ที่จุดหมาย ยังมีสายรุ้ง เขียนเมื่อ : วันอาสาฬหบูชา 55 09:22:46

ความคิดเห็นที่ 3 อย่าหยุดที่จะพัฒนาตัวเอง.... เพราะจากที่เคยทำให้คนอื่น  เขาก็มาทำด้วยตัวเอง  และตอนนี้ กลายเป็นผู้นำ ไม่ว่างานใดๆ  กระทั่งการหัดถ่ายรูปครับ จากคุณ : ไก่แก้ว สาริกา เขียนเมื่อ : วันอาสาฬหบูชา 55 09:34:39

ความคิดเห็นที่ 4 แล้วญี่ปุ่นเอาเทคโนโลยีเรื่องกล้องมาจากไหน  ถ้าผมรู้มาไม่ผิดก่อนหน้านั้นเทคโนโลยีเรื่องเลนซ์  เรื่องกล้อง นั้น เยอรมันเป็นหนึ่งอยู่ใช่มั้ยครับ  แล้วความรู้เหล่านี้หลุดมาถึงญี่ปุ่นได้อย่างไร   เพราะของอย่างนี้ไม่ใช่คิดๆลองๆ  แล้วก็ได้   ญี่ปุ่นเอา knowlage (ขออภัยขอใช้ภาษา e เพราะมันตรงความหมายดี) มาจากไหน    สงสัยจริงครับ จากคุณ : เจ้าของกระทู้ (sitichai49) เขียนเมื่อ : วันอาสาฬหบูชา 55 09:43:37

ความคิดเห็นที่ 5 #4 ถ้าถามแบบนี้ คงต้องย้อนไปไกลหน่อยหละครับ เพราะความรู้มันเป็นการต่อยอด ถ้าแบบนั้น ก็ต้องถามว่า แล้วฝรั่ง เจริญมาได้อย่างไร เพราะอารยธรรมของเอเชียเจริญมาก่อนฝรั่งนานมาก สมัยที่เอเชียรุ่งเรื่อง ฝรั่งยังคงอยู่ในถ้ำ ไม่มีอารยธรรมเลยครับ สาเหตุที่เราชะงักไป เพราะชาวเอเชียชอบอยู่แบบเดี่ยวๆ คือไม่ชอบรวมกลุ่มอะไรกันมากมาย ความรู้ที่มี ก็เก็บไว้กับตัว ส่วนฝรั่ง ขอบการร่วมกลุ่ม มีอะไรก็แชร์กันมากกว่า และอีกสาเหตุคือ ชาวเอเชียชอบอยู่อย่างสันโดษ พึ่งพิงธรรมชาติ ในขณะที่ฝรั่ง ชอบเอาชนะธรรมชาติ (ซึ่งในที่สุดก็กลับมาทำร้ายตัวเอง) ชอบการรุกราน แต่พอมายุคนี้ เอเชียเริ่มตื่น เพราะโดนแทรกแซง ฝรั่งจริงๆแล้ว ตัวต่อตัว ฉลาดสู้คนเอเชียไม่ได้หรอกครับ แต่ที่ชนะ เพราะการรวมกลุ่ม ถ้าเปรียบเทียบ คงเหมือนทีมฟุตบอล Ronaldo เพียง 1 คน ก็มิอาจสู้พวกมือรองๆ 20 คนในสนามได้ คุณไปดูกล้อง Leica ที่เป็นระบบดิจิตอล ราคาแพงมากมาย แต่เทคโนโลยีกลับห่างชั้นกับกล้องทางฝั่งญี่ปุ่นมากนัก แต่มันแพงเพราะอะไร !?  หาคำตอบกันดูเอง แก้ไขเมื่อ 02 ส.ค. 55 10:14:11 จากคุณ : The Hidden Dimension เขียนเมื่อ : วันอาสาฬหบูชา 55 10:09:10

