ความคิดเห็นที่ 1 @กล้อง@ เฮๆ ฮาๆ กับ Chromazone System ฉบับ Mr Auto....ตอนที่ 1 ****เอาละครับ หลังจากที่สัญญากันไว้ว่า จะเขียนเรื่อง Zone System มาให้อ่านเล่น ๆ กัน หลังจากที่ได้ตั้งกระทู้หลอก ๆ ให้อ่านเล่นมารอบหนึ่งแล้ว ตอนนั้นยังไม่รู้เลยว่าจะเขียนเรื่อง Zone ออกมาเป็นตัวอักษรโดยไม่มีภาพประกอบออกมาได้อย่างไร พี่แป๊ะยิ้งก็บอกว่า แล้วจะเข้าใจหรือ ขนาดนั่งสอนนอนสอนกันตัวต่อตัว มีรูปประกอบแถมยังพาออกไปถ่ายภาพก็ยังไม่ค่อยจะมีใครฝ่าด่านอรหันต์กันออกมาได้เลย แล้วเป็นตัวอักษรสงสัยจะเหลวนะเนี้ย ผมก็คิดว่างั้นเหมือนกันละครับ เรื่องนี้คงจะเป็นเรื่องที่ยากที่สุดเท่าที่ผมจะเขียนลงในBlue Planet เลย ถ้าใครเข้าใจเรื่อง Zone ที่ผมเขียนนี้ให้ถือว่า เป็นบุคคลผิดปกติ สมควรไปเช็คสมอง กินยาซะหน่อย แต่ถ้าไม่เข้าใจถือเป็นเรื่องปกติสามัญนะครับ เพราะเท่าที่ผ่านมา มีไม่กี่คนเท่านั้นที่เข้าใจ ที่รู้จักกันใน Net นี้ก็มีแค่พี่แป๊ะยิ้งที่ผ่าน chromazone ฉบับรวบรัด กับ TT ที่สอนกับอยู่นานกว่า 1 เดือน พอถูไถออกมาได้เหมือนกัน แต่ตอนนี้สงสัยคงจะลืมไปหมดแล้วมั้ง และเรื่อง Zone จริง ๆ แล้วจะยาวมาก เพราะต้องมาเรียนรู้ตั้งแต่เรื่อง Film & Development , Exposure , Photographic Papar , Printing , Filter และอื่น ๆ อีกหลายเรื่อง ซึ่งผมเองคงจะไม่สามารถเขียนลงในนี้ได้หมดโดยที่พวกเราทุกคนจะสามารถเข้าใจได้ เพราะถ้าเราไม่ได้ทำแล็บขาวดำรับรองว่าไม่มีทางเข้าใจแน่นอน จึงขอเปลี่ยนมาเป็นเรื่อง Zone System กับฟิล์มสไลด์ ซึ่งนาย Dean Collin เขาเรียกว่า Chromazone System เป็น Zone System ที่ง่ายที่สุด เนื้อหาเพียง 1/20 ของ Zone System เต็มระบบที่ใช้ในฟิล์มขาวดำ แก้ไขเมื่อ 15 ก.ย. 47 03:59:26 จากคุณ : Killer Queen - [ 15 ก.ย. 47 03:32:04 ]

ความคิดเห็นที่ 2 *** แต่ก่อนที่เราจะเข้าเรื่อง Zone System ผมต้องโม้อะไรให้ฟังกันก่อนตามสไตล์นะครับ อย่างแรก ผู้ที่ จะเล่น Zone System ได้จะต้องมีกล้องที่วัดแสงเฉพาะจุดได้ ระบบอื่นบอกตรง ๆ ไม่อ่อมแอ่มว่า หมดสิทธิ์ ผ่านกระทู้นี้ไปได้เลย ถ้าให้ดีจะต้องเล่น OM4T หรือ OM3T เพราะระบบวัดแสงและการแสดงข้อมูลของ กล้องออกแบบมาให้เล่น Zone System โดยเฉพาะเลย(เห็นไหมว่าทำไมผมถึงใช้ Olympus ฮ่าๆๆ...) นอกเหนือจากนี้ก็จะมี Hasselblad 205TCC ซึ่งออกแบบมาสำหรับ Zone System จากนั้นก็มีกล้อง หลายตัวที่พอจะใช้ได้ แต่ต้องขยันอดทนในการจำค่าแสงและนับ Stop แบบนายไส้เดือนฝอยน้อยทำตอนที่ ไปถ่ายภาพเมืองโบราณนะครับ หรือถ้ากล้องมันไม่เป็นใจก็ไปซื้อเครื่องวัดแสง Gossen Spot Master ตอนนี้คงราคาประมาณ 5-6 หมื่นบาทมาใช้ก็ได้ รับรองไม่แพ้ OM4T ของผมแน่นอน Zone System นี่เป็นเรื่องที่สุภาษิตจีนเขากล่าวเอาไว้ว่า....ไกลสุดขอบฟ้า ใกล้อยู่แค่ตา.... หนักเหมือนขุนเขา เบาเหมือนขนนก....จริง ๆ แล้วเรื่อง Zone เป็นเรื่องที่ง่ายมาก.......แต่เพราะ นักถ่ายภาพส่วนใหญ่ไม่ได้เรียนรู้เรื่อง Sensitometry แปลเป็นไทยว่า การตอบสนองของวัสดุไวแสงต่อ แสง เป็นเรื่องที่ว่าด้วย หากเราให้แสงตกลงบนฟิล์มในค่าต่าง ๆ กัน จะเกิดความดำบนฟิล์มเท่าไหร่ ค่าแสงจะคิดออกมาเป็น Log H ให้เป็นแกนนอนของกราฟ ส่วนความดำที่ได้เราวัดออกมาเป็น Density ให้เป็นแกนตั้ง จากนั้นเราก็เอาปริมาณแสงกับความดำที่ได้มาเขียนกราฟ แสงมากภาพก็จะดำมาก แสงน้อยภาพก็จะดำน้อย จะได้กราฟเป็นรูปตัว S เรียกว่า Characteristic Curve กราฟนี้แหละครับ คือ กำเนิด Zone System ขนานแท้และดั่งเดิม ความชันของกราฟเราเรียกว่า Contrast ซึ่งวัดได้หลาย วิธี มีทั้งค่า Gamma , Contrast Index , Average Gradient ถ้ากราฟเป็นเส้นตรง เจ้า 3 ค่านี้จะเท่ากัน แต่ถ้าไม่เป็นเส้นตรงก็จะไม่เท่ากันนะครับ เพราะวิธีวัดต่างกัน กราฟที่ได้เราจะมาหาค่า ISO ของฟิล์มได้ ถ้าเราเอาฟิล์มมาล้างด้วยเวลาที่ต่างกัน เราก็จะได้กราฟที่ชันไม่เท่ากัน เวลาล้างนาน กราฟก็จะชันมาก แสดงว่าความเปรียบต่างของฟิล์มเพิ่มขึ้น เวลาล้างน้อย กราฟก็จะชันน้อย แสดงว่าความเปรียบต่างของ ฟิล์มลดลง เราก็จะได้ว่า ที่เวลาล้างฟิล์มต่าง ๆ ฟิล์มจะมีความเปรียบต่างเท่าไหร่และ ISO เท่าไหร่ และ ถ้าเราลากเส้นจากแกนตั้งมาแกนนอนก็จะรู้ว่า ฟิล์มมีช่วงการรับแสงเท่าไหร่ และหากเราเอากราฟของ ฟิล์ม กระดาษ เลนส์มาต่อกัน เราก็จะได้ว่า ถ้าเราเปิดรับแสง -1 stop กับวัตถุชิ้นนี้ เราจะได้ภาพออก มาเป็นโทนสีอะไรบนกระดาษอัดขยายภาพ นั้นแสดงว่า เราสามารถรู้สีของภาพที่จะเกิดขึ้นตั้งแต่เราวัดแสง เรียกว่าเป็นการ Previsualize นี่แหละครับคือ จุดมุ่งหมายของ Zone System *** งงไหมครับ ถ้างงแสดงว่าคุณยังปกติอยู่ แต่ถ้าไม่งงแสดงว่าคุณผิดปกติแล้วละ นี่แค่ Preview นะ ไม่ใช่ของจริง แก้ไขเมื่อ 15 ก.ย. 47 03:33:09 จากคุณ : Killer Queen - [ 15 ก.ย. 47 03:32:50 ]

