ความคิดเห็นที่ 1
"มะเมียะ"
คำร้อง/ทำนอง จรัญ มโนเพชร ขับร้อง สุนทรี เวชานนท์
มะเมียะเป็นสาวแม่ค้า คนพม่าเมืองมะละแหม่ง งามล้ำเหมือนเดือนส่องแสง คนมาแย่งหลงรักสาว
มะเมียะบ่ยอมรักไผ มอบใจหื้อหนุ่มเชื้อเจ้า เป็นลูกอุปราชท้าวเชียงใหม่
แต่เมื่อเจ้าชายจบการศึกษา จำต้องลาจากมะเมียะไป เหมือนโดนมีดสับดาบฟันหัวใจ ปลอมเป็นพ่อชายหนีตามมา
เจ้าชายเป็นราชบุตร แต่สุดที่รักเป็นพม่า ผิดประเพณีสืบมา ต้องร้างลาแยกทาง โอโอก็เมื่อวันนั้น วันที่ต้องส่งคืนบ้านนาง เจ้าชายก็จัดขบวนช้างให้ไปส่งนางคืนทั้งน้ำตา
มะเมียะตรอมใจอาลัยขื่นขม ถวายบังคมทูลลา สยายผมลงเช็ดบาทบาทา ขอลาไปก่อนแล้วชาตินี้ เจ้าชายก็ตรอมใจตาย มะเมียะเลยไปบวชชี ความรักมักเป็นเช่นนี้ แลเฮย.........
ส่วนนี้เป็นคำตอบที่ท่านโตฯ อยากได้ครับ
" ทั้งโลกนี้เปรียบเหมือนโรงละครใหญ่ ชายหญิงไซร้เปรียบตัวละครนั่น ต่างมียามเข้าออกอยู่เหมือนกัน คนหนึ่งนั้นยอมเล่นตัวนานา " (พระราชนิพนธ์ ร.๖)
ในปลายรัชสมัยของสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวพระปิยะมหาราช เจ้าน้อยศุขเกษม ราชบุตรองค์ใหญ่ซึ่งประสูตรจากเจ้าหญิงจามรี รัชทายาทของเจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ ซึ่งไปศึกษาต่อที่เมืองมะระแหม่งตั้งแต่อายุได้ เพียง ๑๕ ปี และได้ใช้เวลาอยู่ ณ ต่างด้าวต่างแดนถึง ๕ ปีเต็มๆ เจ้าน้อยศุขเกษมเป็นชายหนุ่มรูปงาม ซึ่งชาวพม่า มอญ ยกย่องสรรเสริญความงามของหม่อมเจ้าน้อยศุขเกษมเสียเลิศลอย
" พิศโฉมและฟังเสียง ละก็เพียงจะขาดใจ โอ้นอนจะหลับไหล ฤาฉะนี้นะอกเอ๋ย ขืนนอนก็ร้อนเร่า ฤดีเฝ้าคนึงเชย หากขืนจะนอนเฉย อุระอาจพังภินทร์ "
เจ้าน้อยศุขเกษมได้พบรักกับสาวชาวเมืองมะระแหม่งนางหนึ่ง มีนามว่า "มะเมี๊ยะ" ขณะนั้นมะเมี๊ยะเป็นเพียงแม่ค้าสาวชาวพม่า หน้าตาพริ้มเพราได้พบกับเจ้าน้อยศุขเกษมครั้งแรกเมื่ออายุเพียง 16 ปี ขณะนั้นมะเมี๊ยะเป็นเพียงแม่ค้าขายบุหรี่ในตลาดเมืองมะระแหม่ง
" ขนตายาวราวปีกคลีของผีเสื้อ มองไม่เบื่อจูงใจไปจำหลัก ตาคมซึ้งตรึงอุระดังชะนัก เป็นรอยปักแนบแน่นแก่นชีวิต "
เมื่อทั้งสองได้พบกันจึงเกิดเป็นความรัก ได้อยู่กินกันฉันท์สามีภรรยาเรื่อยมา
และในวันพระ ทั้งสองจะพากันไปทำบุญที่วัดในเมืองมะระแหม่งอยู่เสมอ