ความคิดเห็นที่ 6 ไลก้าแพง ส่วนนึงน่าจะเพราะค่าแรง และวัสดุ แต่อีกส่วนที่น่าจะสำคัญกว่า ก็คือ brand position ลองออกมาถูกๆ ผมว่า คงขายไม่ออกยิ่งไปกว่าตั้งราคาแพงๆ เพราะสาวกเก่าก็จะบอกว่า "มัน ถูก มันของปลอม ไม่ใช่ไลก้าแท้" ส่วนสาวกใหม่ก็จะคิดว่า "โอย ราคา เท่ากัน ซื้อ Canonikon ดีกร่าาา" เอิ๊กกก จากคุณ : csirre เขียนเมื่อ : วันอาสาฬหบูชา 55 10:11:57

ความคิดเห็นที่ 7 ญี่ปุ่นเอามาจากไหน? ลอกมาซิครับ! กล้อง Canon RF รุ่นแรกๆ นี่ แทบจะเรียกว่าลอกไลก้ามาเลย (ส่วนนิค่อนก่อนปี 50 ก็ทำแต่เลนส์ ยังไม่มีกำลังพอจะทำกล้องตัวเอง) คิดถึงไซโก้สิครับ เหมือนๆ กันแหละ Canon v. Leica จากคุณ : csirre เขียนเมื่อ : วันอาสาฬหบูชา 55 10:14:40

ความคิดเห็นที่ 8 ภาพนี้ มองให้ลึก จะเห็นว่าญี่ปุ่น กำลังแซงเยอรมันไปแล้วในบางด้าน กล้อง Canon 7s ครับ ผลิตขึ้นมาในปี 1961 Knowledge เป็น IP ครับ มันโอนกันได้ และใช้ไม่หมดไป แถมยังต่อยอด ได้เรื่อยๆ We are all standing on the shoulder of a giant ครับ ตามที่ Newton แกว่าไว้ จากคุณ : csirre เขียนเมื่อ : วันอาสาฬหบูชา 55 10:20:28

ความคิดเห็นที่ 9 ไม่ใช่ลอก และก้อปเฉย ๆ ครับ รื้อ และเรียนรู้ ทำ reverse engineering แล้วก็พัฒนาต่อยอด.... จากคุณ : SRJ mk II เขียนเมื่อ : วันอาสาฬหบูชา 55 10:24:22

ความคิดเห็นที่ 10 ประวัติศาสตร์ยืดยาว ก่อนสงครามโลก เทคโนโลยีเรื่องแสง ก้าวหน้าในยุโรป เรื่องฟิล์ม รุ่งเรืองในอเมริกา ญี่ปุ่น มีฝีมือเรื่องอาร์ต และความละเอียดอ่อน ทั้งก้อปปี้และพัฒนาหลายๆอย่างมาจากยุโรป แต่เทคโนโลยีการสื่อสาร มันไม่ได้รวดเร็วระดับนาโนวินาทีเหมือนทุกวันนี้ แต่ใช้เวลาเป็นปีๆ ฝีมือด้านอาร์ต และแนวการดำรงชีวิตวิถีเซ็น ทำให้ทั้งช่างฝีมือ, วิศวกรออกแบบ และ บริษัท ค่อยๆพัฒนา มาถึงจุดบูมก็ตอนสงครามโลกครั้งที่สอง ในภาวะสงคราม ไม่ต้องมาพูดกันเรื่องละเมิดลิขสิทธิ เยอรมันและญี่ปุ่น ก็จับมือกันถล่มโลก .. คนละซีกโลก การพัฒนาเทคโนโลยี ก้าวกระโดด เพราะมันจำเป็นมากกับสงคราม ไม่ว่าเรื่องของกล้องเล็ง กล้องส่องทางไกล กล้องถ่ายรูปทางอากาศ กล้องจุลทรรศน์ ฯลฯ หลังสงคราม ญี่ปุ่นแพ้ สนธิสัญญา ห้ามญี่ปุ่นพัฒนาด้านกองทัพ และอาวุธสงคราม แถมต้องจ่ายค่าหนี้สินสงคราม ประเทศที่แพ้สงคราม จะเอาเงินที่ไหนไปจ่าย เยอรมัน และยุโรปที่แพ้สงคราม ยังมีทรัพย์สินต่างๆนาๆ รวมทั้งทรัพย์สินทางปัญญา ที่อยู่ในหัวคนเป็นๆ โดนอเมริกา รัสเซีย และยุโรปที่ชนะสงคราม พากันแย่งทึ้ง ญี่ปุ่น มีแต่เกาะ ภูเขา และซึนามิ ไม่มีต้นทุนอะไรซักอย่างให้ยึด ถ้าไม่ทำให้ญี่ปุ่นเจริญ พวกชนะก็ขาดทุนย่อยยับ อเมริกา กระโดดเข้าคุมญี่ปุ่นเต็มเหยียด พัฒนาญี่ปุ่นเต็มที่ เพื่อเอาไว้ยันกับจีนและรัสเซีย สินค้าที่ญี่ปุ่นพอจะผลิตขายได้ อเมริกาหนุนสุดตัว รัฐบาลญี่ปุ่นเอง ก็ทุ่มสุดตัว ทั้งด้าน C&D ผลิตสินค้าที่ราคาถูก คุณภาพพอใช้ได้ ความทนทานพอประมาณ ออกวางขายตลาดทั้งโลก ใครต้องการของคุณภาพเยี่ยม ทนทานเป็นยอด ราคาแพงหน่อย ก็ซื้อของอเมริกาไป ไม่ว่ารถยนต์ เครื่องเสียง ตู้เย็น หม้อหุงข้าว นาฬิกา กล้อง ฯลฯ ใครต้องการของคุณภาพพอประมาณ ทนทานนิดหน่อย ราคาแพงถูกมาก ก็ซื้อของญี่ปุ่น (ที่อเมริกาไปลงทุนไว้) ไซโก้ เช้าโก้ เย็นแก้ สามวันเจ๊งแน่ เชร็ดแม่ไซโก้ นั่น .. เพลงที่เด็กๆสมัยหลังสงครามโลกร้องเล่นกัน จากคุณ : แมวเหมียวพุงป่อง เขียนเมื่อ : วันอาสาฬหบูชา 55 10:28:50