ความคิดเห็นที่ 3 *** ฮ่าๆๆๆ....อดทนหน่อยที่รักทั้งหลาย เขียนยาก ๆ ไปอย่างนั้นแหละจะได้น่าเชื่อถือ รู้ไหมครับว่าคนเรา นี่แปลกมาก เวลาพูดอะไรยาก ๆ ใช้ศัพท์เทคนิคเยอะ ๆ ไทยคำอังกฤษคำจะดูว่าคนพูดที่เก่งมาก ความรู้ดี ผมก็ชอบใช้วิธีนี้เหมือนกันนะ ฮ่าๆๆ ของจริงมันง่าย ๆ ครับ ตามอ่านต่อไปเรื่อย ๆ ก็แล้วกัน *** ผมเองพอเข้าแผนกก็เจอจับเรียนวิชา Sensitometry นี้ก่อนเพื่อนเลย เพราะเป็นวิชาพื้นฐานที่สำคัญ ที่สุดในการถ่ายภาพ ดีนะที่ตัวเองถ่ายภาพพอเป็นบ้างแล้ว เลยนึกตามทัน เพื่อน ๆ คนอื่นถ่ายภาพยังไม่เป็น เลย เจอวิชานี้เข้าเหมือนเจอฝ่ามือโลหิตซัดใส่ (อาจารย์ที่สอนวิชานี้ผมสำเร็จฝ่ามือโลหิตขั้นสุดยอด โหดสุด ๆ) เดินได้เพียง 3 ก้าวก็ขาดใจตาย ที่แผนกมี 18 คน ตกวิชานี้ไป 5 คน ได้ D กันเกือบหมด มี C อยู่สองสามคน ถ้าเป็นปกติอาจาร์ยจะถูกเรียกไปถามว่าทำไม่เกรดนิสิตถึงออกมาไม่ดี แต่กรณีนี้ถือว่าลูกศิษย์แย่ เกรดเลยออก มาไม่ดี เพราะอาจาร์ยที่สอนนี่เก่งมาก แฮ่ๆๆ ไม่อยากจะคุยเลย ผมได้ B สูงสุดของแผนก เกือบจะได้ A ถ้ายอม ไปอ่านเรื่องของเครื่อง Densitometer พอดีผมไม่ยอมอ่านเรื่องนี้ เพราะจะไปอ่าน Chemistry ซึ่งจวนเจียน จะ F อยู่แล้ว(และในที่สุดก็ได้ F จนได้ รู้งี้ไม่อ่านเคมีดีกว่า รู้หรือเปล่าครับว่าผมจบมาได้ F มา 5 ตัวนะครับ เกรดต่ำกว่า 2 ไป 3 เทอม แต่ดีที่เกรดเฉลี่ยไม่เคยต่ำกว่า 2 เลยถึงได้รอดมาได้ แฮ่ๆๆ... ใครชอบมาคิดว่า ผมเก่ง ชอบเรียกผมเป็นอาจาร์ยกลับไปคิดใหม่นะครับ และห้ามเรียกผมว่าอาจาร์ยด้วยนะได้โปรด) เจอข้อสอบ เลยทำไม่ได้ไป 2 ข้อได้แค่ B เสียดาย จริง ๆ ที่ Sensitometry มันยากเพราะต้องตีความกราฟ ดูกราฟปุ๊ป ต้องรู้ว่าฟิล์มตัวนี้เป็นอย่างไร สีอิ่มตัวมากไหม ความเปรียบต่างมีเท่าไหร่ มีช่วงการรับแสงเท่าไหร่ เหมาะกับ การถ่ายภาพแบบไหน มี ISO เท่าไหร่ แถมถ้าเป็นฟิล์มสีจะมีกราฟ 3 เส้นให้ตีความ ฯลฯ มันก็เลยยากนะ แต่ สำหรับมือสมัครเล่นจริง ๆ แล้วไม่ยาก เพราะไม่ต้องรู้มากขนาดที่ผมเรียน และจะมีประโยชน์ในการถ่ายภาพ อย่างมหาศาลอีกด้วย แก้ไขเมื่อ 15 ก.ย. 47 03:33:58 จากคุณ : Killer Queen - [ 15 ก.ย. 47 03:33:40 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ***ตอนผมเรียนเรื่อง Sensitometry ก็ยังไม่รู้จักเรื่อง Zone System นี่หรอกครับ มารู้จักเรื่อง Zone จากหนังสือ Darkroom Technique ซึ่งกำลังจะถูกเอาไปชั่งกิโลขาย เป็นของแผนกผมเอง ผมกำลังหา หนังสือถ่ายภาพอ่าน เจอหนังสือ Darkroom Technique เป็นตั้งมัดเอาไว้ เลยแกะมาเปิดดู โอ้โห..อย่างกับ คัมภีร์เทวดา ยอดเยี่ยมเจ๋งเป้งที่สุดเท่าที่เคยพบหนังสือถ่ายภาพมาเลย (ตอนนี้หนังสือถ่ายภาพมี Popular Photo , Modern Photo กับ American Photo เท่านั้นที่ดัง ๆ ส่วนหนังสือไทยผมไม่ได้อ่านเลย เพราะ เจอแต่เรื่องมั่ว ๆ จนเข็ดขยาด) ผมเลยเอามาอ่านดูทีละเล่ม และก็เริ่มเรียนรู้เรื่อง Zone นับตั้งแต่บัดนั้น นักเขียนของ Darkroom Technique จะเป็นลูกศิษย์ของ Ansel Adam เป็นส่วนมาก ใช้กล้องวิว ฟิล์ม 4x5 กับ 8x10 นิ้วกันทั้งนั้น อาศัยที่ผมเรียนเรื่อง Sensitometry มาก็เลยเข้าใจเรื่องนี้ได้รวดเร็ว ถ้ายังไม่เข้าใจเห็นจะต้องไปลาตายได้เลย พอเรียนรู้ได้ครบกระบวนการพื้นฐานแล้วก็เริ่มทดลองใช้ระบบ Zone ในการถ่ายภาพของตัวเอง ตอนนั้นเล่นแต่ขาวดำก็เลยใช้ Zone ได้ แต่ต้องใช้ฟิล์มโหลดม้วนละ 8 ภาพ 1 ม้วนถ่าย 1 ฉาก เพราะแต่ละภาพจะล้างไม่เท่ากัน เลยต้องแยกฟิล์มออกเป็นม้วนละ 1 ภาพ พอขึ้นปี 3 ก็ เริ่มจะฮึกเหิม คิดน้ำยาใช้เอง ไม่ยอมงอนง้อ D-76 พอปี 4 ทำ Project เรื่อง Zone System จบมาก็ต้อง มาใช้ Zone กับฟิล์มสไลด์สี เรียกว่า Chromazone System (เป็นฉบับย่อของ Zone System) ซึ่งที่ผม เขียนต่อไปก็คือ Chromazone นี่แหละ ง่ายดี จากคุณ : Killer Queen - [ 15 ก.ย. 47 03:34:53 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ***รู้ไหมครับว่า เรื่องการวัดแสง การชดเชยแสง สีเทา 18%(มาตรฐานใหม่ที่ใช้กันคือ 14.26%) ระบบวัดแสง ความเปรียบต่าง ช่วงการเก็บรายละเอียด และอื่น ๆ อีกมากที่เรามักจะคิดว่าเป็นเรื่องยาก ๆ คนเก่ง ๆ เท่านั้น ที่จะเข้าใจนั้น เป็นเรื่องที่อธิบายง่าย ๆ ด้วยระบบ Zone System และระบบวัดแสงแบ่งพื้นที่ที่พัฒนา กันอยู่นี่ก็เอาวิธีการมาจาก Zone System นี่แหละ ถ้าคุณเข้าใจเรื่อง Zone System จะเรียกได้ว่า ฝึก วิชาไหมฟ้าได้สำเร็จ สามารถท่องยุทธจักรโดยเอาเงินสดติดตัวไปเพียงอย่างเดียวได้เลย(เพื่อนคู่กายไปหา เอาข้างหน้า) เราจะไม่มีเรื่องชดเชยแสง วัดแสงภาพนี้ต้องชดเชยเท่าไหร่ วัตถุตรงนี้ชดเชยแสงเท่าไหร่ดี วัดแสงพระอาทิตย์ตกให้โอเวอร์หรืออันเดอร์ดี หรือเรื่องบ้า ๆ บอ ๆ อีกร้อยแปดพันเก้าเข้ามากวนใจอีกเลย ไม่อยากจะบอกเลยว่า เรื่องมาโครที่ผมเขียนนั้นนะ ก็เป็นส่วนเล็ก ๆ ใน Zone System ที่ผมใช้อยู่ คนที่เคย ออกไปถ่ายภาพกับผมนาน ๆ จะรู้ว่าผมซีเรียสมากกับเรื่องการวัดแสงให้เหมาะสม ผมใช้คำว่าเหมาะสมนะครับ ไม่ใช่ถูกต้อง เพราะมันคนละเรื่องกันเลยระหว่างสองคำนี้ และหลายคนชอบมาชมผมว่าวัดแสงแม่นมาก จริง ๆ แล้วก็ไม่ได้มีอะไรในกอไผ่ ไม่ต้องมาชมกันหรอกนะครับ เพราะมันธรรมดามาก ที่เป็นแบบนี้เพราะว่าผมได้ทำการ ทดสอบฟิล์มอย่างจริงจังก่อนที่ผมจะตัดสินใจว่าผมจะใช้งานฟิล์มตัวนั้น ๆ ทำให้ผมรู้อะไรหลายอย่างที่คนทั่ว ไปไม่รู้ เช่น ฟิล์ม Velvia 50 ควรตั้งค่า Exposure Index เท่าไหร่กับ OM4T และความชอบของตัวเอง และ Velvia ให้สีเป็นอย่างไรที่ค่าการเปิดรับแสงต่าง ๆ เป็นต้น ผมอยากจะให้เราทุกคนเรียนรู้เรื่องนี้ แล ะทุกคนจะสามารถวัดแสงได้แม่นยำ ได้ดังใจไม่ด้อยไปกว่าผมแน่นอน *** ชักอยากจะรู้แล้วใช่ไหมว่า Zone System คืออะไร จากคุณ : Killer Queen - [ 15 ก.ย. 47 03:35:44 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ***ยัง ยังไม่เข้าเรื่องเร็วขนาดนี้หรอกนะครับ เพราะผมยังไม่รู้เลยว่าจะเริ่มเขียนอย่างไรกันดี ระบบ Zone System นี้ผู้ที่เป็นคนตั้งระบบ Zone ขึ้นมาคนแรกคือ Ansel Adam นักถ่ายภาพชาวอเมริกาผู้หลงไหลไปกับการถ่ายภาพ ธรรมชาติด้วยฟิล์มขาวดำ ถือว่าเป็น 1 ใน 5 ของปรามาจารย์การถ่ายภาพขาวดำของโลก Ansel Adam นี่เก่งทาง การถ่ายภาพทิวทัศน์ Ansel Adam ไม่ได้เป็นคนที่คิด Zone System มาโดยตรงนะครับ แต่เป็นผู้ที่นำเอากราฟ Characteristic Curve ซึ่งคนที่ไม่ได้เรียนวิทยาศาสตร์การถ่ายภาพมาจะไม่สามารถเข้าใจได้มาเปลี่ยนแปลงใหม่ให้เป็นสิ่งที่คนสามารถเข้าใจได้ โดยการเปลี่ยนค่า Log H ให้เป็น Zone โดย Zone แต่ละ Zone ก็คือ ค่าการเปิดรับแสงนั้นเอง ซึ่งเมื่อใช้ Zone แล้วนักถ่ายภาพก็พอจะถึงบางอ้อกันได้บ้าง ไม่เหมือนกับการใช้ Log H ไม่รู้ว่ามันเป็นอะไร เจ้า Log H เนี้ย...เอ๊ ะ มันมาได้จะใด *** จริง ๆ เรื่อง Zone มีข้อปลีกย่อยมากครับแล้วจะคุยให้ฟังอีกที ตอนนี้ยัง Preview อยู่นะ ไม่ได้เอาจริงจะบอกให้ จากคุณ : Killer Queen - [ 15 ก.ย. 47 03:36:40 ]

ความคิดเห็นที่ 7 *** Ansel Adam เป็นคนที่เก่งมาก ๆ ครับ สมควรเรียกปรามาจาร์ยโดยแท้ ลูกศิษย์เขาก็มีที่เก่งไม่น้อยไปกว่าเขา เหมือนกัน ยิ่งได้อุปกรณ์ดี ๆ มาใช้ (เหมือน Mr Auto ได้ OM4T มาใช้) ก็เหมือนเสือติดปีก แต่ละคนเก่งร้ายกาจ เหมือนไม่ใช่คน รู้จัก Kenny Roger นักร้องเพลง Country ของอเมริกาใช่ไหมครับ นี่ก็เป็นมือถ่ายภาพขาวดำ ตัวฉกาจอีกคนหนึ่ง ถ่ายภาพเก่งพอ ๆ กับร้องเพลงเลยแหละ ผมเองเรียนรู้เทคนิคของ Zone System มาจาก ข้อเขียนของลูกศิษย์เขาอีกที ทั้ง Howard Bond,Fred Picker,Hans F.Dietrich,Otis Sprow, George B. Drennan,John Sexton , Paul Schranz และอีกหลายคนครับ Ansel Adam รวมตัวกับนักถ่ายภาพ ขาวดำที่ใช้กล้องวิวแล้วตั้งกลุ่มขึ้นมาชื่อว่า F64 Group กลุ่มนี้จะถ่ายภาพโดยใช้ F64 อย่างเดียว มีปรามาจาร์ย อีกคนซึ่งอยู่ในกลุ่มนี้ด้วยเช่นกันคือ Edword Weston คนนี้เก่งพอ ๆ หรืออาจจะมากกว่า Ansel Adam สองคน นี้เขาซี้กันมาก ไปมาหาสู่กันประจำ Ansel Adam ถนัดถ่ายภาพวิว ส่วน Edword ถนัดถ่ายภาพพวกซากไม้ ตอไม้ ภาพคนแก่อะไรแบบนี้ รูปของ Edword นี่สุดยอดเลย มีอยู่ช่วงหนึ่งที่สองคนนี้เขาแลกเปลี่ยนสไตล์กัน Edword ไปถ่ายภาพวิว ส่วน Ansel ไปถ่ายภาพตอไม้กับหน้าคน (จะเห็นว่ามีภาพของ Ansel ที่เป็นตอไม้ กับพวกหน้าคนแก่ ๆ อยู่) แต่ก็สู้กันไม่ได้ ต่างคนต้องกลับมาถ่ายภาพของตัวเองอย่างเดิม มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ Edword ไปเยี่ยม Ansel ที่ บ้านซึ่งอยู่ที่ Yosmite (สักวันผมจะไปเที่ยวถ่ายภาพที่นี่ให้ได้) แล้วเอารูปให้ Ansel ดู เป็นภาพหน้าต่างบ้านกับต้นไม้ สวยเด็ดขาด Ansel ชอบภาพนี้มาก ๆ อยากจะไปถ่ายภาพมุมนี้บ้าง เลยถาม Edword ว่าถ่ายภาพที่ไหน Edword เลยพาออกมาดู ปรากฏว่าเป็นหน้าต่างบ้านของ Ansel เอง จุดใต้ตำตอจริง ๆ ส่วน Ansel Adam ก็เคยถ่ายภาพ บ้านของ Edword สวยสะเด็ดเล่นเอา Edword แทบช็อคตกกระไดมาแล้วเหมือนกัน ครั้งนี้ถือเป็นการแก้แค้นคืน ผมเคยได้เห็นรูปของ Ansel Adam แท้ ๆ พ่อเพื่อนซื้อมาตอนที่ไปเรียนอเมริกา รูปขาวดำแท้ ๆ กลับเห็นเป็น สามมิติเลย สุดยอด ตอนนั้นผมยังไม่รู้จัก Ansel Adam หรอกนะครับ) *** เอาละครับ Preview มามากแล้ว เข้าเรื่องกันสักที Zone System ที่ผมจะอธิบายนี้เป็น Zone แบบง่าย ๆ ต้องบอกว่าเป็นฉบับของ Mr Auto เพราะแต่ละคนต่างมีวิธีการใช้ Zone ที่ไม่เหมือนกัน ไม่มีใครถูกหรือผิดนะครับ เรื่องนี้ และถ้าจะให้มันส์ ผมจะหาโอกาสที่พวกเราไปทริปกับ เอาเรื่องนี้มาสอนให้อีกทีหนึ่ง เพราะผมมีสไลด์ประกอบ เรื่องนี้อยู่ ไม่ยากครับ วันเดียวก็รู้เรื่องแล้ว..แฮ่ หมดพื้นที่พอดี ติดตามต่อตอน 2 นะครับ จากคุณ : Killer Queen - [ 15 ก.ย. 47 03:37:33 ]

ความคิดเห็นที่ 8 @กล้อง@ เฮๆ ฮาๆ กับ Chromazone System ฉบับ Mr Auto....ตอนที่ 2 *** เอาละ เข้าเรื่องสักทีแล้ว ค่อย ๆ นึกตามผมไปนะครับ มีกระดาษกราฟมาเขียนตามผมด้วยก็ดี จะได้เข้าใจมากขึ้น *** การจะเล่น Chroma Zone ผมเน้นว่าควรจะใช้กล้องรุ่นเดียวกันหากมีกล้องหลายตัว เพราะกล้องแต่ละตัวจะมี คุณลักษณะไม่เหมือนกัน(ของผมใช้ OM4T 2 ตัว) ควรใช้ฟิล์มเพียงรุ่นเดียว(ผมใช้ Velvia 50 เมื่อเล่น Zone ) และล้างที่แล็บเดียวซึ่งคุณต้องมั่นใจว่าแล็บนั้นมีคุณภาพคงที่เสมอ ไม่ว่าคุณจะเอาฟิล์มไปล้างเมื่อไรก็ตาม เพื่อให้ คุณภาพงานออกมาคงที่มากที่สุด(ผมส่งล้างที่ IQ LAB มาตลอด...โปรโมทให้หน่อย จากคุณ : Killer Queen - [ 15 ก.ย. 47 03:39:10 ]

