ความคิดเห็นที่ 1 จ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก คุณรู้หรือเปล่าว่าคุณได้อะไรมาอยู่ในมือ? กล้องที่คุณได้รับมาจากเพื่อนของคุณ เป็นกล้องประวัติศาสตร์ของอุตสาหกรรมกล้องญี่ปุ่น ออกแบบโดยมันสมองชั้นเลิศของตา maitani ..แห่ง Olympus เป็นกล้องที่วิศวกรของไลก้ามาเห็น แล้วกลับไปกินเบียร์เมาไปหลายเดือน เพราะรู้ว่าไม่มีทางออกแบบได้ล้ำเลิศขนาดนี้ เป็นกล้องตัวเดียวที่ถูกบรรจุใน Time capsule ที่กำหนดจะเปิดอีก 1 พันปีข้างหน้า.... ครับ...เรากำลังจะคุยกันเรื่อง Olympus PEN F.... จากคุณ : หมู4X - [ 13 ธ.ค. 47 08:19:17 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ก่อนอื่นมาทำความเข้าใจกันก่อนว่า Half frame คืออะไร คุณไปหยิบฟิล์ม negative ที่ล้างแล้วมานะ... แล้วเอาไม้บรรทัดวัดแต่ละภาพของมันดู นั่นไง วัดได้ 24x36 มิลิเมตร หรือเปล่า.. (ถ้าวัดไม่ได้กรุณารีบไปร้านท๊อปเจิญ เพื่อตัดแว่นเป็นการด่วน) ตัวเลขที่คุณวัดได้มา คือขนาดของฟิล์มมาตรฐานครับ กล้อง 35 mm เมื่อคุณเลื่อนฟิล์มไป 1 ปื๊ดดดดดด คือการเลื่อนไป 1 เฟรมของฟิล์ม.... ในอดีตกาลนานกาเล.... ฟิล์มมีราคาแพงมากนะครับ... สมัยที่ผมเริ่มถ่ายภาพ ฟิล์มโกดักม้วนละ 65 บาท เงินเดือนข้าราชการซี 3 อยู่ที่ 2,750 ถ้าคุณถ่ายภาพวันละท้วนละก็..คุณต้องหาแกลบกินแน่ๆๆๆ... ดังนั้น...วิศวกรที่เจ้าเล่ห์ แต่ฉลาดปราดเปรื่อง จึงมานั่งคิดว่าตูจะทำยังไงดี ให้ถ่ายภาพได้มากกว่า 36 รูป หลังจากหมดสุราไปหลายถัง ก็สรุปกันดื้อๆๆ ว่า ลดขนาดภาพมันลงสิฟ่ะ กล้อง half Frame จึงปรากฏขึ้นในวงการถ่ายภาพ จากคุณ : หมู4X - [ 13 ธ.ค. 47 08:27:31 ]

ความคิดเห็นที่ 3 วิศวกรเจ้าเล่ห์ จึงจัดการปรับระบบเดินฟิล์มใหม่... ให้เดินในระยะเพียงครึ่งเดียวของกล้องปกติ และจัดเฟรมรับภาพของกล้องใหม่ ให้เหลือครึ่งหนึ่ง ภาพที่ได้จึงกลายเป็นภาพที่มีขนาด 18x24 มิลิเมตร แถมออกมาในแนวตั้ง//Mad มีเรื่องหนึ่งที่คนส่วนใหญ่ไม่รู้ ก็คือในยุคที่เริ่มมีการพัฒนาฟิล์มถ่ายภาพน่ะ กล้องภาพนิ่งตัวแรกที่พัฒนาขึ้นในปี 1914 โดยบริษัท Eastman kodak ร่วมกับ Edison ให้ภาพขนาด 18x24 เคลื่อนฟืล์มในแนวตั้ง ตามรูปแบบของฟิล์มภาพยนต์ 16 MM ในยุคนั้น ส่วน Format ขนาด 24x36 น่ะ พัฒนาขึ้นภาพหลังโดยไลก้า ในปี 1915 ที่เอาฟิล์มมาเคลื่อนในแนวนอน แถมขยายเฟรมออกไป 1 เท่าตัว เป็น 24x36 และเรียกว่า "double frame" ทำงานก่อนนะเดี๋ยวจะมาเขียนต่อ จากคุณ : หมู4X - [ 13 ธ.ค. 47 08:42:32 ]