ความคิดเห็นที่ 11 ตอนเข้ายุคเทคโนโลยี Auto focus นี่แหละครับ ที่ทำให้บริษัทกล้อง non-AF ล้มกันระเนระนาด ตามด้วยเทคโนโลยีตัวรับภาพดิจิตอล ใครกระโดนข้ามฟากมาดิจิตอลไม่ทันก็เลิกกันไปเป็นแถว จากคุณ : อะธีลาส เขียนเมื่อ : วันอาสาฬหบูชา 55 10:40:07

ความคิดเห็นที่ 12 สิบกว่าปีหลังสงครามโลก "สงครามเย็น" ระอุ พศ 2500 - 2520 แนวรบหลัก คือ อาเซียน .. ไทยเรานี่แหละ!! ฟากหนึ่งคือ อเมริกา & NATO อีกฟากคือ จีนแดง และ USSR ปรัชญาการรบของอเมริกา .. ข.น.ม. .. เขตแนวหน้าที่มั่น ไม่ใช่ homeland แต่เป็นต่างประเทศ ญี่ปุ่นคือ ฐานทัพเรือ ที่ต้องพัฒนาให้มีความแข็งแกร่ง สินค้าญี่ปุ่น ต้นทุนต่ำ ภาษีแทบไม่เสีย ยิ่งขายต่างประเทศได้ .. MITI บอกวา ไม่เสียภาษีก็ได้ อเมริกันชน ซื้่อ ซื้อ และ ซื้อ ด้วยเงินที่ิพิมพ์ออกมาเอง ยิ่งเป็นของมาจากญี่ปุ่น ที่ราคาถูกกว่าแฮมเบอร์เกอร์ ยิ่งซื้อแหลกราญ ที่ว่ามา ไม่ใช่แค่ 1-2 ปี แต่เป็นสิบๆปี (2490-2530) ที่อเมริกาเอาเงินทุ่มลงไปเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจญี่ปุ่น ในขณะที่ญี่ปุ่น .. รายได้ที่มี .. ใช้เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจ และเทคโนโลยี เกือบ 100% ไม่ต้องตัดงบแม้แต่เยนเดียว เพื่อไปพัฒนากองทัพหรือเทคโนโลยีป้องกันประเทศ (ยกเว้นปืนแสง หรือ ยานอวกาศ ที่ไว้รบกับสัตว์ประหลาดต่างดาว) ทั้งๆที่มีกองกำลังขนาดยักษ์ จ่อคอหอยอยู่ (จีน & รัสเซีย) สี่สิบปี .. สองรุ่นอายุคน ที่ญี่ปุ่นไม่ต้องทำอะไร นอกจากพัฒนาเทคโนโลยีที่ก้อปปี้มา ให้ดีขึ้นเรื่อยๆ และพัฒนาคน ที่ยิ่งในศักดิ์ศรีขนาดยอมคว้านท้องตายก็ไม่ยอมแพ้ ให้ก้าวหน้า ให้พ้นอายที่พ่ายแพ้ ให้ยืนหยัดอยู่ได้ใหม่อีกครั้ง ประเทศ ที่มีคนช่วยคิดเทคโนโลยีให้ มีตลาดที่พร้อมรับซื้อสินค้าทุกอย่าง มีคนที่แทบจะขายวิญญาณ เพื่อล้างอายทั้ืงประเทศ ถ้าไม่เจริญมาจนเป็นแบบนี้ ก็ควรเอาหัวกระแทกเต้าหู้ตายไปทั้งประเทศได้แล้ว จากคุณ : แมวเหมียวพุงป่อง เขียนเมื่อ : วันอาสาฬหบูชา 55 10:41:35