ความคิดเห็นที่ 9 *** รู้จักกับฟิล์มสไลด์ * * * *** ฟิล์มสไลด์จริง ๆ แล้วก็คือฟิล์มเนกาติฟที่ผ่านกระบวนการสร้างภาพ 2 ขั้นตอน ขั้นแรกจะสร้างภาพเนกาติฟ (ภาพขาวดำที่ตรงข้ามกับความเป็นจริง) ขั้นที่สองจะสร้างภาพโฟซิติฟ(ภาพสีที่ตรงกับความเป็นจริง) ภาพที่ได้จาก ขั้นแรกจะถูกล้างออก ที่เราเห็นกันคือ ภาพในขั้นที่สอง เป็นภาพสีที่เกิดจากสารสี เราถึงเรียกฟิล์มสไลด์ว่า Reversal Film ธรรมชาติของฟิล์มสไลด์ สีของภาพที่ปรากฏบนฟิล์มจะขึ้นกับองค์ประกอบหลายประการ คือ *** 1.คุณลักษณะของฟิล์มสไลด์เอง ได้แก่ความอิ่มตัวและความบริสุทธิ์ของสารสี ความเข้มสูงสุดและต่ำสุด ช่วง การรับแสง และความเปรียบต่าง *** 2.คุณภาพของกระบวนการล้างฟิล์ม ถ้ากระบวนการล้างถูกต้องตามกฏเกณฑ์ ได้แก่ เวลาล้าง อุณหภูมิ คุณภาพ ของน้ำยา เราจะได้คุณภาพสูงสุดจากฟิล์มนั้น ๆ แต่ถ้ากระบวนการล้างไม่ถูกต้อง เราอาจจะได้ภาพที่สีเพี้ยน ความไว แสงไม่ถูกต้อง ภาพมีความเปรียบต่างมากเกินไปหรือน้อยเกินไป ขึ้นกับว่าน้ำยามีปัญหาที่ตัวไหน ตามหลักการแล้ว จะต้องมีการตรวจสอบคุณภาพน้ำยาทุกอาทิตย์ และแล็บต้องมีปริมาณงานมากพอสมควรมิฉะนั้นปริมาณน้ำยาหมุนเวียน จะไม่มากพอทำให้เกิดปัญหาในการล้างได้ และแล็ปที่อยู่ในระดับมืออาชีพจะต้องเช็คคุณภาพน้ำยาทุกวัน ก็ลองไปดูนะ ครับว่าแล็บที่เราใช้บริการอยู่นั้นคุณภาพเป็นอย่างไรบ้าง *** 3.สีของวัตถุที่ถ่ายภาพ ถ้าวัตถุมีสีสดใส ภาพก็จะมีสีสดใสตามไปด้วย *** 4.สภาพแสง ความเปรียบต่างของแสง ความสว่าง และอุณหภูมิสีจะมีผลต่อสีของภาพทีไ่ด้ ถ้าแสงมีความ เปรียบต่างสูง สีของของภาพจะสดมากขึ้นด้วย ถ้าอุณหภูมิสีสูงกว่า 5,500 ํK จะได้ภาพติดสีน้ำเงิน ถ้าเป็น 5,500 ํK สีจะถูกต้อง และถ้าต่ำกว่า 5,500 ํK ภาพจะออกโทนสีเหลืองส้ม ถ้าเราถ่ายภาพด้วยแสง 5,500 ํK เราจะได้ภาพมีสี สดใสมากกว่า *** 5.คุณภาพของเลนส์ ถ้าเลนส์มีความสามารถในการส่องผ่านแสงได้ครบถ้วน มีแสงสะท้อนภายในต่ำมาก ๆ เราก็ จะได้ภาพมีสีสันดีกว่า ตรงนี้เป็นข้อได้เปรียบตลอดกาลของเลนส์เดี่ยวที่มีต่อเลนส์ซูมทั้ง 5 ข้อนี้จะมีผลต่อคุณภาพ ที่เราจะได้จากฟิล์มสไลด์ ซึ่งการจะถ่ายภาพให้สวย ทั้ง 5 ข้อนี้เราต้องควบคุมและคำนึงถึงเสมอ *** 6.ค่าการเปิดรับแสง เอาละครับ เรามาดูเรื่องที่ยากขึ้นกันสักหน่อย (คงต้องให้เขียนกราฟกันแล้วถึงจะเข้าใจ นะครับ ปกติถ้ามาสอนกันตัว ๆ ผมจะเขียนกราฟให้ดู ง่าย ๆ ไม่เกิน 5 นาทีก็เข้าใจแล้ว แต่ตอนนี้ทำได้แค่ตัวอักษร อดทนหน่อยนะครับ แล้วอนาคตจะสดใส) จากคุณ : Killer Queen - [ 15 ก.ย. 47 03:39:53 ]

ความคิดเห็นที่ 10 *** โดยปกติ เมื่อเราเปิดรับแสงมากขึ้น ภาพบนฟิล์มสไลด์ก็จะขาวขึ้น เมื่อเปิดรับแสงลดลง ภาพบนฟิล์มสไลด์ก็ จะเข้มขึ้น คุณสมบัติข้อนี้เราสามารถนำมาเขียนความสัมพันธ์ระหว่างปริมาณแสงกับความเข้มสีที่ได้ออกมาเป็นกราฟ Characteristic Curve ของฟิล์มแบบง่าย ๆ ได้ ผมจะสอนคุณเขียนกราฟฟิล์มแล้วนะ เอากระดาษกราฟมา 1 แผ่น หรือตีกราฟขึ้นมาเองก็ได้นะครับ *** เราจะให้แกน Y(แกนตั้ง) เป็นความเข้มของฟิล์ม(Density) เริ่มจาก 0 ไปจนถึง 4 โดยแบ่งความละเอียดขั้นละ 0.1 โดยปกติความเข้มของฟิล์มเราจะต้องใช้เครื่องวัดความดำ(Densitometer)ในการวัด เวลาผมทำการถ่ายภาพเพื่อ พล็อตกราฟ Characteristic Curve ผมจะถ่ายภาพวัตถุสีเทา ซึ่งโดยปกติจะใช้กระดาษสีเทา 18% เป็นภาพมาตรฐาน ในการทดสอบ เพราะสีเทาประกอบด้วยสีทุกสีอย่างละเท่า ๆ กันและสีเทาจะไม่ทำให้เครื่องวัดแสงวัดผิดพลาด ใช้แสง อุณหภูมิสี 5,500 ํK ซึ่งเป็นแสงที่เหมาะกับฟิล์มถ่ายภาพ(ใช้เครื่องวัดอุณหภูมิสีในการวัด ถ้าไม่มีใช้แสงกลางวันก็ได้ ไม่ใช่ก็ใกล้เคียงแหละ) *** แต่ที่ผมจะยกตัวอย่างมานี้เป็นการยกตัวอย่างมั่ว ๆ นะครับ ไม่ใช่ของจริง แต่หลักการเป็นของจริงแท้แน่นอน *** แกน X จะเป็นปริมาณแสงที่ตกลงฟิล์ม หรือค่าการเปิดรับแสง เราจะกำหนดให้เป็น Zone ของการวัดแสงนะ ครับ โดยเริ่มตั้งแต่ *** Zone -III หรือโซน -3 เทียบได้กับค่าการเปิดรับแสง อันเดอร์ -8 stop *** Zone -II หรือโซน -2 เทียบได้กับค่าการเปิดรับแสง อันเดอร์ -7 stop *** Zone -I หรือโซน -1 เทียบได้กับค่าการเปิดรับแสง อันเดอร์ -6 stop *** Zone -0 หรือโซน 0 เทียบได้กับค่าการเปิดรับแสง อันเดอร์ -5 stop *** Zone I หรือโซน 1 เทียบได้กับค่าการเปิดรับแสง อันเดอร์ -4 stop *** Zone II หรือโซน 2 เทียบได้กับค่าการเปิดรับแสง อันเดอร์ -3 stop *** Zone III หรือโซน 3 เทียบได้กับค่าการเปิดรับแสง อันเดอร์ -2 stop *** Zone IV หรือโซน 4 เทียบได้กับค่าการเปิดรับแสง อันเดอร์ -1 stop *** Zone V หรือโซน 5 เทียบได้กับค่าการเปิดรับแสง ปกติตามเครื่องวัดแสง *** Zone VI หรือโซน 6 เทียบได้กับค่าการเปิดรับแสง โอเวอร์ +1 stop *** Zone VII หรือโซน 7 เทียบได้กับค่าการเปิดรับแสง โอเวอร์ +2 stop *** Zone VIII หรือโซน 8 เทียบได้กับค่าการเปิดรับแสง โอเวอร์ +3 stop *** Zone IX หรือโซน 9 เทียบได้กับค่าการเปิดรับแสง โอเวอร์ +4 stop *** Zone X หรือโซน 10 เทียบได้กับค่าการเปิดรับแสง โอเวอร์ +5 stop *** Zone XI หรือโซน 11 เทียบได้กับค่าการเปิดรับแสง โอเวอร์ +6 stop จากคุณ : Killer Queen - [ 15 ก.ย. 47 03:40:34 ]

ความคิดเห็นที่ 11 โซนค่าการเปิดรับแสงได้มาจากการวัดแสงเฉพาะจุด ค่าที่ได้ถือเป็น Zone V ถ้าเราลดค่าการเปิดรับแสงลง 1 stop ก็จะเป็น Zone IV ลดค่าการเปิดรับแสงลง10 Stop ก็จะเป็น Zone-V เป็นต้น Zone ของค่าการเปิดรับแสงสามารถ มีได้ไม่จำกัด แกน X นี้เราจะแบ่งเป็นขั้น ๆ ละ 1 Zone *** ตอนนี้เราก็จะได้กราฟแกน Y และ แกน X ออกมา คราวนี้เราจะมาเขียนกราฟเล่น ๆ กันนะครับ *** เริ่มจากการพล็อตจุดก่อนนะครับ *** ที่ Zone -III ถึง Zone 0 ให้ค่าความเข้มเท่ากับ 3.8 เท่ากันหมด Zone I ให้ค่าความเข้มเท่ากับ 3.7 Zone II ให้ค่าความเข้มเท่ากับ 3.4 Zone VII ให้ค่าความเข้มเท่ากับ 0.35Zone VIII ให้ค่าความเข้มเท่ากับ 0.26 Zone IX ให้ค่าความเข้มเท่ากับ 0.23 Zone X ถึง XI ให้ค่าความเข้มเท่ากับ 0.2(ความดำที่ยกขึ้นมานี้มั่วเอานะครับ ของจริงจะแตกต่างจากนี้ แต่ก็ไม่มากเท่าไหร่) *** เมื่อพล็อตจุดแล้วให้เขียนเส้นลากผ่านจุดเหล่านี้ ช่วง Zone II ถึง VII ให้ขีดเส้นตรงได้เลย ส่วนช่วง 0 ถึง II และ VII ถึง X ให้ลากเส้นโค้งผ่านจุดที่กำหนด รูปของกราฟจะออกมาคล้ายตัว S กลับทาง เอาละครับ คราวนี้ผมจะอธิบายกราฟของ ฟิล์มนี้ว่ามีความหมายอะไร *** เราจะเห็นว่าที่โซนต่ำ ๆ ค่าความดำของฟิล์มจะสูงมาก และลดลงเรื่อย ๆ เมื่อค่าการเปิดรับแสงเพิ่มขึ้น ที่ Zone -III ถึง 0 ค่าความดำจะอยู่ที่ 3.8 เราเรียกความดำนี้ว่า ความดำสูงสุด หรือ D-Max เป็นส่วนของฟิล์มที่ไม่ได้รับแสง หรือรับแสงน้อยจนไม่สามารถเกิดภาพได้ ไม่ว่าจะเปลี่ยนค่าการเปิดรับแสงไปอย่างไรก็ไม่สามารถเกิดความแตกต่างของโทนสี ได้แล้ว ถ้าค่าแสงของวัตถุมาตกที่จุดนี้ก็เตรียมตัวเอาไว้เลยว่า ภาพส่วนนี้ออกมาดำปี๋ไม่มีอะไรปรากฏบนฟิล์มแน่นอน จากคุณ : Killer Queen - [ 15 ก.ย. 47 03:41:20 ]

ความคิดเห็นที่ 12 *** ที่ Zone I ค่าความดำจะลดลงเล็กน้อย อยู่ที่ 3.7 เราเรียกส่วนนี้ว่า Shoulder จะเห็นว่ากราฟมีความชันน้อยมาก และกราฟ เป็นเส้นโค้งจากชันน้อยไปชันมาก แต่ก็ยังเป็นส่วนที่ฟิล์มแทบจะไม่มีความเปรียบต่าง ทำให้แทบจะไม่เห็นรายละเอียดใด ๆ แต่มี ความแตกต่างของโทนสีให้เห็น ฟิล์ม เลนส์ และกระดาษอัดขยายภาพที่มีคุณภาพดีจะดูกันที่ตรง Zone I นี่แหละ เพราะถ้า อุปกรณ์มีคุณภาพดี ส่วน Zone I จะมีรายละเอียดซ่อนอยู่ ถ้ามองภาพด้วยไฟที่สว่างมากพอ รายละเอียดของส่วนนี้จะปรากฏ ออกมาได้ *** ที่ Zone II มีความดำ 3.4 เป็นจุดเริ่มของส่วนเส้นตรงของกราฟ ถือเป็นจุดแรกที่จะมีรายละเอียดชัดเจนปรากฏให้เห็น เป็น Shadow Detail ที่หวังผลได้ ถ้าเลนส์หรือฟิล์มใดที่มี Zone II ไม่ชัดเจนนี่ต้องพิจารณาว่าสมควรจะใช้ต่อไปหรือไม่ *** ที่ Zone II ถึง Zone VII เป็นส่วนที่เป็นเส้นตรง เรียกว่า Straight Line เป็นส่วนที่ฟิล์มสามารถแยกแยะรายละเอียด ได้ดี สังเกตุว่า ถ้าเป็น Shoulder ของฟิล์ม Zone O ไป I หรือ I ไป II แสงต่างกัน 1 stop แต่ความเข้มสีเปลี่ยนไปเพียง 0.1 เท่านั้น แต่ที่ Straigth Line แสงเปลี่ยนไป 1 stop แต่ความเข้มสีของฟิล์มเปลี่ยนไปถึง 0.6 เราจะเห็นได้ว่า เพียงเปลี่ยน ค่าการเปิดรับแสงไปเล็กน้อย โทนสีที่เกิดขึ้นจะแตกต่างกันอย่างชัดเจน ความชันของกราฟในส่วน Straight Line เราเรียกว่า Slope หรือ Gamma มีค่าเท่ากับ ความแตกต่างของความเข้มฟิล์ม/(จำนวน Zone x 0.3) ในตัวอย่างนี้จะมีค่าเท่ากับ (3.4-0.35)/(5x0.3) เท่ากับ 2.03 ฟิล์มสไลด์จะมีค่า Slope ประมาณ 1.8-2.0 แล้วแต่ชนิดของฟิล์ม *** ที่ Zone VII เป็น Hilight มีความดำ 0.35 หรือส่วนขาวที่ยังคงรายละเอียดครบถ้วน จากนั้นกราฟจะเริ่มเเป็นเส้นโค้งอีก ครั้ง เราเรียกส่วนโค้งนี้ว่า Toe เป็นส่วนที่มีความเปรียบต่างลดลง การแยกแยะโทนสีของภาพน้อยลงมาก *** ที่ Zone VIII เป็น Diffuse Hilight มีความดำ 0.26 หรือส่วนขาวที่สุดที่ยังคงรายละเอียดเอาไว้ได้ *** ที่ Zone IX เราเรียกว่าเป็น Specular Hilight มีความดำ 0.2 ไม่มีรายละเอียด มีแต่โทนสีเท่านั้น *** ที่ Zone X เราเรียกว่าเป็น Minimum Density หรือ D-Min หรือส่วนใสที่สุดของฟิล์ม เป็นส่วนที่ได้รับแสงเต็มที่ แม้ว่า ฟิล์มจะได้รับแสงมากกว่านี้ก็ไม่มีทางขาวขึ้นอีกแล้ว *** กราฟของฟิล์มสไลด์จะสามารถเปลี่ยนไปมาได้มากมาย ไม่ขอสาธยายมากนะครับ เพราะเท่านี้ก็คงจะปวดหัวกันมากพอดูแล้ว กราฟ Characteristic Curve ตัวนี้จะบอกว่าฟิล์มเป็นเช่นไร เช่น ฟิล์มมี D-Max สูง 3.8 แต่มีค่า Gamma เพียง 1.8 แสดงว่าเป็นฟิล์มที่มีสีจัด แต่ความเปรียบต่างต่ำ มีช่วงการเก็บรายละเอียดกว้าง เหมาะกับการถ่ายภาพความเปรียบต่างสูง หรือฟิล์มมี D-Max เพียง 3.4 แต่มีค่า Gamma 2.0 แสดงว่าฟิล์มมีสีไม่จัดจ้านนัก แต่มีความเปรียบต่างสูง เหมาะกับการ ถ่ายภาพความเปรียบต่างต่ำที่ไม่ต้องการสีสันจัดจ้านมากนัก *** D-Max เป็นตัวที่บอกถึงความอิ่มตัวของสี Gamma เป็นตัวที่บอกถึงความเปรียบต่างของภาพ D-Min แสดงถึงความ ขาวใสของฟิล์ม ถ้าเราลากเส้นจาก 0.1+D-min จนถึง 0.9 ของ D-Max จะได้ช่วงการรับแสงของฟิล์ม และถ้าแกน X เปลี่ยน ค่าเป็น Log H สามารถจะหาค่า ISO ของฟิล์มได้ด้วย ฟิล์มที่ตัวผมเองชอบคือ มี D-Min ต่ำ ๆ เพราะสีขาวจะสะอาดใสและ มีรายละเอียด มี D-Max สูง ภาพจะดำ สีสันเข้มข้น และให้ภาพทีปรากฏต่อสายตามีความเปรียบต่างสูง มี Gamma ปานกลาง ภาพจะมีการไล่โทนนุ่มนวลแต่แยกแยะรายละเอียดได้ดี ความเปรียบต่างไม่สูงมากนัก แต่หายากหน่อยนะครับ ฟิล์มแบบนี้ *** ถ้าอยากจะรู้อะไรมากขึ้นก็ลองพล็อตกราฟดูเล่น ๆ ก็ได้ เช่น ให้ D-Max มีค่าต่ำลง แต่ Gamma สูงขึ้น ให้ D-Max สูงขึ้นแต่ค่า Gamma ต่ำลง อะไรแบบนี้ ปวดหัวดีนะครับ แก้ไขเมื่อ 15 ก.ย. 47 03:42:20 จากคุณ : Killer Queen - [ 15 ก.ย. 47 03:41:58 ]

