Happy Birthday Mozart !!!
ปีนี้ถือว่าสำคัญมากสำหรับคอเพลงคลาสสิกนั่นคือเป็นปีที่ Wolfgang Amadeus Mozart คีตกวีคนสำคัญอายุครบรอบ 250 ปีและวันนี้ (27 มกราคม) คือวันเกิดของเขา โมซาร์ตเกิดเมื่อประมาณสองทุ่ม แต่ ยุโรปช้ากว่าเราประมาณหกกว่าชั่วโมงดังนั้นจึงค่อนไปทางตีหนึ่งของวันหนึ่งในเวลาบ้านเรา แต่ผมคงจะนอนเสียก่อน ก็เลยขอ Happy Birthday เขาผู้นี้เสียก่อน และขอขอบคุณที่ได้ใช้เวลาร่วมสามสิบหกปีในการแต่งเพลงกว่าหกร้อยชิ้นเพื่อสร้างความสุขแก่ชาวโลก
(ต่อไปนี้เป็นบทความเก่าที่ผมเคยเขียนแต่ขอกลับเอามาให้อ่านอีกครั้ง)
เมื่อพูดถึงเพลงคลาสสิก ภาพแรกที่ปรากฏอยู่ในหัวของทุกคนก็คือ ผู้ชาย (หรือเด็ก) ฝรั่งสวม วิคกำลังเล่นเปียโนอยู่ หากจะถามว่าคนๆ นั้นคือใคร ทุกคนก็จะตอบเป็นเสียงเดียวกันว่าเขาคือ โมซาร์ต คีตกวีผู้มีชื่อเสียงมากที่สุดของโลกและได้ชื่อว่าเป็นอัจฉริยะ ชื่อของเขามักจะถูกยกมาเคียงคู่กับคนไอคิวสูงอย่างเช่น Albert Einstein หรือ Victor Hugo (นักเขียนชาวฝรั่งเศส) และโมซาร์ตยังปรากฏตัวในฐานะเป็นสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม ไม่ว่าจะเป็น ละครเวที โฆษณา ภาพยนตร์ คนที่ไม่ได้ฟังเพลงคลาสสิกก็จะรู้จักเขาผ่านซีดีเพลงคลาสสิกสำหรับเปิดให้ลูกในท้องหรือเด็กฟัง ตามทฤษฎีจิตวิทยาที่ว่า หากเด็กฟังดนตรีคลาสสิกแต่วัยเยาว์จะทำให้เป็นอัจฉริยะ
ชายคนนี้เป็นใคร เหตุใดถึงมีคนกล่าวขวัญถึงและเอาดนตรีของเขามาเล่น ถึงแม้คีตกวีท่านนี้จะเสียชีวิตตั้งแต่ สมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ของไทย ไปแล้วก็ตาม ต่อไปนี้เป็นประวัติของโมซาร์ตเวอร์ชั่นเต็มภายหลังที่ผมได้เขียนถึงอุปรากรและบางส่วนในชีวิตของเขาอันเกี่ยวข้องกับหนังเรื่อง Amadeus มาแล้ว
Wolfgang Amadeus Mozart เกิดเมื่อวันที่ 27 มกราคม 1756 ที่เมือง Salzburg ซึ่งเป็นเมืองเล็กๆในซีกตะวันตก ของออสเตรีย (ซึ่งต่อมาก็จะกลายเป็นบ้านเกิดของวาทยกรระดับโลกอีกคนคือ Herbert Von Karajan ) บิดาของโมซาร์ตมีนามว่า Leopold Mozart ซึ่งเป็นคีตกวีชื่อดังอีกคนหนึ่งของยุโรป (แต่ก็ถูกชื่อเสียงของลูกชายกลบหมด)มารดาคือ Anna Maria Pert Mozart โมซาร์ตมีพี่สาวชื่อว่า Maria Anna Mozart ผู้ได้รับการปลูกฝังจากบิดาให้เล่นดนตรีเหมือนน้องชาย แถมยังเล่นได้ดีเสียด้วย แต่โมซาร์ตล้ำหน้าพี่สาวของเขาโดยการเล่นไวโอลินอย่างคล่องแคล่วในขณะที่พี่สาวเล่นแต่ดนตรีประเภทเปียโนอย่างเดียว (ก่อนจะที่จะมีเปียโนอย่างที่เห็นได้ปัจจุบัน มีเครื่องดนตรีที่ชื่อว่า Harpsichord ซึ่งขนาดเล็กกว่า)