ความคิดเห็นที่ 13 แล้วอเมริกาหละ ถ้าอยากรู้ว่า อเมริกาเป็นอย่างไร หาสุดยอดอภิมหานิยายวิทยาศาตร์เรื่อง "สถาบันสถาปนา" มาอ่านได้เลย จักรวรรดิที่ยิ่งใหญ่ มีกองยานรบขนาดดาวเคราะห์น้อย มีสนามพลังที่ป้องกันเมืองได้ทั้งเมือง พ่ายแพ้ต่อ"สงคราม"กับกลุ่มดาวเล็กๆ เพราะหม้อ ไห กระทะ มีดหั่นเนื้อ ตู้เย็น ฯลฯ มันไม่ทำงาน รถอเมริกา แปดสูบสิบสองสูบ คนนั่งห้าคน ยังมีที่เหลือพอจะตีปิงปองได้ ถึงแพ้รถเล็กๆ สี่สูบ ที่ถึงจะนั่งสบายได้แค่สองคน แต่จิบๆน้ำมัน ที่ราคาแค่ 20% เทคโนโลยีทางยุโรป มีปัญหา เพราะจาก IP .. ทรัพย์สินทางปัญญา .. ไปสู่ customer มันไม่ใช่แค่วิวาทะในห้องประชุม หรือ เขียนๆๆๆ บนกระดาษ ก็ทำได้ มันต้องมี service mind เท่านั้นไม่พอ จากคุณ : แมวเหมียวพุงป่อง เขียนเมื่อ : วันอาสาฬหบูชา 55 10:50:08