ความคิดเห็นที่ 13 @กล้อง@ เฮๆ ฮาๆ กับ Chromazone System ฉบับ Mr Auto....ตอนที่ 3 *** ปกติเวลาที่ผมทดสอบฟิล์ม ผมจะต้องทำการเขียนกราฟตัวนี้ขึ้นมาด้วย จะสามารถวิเคราะห์คุณภาพของฟิล์มออกมา ได้โดยไม่ต้องออกไปถ่ายภาพเลยแม้แต่ม้วนเดียว จะรู้ช่วงการรับแสง ความสามารถในการเก็บรายละเอียด สมดุลย์สี ฯลฯ แต่ในทางปฎิบัติสำหรับมือสมัครเล่นคงจะมาพล็อตกราฟแบบนี้ไม่ได้ แต่จำเป็นจะต้องรู้เอาไว้เพื่อใช้งานในขั้นตอนต่อไป นะครับ *** ฟิล์มแต่ละตัวจะให้กราฟที่แตกต่างกัน บางตัวที่ Zone I มีค่าความเข้มสูง แต่มี Slope น้อยมากก็แสดงว่ามีแต่ความ เข้มสี แต่แยกโทนสีไม่ได้ บางตัวมีค่าความเข้มต่ำ Slope น้อย ก็แสดงว่า นอกจากจะสีจืดแล้ว ยังแยกโทนสีไม่ดีอีก แบบนี้ ไม่น่าคบค้าสมาคมด้วย บางตัวมีความเข้มสูง และ Slope มาก ก็แสดงว่านอกจากจะมีสีเข้มแล้ว ยังแยกรายโทนสีได้ดีอีกด้วย เป็นต้น การพล็อตกราฟนี้ถ้าจะให้ดีต้องทำละเอียดทีละ 1/2 stop จะได้ความแม่นยำในการเก็บรายละเอียดของ Hilight และ Shadow มากขึ้นด้วย *** ในบางครั้ง กราฟที่ออกมาจะดูว่าฟิล์มมีคุณภาพดี แต่ถ้าเจอเลนส์แย่ ๆ ก็อาจจะทำให้กราฟนี้เปลี่ยนไปได้ เช่น เลนส์มี แสงแฟลร์มาก จะทำให้ช่วง Zone 0 , I และ II มีค่าความเข้มลดลง และ Slope ส่วนของ Shoulder มีความชันลดลง แบบนี้จะทำให้ภาพไม่ดำ สีสันหดหาย และไม่มีรายละเอียดปรากฏ *** เอาละนะครับ ที่ผ่านมานี้คือ โทนสีของฟิล์มกับปริมาณแสงที่ตกลงบนฟิล์ม ถ้าสามารถทำความเข้าใจได้ก็แสดงว่า ผ่าน ด่านอรหันต์ด่านแรกมาได้แล้ว ยังมีอีกหลายด่านครับผม *** ตอนนี้เราทำความรู้จักกับฟิล์มสไลด์เบื้องต้นกันไปแล้วนะครับ ต่อมาก็คือ เราจะต้องกำหนดฟิล์มสไลด์ที่เราจะนำมา ใช้งาน เพื่อจะได้ทำการทดสอบหาค่าความไวแสงที่เหมาะสมหรือ Exposure Index และทดสอบการผลิตสีของฟิล์มที่เรา ใช้อยู่ จากคุณ : Killer Queen - [ 15 ก.ย. 47 03:43:47 ]

ความคิดเห็นที่ 14 *** การทดสอบหาค่าความไวแสงของฟิล์ม * * * *** เราต้องกำหนดฟิล์มที่เราจะใช้งานว่าต้องการฟิล์มตัวไหน จะล้างที่แล็บใด จากนั้นจึงทำการทดสอบหาความไวแสงฟิล์ม ที่เหมาะสมหรือ Exposure Index ให้ได้ออกมาก่อน การกำหนดความไวแสงฟิล์มสำหรับเรื่อง Zone นี้จะเป็นการกำหนด โทนสีของ Zone V ซึ่งฟิล์มแต่ละตัวจะมีโทนสีที่แตกต่างกันออกไป เราต้องกำหนด Zone V ขึ้นมาก่อน จากนั้นจึงจะมา ทดสอบโทนสีของ Zone อื่น ๆ ขั้นตอนการทดสอบส่วนตัวผมเองจะใช้ Color Chart ของ Jobo (colour chart มาตรฐาน สีทีใช้จะเป็น Organic Dye แบบเดียวกับที่ใช้ในฟิล์มถ่ายภาพ ซึ่งจะไม่เกิดการเพียนของสีหรือ Metamerism ส่วน Color Chart ที่ได้มาจากการพิมพ์ ไม่ถือเป็น Color Chart มาตรฐานนะครับ แต่จะนำมาใช้ก็เป็นเรื่องที่ทำได้ ห้ามนำมาใช้เป็น มาตรฐานเท่านั้น) แต่สำหรับผู้ที่ไม่มี แนะนำให้ใช้วิธีการถ่ายภาพบุคคลตามแสง โดยให้มีโทนสีเฉลี่ย ๆ ไม่มีส่วนสว่างหรือมืด หรือสีใดสีหนึ่งในภาพมากเกินไป ใช้ระบบถ่ายภาพแบบ Manual และระบบวัดแสงแบบเฉลี่ยหนักกลางภาพหรือ Spot วัด ที่หน้าคนก็ได้ ทุก ๆ ภาพให้ถ่ายภาพคร่อม +-1.3 stop โดยแบ่งขั้นละ 0.7 stop ควรถ่ายภาพเอาไว้หลาย ๆ แบบจะได้เป็น การเฉลี่ยความผิดพลาดออกไป จากนั้นส่งฟิล์มล้างและนำฟิล์มที่ได้มาพิจารณาภาพว่าตรงไหนดีที่สุด *** การพิจารณาภาพที่เหมาะสม * * * ผมจะดูจากโทนสีโดยรวมของภาพ ไม่ได้เอาภาพที่สีสดที่สุด แต่ดูภาพที่มีสีสันอิ่มตัวและมี รายละเอียดส่วนมืดส่วนสว่างมากที่สุด ดูว่าภาพที่ดีที่สุดมักจะอยู่ในช่วงค่าแสงใด สมมติว่าผมทดสอบฟิล์ม Velvia 50 ภาพที่ถ่ายมาพอดีจะเข้มไปนิดหน่อย ส่วนภาพที่ถ่ายมาโอเวอร์ 2/3 stop จะสว่างไปนิดหน่อย ผมก็เฉลี่ยให้มาอยู่ที่ +1/3 stop แสดงว่าความไวแสงที่ผมน่าจะตั้งก็คือ 50-1/3 stop ก็คือที่ EI 40 เป็นต้น *** การทดสอบการถ่ายทอดโทนสีของฟิล์ม *** จริง ๆ ถ้าใครต้องการจะใช้ระบบ Chromazone น่าจะซื้อ Color Chart เก็บเอาไว้นะครับ แต่ก่อนผมซื้อมาราคา 700 บาท ไม่แพงเลยสำหรับประโยชน์ที่จะได้รับ อย่างเวลาเราอยากจะรู้คุณภาพของแล็บที่เราใช้งานว่าเป็นอย่างไร เราก็ลองถ่ายภาพ Color Chart ติดไปแล้วส่งล้าง จะรู้คุณภาพในเบื้องต้นว่าคุณภาพของแล็บที่เราใช้งานนี้เป็นอย่างไรบ้าง จากคุณ : Killer Queen - [ 15 ก.ย. 47 03:44:53 ]

ความคิดเห็นที่ 15 *** หลังจากที่เราทราบแล้วว่าเราต้องการตั้งความไวแสงฟิล์มที่ EI เท่าไหร่ จากนั้นเราจะมาทดสอบการผลิตโทนสีของฟิล์ม ซึ่งถ้าเรามีเครื่อง Densitometer เราก็จะสามารถพล็อตกราฟ Characteristic Curve ของฟิล์มออกมาได้ แต่เนื่องจากเรา ไม่มี จึงต้องใช้การจำโทนสีเอาแทนการจำค่าความเข้ม ซึ่งก็ดีเหมือนกัน เพราะจะทำให้เราเห็นภาพที่จะปรากฏบนฟิล์มสไลด์จริง ๆ ไม่ใช่ตัวเลข (แต่ผมเองชอบตัวเลข เพราะมันง่ายกว่า) เอาละครับ เรามาทดสอบการผลิตโทนสีของฟิล์มสไลด์กัน *** ขั้นตอนการทดสอบผมจะให้ไปถ่ายภาพวัตถุขาวและวัตถุดำไล่ค่าการเปิดรับแสงไป วัตถุขาวที่ใช้ในการทดสอบจะต้องเป็น วัตถุระนาบเดียว ผิวด้าน เช่น กำแพง พื้นผิวมีรายละเอียด ให้แสงตกจากทางด้านหน้าหรือข้างไม่มากนักก็ได้ เพื่อไม่ให้เกิดความ เปรียบต่างมากเกินไปบนภาพ จากนั้นถ่ายภาพด้วยระบบปรับตั้งเอง ปรับความชัดให้ภาพชัดที่สุด ใช้ขาตั้งกล้อง ให้ไล่ค่าการ เปิดรับแสงแสงจากพอดีตามเครื่องวัดแสงไปยังโอเวอร์ 5 stop โดยแบ่งขั้นละ 1/2 stop ใช้ระบบวัดแสง Spot นะครับอย่า ลืม ข้อควรระวังก็คือ ต้องไม่ให้ความเร็วชัตเตอร์ต่ำกว่า 1 วินาที มิฉะนั้นจะเกิด Reciprocity Failure ทำให้ค่าความไวแสง ฟิล์มตกลงได้ *** จากนั้นถ่ายภาพวัตถุสีดำหรือสีเข้มมาก ๆ ก็ได้ ผมชอบถ่ายภาพผนังไม้ บนพื้นผิวต้องมีรายละเอียด ผิวด้าน ให้แสงตก ทางด้านหน้าเพื่อไม่ให้เกิดความเปรียบต่างมากเกินไปนัก ใช้ระบบวัดแสง Spot วัดแสง เปิดรับแสงตั้งแต่พอดีไล่ไปจนอันเดอร์ 6 stop โดยแบ่งขั้นละ 1/2 stop ข้อควรระวังคือมิให้ความเร็วชัตเตอร์ต่ำกว่า 1 วินาทีเช่นกัน *** ตอนผมไปถ่ายภาพครั้งแรกกับพวกเราที่เมืองโบราณ ผมก็ไปถ่ายภาพผนังขาวผนังดำเพื่อทดสอบเรื่องนี้แหละ โดนคน มองแปลก ๆ นะ เวลาไปทดสอบก็อย่าลืมพาเพื่อน ๆ ไปด้วย จะได้มีคนบ้าหลาย ๆ คน ไม่อย่างนั้นคนจะมองว่าเราบ้าคนเดียว ได้นะครับ *** เมื่อทดสอบกับวัตถุขาวดำเรียบร้อย ลองไปถ่ายภาพอื่น ๆ ก็ได้ ผมเองจะถ่ายภาพ Color Chart โดยวัดแสงที่สีต่าง ๆ ของ Color Chart แล้วถ่ายภาพจาก -5 stop ไปยัง +5 stop เพื่อดูการผลิตสีของโทนสีต่าง ๆ ด้วย แต่ถ้าไม่มี Color Chart ก็จะไปถ่ายภาพอื่น ๆ ทั่วไป โดยมักจะถ่ายภาพที่มีความเปรียบต่างสูง อย่างเช่น ถ่ายภาพจากภายในห้องออกไปภายนอก แล้ว สเก็ตภาพที่ถ่ายคร่าว ๆ และจดค่าแสงที่ส่วนต่าง ๆ ของภาพว่ามีค่าเท่าไหร่ และเปิดรับแสงเท่าไหร่ ผมจะตั้งขนาดรูรับแสงคงที่ แต่เปลี่ยนความเร็วชัตเตอร์ในการไล่ค่าแสง ลองถ่ายภาพคร่อม +-1 stop เพราะการกำหนดค่าการเปิดรับแสงในช่วงแรก ๆ อาจ จะมีการผิดพลาดได้ เพราะยังไม่ชินนัก เมื่อฟิล์มหมดม้วนก็ส่งล้าง จากคุณ : Killer Queen - [ 15 ก.ย. 47 03:45:42 ]