ความคิดเห็นที่ 4 โอ้โห....กราบขอบพระคุณน้าหมูมั่กๆๆ มากเลยครับ... จริงๆตอนแรกผมก็ไม่อยากรับมาหรอกครับ เพราะมันเป็นกล้องของพ่อเธอ ซึ่งเป็นช่างภาพ ผมเองก็สนิทกับแกดี พ่อของเธอเสียไปหลายปีแล้ว แกขึ้นไปถ่ายภาพบนภูเขา แล้วพลัดตกหน้าผา แต่ไม่ใช่กล้องตัวนี้ครับ เป็น FM2 เธอบอกว่าถ้าเก็บเอาไว้อาจจะสูญหายหรือพังไป บังคับให้รับมา ผมก็รับปากว่าจะนำมาดูแลและรักษาให้ หลังจากที่ได้เริ่มจับๆคลำๆ กล้องเก่าๆแบบนี้ ผมเริ่มรู้สึกได้ถึงเสน่ห์ และความปราณีตในการออกแบบ ซึ่งกล้องใหม่ๆ ในยุคนี้ ไม่มีทางเทียบได้เลยครับ น้าหมู จากคุณ : ธีระ (Teerasae) - [ 13 ธ.ค. 47 11:41:48 ]

ความคิดเห็นที่ 5 นี่แหล่ะครับ กล้องตัวที่ว่า... จากคุณ : ธีระ (Teerasae) - [ 13 ธ.ค. 47 11:43:40 ]

ความคิดเห็นที่ 6 คุณโชคดีมากๆค่ะ ที่ได้เป็นเจ้าของกล้องตัวนี้ (=^.^=) จากคุณ : แมวเหมียวนอนหงายท้อง ร้องแง๊วๆ - [ 13 ธ.ค. 47 12:05:03 A:203.113.37.7 X:203.150.217.114 TicketID:006785 ]

ความคิดเห็นที่ 7 เอ้า...มาว่ากันต่อ ------------------- ถึงไหนแล้วล่ะ อ้อ...กล้อง Half frame... เจ้ากล้อง Half frame นี่เริ่มผลิตกันออกมานานแล้ว แต่ไม่เป็นที่นิยมมากนัก... บริษัทที่ผลิตก้ล้มหายตายจากกันไป บริษัทใหม่ๆ ก้ลองของ แล้วก็เจ๊งไปตามระเบียบ... จนกระทั่งฟ้าส่งให้ชายผู้หนึ่งมาเกิด และเข้าทำงานกับ Olympus เมื่อปี 1956 ชายคนนี้ชื่อ Yoshihisa Maitani .. เมื่อเริ่มทำงาน Maitani ได้รับมอบหมายให้ออกแบบกล้อง กำหนดว่าต้องมีราคาไม่เกิน 6000 เยน ซึ่งในยุคนั้นเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลย..... แต่ maitani ก็ใช้ความเป็นอัจฉริยะ... ศึกษาข้อดีข้อเสียของกล้องในยุคนั้น ในที่สุดก็ได้คำตอบว่าจะลดราคากล้องได้ ก็ต้องปรับโครงสร้างของกล้อง โดยลดจำนวนเกียร์ที่ใช้กับกลไก มาเป็นคานและวงล้อ แต่กลับใช้เล็นส์ Zeiss-design คุณภาพสูงมาเป็นเล็นส์กล้อง (Zeiss Tessar type 4-element in 3-group) และแล้วในปี 1959 โลกก็กระเทือนกับการปรากฏตัวของ Olympus Pen จากคุณ : หมู4X - [ 13 ธ.ค. 47 12:33:04 ]

ความคิดเห็นที่ 8 แก้ไขเมื่อ 13 ธ.ค. 47 12:49:09 จากคุณ : หมู4X - [ 13 ธ.ค. 47 12:45:34 ]