ความคิดเห็นที่ 14 เท่านั้นไม่พอ ปรัชญาที่ทำให้เทคโนโลยียุโรป&อเมริกา ปักหัวสู่นรก ก็คือ " We build to last" ... เราสร้างของที่ทนสุดยอด ให้คุณใช้ ถึงคุณตาย สินค้าเรายังอยู่ ให้ลูกหลานคุณใช้ได้ ในขณะที่ปรัชญาของญี่ปุ่นคือ สร้างของที่ใช้ได้ และใช้ดี แต่ทนทานแค่ 1 ช่วงความพึงพอใจ โทษทีเหอะ ลองถามตัวเองดูได้ ใครอยากจะใช้ตู้เย็นที่อายุสี่สิบปีมั่งฟร่ะ //hah (ตู้เย็นเก่าของบ้านผม .. ใช้งานมาตั้งแต่ปี 2505 และยังใช้ได้ดีจนทุกวันนี้ .. ถ้าเสียบปลั๊กไฟนะ ) และ บริษัท เมิงจะขายของให้ใคร ถ้าของของเมิงซื้อหนเดียวใช้ได้สี่สิบปี คนที่ซื้อสินค้าญี่ปุ่นใช้่ .. ใช้แค่ 3-4 ปี (เป็นอย่างมาก) ก็จะเริ่มรู้สึก "เบื่อ" ถึงมันไม่พัง ก็เบื่อ พอดีมันพัง .. ก็คิดว่า "เออ ใช้งานมันคุ้มแล้วนิ ของราคาไม่แพง แต่ใช้ได้ 3-4 ปี ซื้อยี่ห้อนี้มันต่อดีกว่า " น่าน!!! Brand Loyalty ใช่ไหมหละนั่น!! สินค้าญี่ปุ่น สร้าง brand loyalty ให้เกิดขึ้น ทั้งในลูกค้าใหม่ และลูกค้าเก่า ที่กลายเป็นลูกค้าใหม่ ในขณะที่สินค้ายุโรป/อเมริกา .. ลูกค้าเก่า ไม่มีทางกลายเป็นลูกค้าใหม่ง่ายๆ .. เพราะยี่สิบปีแล้ว ของมันก็ยังไม่พัง คุณว่า บริษัทไหน จะมีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีมากกว่ากัน ระหว่าง บริษัท ที่ผลิตสินค้าด้วยเทคโนโลยีของเมื่อยี่สิบปีที่แล้ว .. และสินค้ามันก็ยังใช้ได้ดีอยู่ (ถึงจะราคาแพงไปหน่อย) vs บริษัท ที่ผลิตสินค้าด้วยเทคโนโลยีของเมื่อห้าปีที่แล้ว และสินค้าใช้ได้ 3-4 ปี ก็พัง หรือ .... ตกรุ่น (แต่ราคาโคตะระถูกเลยหว่ะ!!) --------------------------- สิ่งที่ผมว่ามา มันไม่ใช่เกิดแต่เฉพาะกับกล้อง แต่กับมือถือ เตารีด พัดลม ตู้เย็น เตาแก๊ส รถยนต์ ฯลฯ สินค้าทุกระดับนั่นแหละ จากคุณ : แมวเหมียวพุงป่อง เขียนเมื่อ : วันอาสาฬหบูชา 55 10:57:24

ความคิดเห็นที่ 15 ตู้เย็น toshiba บ้านผม 30ปี+ ละครับ  ซ่อมไป 3-4 ครั้ง จากคุณ : ZicmA เขียนเมื่อ : วันอาสาฬหบูชา 55 10:59:10

ความคิดเห็นที่ 16 แต่ผมเห็นว่า สินค้าไฮเทคของญี่ปุ่น เหนือกว่าเยอะนะ ในเรื่องของความทนทานด้วย แม้กระทั่ง TV ทางฝั่งยุโรป / อเมริกาแทบไม่มียี่ห้อไหนเลย ที่ฮอลแลนด์มี amstrad ที่ราคาถูกมากๆ แต่ก็พังง่าย ส่วน Philips ต้องไปร่วมมือกับ LG ในการผลิตจอ LCD / LED ในขณะที่ของญี่ปุ่น ราคาสูงกว่ามาก และไฮเทคกว่าด้วย อดีต มันคืออดีต ปัจจุบัน คือปัจจุบัน รถยนต์ ใครใช้รถยุโรปในปัจจุบัน (ไม่ใช่ยุคก่อนนะครับ ที่ยังไม่มีระบบทันสมัยอะไรมากนัก) มาเทียบกันในระดับเดียวกัน เช่นพวก benz / bmw พังง่ายมาก จุกจิก รวน พอหมดประกัน ต้องขายทิ้ง ราคาวูบกันเป็นแถว ส่วน Lexus ฝรั่งซูฮกให้ เพราะใช้ 300,000 โล ไม่เคยต้องซ่อม ถึงขนาดที่ BMW ต้องเชิญวิศวกรญี่ปุ่นไปถ่ายทอดการผลิตแบบ zero defect ให้ เพื่อจะได้ลดความจุกจิกในระบบไฟฟ้าให้น้อยลง จากคุณ : The Hidden Dimension เขียนเมื่อ : วันอาสาฬหบูชา 55 11:19:24