ความคิดเห็นที่ 16 *** วิเคราะห์การผลิตโทนสีของภาพ *** เราลองมาดูว่า ฟิล์มให้โทนสีออกมาอย่างไรที่ค่าการเปิดรับแสงต่าง ๆ กัน เมื่อถึงตอนนี้ เราจะไม่เรียกว่าภาพอันเดอร์ 1 stop โอเวอร์ 3 stop อะไรอีกแล้ว แต่เราจะเรียกเป็น Zone แทน เพราะเป็นการวัดแสงและโทนสีเฉพาะตำแหน่งของภาพ ถ้าเราไปเรียกว่า โอเวอร์อันเดอร์เดี๋ยวเพื่อนที่ถ่ายภาพอยู่ข้าง ๆ เราจะเข้าใจผิดและฟังเรารู้เรื่อง แต่ถ้าเราพูดว่า Zone เขาจะฟังแล้วงง ดูว่าเราเป็น โปรน่าศรัทธาดีนะเนี้ย *** เรามาดูว่า ภาพแต่ละค่าการเปิดรับแสงเราเรียกว่า Zone อะไรบ้าง ภาพอันเดอร์ 5 stop เราจะเรียกว่า Zone O ภาพอันเดอร์ 4 Stop เราจะเรียกว่า Zone I ภาพอันเดอร์ 3 Stop เราจะเรียกว่า Zone II ภาพอันเดอร์ 2 Stop เราจะเรียกว่า Zone III ภาพอันเดอร์ 1 Stop เราจะเรียกว่า Zone IV ภาพอันเดอร์ 0 Stop เราจะเรียกว่า Zone V ภาพโอเวอร์ 1 Stop เราจะเรียกว่า Zone VI ภาพโอเวอร์ 2 Stop เราจะเรียกว่า Zone VII ภาพโอเวอร์ 3 Stop เราจะเรียกว่า Zone VIII ภาพโอเวอร์ 4 Stop เราจะเรียกว่า Zone IX ภาพโอเวอร์ 5 Stop เราจะเรียกว่า Zone X จากคุณ : Killer Queen - [ 15 ก.ย. 47 03:46:28 ]

ความคิดเห็นที่ 17 *** Zone สำหรับการวัดแสงจะมีได้ไม่จำกัด แต่ Zone ของโทนสีบนภาพอัดขยายจะมีเพียง 10 Zone เท่านั้น แต่ในส่วนสไลด์นี้ เราตัดเรื่องของการล้างฟิล์มและการอัดขยายภาพออกไป ดังนั้นเราจะไม่สนใจ Zone ของภาพอัดขยาย ไว้ค่อยว่ากันต่อในเรื่อง ของขาวดำและเนกาติฟสี *** ตอนนี้เราลองดูสีของแต่ละ Zone ว่าเป็นอย่างไรบ้าง และต้องจำโทนสีที่เกิดขึ้นนี้ให้ได้ สำคัญมากเวลาที่เราจะถ่ายภาพโดยใช้ Zone เราต้องนึกโทนสีให้ออกว่าที่แต่ละ Zone ให้สีเป็นอย่างไรนะครับ *** เริ่มจากภาพของวัตถุขาวก่อน *** ถ้าเราให้สีขาวอยู่ที่ Zone V (วัดแสงพอดี)ภาพจะออกเป็นสีเทากลาง จำสีเอาไว้นะครับ เพราะถ้าคุณให้วัตถุตรงไหนในภาพเป็น Zone V ภาพก็จะออกมามีโทนสีระดับนี้เหมือนกัน โทนสีที่ Zone V จะเท่าหรือไม่เท่ากับโทนสีของสีเทา 18% ก็ได้ เพราะฟิล์มแต่ละ ตัวไม่ได้ผลิตสีให้ Zone V เป็นสีเทา 18% อยู่แล้ว *** พอเราให้วัตถุขาวอยู่ที่ Zone VI(โอเวอร๋ 1 stop)ภาพจะขาวขึ้น แต่ก็ยังเป็นสีเทาอยู่ *** พอที่ Zone VII วัตถุจะขาวขึ้นอีก สังเกตุโทนสีและรายละเอียดว่าเป็นอย่างไรบ้าง ยังอยู่ครบถ้วนหรือเปล่า ถ้าขาวและราย ละเอียดอยู่ครบ แสดงว่าเป็นสีขาวที่หวังผลได้ โดยปกติที่ Zone VII จะเป็น Hilight ของภาพ *** ที่ Zone VIII วัตถุจะขาวกว่าที่ Zone VII อีกไม่มากนัก ลองสังเกตุที่รายละเอียด ถ้ารายละเอียดยังครบแสดงว่า ฟิล์มเรา เก็บภาพได้ถึง Zone VIII แต่ถ้ารายละเอียดเริ่มหายไป แสดงว่าที่ Zone VIII เราได้แต่โทนสี แต่ไม่มีรายละเอียดแล้ว หรืออาจจะ มีนิดหน่อย หวังผลไม่ได้ *** ที่ Zone IX ดูว่าฟิล์มยังมีโทนสีหรือรายละเอียดอยู่หรือเปล่า โดยปกติที่ Zone IX ของฟิล์มสไลด์จะไม่มีรายละเอียดใด ๆ อยู่แล้ว *** ที่ Zone X ถ้าสีของฟิล์มเท่ากับ Zone IX แสดงว่าที่ Zone IX เป็น D-Min ไปเรียบร้อยแล้ว แต่ถ้าที่ Zone X ขาวกว่า IX เล็กน้อยแสดงว่าที่ Zone IX มีแต่โทนสี ไม่มีรายละเอียด เราถือว่า Zone IX เป็น Specular Hilight *** คราวนี้เรามาดูโทนสีของวัตถุดำกันบ้าง เริ่มจากการที่เราให้วัตถุดำอยู่ที่ Zone V เราจะได้ภาพเป็นสีเทากลางในระดับใกล้เคียงกันภาพวัตถุขาว -ที่ Zone IV(อันเดอร์ 1 stop) วัตถุจะมีสีเข้มขึ้น เป็นเทาเข้มนิดหน่อย -ที่ Zone III(อันเดอร์ 2 stop) จะเริ่มเป็นสีเทาเข้ม รายละเอียดยังคงปรากฏชัดเจนมาก -ที่ Zone II(อันเดอร์ 3 stop) ภาพจะออกเป็นดำ สังเกตุดูว่ารายละเอียดยังคงเห็นได้ชัดเจนหรือไม่ -ที่ Zone I(อันเดอร์ 4 stop) ภาพจะดำมาก บางครั้งอาจจะดำสนิท ให้สังเกตุดูว่าฟิล์มมีรายละเอียดหรือไม่ ต้องดูดี ๆ เพราะที่โซน นี้ภาพจะดำมาก -ที่ Zone O ภาพจะดำสนิท ถือเป็น D-Max ของฟิล์ม *** อย่าลืมจำโทนสีของภาพและรายละเอียดของภาพที่เกิดขึ้นกับทุก ๆ Zone รวมไปถึงความแตกต่างของโทนสีที่เกิดขึ้นด้วย ฟิล์มแต่ละตัวจะให้โทนสีที่ไม่เท่ากัน บางตัวยังให้รายละเอียดที่ชัดเจนกับ Zone VIIIในขณะที่ฟิล์มบางรุ่นให้ Zone VII ขาวจัดมี รายละเอียด พอ Zone VIII ก็ไม่เหลืออะไรแล้ว ในทำนองเดียวกับ Zone II ซึ่งฟิล์มบางตัวยังคงให้รายละเอียดที่ชัดเจนมาก ที่ Zone I ถึงจะดำจัดจนเหลือรายละเอียดเพียงเล็กน้อย แต่สำหรับฟิล์มบางตัวจะให้ Zone II ที่ดำและมีรายละเอียดชัดเจน แต่ Zone I มีแต่โทนสี ไม่มีรายละเอียดใด ๆ แล้ว ซึ่งตรงนี้ขึ้นกับคุณสมบัติของฟิล์มแต่ละตัวซึ่งจะไม่เท่ากันและแล็บที่ทำการ ล้างฟิล์มด้วย อย่างของผมเองทดสอบออกมาได้ว่า ส่วนขาวที่สุดและมีรายละเอียดครบอยู่ที่ Zone VII แต่ถ้าจำเป็นก็ยังสามารถ ให้ส่วนขาวขึ้นไปอยู่ที่ Zone VIII ได้โดยยังคงมีรายละเอียดในภาพนิดหน่อย ส่วน Zone II ให้สีดำที่ดำมาก แต่ยังมีรายละเอียด ครบ แม้ Zone I ก็ยังพอจะเห็นได้บ้างลาง ๆ หมายถึงว่า ปกติผมจะมีช่วง Zone ใช้งานจาก Zone II ถึง Zone VII แต่ถ้าจำ เป็นก็ยังยืดไปที่ Zone I ถึง Zone VIII ได้ *** ข้อมูลที่ได้จะถือเป็นข้อมูลส่วนตัว ไม่สามารถนำไปใช้ร่วมกับผู้อื่นได้เลย อย่าลืมจำโทนสีและรายละเอียดของภาพในแต่ละ Zone ให้ได้ด้วยละ จากนั้นเราจะเข้าขั้นตอนการวัดแสงสำหรับระบบ Zone กัน นี่มาได้ครึ่งทางแล้วนะครับ จากคุณ : Killer Queen - [ 15 ก.ย. 47 03:47:32 ]

ความคิดเห็นที่ 18 @กล้อง@ เฮๆ ฮาๆ กับ Chromazone System ฉบับ Mr Auto....ตอนที่ 4 *** ฝึกการวัดแสงสำหรับ Chroma Zone System * * * *** โดยปกติ ฟิล์มจะมีช่วงการรับแสงจำกัด ช่วงการรับแสงก็คือ ช่วงของ Zone ที่ให้ภาพมีรายละเอียดชัดเจน เช่น เราทดสอบฟิล์มได้ว่า ส่วนขาวที่สุดของฟิล์มที่ยังคงรายละเอียดครบถ้วนคือ Zone VII ส่วนดำที่สุดที่ยังคงรายละเอียด ครบคือ Zone II แสดงว่าฟิล์มมีช่วงการรับแสง 5 stop หรือ -2 ถึง +3 stop แต่ภาพที่เราถ่ายอาจจะมีช่วงความสว่าง มากกว่า เช่น ที่สายน้ำกับเงามืดห่างกัน 8 stop ถ้าเป็นฟิล์มสไลด์ที่มีช่วงการรับแสงจำกัดเราก็ย่อมจะต้องเสียรายละเอียด ในภาพไปแน่ แต่ถ้าเป็นฟิล์มขาวดำที่เราสามารถเล่น Zone System เต็มระบบได้ เราสามารถยืดช่วงการรับแสงของฟิล์ม ออกไปเป็น 8 stop ได้โดยการเปลี่ยนเวลาล้างฟิล์ม และให้ภาพที่ได้นั้นสามารถอัดขยายลงบนกระดาษเกรด 2 ได้พอดี หรือในสภาพแสงที่ความเปรียบต่างต่ำ ถ้าล้างฟิล์มปกติจะทำให้ภาพมีความเปรียบต่างต่ำต้องใช้กระดาษเกรดสูงในการ อัดขยายภาพ เราก็สามารถล้างฟิล์มเพิ่มความเปรียบต่างของภาพได้ สามารถเปลี่ยน Zone เช่น เปิดรับแสงให้ส่วนสว่าง ของภาพอยู่ที่ Zone X แต่ล้างให้ Zone X กลายมาเป็น Zone VIII และอัดขยายภาพลงบนกระดาษเกรด 2 ได้พอดี เป็นต้น *** แต่เราไม่สามารถทำการปรับเวลาล้างฟิล์มเพื่อยืดหดช่วงการรับแสงของฟิล์มสไลด์หรือเนกาติฟได้ เพราะจะทำให้ สมดุลย์สีของฟิล์มเปลี่ยนไปโดยไม่สามารถแก้ไขได้ รวมไปถึงความเสียหายจะเกิดขึ้นกับส่วนขาวและส่วนดำในภาพด้วย *** การใช้ระบบ Chroma Zone กับฟิล์มสไลด์สี ไม่ได้เพื่อให้ฟิล์มมีช่วงการรับแสงกว้างขึ้น แต่เพื่อให้เราทราบว่า ภาพที่เราจะถ่ายนั้นมีช่วงความสว่างเท่าใด โดยการใช้ระบบวัดแสงเฉพาะจุดวัดความสว่างที่ส่วนต่าง ๆ ของภาพ เรา จะวัดส่วนสว่างที่สุดของภาพซึ่งจะต้องเป็นส่วนขาวที่มีรายละเอียดและไม่ใช้แหล่งกำเนิดแสงว่าได้ค่าแสงเท่าใด จากนั้นเราจะวัดแสงไล่ระดับมาเรื่อย ๆ จนไปถึงที่เป็นส่วนมืดของภาพ ซึ่งจุดนั้นต้องไม่ใช่ส่วนที่ดำสนิทจนตาเรามองไม่เห็น ให้จำค่าแสงเอาไว้ว่าแต่ละตำแหน่งมีค่าเท่าใด *** จากนั้นเราจะมาดูว่า เราต้องการให้จุดที่เราวัดแสงเกิดขึ้นเป็นโทนสีใดบนฟิล์มถ่ายภาพ โดยนึกถึงภาพที่เราทดสอบเอาไว้ ทำให้เราสามารถกำหนดโทนสีของภาพและรู้ว่าภาพจะออกมาเป็นเช่นไรตั้งแต่ขณะที่เราวัดแสง เราสามารถลดแสงหรือเพิ่ม แสงเพื่อเพิ่มลดสีหรือเพิ่มลดรายละเอียดของภาพได้โดยที่เรารู้ตัวว่ากำลังทำอะไรอยู่ แต่ถ้าเราไม่ได้ใช้ระบบ Zone เราก็ จะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันภาพ การใช้ Zone ก็คล้าย ๆ กับการเอาภาพที่เราจะถ่ายมาออกทีวีก่อน ปรับไปปรับมาจนเราพอ ใจแล้วจึงค่อยถ่ายภาพตามค่าที่ปรับนั้น โอกาสที่จะวัดแสงผิดพลาดจึงมีน้อยมาก ถ้าวัดแสงแล้วออกมาภาพจะไม่ดี เรา สามารถปรับเปลี่ยนแสงหรือมุมของภาพเพื่อให้ภาพออกมาดีขึ้นได้ เอาละครับ ก่อนที่ผมจะเข้าเรื่องของวิธีการวัดแสง ลองมาดูวิธีการนับ Zone ก่อนจะดีกว่า จากคุณ : Killer Queen - [ 15 ก.ย. 47 03:49:17 ]