ความคิดเห็นที่ 9 กล้อง Olympus Pen ประสบความสำเร็จอย่างมหาศาล ด้วยราคาที่ถูก..แต่ให้คุณภาพที่ดี... ใช้ง่าย (โดยเฉพาะใน series EE)... จำนวนกล้อง pen แบบ Compact จึงผลิตกันแทบไม่ทัน ผู้ใช้พอใจกับกล้องที่สามารถประหยัดค่าฟิล์มได้ถึง 50% เพราะ 1 ม้วนจะถ่ายได้ 72 รูป ในขณะที่คุณภาพที่ได้ยังคงยอดเยี่ยมอยู่..... ทำให้จำนวนรวมของ pen ที่มีการผลิตกว่า 20 ปี มีปริมาณกว่า 17 ล้านตัว (อ่านไม่ผิดหรอก 17 ล้านตัวจริงๆ) ความสำเร็จของ Pen ทำให้ผู้บริหารของ Olympus เปิดไฟเขียวให้ maitani ในการผลิตกล้อง SLR แบบ half frame ซึ่ง maitani ก็ออกแบบมันขึ้น โดยไม่ได้อิงโครงสร้างหลักของกล้อง SLR ในยุคนั้น แต่เป็นการปฏิวัติการออกแบบใหม่หมด.... และในที่สุด เมื่อปี 1963 Olympus Pen F ก็ออกมาปรากฏตัวให้โลกตะลึง ------------------------- pen F..ทิ้งการออกแบบ SLR ในยุคนั้นโดยสิ้นเชิง ชัตเตอร์ใช้จานโรตารี่ แทนชุดชัตเตอร์แบบดั้งเดิม ตัดปริซึมที่เทอะทะออกไป โดยใช้กระจกแบบ porro mirror แทน ทำให้กล้องสามารถลดขนาดลงมาอย่างมาก แถมด้วยระบบเล็นส์ที่สมบูรณ์..... ถือเป็นนวัตกรรมที่ยิ่งใหญ่ของยุคนั้น.... แต่น่าประหลาดใจที่ Pen F กลับไปได้ไม่สวยในท้องตลาด ในขณะที่ Pen EE ยังคงขายได้อย่างถล่มทลายตลอดเวลา จากคุณ : หมู4X - [ 13 ธ.ค. 47 12:48:02 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ผมมีpen EES-2 รุ่นนี้คุณภาพพอใช้ได้ไหมครับลุงหมู ยังไม่เคยถ่ายเลยเก็บในตู้ตลอด เป็นกล้องมรดกจากคุณตาครับ จากคุณ : bank - [ 13 ธ.ค. 47 12:58:05 A:203.172.110.70 X: ]

ความคิดเห็นที่ 11 สิ่งหนึ่งที่ขาดหายไปจาก Pen FT ก็คือเครื่องวัดแสง ดังนั้น ในปี 1966 Pen F ก็ได้ปรับปรุงออกมาใหม่ เป็น pen FT ที่เหมือน F แต่มีเครื่องวัดแสง แต่มือชั้น maitani ถ้าจะใส่เครื่องวัดแสงทั้งที จะทำเหมือนชาวบ้านเขาได้อย่างไร maitani จึงใส่เครื่องวัดแสง โดยใช้วิธีวัดที่ไม่เหมือนชาวบ้านเขา คือแทนที่จะวัดค่าแสงแล้วแสดงเป็น F Stop maitani กลับพัฒนาระบบวัดแสงใหม่ที่เรียกว่า LV หรือ Light Value... ถ้ามองเข้าไปใน Viewfinder... จะเห็นว่ามันทีตัวเลขเรียงกันจาก 0-7 นั่นแหละค่า LV หน้าที่ของผู้ใช้ก็คือ กำหนดค่าความเร็วชัตเตอร์ที่ต้องการก่อน โดยการปรับวงแหวนที่อยู่ด้านหน้าขวาของกล้อง หลังจากนั้น ก็มองไปใน Viewfinder จะเห็นเข็มวัดแสงเคลื่อนชี้ไปที่ตัวเลขระหว่าง 0-7 ผู้ใช้ก็จะต้องปรับรูรับแสงหน้าเล็นส์ให้ตรงกับค่าที่แสดงไว้ ซึ่งจะระบุไว้ที่วงแหวนหน้าสุดของเล็นส์... ยุ่งยากใช่ไหม...ใช่.. แต่อย่าลืมนะครับ ว่านี่เป็นการออกแบบในปี 60 ยุคที่ระบบ AF ยังเป็นนิยายวิทยาศาสตร์ และดิจิตอล เป็นศัพท์ที่ไม่มีใครเคยได้ยิน จากคุณ : หมู4X - [ 13 ธ.ค. 47 12:59:35 ]