(ภาพถ่ายของบ้านที่โมซาร์ตเกิดใน Salzburg)
ซ้ำโมซาร์ตสามารถแต่งเพลงเมื่อเขาอายุได้เพียง 5 ปี เพลงที่แต่งคือ Minuet (เพลงเต้นรำ) และสามารถแต่งเพลงซิมโฟนีซึ่งซับซ้อนกว่าเมื่ออายุ 9 ปี นอกจากความเป็นเด็กอัจฉริยะ (Child Prodigy) แล้วยังต้องขอบคุณการเคี่ยวเข็ญอย่างหนักจากบิดาผู้เห็นช่องทางจากแววฉลาดของเด็กทั้งสอง แต่เด็กก็คือเด็ก ว่ากันว่าครั้งหนึ่งขณะที่โมซาร์ตน้อยกำลังหัดเล่นเปียโน เขาเห็นแมวเดินผ่านก็ผละจากเปียโนเพื่อไปเล่นกับแมว
ลีโอโพลด์ กะเตงพาลูกชายและลูกสาวไปเปิดการแสดงทั่วยุโรปไปเป็นเวลาหลายๆ ปี ไม่ว่าเยอรมัน ฝรั่งเศส อังกฤษ โดยเน้นไปที่ชนชั้นสูง คือ กษัตริย์ เชื้อพระวงศ์ และขุนนาง หรือแม้แต่พวกพระชั้นผู้ใหญ่ ต่อมาก็เกิดตำนานที่ว่าเขาได้พบกับพระนางมารีอันตัวเน็ต ซึ่งอยู่ในวัยเดียวกัน เมื่อโมซาร์ตหกล้มในท้องพระโรง พระองค์ทรงรีบไปช่วยประคองโมซาร์ต ด้วยความไร้เดียงสาโมซาร์ตบอกว่าต้องการแต่งงานกับพระองค์ (ดังที่พระเจ้าโจเซฟที่สองตรัสเล่าเรื่องนี้กับโมซาร์ตเมื่อพบกันครั้งแรกในหนังเรื่อง Amadeus)
(ภาพวาดของโมซาร์ตตอนยังเด็กเล่นเปียโนคู่ไปกับพ่อที่เล่นไวโอลิน ผู้หญิงที่ยืนข้างๆ น่าจะเป็นพี่สาว)
แต่มีอีกตำนานหนึ่งคือ เมื่อเขาเล่นดนตรีให้จักรพรรดินี แห่งออสเตรีย คือ พระนางมาเรีย เทเรซ่า และพระนางทรงถามเขาว่าต้องการอะไรเป็นรางวัล เด็กอัจฉริยะก็ตอบแบบพาซื่อว่าต้องการแต่งงานกับพระธิดาของพระองค์คือพระนางมาเรียอันตวนเน็ต (ผู้ที่ต่อมาเข้าอภิเษกสมรสกับพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 และทั้งคู่ต้องสิ้นพระชนม์ อย่างอนาถ จากกิโยตินเมื่อเกิดการปฏิวัติที่ฝรั่งเศส) กระนั้นชีวิตก็ไม่ได้สวยงามเหมือนเทพนิยาย มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์บอกว่า เมื่อโมซาร์ตน้อยล้มป่วยจากการเดินทางไปหลายที่ ผู้เป็นพ่อจะบ่นถึงจำนวนเงินรายได้ที่ลดน้อยลงมากกว่าจะสนใจอาการป่วยของลูก
(ภาพของ Leopold Mozart)
แต่เป็นที่น่าสนใจมากว่าโมซาร์ตได้พบกับ Johann Christian Bach บุตรชายคนที่ 11 ของคีตกวีนามลือเลื่อง Johann Sebastian Bach ที่กรุงลอนดอน บาคผู้ลูกถือได้ว่ามีอิทธิพลต่อโมซาร์ตอย่างสูงในด้านเปียโนโซนาต้าและอุปรากร (น่าจะเป็นการส่งต่ออิทธิพลจากบาคผู้พ่อมายังโมซาร์ตเพราะบาคผู้ลูกย่อมได้รับอิทธิพลจากพ่อ)ใน ปี 1764โมซาร์ตตีพิมพ์ คลาเวียโซนาต้า (คู่ไปกับไวโอลิน) 4 บท ที่ปารีส ในปี 1768 โมซาร์ตแต่งอุปรากรเรื่องแรกในชีวิตคือ La Finta Semplice