ความคิดเห็นที่ 19 *** หลักการเบื้องต้นของการนับ Zone คือ เมื่อเราวัดแสงไปที่จุดไหน หากเปิดรับแสงตามค่าที่ได้จะทำให้วัตถุนั้นกลาย เป็น Zone V เช่น สมมติผมวัดแสงที่สายน้ำตกซึ่งมีแสงอาทิตย์ส่องลงมา วัดได้ที่ 1/60s f/8 ถ้าผมเปิดรับแสงตามนี้ ผมจะได้สายน้ำที่เป็น Zone V คือเป็นสีเทา ถ้าพูดภาษาชาวบ้านก็คือ ภาพอันเดอร์ แต่ถ้าผมเปลี่ยนค่าการรับแสงไปที่ 1/15s f/8 (จะไม่เปลียนขนาดรูรับแสง เปลี่ยนความเร็วชัตเตอร์แทน) สายน้ำจะโอเวอร์ขึ้นไป 2 stop นั้นคือ ไปอยู่ที่ Zone VII ในภาษาพูดเขาจะไม่เรียกว่าโอเวอร์ 2 stop จะบอกว่า ให้สายน้ำโดนแสงอยู่ที่ Zone VII...ฟังดูดีมั้ย แต่ถ้า ผมเปลี่ยนค่าการรับแสงเป็น 1/250s f/8 สายน้ำก็จะอันเดอร์ไป 2 stop ก็จะเท่ากับว่า ให้สายน้ำไปอยู่ที่ Zone III แต่ในการถ่ายภาพเราไม่ได้ถ่ายภาพโทนเดียวเหมือน Grey Card แต่เราถ่ายภาพที่มีส่วนมืดสว่าง มีโทนสีแตกต่างกันมาก มาย เราจะนับ Zone กันอย่างไร *** สมมติว่า ผมกำลังจะถ่ายภาพน้ำตกเหวสุวัติซึ่งตกมาจากหน้าผา แสงมาจากด้านข้าง 45 องศา สายน้ำมีส่วนที่โดน แสงและไม่โดนแสง มีแอ่งน้ำด่านล่าง และมีหินก้อนใหญ่สีดำอยู่ด้วย ฉากหน้าเป็นต้นไม้ มีใบไม้ย้อนแสงและใบไม้ที่ไม่ ได้ย้อนแสง และท้องฟ้ามีเมฆสว่างจ้า ลองวาดภาพประกอบเล่น ๆ ดูก็ได้นะครับ ถึงตอนนี้จุดที่เราจะต้องวัดแสงมี ค่อนข้างมากไม่น้อยกว่า 5 จุด เราต้องจำค่าแสงในส่วนต่าง ๆ ให้ได้ กล้องที่ใช้อยู่จะมีส่วนช่วยให้การทำงานสะดวก ขึ้น กล้องที่แสดงช่วงวัดแสงกว้างจะได้เปรียบ ซึ่ง OM4T ที่ผมใช้อยู่จะมีระบบจำค่าแสงที่จุดต่าง ๆ ให้ถึง 8 จุด ช่วงการแสดงผลกว้างถึง +-5 stop คือ ตั้งแต่ Zone O ถึง Zone X และแสดงค่าแสงเอาไว้อย่างชัดเจน ทำให้ผม ไม่ต้องมาจำค่าแสงที่ส่วนต่าง ๆ จำเพียงแต่ว่า ค่าแสงที่แสดงออกมานี้เป็นของจุดไหนเท่านั้น และยังสามารถย้ายจุด เหล่านี้ไปพร้อม ๆ กันในการกำหนด Zone อีกด้วย แหมมม..กล้องมันดีจริง ๆ นะเจ้า OM4T เนี้ย ไปไหนก็มีแต่คนอิจฉา ฮิๆๆๆ ... จากคุณ : Killer Queen - [ 15 ก.ย. 47 03:49:55 ]

ความคิดเห็นที่ 20 *** ผมตั้งขนาดรูรับแสงเอาไว้ที่ f/11 วัดแสงไล่มาจากส่วนที่สว่างที่สุดและเห็นรายละเอียดในภาพ เริ่มจากที่ท้องฟ้า ที่มีเมฆก่อน ได้ความเร็วชัตเตอร์ 1/1,000 วินาที สายน้ำที่โดนแสง 1/250s สายน้ำที่ไม่โดนแสง 1/125s แอ่งน้ำ 1/60s ใบไม้ที่โดนแสง 1/60s ใบไม้ส่วนไม่โดนแสง 1/30s ลำต้นของต้นไม้ที่เป็นฉากหน้า 1/8s หินด้านล่างที่ไม่โดนแสง 1/4s เราจะได้ว่าภาพนี้มีช่วงความสว่างของวัตถุ 1/1,000s ถึง 1/4s คือ 8 stop *** สมมุติ ผมจะต้องการให้สายน้ำส่วนที่โดนแสงไปอยู่ที่ Zone VII ผมจะเปิดรับแสงที่ 1/60s สายน้ำส่วนที่โดนแสงก็ จะโอเวอร์ไป 2 stop คือกลายเป็น Zone VII ท้องฟ้าจะเป็น Zone IX (โอเวอร์ 4 stop) สายน้ำไม่โดนแสงเป็น Zone VI ใบไม้ที่โดนแสงเป็น Zone V ใบไม้ไม่โดนแสงเป็น Zone IV ลำต้นของต้นไม้เป็น Zone II และหินเป็น Zone I ** แต่ถ้าผมเปลี่ยนใหม่ ให้สายน้ำที่โดนแสงอยู่ที่ Zone VIII ผมจะเปิดรับแสงอยู่ที่ 1/30s ท้องฟ้าจะเป็น Zone X น้ำส่วนที่ไม่โดนแสงจะเป็น Zone VII ใบไม้ที่โดนแสงเป็น Zone VI ใบไม้ไม่โดนแสงเป็น Zone V ต้นไม้จะเป็น Zone III และหินเป็น Zone II *** สมมติผมจะถ่ายภาพนี้ โดยใช้อุปกรณ์และฟิล์มที่ผมใช้อยู่ ผมจะทำอย่างไร ก่อนอื่น ผมจะตัดท้องฟ้าออกไปเลย ผมถือว่าท้องฟ้าเป็นแหล่งกำเนิดแสงในภาพ ซึ่งปกติสมควรจะไปอยู่ที่ประมาณ Zone IX หรือ X และจะพยายามจัดภาพ ให้มีท้องฟ้าโผล่ออกมาน้อยมากที่สุด เพราะถ้าเอาท้องฟ้าเข้ามาก็จะเป็นแต่ส่วนใส ๆ ของฟิล์ม ไม่ได้มีประโยชน์อะไรเลย จากนั้นผมจะมาพิจารณาภาพที่ต้องการ ภาพนี้จุดสนใจคือสายน้ำ ควรจะให้สายน้ำขาวและเห็นรายละเอียดได้ครบถ้วน แต่ ภาพมีช่วงความสว่าง 1/250-1/4 คือ 6 stop ซึ่งผมมีช่วง Zone ใช้งานอยู่ 5 โซน แต่สามารถอึดได้ถึง 7 โซน ถ้าผมให้ น้ำส่วนที่โดนแสงมาอยู่ที่ Zone VII ส่วนไม่โดนแสงจะมาอยู่ที่ Zone VI และหินจะมาอยู่ที่ Zone I ลำต้นไม้ที่ Zone II ซึ่ง ลำต้นไม้และหินจะดำไปนิด ส่วนสายน้ำส่วนที่ไม่โดนแสงก็จะเทาไปหน่อย ผมเลือกที่จะเอาสายน้ำส่วนที่โดนแสงมาอยู่ที่ Zone VII 1/2 ซึ่งจะให้ภาพขาวจัดและมีรายละเอียดครบดีอยู่ ส่วนสายน้ำที่ไม่โดนแสงจะมาอยู่ที่ Zone VI 1/2 ซึ่งก็ขาว ใช้ได้ ลำต้นไม้จะมาอยู่ที่ Zone II 1/2 ซึ่งก็ไม่ดำมากนัก พอเห็นรายละเอียดได้อย่างชัดเจน และหินจะมาอยู่ที่ Zone I 1/2 พอจะเห็นรายละเอียดได้ไม่ลำบากนัก จากคุณ : Killer Queen - [ 15 ก.ย. 47 03:50:32 ]

ความคิดเห็นที่ 21 *** ถ้าเราถ่ายภาพนี้ด้วยระบบวัดแสงแบบเเฉลี่ยหนักกลางภาพ เราอาจจะถูกท้องฟ้าที่ขาวมากหลอกเอาได้ แถมมีส่วนมืด ให้คิดชดเชยแสงซับซ้อนหลายตลบ ส่วนระบบวัดแสงแบ่งพื้นที่เราก็ไม่รู้ว่ากล้องมันคิดอย่างไร ต้องเชื่อมันเอาไว้ก่อน ส่วนระบบวัดแสงแบบ Spot หากำหนดจุดวัดแสงไม่ถูกต้องจะมีโอกาสไม่ได้ภาพมาก เช่น ใครบางคนที่พึ่งซื้อ F90X ไป วัดแสงที่สายน้ำ แล้วให้เป็น Zone V(คือไม่ชดเชยแสง) ภาพน้ำกจใต้แสงอาทิตย์เลยกลายเป็นน้ำตกใต้แสงจันทร์ไปเลย *** ถ้าใช้วิธีการเฉลี่ยเอาค่ากลางระหว่าง 1/1000 กับ 1/4 จะได้ที่ 1/60 ซึ่งเป็นค่าที่ใกล้เคียง แต่ถ้าเป็นภาพอื่น ๆ การ เฉลี่ยเอาค่ากลางในระบบ Spot อาจจะไม่โชคดีอย่างนี้ก็ได้ โดยเฉพาะกับภาพ High Key และ Low Key ระบบ Zone จะ ช่วยให้การวัดแสงมีความเหมาะสมมากที่สุด แต่ผู้ใช้จะต้องฝึกฝนให้ชินกับระบบนี้สักหน่อย โดยเฉพาะการนับ Zone และ การจัดวางตำแหน่งของ Zone โดยคิดกลับไปยังภาพที่เราได้ทดสอบเอาไว้ *** ผมอยากให้พวกเราลองวัดแสงเล่น ๆ ดู แล้วลองฝึกนับฝึกกำหนดโซนให้คล่อง แรก ๆ จะยังนับ Zone ไม่คล่องนัก กว่าจะวัดแสง กว่าจะนับโซน กว่าจะกำหนดให้ตำแหน่งในภาพไปอยู่ที่โซนไหนได้จะใช้เวลามากพอสมควร แรก ๆ อาจจะใช้ เวลาในการถ่ายภาพเฉพาะเรื่องของการวัดแสงกำหนด Zone เกือบจะ 5 นาทีต่อภาพหรืออาจจะนานกว่า 10 นาทีต่อภาพก็ได้ ถ้าเป็นการถ่ายภาพวิวก็คงจะพอทน แต่ถ้าเป็นการถ่ายภาพคนคงจะไม่ทันกินแน่ บางครั้งวัดแสงเสร็จสภาพแสงเปลี่ยน ต้องมาวัดแสงกันใหม่อีก โดยเฉพาะเวลาไปถ่ายภาพพระอาทิตย์ขึ้นหรือตกเนี้ย แสงจะเปลี่ยนเร็วมาก ๆ เกือบจะทุก ๆ วินาทีเลยเชียว ต้องวัดแสงเร็วมากๆ ถึงจะถ่ายภาพได้ทัน *** ถ้ามีโอกาสไปถ่ายภาพด้วยกันแล้วได้ใช้ระบบ Chroma Zone จะทำให้การถ่ายภาพสนุกมากยิ่งขึ้น ก็หวังว่าเราคงจะมี โอกาสไปถ่ายภาพด้วยกันนะครับ จริง ๆ แล้วตัวอย่างภาพที่ผมอยากจะยกขึ้นมามีมากมายเลย แต่เพราะถ้าผมใช้วิธีบรรยายภาพ ออกมาเราอาจจะเห็นภาพที่ไม่ตรงกัน และหลาย ๆ คนคงจะนึกไม่ออกว่าผมกำลังยกตัวอย่างภาพอะไรอยู่ อยากให้ลองไป ฝึกถ่ายภาพ ที่เมืองโบราณนี่เหมาะมาก ๆ ก่อนถ่ายภาพก็วาดภาพขึ้นมา แล้วเขียนค่าแสงที่ตำแหน่งต่าง ๆ อาจจะเขียนเป็น F-nember กับความเร็วชัตเตอร์ หรือใช้ระบบ Zone ก็ได้ แล้วลองเอาภาพที่ล้างได้มาดูว่า การกำหนด Zone ของเรา เป็นอย่างไรบ้าง จากคุณ : Killer Queen - [ 15 ก.ย. 47 03:51:14 ]