ความคิดเห็นที่ 12 ส่วนหลักการใช้กล้องตัวนี้ ก็เหมือนกล้อง SLR ทั่วไปครับ ลองอ่านคู่มือได้จากนี่.. http://www.kyphoto.com/classics/manuals/pages/olympuspenft.html Username=free Password=manuals ขอให้มีความสุขกับ Pen FT ตัวนี้นะครับ บอกตามตรงว่าผมอิจฉาคุณสุดใจจริงๆๆ จากคุณ : หมู4X - [ 13 ธ.ค. 47 13:07:17 ]

ความคิดเห็นที่ 13 อ้อ..เพิ่งเห็นื้คุณ bank ถาม EES-2 ผมก็มีตัวหนึ่งครับ... ถ้าถามว่าคุณภาพเป็นอย่างไร... ผมบอกได้ว่ามันเทียบกับกล้อง SLR สารพัดอัตโนมัติไม่ได้ แต่ถ้าถามถึงภาพที่ได้ และความสนุกในการใช้งาน ผมรักมันจริงๆๆ ครับ ภาพจาก EES-2 ไม่ได้อยู่ในเครื่องนี้ เดี๋ยวพรุ่งนี้จะเอามา Post ให้ดูก็แล้วกันนะครับ จากคุณ : หมู4X - [ 13 ธ.ค. 47 13:16:13 ]

ความคิดเห็นที่ 14 โอ้โห..น้าหมู ได้รับทราบทั้งประวัติและการใช้งาน แถมยังมีคู่มืออีก วันนี้รักน้าหมูขึ้นอีกหลายๆๆๆ กองเลยครับ ขอบพระคุณมากๆครับ ผมว่าเสน่ห์ของกล้องโบราณแบบนี้ ก็ตรงที่ระบบของกลไก และความยุ่งยากนี่แหล่ะครับ ตอนแรกผมก็งงๆๆ ว่ามันวัดแสงยังงัย เดี๋ยวจะลองหัดใช้ หัดถ่ายดูครับ แล้ววันหน้าผมจะเอารูปที่ได้จากกล้องตัวนี้มาดูกันครับ คุณ bank มีกล้องอยู่แล้ว ไม่ลองเอามาถ่ายดูมั่งล่ะครับ สงสัยคงต้องตามเพื่อนผมเข้ามาดูกระทู้นี้ซะแล้ว จะได้รู้จักกล้องมรดกตัวนี้ให้มากขึ้น แก้ไขเมื่อ 13 ธ.ค. 47 13:42:01 จากคุณ : ธีระ (Teerasae) - [ 13 ธ.ค. 47 13:40:29 ]

ความคิดเห็นที่ 15 เดี๋ยวจะรีบเอาไปถ่ายเลยครับ ลุงหมูครับ แล้วตรงวงแหวนรูรับแสงเห็นเขียนว่า for flash นี่หมายความว่าไงเหรอครับ เอาไว้ชดเชยแสงแฟลชใช่ไหมครับ การปรับที่วงแหวนนี้จะมีผลต่อระยะชัดไหมครับ จากคุณ : bank - [ 13 ธ.ค. 47 17:51:56 A:203.172.110.64 X: ]

ความคิดเห็นที่ 16 เจอรูปแล้ว รีบเอามาลงก่อนที่จะลืม จากคุณ : หมู4X - [ 13 ธ.ค. 47 20:39:48 ]

ความคิดเห็นที่ 17 crop กันชัดๆๆๆ จากคุณ : หมู4X - [ 13 ธ.ค. 47 20:42:01 ]