ความคิดเห็นที่ 17 ผมอ่านๆ ค.ห.ของน้าๆด้านบนแล้ว แต่ก็ยังสงสัยทำไม ญี่ปุ่นยังต้องเป็นมหาอำนาจของโลก รองจากอเมริกา และจีน หรือว่าประเทศเค้าเล็กกว่า หรือว่าผมเข้าใจผิด หรือยังไง? ครับ จากคุณ : jubjeang2 เขียนเมื่อ : วันอาสาฬหบูชา 55 12:48:48

ความคิดเห็นที่ 18 กระทู้นี้น้าแมวเขียนได้ดี ย่อรอยต่อของประวัติศาสตร์มาให้อ่านได้สั้นๆ ง่ายๆ  แล้วคิดได้ไง  C&D  อิอิอิ ผมว่าน้าแมวแจมกระทู้ความรู้ได้ดี แต่กระทู้มาม่าผมว่าน้าแมวยั้งๆ ไว้บ้างเถอะนะครับ มีคนชอบจ้องถล่มน้าอยู่ ในฐานะคนรักใคร่ชอบพอ จึงบอกไว้น่ะครับ หนังสือสถาบันสถาปนานี่เล่มโปรดของผมเหมือนกัน แต่ช่วงนี้ห่างหายหนังสือแนวนี้ไปบ้าง งานการต้องทำเยอะแยะ น้า jubjeang2  ครับ​ โดยแนวนโยบายของประเทศญี่ปุ่น ด้วยลักษณะของประเทศที่เสียเปรียบด้านภูมิศาสตร์ การเพิ่มศักยภาพด้านอื่นจึงจำเป็นมากๆ เพื่อความคงอยู่ของประเทศ ดังนั้น ทรัพยากรที่สร้างง่าย แต่พัฒนายาก ก็คือ คน นั่นเอง แต่ถ้าพัฒนา คน ได้แล้ว ประเทศก็เจริญรุ่งเรืองได้ นั่นทำให้ประเทศมีศักยภาพ และความเป็นมหาอำนาจ สำคัญที่สุดที่ประเทศนั้นต้องมีให้ได้ก่อน คือ คุณภาพของคน ครับ จากคุณ : ไอ้คุณแหลม เขียนเมื่อ : วันอาสาฬหบูชา 55 12:55:31

ความคิดเห็นที่ 19 คห.16 ครับ ดูให้ดีๆ ในยี่สิบปีให้หลังนี้ มันงูกินหางกันพิลึก ประเทศยุโรป เห็นว่า การผลิตสินค้าแบบญี่ปุ่น (ในอดีต) มันดี, ทำกำไร เพราะต้นทุนต่ำ กำไรสูง เลยผลิตสินค้าคุณภาพสูงแต่ทนทานต่ำออกมาขาย ไม่แต่เฉพาะรถ แต่อุปกรณ์ไฮเทค อย่างเช่น เน็ตเวิร์กคุณภาพสูงๆ, อุปกรณ์ optoelectronics ชนิด mission critical ฯลฯ ก็เป็นอย่างนั้น แถมทำแบบเนียนๆด้วยคือ ถึงเวลา ต้องเปลี่ยนอะไหล่ตามกำหนดอย่างเคร่งครัด การเปลี่ยนอะไหล่ ต้องทำที่ qualified center หรือ โดย qualified partner เท่านั้น แล้วจะใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพแบบยาวนาน ส่วนประเทศที่ญี่ปุ่น กำลังดำเนินรอยตามคือ อเมริกา สร้างสินค้าดีๆ ทนๆ ใช้ได้นานถึงลูกหลาน แต่ในแนวทางอีกแบบคือ ขายในแบรนด์แยกต่างหากออกไป ให้เป็นสินค้าระดับพรีเมี่ยมขึ้นแบบ  lexus (toyota) หรือเกรดต่ำลงแบบ alba (seiko) ส่วนประเทศที่กำลังตามรอยญี่ปุ่นมาเดี้ยะๆๆ  คือ เกาหลี หัวหอกทั้ง samsung และ lg .. มาแบบเดียวกันเปี้ยบ ของคุณภาพสูง(พอประมาณ), ทนทาน(เท่าที่ประกัน), รูปสวยน่าซื้อ .. ในราคาที่ถูกเป็นบ้า! ในขณะที่สินค้าเกาหลี .. คุณภาพสูง ประสิทธิภาพสูง รูปลักษณ์สวย แต่หมดอายุประกันเมื่อไหร่ .. พร้อมจะเจ๊งได้ทันที จากคุณ : แมวเหมียวพุงป่อง เขียนเมื่อ : วันอาสาฬหบูชา 55 13:34:57