ความคิดเห็นที่ 22 *** สุดท้ายนี้ผมมีข้อแนะนำสำหรับการเล่น Zone บางประการนะครับ *** 1.ถ้าต้องการให้สีของวัตถุออกมาสดที่สุด ควรให้วัตถุมาอยู่ที่ Zone V ถ้ากำหนด Zone สูงกว่านี้วัตถุจะมีสีอ่อนลง แต่ถ้าต่ำกว่านี้ สีของวัตถุจะเข้มขึ้นเนื่องจากการมีสีดำเข้ามาปน ภาพไม่ได้สดขึ้น เพียงแต่ให้ภาพเข้มขึ้นเท่านั้น ทั้งนี้ขึ้นกับ สีของวัตถุเองด้วย เช่น วัตถุมีสีเขียวออกดำ แม้ว่าจะมาอยู่ที่ Zone V สีของวัตถุก็จะไม่ได้เป็นเขียวสด เพราะว่าสีของ วัตถุจริงไม่ได้เป็นเขียวสด ต้องอาศัยในเรื่องของแสงเข้ามาช่วยให้สีของใบไม้สดขึ้นด้วย *** 2.ถ้าวัดแสงจากวัตถุที่มีสีแดงหรือน้ำเงิน ต้องเพิ่มหรือลด Zone จากการวัดแสงสีผิดพลาด ซึ่งเรื่องนี้ผมพยายาม ย้ำนักหนาว่าต้องรู้จักเครื่องวัดแสงของกล้องตัวเองให้ดีเข้าไว้ สมมติว่าผมจะไปวัดแสงที่วัตถุสีแดงสด กำหนดให้เป็น Zone V แต่จริง ๆ แล้วเมื่อผมถ่ายภาพวัตถุสีแดงนี้จะไม่ได้เป็น Zone V แต่จะเป็น Zone IV ซึ่งจะกลายเป็นสีแดงดำ แทนแดงสด เนื่องจากการที่เครื่องวัดแสงวัดแสงผิดพลาดไป +1 stop ทำให้ Zone เกินมา 1 Zone เรื่องนี้จะมีผลมาก เมื่อไปถ่ายภาพพระอาทิตย์ขึ้นหรือตก บางครั้งต้องการให้ท้องฟ้าเป็นสีแดงสดและมีแนวเขาด้านหน้าแยกออกจากกัน ไปวัดแสงที่ท้องฟ้าสีแดง เอาไว้ที่ Zone V แนวเขาด้านหน้าไปไล่อยู่แถบ Zone O , I , II ซึ่งภาพที่ได้จะมืดมากเกินไป เราต้องเอาท้องฟ้าสีแดงไว้ที่ Zone VI ซึ่งความเป็นจริงคือ Zone V เพราะเครื่องวัดแสงวัดผิด โทนเขาด้านหน้าก็จะ แยกออกเป็นชั้น ๆ ดีกว่า เพราะมาอยู่แถบ Zone I , II ,III ซึ่งในช่วงนี้ฟิล์มจะแยกโทนสีได้ดี เป็นต้น *** 3.เมื่อ Zone ใดมีค่าการเปิดรับแสงต่ำกว่า 1 วินาทีจะต้องชดเชยตำแหน่งของ Zone ใหม่โดยการใช้ค่า Reciprocity Failure เข้ามาคิด โดยปกติเวลาเราถ่ายภาพสมมุติว่าวัดแสงด้วยระบบแบ่งพื้นที่ได้ 15 วินาที f/11 ใช้ฟิล์ม Velvia 50 จะต้องชดเชยแสง +1/2 stop จริง ๆ แล้ววิธีการชดเชยนี้ไม่ถูกต้องนักนะครับ เพราะแต่ละส่วนในภาพ มีพื้นที่ที่สว่างกว่า 15 วินาที และมีส่วนที่สว่างน้อยกว่า 15 วินาที การชดเชยจะต้องคิดเป็นส่วน ๆ และดูว่า เราต้องการ รักษาโทนสีของภาพที่ส่วนไหน ชักงงแล้วใช่ไหม จากคุณ : Killer Queen - [ 15 ก.ย. 47 03:51:50 ]

ความคิดเห็นที่ 23 *** สมมติว่า ผมกำลังถ่ายภาพทิวทัศน์ในช่วงโพล้เพล้ คิดภาพตามด้วยนะครับ แนวเขาด้านหน้ามี 3 แนว ค่าแสง 125 วินาที ถัดมามีค่าแสง 60 วินาที ถัดมาอีกมีค่าแสง 30 วินาทีตามลำดับใกล้ไปไกล ส่วนทะเลหมอกมีค่าแสง 15 วินาที ท้องฟ้าสีแดงมีค่าแสง 2 วินาที ผมจะถ่ายภาพนี้โดยต้องการให้เห็นแนวเขาทั้ง 3 แนวแยกออกจากกัน และได้ท้องฟ้าสี แดง ผมจะมีอะไรต้องคิดบ้าง *** ภาพนี้มีช่วงความสว่าง 2-125 วินาที คือ 6 stop ถ้าคิดแบบการวัด spot ทั่วไปคือเอาค่ากลาง จะได้ที่ 15 วินาที ท้องฟ้าอยู่ Zone VIII เขาด้านหน้า Zone II คิดดูนะครับว่าภาพจะออกมาอย่างไร ถ้าเป็นระบบเฉลี่ยหนักกลางภาพต้อง ชดเชยแสงช่วย ส่วนระบบแบ่งพื้นที่ไม่รู้ด้วย ถ้าคิดแบบ Zone ธรรมดา เราจะเอาท้องฟ้าไว้ที่ Zone VII 1/2 ก็จะได้ แนวเขาด้านหน้าอยู่ที่ Zone I 1/2 ซึ่งภาพทั้งภาพก็จะมีรายละเอียดสวย ลงตัวดูดี ถ้าเรากำหนด Zone แบบนี้เราจะ ได้ท้องฟ้าเป็นสีแดงซีด ลองคิดดูซิครับว่าสีแดง Zone VII 1/2 มันจะออกมาซีดขนาดไหน ถ้าเป็นผมจะวาง Zone อย่างไร เรามีเรื่องต้องคิดเยอะเลย - ขั้นแรกผมจะกำหนด Zone ของแนวเขาด้านหน้าสุดเอาไว้ที่ Zone I ซึ่งจะได้เป็นสีดำมีรายละเอียดน้อยมาก แนว เขาต่อมาก็จะอยู่ที่ Zone II และ III มีการแยกโทนสีที่ดีแน่ ท้องฟ้าจะมาอยู่ที่ Zone VII ซึ่งจริง ๆ แล้วไม่ใช่ เพราะ เครื่องวัดแสงจะวัดแสงท้องฟ้าผิดไป +1 Zone Zone ที่แท้จริงท้องฟ้าจะอยู่ที่ Zone 7-1 คือ Zone VI ต่าง หาก เราก็จะได้ท้องฟ้าสีแดงอ่อนเล็กน้อย และแนวเขาที่มีการแยกโทน ดูเป็นช่วงโพล้เพล้เพราะภาพดูมืด ๆ หน่อย แต่ทุกอย่างในภาพจะอยู่ครบนะครับ ค่าการเปิดรับแสงจะมาอยู่ที่ 8 วินาที อันนี้ขั้นแรก - ต่อมาเราจะชดเชยค่า Reciprocity Failure ของฟิล์ม ที่ค่าการเปิดรับแสง 8 วินาที ถ้าคิดแบบธรรมดาจะ ต้องชดเชยแสง +1/3 stop แต่ถ้าคิดตามหลักของ Zone แล้ว เราจะได้อีกแบบหนึ่งครับ - ที่ 125วินาที ต้องชดเชยแสงประมาณ +1 stop 30 วินาที +1/2 stop และที่ 4 วินาที +1/3 stop ค่า Zone จะมีการเปลี่ยนไปดังนี้ - Zone I ซึ่งมีค่าแสง 125 วินาทีจะกลายเป็น Zone 0 เพราะความไวแสงฟิล์มในส่วนนี้ลดลง 1 stop ที่ Zone II ค่าแสงเท่ากับ 60 วินาที ค่าแสงลดลงประมาณ 2/3 stop ที่ Zone III ค่าแสง 30 วินาที ลดลง 1/2 stop ส่วนที่ท้องฟ้า ค่าแสง 4 วินาที(วัดได้ 2 วินาที แต่ผิด 1 stop จริง ๆ แล้วก็คือ 4 วินาที) ค่าแสง ลดลง 1/3 stop จากคุณ : Killer Queen - [ 15 ก.ย. 47 03:52:32 ]

ความคิดเห็นที่ 24 - ดังนั้น Zone ของภาพที่เกิดขึ้นจริงจะเป็นแบบนี้ - แนวเขาด้านหน้า Zone O ถัดมา Zone I 1/3 ถัดมา Zone II 1/2 ท้องฟ้าอยู่ที่ Zone V 2/3 คราวนี้การ ชดเชยแสงขึ้นกับเราว่าต้องการอะไร ถ้าต้องการให้ Zone I อยู่ที่เดิมจะต้องชดเชยแสง +1 stop ซึ่ง ท้องฟ้าจะกลายเป็น Zone VI 2/3 แต่ถ้าต้องการท้องฟ้าให้อยู่ที่เดิม จะต้องชดเชยแสง +1/3 stop เห็นไหมครับว่า การชดเชยแสงจากค่า Reciprocity Failure ในระบบ Zone จะไม่เหมือนกับที่เรา เข้าใจกันเลย และที่ถูกต้องก็คือชดเชยแบบระบบ Zone นะครับ - 4.การใช้งานระบบ Zone สำหรับสไลด์ไม่ได้ต้องการให้ฟิล์มเก็บรายละเอียดในส่วนต่าง ๆ ของภาพลง ไปบนฟิล์มได้หมด เพราะสไลด์ไม่สามารถได้ยืดหด Zone ได้เหมือนฟิล์มขาวดำ และไม่ได้ต้องการให้ภาพ ออกมาเหมือนที่ตาเห็น แต่ต้องการให้ได้โทนสีของภาพถูกใจมากที่สุด ไม่จำเป็นจะต้องถูกต้องนะครับ เอ าถูกใจ ภาพที่ตาเราเห็นมันจะมีโทนสีมีรายละเอียดไม่รู้จบ ประมาณว่าตาเราสามารถเก็บรายละเอียดได้ มากถึง 16 stop แต่ฟิล์มสไลด์อย่างเก่งก็แค่ 7 stop เท่านั้น ผิดกันเยอะ เวลาถ่ายภาพเราไม่สนใจว่า ของจริงเป็นอย่างไร เราสนแต่ว่าวัดแสงออกมาเท่าไหร่ แล้วต้องการให้ภาพออกมาอย่างไรเท่านั้นนะครับ ** เอาละครับ ขอแสดงความนับถืออย่างยิ่งด้วยความจริงใจสำหรับผู้ที่อ่านมาถึงตรงนี้ได้ และถ้าสามารถ เข้าใจในสิ่งที่ผมเขียนได้หมดถือว่าคุณมีความผิดปกติ ควรรีบปึกษาแพทย์โดยด่วนนะครับ และผมขอจบ ระบบ Chromazone System ไว้เพียงแค่นี้ก่อน สิ่งสำคัญอยู่ที่เราต้องทำการทดสอบโทนสีของฟิล์มที่ ปริมาณแสงต่างๆ และฝึกฝนการวางตำแหน่ง Zone ให้เหมาะกับภาพ ถ้าเราวางแผนการฝึกให้ดี เรา จะใช้สไลด์ในการฝึกไม่เกิน 4 ม้วนก็จะสามารถเข้าถึงระบบ Chroma Zone ได้ และปัญหาเรื่องการวัด แสงต่าง ๆ หรือการถ่ายภาพออกมาไม่ถูกใจในส่วนของการวัดแสงแทบจะหมดไปเลยทีเดียว ลำบาก วันนี้ เพื่อสบายวันหน้านะครับ *** ผมเองตั้งแต่เลิกถ่ายภาพขาวดำก็มาใช้ระบบนี้ในการถ่ายภาพมาตลอด แม้แต่ในการถ่ายภาพใน สตูดิโอก็เช่นกัน จนวันนี้วัดแสงระบบ Zone กับภาพพระอาทิตย์ขึ้นใช้เวลาเพียงไม่กี่วินาทีก็สามารถ หาค่าเปิดรับแสงกำหนดโทนสีต่าง ๆ ออกมาเรียบร้อย เป็นเพราะตัวกล้องเองช่วยให้ทำงานง่ายขึ้นด้วย แต่ถ้าเราฝึกบ่อย ๆ ก็สามารถวัดแสงได้เร็วไม่แพ้กันนะครับ ถ้ามีอะไรสงสัยและผมสามารถอธิบายได้ผม ก็จะพยายามตอบนะครับ ถ้ามีโอกาสไปถ่ายภาพด้วยกันจะดีมาก แต่ต้องทดสอบฟิล์มออกไปถ่ายภาพจริง ๆ นะครับ ไม่อย่างนั้นไปพลาดเวลาถ่ายภาพจริงเสียดายแย่ *** จบเรื่องนี้แล้วเห็นทีจะต้องหยุดตั้งกระทู้สักพักแล้ว กว่าจะพิมพ์จนจบเรื่องก็แทบแย่เหมือนกัน ก่อนจบผมขอขอบคุณอาจาร์ยที่สอนผมมาทุก ๆ คนและนักเขียนทุกคนใน Darkroon Technique ทุกท่านที่ถ่ายทอดวิชาความรู้เป็นตัวอักษรให้ผม ช่วยให้ผมรู้อะะไรมากขึ้น ขอบคุณครับ The End .................................... จากคุณ : Killer Queen - [ 15 ก.ย. 47 03:53:28 ]