เกิดเรื่องน่าเศร้าคือ โมซาร์ตเองก็มีปัญหากับผู้อุปถัมภ์คนแรก คือ Archbishop Colloredo ผู้ซึ่งแต่แรกพึงพอใจคีตกวีหนุ่มน้อย แต่ต่อมาเริ่มอิดหนาระอาใจกับ ความดื้อด้านและการหายตัวไปนานๆ ของเขา จึงแกล้งแต่งตั้งให้โมซาร์ตเป็นแค่ Concert master หรือผู้ช่วยวาทยกร ที่มีเงินเดือนเพียงน้อยนิด ในช่วงนี้โมซาร์ตก็เขียนงานที่เกี่ยวข้องกับศาสนาและทั่วๆ ไปออกมาเป็นจำนวนมาก เขาได้รับอนุญาตให้เดินทางไปยังปารีสในปี 1977 พร้อมกับมารดา เพื่อหาตำแหน่งของนักดนตรีที่มั่นคง แต่น่าเสียดายที่พลาดหมด อันแสดงให้เห็นว่าผลงานของโมซาร์ตไม่จำเป็นต้องได้รับความนิยมเหมือนปัจจุบัน แต่แล้วมารดาของเขาเสียชีวิตที่กรุงปารีสนั้นเอง
โมซาร์ตจึงเดินทางกลับไปยัง Salzburg โดยมีตำแหน่งเป็นนักเล่นออร์แกนในปี 1779และก็ถูก Colloredo ไล่ออกจากงานภายหลังจากทั้งคู่มีปากเสียงอย่างรุนแรง กระนั้นเขาก็ได้รับการว่าจ้างจากพวกขุนนางในกรุงเวียนนาให้เขียนงานออกมาอย่างสม่ำเสมอ โมซาร์ตได้ทำให้บิดาต้องขุ่นเคืองใจเพราะได้แต่งงานกับ Constanze Weber ในปี 1782 ทั้งคู่มีบุตรด้วยกัน 6 คน แต่มีเพียงสองคนที่อยู่รอดจนเติบใหญ่
ในช่วงเวลานั้นเขาได้ผูกมิตรกับ Franz Joseph Haydn คีตกวีผู้มีอายุมากกว่าเขาถึง 24 ปี อาจารย์ผู้เฒ่ามีความเคารพต่อเพื่อนหนุ่มคนนี้อย่างมาก ทั้งคู่ต่างมีอิทธิพลทางดนตรีต่อกัน ยังเป็นที่น่าสนใจว่าอุปรากรที่สร้างชื่อให้แก่เขาอย่างมากคือ เรื่อง Le Nozze Di Figaro (การแต่งงานของฟิกาโร) ออกแสดงในปี 1786 แต่ก็มีผลร้ายต่อชื่อเสียของเขาในเวลาต่อมา นั่นคือ พวกขุนนางและพวกราชสำนักไม่ชอบเนื้อหาของอุปรากรที่ค่อนข้างไปในเชิงต่อต้านพวกเจ้า นอกจากนี้เขาก็ยังต้องพบกับความทุกข์จากเรื่องเงินๆ ทอง ๆ เพราะแต่งเพลงแล้วไม่ได้เงิน แถมยังชอบใช้ชีวิตแบบหรูหรา ซ้ำร้าย พ่อของเขามาด่วนจากไปในปี 1787
(ภาพของโมซาร์ตเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่)