ณ ที่ลานพระบรมธาตุศักดิ์สิทธิ์-ปูชนียสถานเก่าแก่ดั้งเดิม คู่บ้านคู่เมืองของเมืองมะระแหม่งนั้นเอง ทั้ง สองหนุ่มสาวซึ่งได้ครองรักเยี่ยงสามีภริยากัน หลังจากติดต่อกันไม่นานได้นั่งหมอบเคียงคู่ให้สัตย์ ปฏิญาณสาบานต่อกันว่า จะซื่อตรงจงรักไม่แปรผันชั่วชีวิตดับ ทั้งเจ้าหนุ่มและมะเมี๊ยะสาวน้อย ผู้ยังไม่ เดียงสาต่อโลกและชีวิต เฝ้าแต่เพียงว่า
" สิ่งกีดขวางระหว่างชนสองคนเพศ ใช้เส้นเขตขีดรอบเป็นขอบขันธ์ ใช้สัญชาติ, ศาสน์, เหล่าหรือเผ่าพันธ์ แต่สิ่งนั้นคือศักดิ์ที่รักดี "
เมื่อถึงกำหนดการที่จะต้องเดินทางกลับเชียงใหม่ ซึ่งเจ้าน้อย เพิ่งจะมีอายุครบ 20 ปี จึงได้ตัดสินใจให้มะเมี๊ยะ ปลอมตัวเป็นชายติดตามขบวน เพื่อกลับไปยังเมืองเชียงใหม่ ในฐานะเพื่อนหนุ่มชาวพม่า โดยหารู้ไม่ว่า เจ้าพ่อและเจ้าแม่ได้หมั้นหมายเจ้าหญิงบัวนวลธิดาของเจ้าสุริยวงศ์ ให้เป็นคู่หมั้นของเจ้าน้อย ตั้งเมื่อเจ้าน้อยเดินทางไปศึกษาที่เมืองพม่า
หลังจากที่ต้องแอบซ่อนมะเมี๊ยะไว้ในบ้านหลังเล็ก ที่เจ้าพ่อและจ้าวแม่จัดเตรียมเป็นที่พักมาแล้วหลายวัน ในที่สุดเจ้าน้อยจึงตัดสินใจบอกความจริงกับเจ้าพ่อและเจ้าแม่ และเจ้าน้อยรู้ดีว่า แม้ท่านทั้งสองจะมิได้เอ่ยคำใด แต่คงไม่ยอมรับให้มะเมี๊ยะเป็นศรีสะใภ้แน่นอน เนื่องจากเจ้าน้อย ได้รับการคาดหมายว่าจะได้รับตำแหน่งเจ้าหลวงองค์ถัดไป หากเจ้าน้อยเลือกมะเมี๊ยะเป็นภรรยา ประชาชนย่อมอึดอัดใจในการยอมรับมะเมี๊ยะ ผู้เป็นหญิงต่างชาติ มาดำรงสถานะภรรยาของเจ้าเมืองอย่างแน่นอน
อันเชื้อสายราชวงศ์ของเจ้าสุริยะนั้น สืบเชื้อ สายมาจากเจ้าฟ้าเชียงตุงที่ลี้ภัยจากพม่า มาแต่ปลายสมัยรัชกาลที่ ๑ เจ้าฟ้าเชียงตุง องค์นี้เป็นไทยเขินละทิ้งราชบัลลังก์มาตั้ง นิวาสถานอยู่ในเชียงใหม่ ส่วนเจ้าหญิง สุคนธาภริยาเจ้าสุริยะ เป็นธิดาของเจ้าราช- บุตร (สุริยะวงศ์) ซึ่งก็เป็นโอรสของพระเจ้า มโหตรประเทศราชา เจ้าผู้ครองนคร เชียงใหม่องค์ที่ ๕
สถานการณ์ในขณะนั้นน่าวิตกยิ่ง เนื่องจากอังกฤษได้แผ่อิทธิพลไปทั่วเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ มะเมี๊ยะเป็นคนในบังคับของอังกฤษ และอาศัยอยู่ในคุ้มของอุปราช อาจเป็นปัญหาที่ใหญ่โตทางการเมืองได้ในภายหลัง ในที่สุดเจ้าพ่อและเจ้าแม่จึงยื่นคำขาดให้เจ้าน้อย ส่งตัวมะเมี๊ยะกลับเมืองมะระแหม่ง เพื่อป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้นกับบ้านเมือง เจ้าศุขเกษมถึงน้ำตาตลอหลังจากแน่นิ่งฟังเจ้าพ่อเจ้าแม่ ความคิดภายในสับสนบอกไม่ถูก เมื่อคิดถึงประเพณีกับความรัก พลางโพล่งออกมาว่า