ความคิดเห็นที่ 25 ขอบคุณพี่โก๊ะ Mr. auto ที่ให้ความรู้กับหนูทุก ๆ อย่าง ตั้งแต่เขียนบทความอันนี้ หนูก็ได้ความรู้มากขึ้น รวมทั้ง การไปอบรมการวัดแสงที่ IQ LAB ในวันนั้น ก็ทำให้หนูมีวิชาติดตัวไว้ทำมาหารับทานได้ในทุกวันนี้ ขอบคุณมากสำหรับความรู้ที่เผยแพร่ . . จากคุณ : Killer Queen - [ 15 ก.ย. 47 03:55:01 ]

ความคิดเห็นที่ 26 มีเรื่องโซนซีสเต็มกับการถ่ายภาพสีที่ผมดัดแปลงมาจากวิธีของ Ansel Adams คิดว่าน่าจะเป็นฉบับย่อของที่คุณหนูน้อยกล่าวไว้ หากท่านใดสนใจลองดูที่ลิ้งค์ข้างล่างนี้ http://www.thailandoutdoor.com/Photography/Zone/zone.html มีอีกเรื่องที่อยากจะเสริมคือ หากจะใช้วิธีนี้ที่สำคัญคือ เครื่องวัดแสงครับ เครื่องวัดแสงแต่ละเครื่องหรือกล้องแต่ละยี่ห้อมันจะวัดค่าแสงที่ EV ต่างๆ ไม่เท่ากัน (บางตัวเท่ากันที่ EV ต่ำๆ แต่พอ EV สูงๆแล้วต่างกัน) คุณต้องยึดเอาเครื่องใดเครื่องหนึ่งเป็นหลักก่อน เมื่อเริ่มฝึกใหม่ๆ พอเรียนรู้เครื่องนั้นจนชำนาญแล้ว ต่อไปหากซื้อกล้อง/เครื่องวัดแสงใหม่ก็ calibrate มันเข้ากับที่เครื่องประจำของคุณ เช่น ปกติผมใช้เครื่องวัดแสงของ Pentax Digital Spot พอผมมาใช้เจ้า Canon EOS1v ผมต้องตั้งค่า ISO ตัวกล้องต่ำลงถึง 2/3 EV (1v ทั้งสองตัวของผมเป็นเหมือนกันเลย) เมื่อตั้งค่าชดเชยที่ว่าแล้ว ในระดับค่าแสงที่ Ev สูงประมาณ 13-15 มันก็ยังให้ค่าแสงที่ต่างจากของ Pentax เป็น stop เลย จุดสำคัญในการวัดแสงคือ Consistency คือทำตัวแปรที่เกี่ยวข้องให้คงที่ แล้วจดบันทึกข้อมูลในขณะถ่ายไว้ รับรองว่าไม่นานก็จะวัดแสงได้เก่งครับ ส่วนใหญ่ที่ผมเจอมาก็คือ เวลาออกถ่ายภาพจริงไม่ยอมจดในสมุด ใช้วิธีจำเอา อย่างนี้ใช้เวลานานในการเรียนรู้ จากคุณ : Super Angulon - [ 15 ก.ย. 47 05:45:40 ]

ความคิดเห็นที่ 27 นอกจาก เจ้า OM4T ของคุณหนูน้อยแล้ว ยังมีเจ้า Pentax ของผมอีกที่เหมาะกับการวัดแสงแบบโซน และพวกกล้องไฮเทคที่มีสเกลวัดแสงแบบบาร์กราฟ +/-3 ev อีก และนอกจาก JOBO Color Chart แล้ว ผมคิดว่าหาพวกกล่องฟิล์มเขียวเหลืองและแดงก็ได้เหมือนกัน ในการทดสอบหา EI ของฟิล์ม ส่วนการหาช่วงการรับแสงของฟิล์มที่ยังคงให้รายละเอียดอยู่ หรือที่ผมเรียกว่า Textural Range นั้น แนะนำว่าน่าจะใช้วัตถุสำหรับวัดแสงที่ออกเข้มมืดสำหรับหาส่วนมืด และวัตถุโทนสว่างสำหรับหาส่วนสว่าง แทนการใช้วัตถุสีเทาหรือ Gray Card อย่างเดียวทั้งส่วนมืดและสว่าง เหตุผลคือ 1.เพื่อจำลองการใช้งานจริงภาคสนามที่คุณต้องวัดส่วนมืดแล้วทำอันเดอร์ หรือวัดส่วนสว่างแล้วทำโอเวอร์ 2.เซลวัดแสงตอบสนองต่อระดับความเข้มแสงที่ EV ต่างๆ ไม่คงที่ ส่วนใหญ่จะเป็นอย่างนี้ บางตัวให้ค่าออกอันเดอร์ที่ EV ต่ำ และโอเวอร์ที่ EV สูง ฉะนั้นการใช้วัตถุที่มืดหรือสว่างในการหาShadow/Highlight จึงน่าจะถูกต้องกกว่า แต่พูดก็พูดเถอะ เรื่องเหล่านี้อาจจะล้าสมัยไปแล้วเมื่อมีกล้องดิจิตอล+Histogram จากคุณ : Super Angulon - [ 15 ก.ย. 47 07:45:22 ]

ความคิดเห็นที่ 28 และหากพูดถึงการวัดแสงกับการถ่ายภาพแบบ outdoor สิ่งที่ทุกคนควรจะรู้นอกจากการวัดแสงแบบตรวจสอบ Hightlight/Shadow ก็คือ การวัดแสงเพื่อทำให้วัตถุให้โทนสีใกล้เคียงกับที่ตาเห็น เช่น กับเครื่องวัดแสงของผมพบว่า - ทุ่งหญ้าคาที่เขาใหญ่ ต้อง +1 หรือโซน6 - ท้องฟ้าสีเข้ม หาก +1 ก็ยังได้สีที่ดีอยู่ ถ้าไม่+ฟ้าจะเข้มมาก - ใบไม้ย้อนแสง จะออกสีเขียวอ่อน ต้อง +1 - สีแดง/ส้มของท้องฟ้ายามพระอาทิตย์ขึ้น/ตก ต้อง +0.5 - +1 - ใบหน้าคนผิวขาว ต้อง +0.5 - +1 สีเอเชียปกติไม่ต้องชดเชย - ทุ่งหญ้าที่ทุ่งแสลงหลวงแบบสีเขียวอ่อน บวกประมาณ 0.5-1 ได้เลย - ใบไม้แห้งสีน้ำตาล ไม่ต้องชดเชย ใช้โซน5ได้เลย ตัวเลขพวกนี้ลอกเลียนแบบกันไม่ได้ เพราะอย่างที่บอกว่าขึ้นอยู่กับเครื่องวัดแสง ฟิล์ม และแลปด้วย แก้ไขเมื่อ 15 ก.ย. 47 08:23:06 จากคุณ : Super Angulon - [ 15 ก.ย. 47 08:22:04 ]

ความคิดเห็นที่ 29 โอ้ว Chromazone ฉบับนี้เคยปริ๊นเก็บไว้ 3 ชุด เซฟไว้ในฮาร์ดดิสถึง 2 ลูก แต่ลงมันจะหาย ถึงเก็บดีอย่างไรมันก้อหายได้หมดเกลี้ยงเลยจริงๆ ไม่น่าเชื่อ ขอบคุงมากๆเลยค่า ทั้งเจ๊ KQ และพี่หนูน้อยต้อยฯ เลย จากคุณ : SuMLee - [ 15 ก.ย. 47 08:56:24 ]

ความคิดเห็นที่ 30 กระทู้ดังเดิมนี้แหล่ะครับ ที่เปิดโลกทัศน์ในการวัดแสงให้ผม "เหมือนแสงเฮ้ากวงที่ส่องลงยังสุสานอันวังเวง" ก๊ากกกก โหวตๆๆๆๆ จากคุณ : kobee - [ 15 ก.ย. 47 09:32:23 ]

ความคิดเห็นที่ 31 เอิ๊กๆ เดี๋ยวอ่านใหม่หมดอีกรอบดีกว่า เผื่อหลงๆลืมๆอะไรไป เน้นย้ำสำหรับคนที่ พึ่งเข้ามาอ่านเป็นครั้งแรก save แล้วก็ print เก็บไว้ วันนี้อ่านไม่เข้าใจก็อ่านใหม่หลายๆ รอบ ถ้าเข้าใจแล้ว คุณจะถ่ายภาพได้ดีขึ้นกว่าเก่าเยอะครับ จากคุณ : ผีหัวขาด - [ 15 ก.ย. 47 10:19:59 ]

ความคิดเห็นที่ 32 ปริ๊นมาอ่านใหม่เช่นกันครับ เอิ๊กๆๆ เช้านี้ไม่ได้ทำงานเลย นั่งอ่านกระทู้นี้ จากคุณ : joshhh - [ 15 ก.ย. 47 10:32:24 ]

ความคิดเห็นที่ 33 ยากจัง ( -_-)' จากคุณ : หนูอินค่ะ - [ 15 ก.ย. 47 10:58:21 ]

ความคิดเห็นที่ 34 เซฟไว้แล้วล่ะ จากคุณ : อยากจะโปร - [ 15 ก.ย. 47 12:24:25 ]

ความคิดเห็นที่ 35 อย่างที่ เจ๊ KQ ว่าจริงๆ ด้วยแหละ ควรปริ๊นมาอ่าน เพราะเมื่อกี๊อ่านจบสลบเหมือดคามอนิเตอร์เลย อิอิอิ อ่านแล้วอ่านอีก อ่านแล้วอ่านอีก.....อ่านแล้ว.....อ่านอีก ทู้ดีๆ อย่างนี้ โหวต โหวต โหวต ;) จากคุณ : lovable - [ 15 ก.ย. 47 13:41:07 ]

ความคิดเห็นที่ 36 ม๊ะกี้ห้าวฮะ... ลองอ่านคร่าวๆ จากจอ มึนเรยยยย... ต้องปริ๊นเจงๆ ด้วย... - -! จากคุณ : Bisio - [ 15 ก.ย. 47 14:24:47 ]

ความคิดเห็นที่ 37 เย้ๆ ไม่ต้องพิมพ์ใหม่แล้วเรา เอิ้กๆๆๆ เดี่ยวเอาข้อมูลนี้ไปดัดแปลงเป็น Digital ดีก่า Thank. จากคุณ : หนูน้อยต้อยตีวิด.. - [ 15 ก.ย. 47 14:28:16 ]

ความคิดเห็นที่ 38 อิอิ อ่านกี่รอบก็ยังมึนเหมือนเดิมคร้าบบบบบบ จากคุณ : Headbanger - [ 15 ก.ย. 47 17:42:40 ]

ความคิดเห็นที่ 39 เยี่ยมๆ เดี๋ยวเซฟเก็บไว้อ่านค่ะ .. อืม Print มาอ่านดีกว่าจริงๆ อิอิ จากคุณ : Blue Whale - [ 15 ก.ย. 47 19:32:01 ]

ความคิดเห็นที่ 40 Save ไว้เรียบร้อยแล้วครับ เคยอ่านมารอบนึงแล้ว ตอนนี้คงต้องมาอ่านใหม่อีกรอบแล้วอ่ะ ทบทวนความทรงจำ จากคุณ : หมั่นโถว (Vacuum) - [ 15 ก.ย. 47 20:10:15 ]

ความคิดเห็นที่ 41 ว่าแต่ อ่านกันรู้เรื่องจริงหรือเนี้ย จากคุณ : หนูน้อยต้อยตีวิด.. - [ 15 ก.ย. 47 21:47:18 ]

ความคิดเห็นที่ 42 เซฟไว้แล้ว... เดี๋ยวค่อยๆอ่านนะครับ อิอิอิ.... จากคุณ : w@@n - [ 15 ก.ย. 47 22:44:56 ]

ความคิดเห็นที่ 43 เป็นคัมภีร์ของผมเหมือนกัน ถ่ายรูปเป็นก็เพราะกระทู้จากที่นี่แหละ ว่าแต่ที่พิมพ์ไว้หายไปไหนแล้วฟะเนี่ย จากคุณ : .SiNderella. - [ 15 ก.ย. 47 23:20:56 ]

ความคิดเห็นที่ 44 ผมอ่านอยู่สิบกว่ารอบแหนะพี่ ถึงจะเริ่มพอเข้าใจ ต้องขอขอบคุณพี่อีกสักครั้งนะครับ.. จากคุณ : Roy - [ 15 ก.ย. 47 23:28:37 ]

ความคิดเห็นที่ 45 มึน ... จากคุณ : นายกบ - [ 16 ก.ย. 47 09:07:49 ]

ความคิดเห็นที่ 46 ขอเซฟนะคะ เผื่อจะได้ความรู้เพิ่มเติม จากคุณ : Blue Papyrus - [ 16 ก.ย. 47 10:41:15 ]

ความคิดเห็นที่ 47 ----=====ตามมาเซฟแล้วเหมือนกัน====---- จากคุณ : pock04 - [ 21 ก.ย. 47 14:35:04 ]

ความคิดเห็นที่ 48 ขอเซฟไว้ก่อนครับ อ่านทีหลัง จากคุณ : mIkesHi - [ 21 ก.ย. 47 15:34:55 ]

ความคิดเห็นที่ 49 อันนี้ ผมยังไม่เคยอ่าน เลย ต้อง เซฟ ต้อง เซฟ อิ อิ ขอบคุณ คราบบบ .... จากคุณ : ChuVeeDoo - [ 6 ต.ค. 47 01:31:05 ]