ความคิดเห็นที่ 20 ผมนั่งอ่านข้อมูลเตรียมเขียนรายงานสอบใน ชม เรียนพรุ่งนี้มาอาทิตย์นึง น้าแมวสรุปได้ใน ห้า ความเห็น ขอบคุณน้าแมวมากครับ เห็นด้วยกับความเห็นที่ 18 เรื่อง human resources มากครับ จากข้อมูลของรัฐบาล ญี่ปุ่นจะเจอระเบิดเวลาลูกนี้ภายใน ระยะเวลาไม่เกิน 30 ปีนี้ล่ะครับ ช่วงอายุคนทำงานลดลง ภาษีลดลง GDP ลดลง ฯลฯ เรื่องกล้อง ตั้งแต่ mirrorless ออกมาต่อไปก็คงจะเห็น เทคโนโลยี ใหม่ๆ เปลี่ยนไปตามยุค เหมือนตอน ipod ล้ม walkman ล่ะครับ น่าสนใจมากครับ จากคุณ : หัวฟูเจเนอเรชั่น เขียนเมื่อ : วันอาสาฬหบูชา 55 16:03:31

ความคิดเห็นที่ 21 ผมว่าคล้ายพี่จีนในยุคนี้นะ ก๊อป-พัฒนา-สร้างองค์ความรู้-ต่อยอด ด้วยขนาดทรัพยากร+ประชากร วันนึงจีนจะไปไกลมากกว่าตอนนี้ที่เป็นจ้าวเศรษฐกิจไปแล้ว จากคุณ : วอริเออร์ เขียนเมื่อ : วันอาสาฬหบูชา 55 16:14:01

ความคิดเห็นที่ 22 น้าแมวเขียนได้เยี่ยมไปเลย (กระทู้แบบนี้ เข้าทางน้าเค้าล่ะ ... อิอิ) เรื่องเครื่องใช้ไฟฟ้าจากเกาหลี หลาย ๆ คนบ่นว่า พอประกันหมด มันเสียปั๊บ เหมือนกับว่า "มันตั้งเวลาเสียไว้เปล่าฟะ?" เรื่องรถยนต์อเมริกัน ... ไม่รู้ใครเอาความคิดที่ว่า ต้องขับรถคันโต ๆ เครื่องก็ต้อง V6 V8 (สกายไรเดอร์) แล้วก็ต้องมีม้าหลายสิบโหล คันเล็ก ๆ ไม่ขับ ... แต่ก็นั่นแหล่ะ ยุคสมัยมันกำลังจะเปลี่ยนไป แล้วภาคการผลิตของอเมริกา แทบจะโยงไปเรื่องการเมืองได้แบบเต็ม ๆ ... ขอไม่บ่นล่ะครับ เดี๋ยวจะผิดประเด็นไป จากคุณ : ผัดไทยกุ้งสด เขียนเมื่อ : วันอาสาฬหบูชา 55 17:30:18

ความคิดเห็นที่ 23 #19  ขอบคุณครับสำหรับความเห็น จากคุณ : The Hidden Dimension เขียนเมื่อ : วันอาสาฬหบูชา 55 19:04:31

ความคิดเห็นที่ 24 เก็บความรู้ครับ ผมได้แต่เข้ามาอ่านอย่างเดียว จากคุณ : กระต๊าก_กระต๊าก เขียนเมื่อ : วันเข้าพรรษา 55 00:59:07

ความคิดเห็นที่ 25 ขอบคุณน้าแมวครับ ชัดเลย จากคุณ : ไม่รู้ที่หมาย เขียนเมื่อ : วันเข้าพรรษา 55 01:25:00

ความคิดเห็นที่ 26 ชอบครับ กระทู้นี้ จากคุณ : น้องข้าวผัด เขียนเมื่อ : 7 ส.ค. 55 14:37:30