เห็นมีคนพูดถึงกัน เลยไปคนมาให้อ่านเพื่อให้รู้กันว่า เวลาที่เราพูดถึง F Stop นั้น จริง ๆ แล้วมันหมายถึงอะไรกันแน่
F มาจากคำว่า Fraction หรือเศษส่วนนั่นเอง เวลาที่เราพูดว่า F/4 จึงหมายถึง 1/4 แล้วจริง ๆ แล้วมันคืออะไรกันล่ะ มันเป็นตัวบอกขนาดของช่องรูรับแสงของม่านชัตเตอร์ของเลนส์ที่ใช้นั่นเอง ที่ F/4 ของเลนส์ 50 มม จึงหมายถึงม่านชัตเตอร์ของเลนส์เปิดออกด้วยขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางเท่ากับ 12.5 มม (50 x 1/4) หรือเลนส์ 1000 มม เปิดที่ F/22 ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางของรูรับแสงที่เปิดจะเท่ากับ 45 มม (1000 x 1/22)
F Stop = A / FL
A คือขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางของรูรับแสง
FL คือทางยาวโฟกัสของเลนส์ที่เลือกใช้
ตอนนี้เรารู้ความหมายของตัวเลขแล้ว แต่ทำไมเราจึงใช้ตัวเลขนี้ คงต้องย้อนกลับไปดูที่มาของค่า F Stop กันเล็กน้อย
ในตอนที่มีการเริ่มใช้เลนส์กันใหม่ ๆ เลนส์ 50 มม จะมีความยาว 50 มม จริง ๆ ในขณะที่เลนส์ 1000 มม ก็จะมีความยาว 1000 มม เช่นกัน ตอนนั้นเลนส์ไม่มีความซับซ้อนเท่ากับในปัจจุบัน องค์ประกอบของเลนส์จึงมีแค่ชิ้นเลนส์ชิ้นหน้าวางอยู่ที่ปลายกระบอกเลนส์เท่านั้น สูตรข้างบนที่กล่าวไปแล้วจึงสามารถนำมาใช้กับเลนส์ประเภทนี้ได้อย่างไม่มีปัญหา อย่างไรก็ดีในกรณีของเลนส์ยุคใหม่ที่มีชิ้นเลนส์ซับซ้อน ทำให้ขนาดของเลนส์ไม่จำเป็นต้องเท่ากับทางยาวโฟกัสจริง ๆ ของมัน เช่นเลนส์ 1000 มม อาจจะยาวแค่ 250 มม เท่านั้น สูตรข้างต้นจึงไม่สามารถนำมาใช้กับเลนส์ยุคใหม่ได้โดยตรงอีกต่อไป แต่สิ่งที่เราได้จากสูตรนี้คืออัตราส่วนของขนาดรูรับแสงที่เปลี่ยนไป
เมื่อเส้นผ่าศูนย์กลางของขนาดรูรับแสงมีค่าเปลี่ยนไป ไม่ว่าจะมากขึ้นสองเท่า หรือน้อยลงครึ่งหนึ่ง อัตราส่วนหรือแฟคเตอร์ที่ใช้ในการคูณหรือหารจะคงที่คือเท่ากับ 1.4 เสมอ (รากที่สองของ 2 คือ 1.4)
และนี่คือที่มาของกฎกำลังสองผกผัน (Inversed Squared Law) นั่นเอง
จากจุดนี้จึงทำให้เข้าใจได้ง่ายขึ้นว่า เมื่อรูรับแสงเปิดกว้างขึ้นสองเท่า หรือเล็กลงครึ่งหนึ่ง ปริมาณแสงที่ผ่านเลนส์ก็จะมากขึ้นสองเท่าหรือน้อยลงครึ่งหนึ่งด้วย เพื่อให้เรียกขานกันง่ายขึ้น ก็เลนเรียกปริมาณแสงที่เปลี่ยนแปลงไปเท่าตัวให้เท่ากับ 1 สตอปนั่นเอง
กล่าวโดยสรุปสั้น ๆ ก็คือ เมื่อคุณคูณหรือหารค่ารูรับแสงด้วย 1.4 คุณจะได้ปริมาณแสงที่มากขึ้นหรือน้อยลง 1 สตอป
ทีนี้เรามาดูกันว่ารูรับแสงสูงสุดที่เป็นไปได้เท่ากับเท่าไหร่
จากสูตร F Stop = A/FL ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางของรูรับแสงสูงสุดที่เป็นไปได้ในทางทฤษฎีคือเท่ากับทางยาวโฟกัสของเลนส์ ดังนั้น F Stop สูงสุดจึงเท่ากับ FL/FL = 1
f/1 จึงเป็นตัวเริ่มต้น เราจึงหาค่ารูรับแสงถัด ๆ ไปในแต่ละสตอปที่รับแสงน้อยลงได้โดยการหารด้วย 1.4 เราก็จะได้ค่าถัดไปคือ 1/1.4 หรือ f/1.4 สุดท้ายเราก็จะได้ series ของค่ารูรับแสงคือ
1 1.4 2.8 5.6 8 11 16 22
เลนส์ที่มีขนาดรูรับแสงสูงสุด f/1 ผลิตได้ยากมากในทางปฏิบัติ ถึงทำได้แต่ราคาแพงมากกก เท่าที่ทราบมีแค่ตัวเดียวในโลกที่มีรูรับแสงกว้างเท่านี้ก็คือ เลนส์ EF 50 f/1.0 L ของแคนนอนที่มีราคาขายร่วมแสนบาท !!!
ในกรณีของชัตเตอร์สปีด หลักการคำนวณหาง่ายกว่า F Stop มาก ๆ ๆ เริ่มจากชัตเตอร์ 1 คูณหรือหารด้วย 2 ก็จะมีค่าเปลี่ยนไป 1 สตอป ทีนี้ก็มีคนสงสัยว่าทำไมจึงเป็น
1, 1/2, 1/4, 1/8, 1/15, 1/30, 1/60, 1/125, 1/250, 1/500, 1/1000
แทนที่จะเป็น
1, 1/2, 1/4, 1/8, 1/16, 1/32, 1/64, 1/128, 1/256, 1/512, 1/1024
คำตอบก็คือการ rounding หรือปัดเศษทศนิยมเท่านั้นเองครับ ซึ่งตัวเลขจริง ๆ ก็ผิดเพี้ยนน้อยมาก ดูได้จาก
ค่าแสดง ค่าจริง %Error Error Value
1 1 0% 0 sec.
1/2 1/2 0% 0 sec.
1/4 1/4 0% 0 sec.
1/8 1/8 0% 0 sec.
1/15 1/16 6.66% .004 sec.
1/30 1/32 6.66% .002 sec.
1/60 1/64 1.50% .00023 sec.
1/125 1/128 2.40% .00019 sec.
1/250 1/256 2.40% .00009 sec.
1/500 1/512 2.40% .00005 sec.
1/1000 1/1024 2.40% .00002 sec.
จบแล้วจ้า ............................................................................................................................ ^_^
จากคุณ : Mr800Si - [14 ก.พ. 45 10:38:16]
จากคุณ :
w@@n
- [
3 ก.ย. 47 17:40:48
]