ปี 1791 ในช่วงที่โมซาร์ตไม่ค่อยสบายนั้น ขุนนางลึกลับผู้หนึ่งได้ให้คนใช้มาว่าจ้างให้โมซาร์ตเขียนเพลงสวดศพหรือ Requiem อันโด่งดัง และมาทราบกันทีหลังว่าขุนนางคนนั้นชื่อว่า Count Walsegg Stuppach ผู้มีจุดประสงค์เพื่อจะได้เอาไปแอบอ้างว่าเป็นงานของตัวเอง (ซึ่งนักประวัติศาสตร์ยังถกเถียงกันอยู่ว่าโมซาร์ตได้เห็นเป็นใจด้วยหรือไม่) และในขณะที่ตั้งใจจะเขียนเพลงสวดศพให้เสร็จนั้น โมซาร์ตล้มป่วยอย่างหนัก มือทั้งสองข้างบวมเป่งจนทำอะไรไม่ได้ เขาเสียชีวิตในวันที่ 5 ธันวาคม ในปีเดียวกันโดยที่ยังแต่ง Requiem ไม่เสร็จ คนที่ช่วยแต่งต่อจนเสร็จ หาใช่ Antonio Salieri ไม่หากแต่เป็นลูกศิษย์ของ Salieri คือ Franz Xaver Suessmayr ที่ได้รับการขอร้องจากภรรยาของโมซาร์ต
สาเหตุการเสียชีวิตของโมซาร์ตยังเป็นที่ถูกถกเถียงกันอยู่มากคือข่าวลือว่า Salieri เป็นผู้ลอบสังหารโดยการวางยาพิษ (อาจจะเป็นปรอท) และยังถูกซ้ำเติมจากบทละครที่ถูกเขียนในยุคหลัง หากพิจารณาข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์แล้ว ถือว่าไกลจากความจริงมากนัก แต่ก็ยังถกเถียงกันอีกว่าถ้าไม่ตายเพราะยาพิษ โมซาร์ตน่าจะเสียชีวิตด้วยโรคอะไร แต่ที่เชื่อกันมากที่สุดคือโรค Rheumatic Feverหรือโรคไข้เรื้อรังที่เกิดจากการติดเชื้อจากแบคทีเรียบางชนิดและก็ยังถกเถียงอีกว่าโมซาร์ตรู้ว่าตัวเองใกล้ตายมากน้อยแค่ไหนและมันจะมีอิทธิพลต่อเพลงของเขาหรือไม่
เมื่อโมซาร์ตตายแล้ว เกิดอะไรขึ้นให้ท่านเลือกเชื่อเอาเอง
A . ตามความเชื่อของคนทั่วไป โมซาร์ตตายตอนถังแตก และถูกนำไปฝังในหลุมร่วมกับศพของคนจนคนอื่นๆ อย่างอนาถา (ลองนึกภาพตามฉากสุดท้ายของหนังเรื่อง Amadeus)
B.ตามทฤษฎีใหม่ โมซาร์ตตายตอนที่ยังมีเงินอยู่พอสมควร เพราะถึงแม้จะไม่เป็นที่นิยมอีกต่อไป แต่ก็ยังได้รับเงินค่าจ้างมากสมควรจากราชสำนักและก็ยังได้รายได้จากค่าจ้างแต่งงานจากนายจ้างในหลายๆ ประเทศของยุโรป แต่มีนิสัยเสียคือชอบใช้เงินสุรุ่ยสุร่าย ศพของเขาถูกฝังไว้ในหลุมตามที่กฎหมายของปี 1783 ในสุสาน St.Max ซึ่งเป็นสุสานที่ฝังศพคนดังมากมายรวมไปถึง Josef Strauss น้องชายของ Johann Strauss Jr. เจ้าพ่อเพลง Waltz 17 ปีต่อมา Weber (ซึ่งแต่งงานใหม่ไปแล้ว) ได้กลับไปที่สุสานอีกครั้งแต่หาหลุมศพจริงของอดีตสามีแต่ไม่เจอ ในปี 1855 ได้มีการวางหินสลักบนที่ซึ่งสันนิษฐานว่าจะเป็นหลุมศพของโมซาร์ต
(หินสลักบนที่คาดว่าน่าจะฝังโมซาร์ตในสุสาน St.Max แทนอันเดิมที่ถูกย้ายไป Zentralfriedhof)
ท่านที่สนใจดูรูปกรุณาดูในบล็อคของผมได้ครับ
แก้ไขเมื่อ 27 ม.ค. 49 21:24:44
แก้ไขเมื่อ 27 ม.ค. 49 21:20:15
แก้ไขเมื่อ 27 ม.ค. 49 21:16:57