ความคิดเห็นที่ 18 ทีนี้ก็ตอบคุณ bank เจ้า EES-2 ที่คุณมีอยู่เป็นกล้องอัตโนมัตินะครับ มันจะปรับรูรับแสงให้โดยอาศัยการวัดจากเซลซิเลเนียม (เจ้าเม๊ดสาคูที่อยู่รอบเล็นส์นั่นแหละ) ที่นี้วงแหวนที่คุณถามถึง ถ้าคุณตั้งไว้ที่ Auto มันจะเป็นระบบอัตโนมัติดังที่กล่าวมา แต่ถ้าปรับออกจาก Auto กล้องจะใช้ความเร็วที่ 1/30 เท่านั้น โดยอนุญาตให้คุณปรับรูรับแสงตามแฟลชที่คุณใช้ แฟลชยุคนั้นเป็นแฟลชแมนนวลครับ ต้องคำวนหาค่ารูรับแสงเองจากค่า Guide Number ของแฟลช เช่นถ้าคุณมช้แฟลชที่มี GN=24 ถ่ายภาพที่ระยะประมาณ 3 เมตร คุณต้องเอาค่า GN มาตั้งแล้วหารด้วยระยะ จะได้ 24/3 = 8 นั่นคือค่ารูรับแสงที่คุณจะต้องปรับวงแหวนดังกล่าว พอเข้าใจไหมครับ...ไม่เกี่ยวกับการชดเชยแสงแฟลชนะ ลองอ่านลิ้งค์ข้างล่างนี่เพิ่มเติมนะครับ มีอะไรก็ไปถามที่บอร์ดนั้นได้ เพราะผมสิงสถิตย์อยู่ที่นั่นแหละ http://www.nikonianthailand.com/webboard/show.php?Category=topic&No=4367 แก้ไขเมื่อ 13 ธ.ค. 47 20:54:47 จากคุณ : หมู4X - [ 13 ธ.ค. 47 20:53:21 ]

ความคิดเห็นที่ 19 ได้ความรู้มากๆ เลยครับ ขอบคุณน้าหมูที่ช่วยให้ข้อมูลอย่างเจาะลึก อ่านไว้ประดับเป็นความรู้อะครับ ผมไม่มีกล้องรุ่นนี้หรอกครับ จากคุณ : Den KX - [ 13 ธ.ค. 47 21:27:50 ]

ความคิดเห็นที่ 20 แอบมาบรรยายอยู่ที่นี่เองลุงหมู ขอนั่งฟังด้วยคนนะครับ จากคุณ : LinksLS - [ 14 ธ.ค. 47 18:27:05 ]

ความคิดเห็นที่ 21 มาแอบฟัง และอิจฉาเจ้าของกระทู้ รักษาให้ดีนะครับ เอาไปถ่ายรูปมา แล้วมาลงให้ดูกันด้วยนะครับ รอดูอยู่ จากคุณ : มือเก่าหัดขับ - [ 16 ธ.ค. 47 13:52:19 ]

ความคิดเห็นที่ 22 วันนั้น ผมไปถ่ายภาพ sport day มช. หลังจากเงยหน้ามาจากการถ่ายภาพหลีด เห็นผู้หญิงคนนึง มาเลื่อนฟิล์ม ตรงหน้า แม่เจ้า.....นั้นมัน pen นี่นา จากคุณ : f.fun - [ 16 ธ.ค. 47 19:35:24 A:203.113.50.12 X:203.150.217.120 TicketID:076169 ]

ความคิดเห็นที่ 23 เป็นเด็กรุ่นหลัง เลยไม่เคยทราบถึงคุณค่าของกล้องตัวนี้ครับ ขอบคุณพี่ๆทุกท่านมากๆ ที่ให้ความรู้ จะทนุถนอมและรักษากล้องตัวนี้อย่างดีครับ ให้สมกับที่เจ้าของจริงๆ เค้าไว้ใจให้เราดูแลแทน ผมกำลังจะส่งให้ช่างเช็คระบบต่างๆ ไว้เสร็จแล้วจะนำภาพมาชมกันครับ จากคุณ : ธีระ (Teerasae) - [ 17 ธ.ค. 47 01:21:41 ]

ความคิดเห็นที่ 24 นั่งฟังตาปริบๆ โอ้สุดยอดอะไรอย่างนี้ ขอบคุณน้าหมูด้วยคนครับ.... จากคุณ : pla-o talon - [ 21 ธ.ค. 47 12:45:37 ]

ความคิดเห็นที่ 25 ติดตามอ่าน คุณ หมู4x มานานแล้ว ขอยอมรับเลยว่า คุณเป็นเซียนตัวจริง หากมีข้อสงสัยอะไร จะถามคุณเป็นคนแรก แต่พักหลังๆไม่ค่อยเข้ามาตอบเลยนะครับ??? จากคุณ : ยอมรับจริงๆ - [ 29 ธ.ค. 47 19:49:36 A:203.113.35.12 X:203.150.217.118 ]