"มะเมี๊ยะไม่ได้ทำร้ายใคร ไม่ได้ลบหลู่ใครมะเมี๊ยะเป็นคนดี ข้าเจ้ารักมะเมี๊ยะ มะเมี๊ยะเป็นหัวใจของข้าเจ้า ข้าเจ้าเป็นหัวใจของมะเมี๊ยะ เราเคยสาบานกันต่อหน้าพระธาตุมะระแหม่งว่า ถ้าใครทรยศต่อรักแล้ว ขอให้อายุสั้น ข้าเจ้ารักมะเมี๊ยะเจ้าแม่ "
แต่ทุกสิ่งทุกอย่างก็ไม่เป็นผลดั่งใจเจ้าน้อย เนื่องจากปัญหาบ้านเมืองนั้นน่าวิตกยิ่ง
มะเมี๊ยะได้ถูกเกลี้ยกล่อมให้กลับไปรอเจ้าน้อยที่เมืองมะระแหม่ง มิฉะนั้น บ้านเมืองอาจเดือดร้อน นางได้เอ่ยขึ้นด้วยความเสียใจ และยอมจากไป เพื่อไม่ให้คนที่ตนรักได้รับความเดือดร้อน
"มะเมี๊ยะเห็นใจเจ้าแล้ว มะเมี๊ยะต้องจากเจ้าไป ตลอดชีวิตของมะเมี๊ยะจะไม่ขอเป็นของใครอีก มะเมี๊ยะจะเป็นของเจ้าคนเดียวเท่านั้น มะเมี๊ยะมีใจเดียวรักเดียว จะขอรอเจ้าจวบจนชีวิตดับ"
เสียงมะเมี๊ยะขาดห้วงลง เหมือนมีอะไรมาจุกอยู่ที่คอหอยมิให้พูดต่อไปอีก เจ้าศุขเกษมดึงร่างมะเมี๊ยะกระชับเข้ามาอีก แล้วคร่ำครวญเป็นภาษาพม่าอย่างชัดถ้อยชัดคำ
"สุดที่รักของฉัน ฉันเกิดมามีกรรม เราเคยสาบานกันว่าใครทรยศต่อรักขออย่าให้อายุยืนยาว แล้วฉันก็ต้องทำลายเธอ ทำลายชีวิตเธอทางอ้อมขอกลับไปรอฉันที่บ้านเถิด หากฉันมีบุญวาสนาในวันหน้า ฉันจะไปรับเธอกลับมาอยู่เชียงใหม่จนได้ มะเมี๊ยะจ๋า ฉันจะรักเธอจนวันตาย"
แล้ววันนั้นก็มาถึง วันที่ถูกพลัดพรากจากกันจนชั่วชีวิต มันเป็นเช้าของเดือนเมษายน พ.ศ. ๒๔๔๖
ณ ประตูเมืองที่เนืองแน่นไปด้วยผู้คน ที่อยากเห็นโฉมหน้าของมะเมี๊ยะ ที่ลือกันว่างามนักหนา บรรยากาศเต็มไปด้วยความหดหู่และเศร้าหมอง เมื่อเจ้าน้อยพูดภาษาพม่ากับมะเมี๊ยะได้ไม่กี่คำ นางผู้มีใจรักมั่น ได้ร่ำไห้ด้วยความอัดอั้นตันใจ ในอ้อมแขนที่ยากจะจากกันได้ เวลานั้นก็ล่วงเลยไปมากแล้ว เจ้าน้อยได้รับปากกับมะเมี๊ยะว่า
ตนจะยึดมั่นในคำปฏิญานที่ให้ไว้ต่อหน้าพระพุทธรูป จนกว่าชีวิตจะหาไม่ หากท่านนอกใจมะเมี๊ยะ โดยสมรสกับหญิงอื่น ขอให้ชีวิตของตนประสพแต่ความทุกข์ทรมานใจ แม้แต่อายุ ก็จะไม่ยืนยาว
เจ้าน้อยได้ให้คำมั่นสัญญาว่า ภายในเดือน จะกลับไปหามะเมี๊ยะให้จงได้ แม้จะขึ้นไปบนช้างแล้วก็ตาม มะเมี๊ยะก็ขอลงมาหาเจ้าน้อยอีกจนได้ เธอคุกเข่าลงกับพื้นก้มหน้า สยายผมออกเช็ดเท้าสามีด้วยความรักอาลัย เรียกน้ำตาของเจ้าน้อยไหลลงนองสองแก้ม แล้วก็โผเข้ากอดรัดกันอีก เหตุการณ์ต่อหน้าต่อตาที่คาดไม่ถึง ทำให้ประชาชนทั้งชายหญิงที่มีจิตใจไม่เข้มแข็ง กลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่เหมือนกัน ท้าวบุญสูงต้องอึดอัดใจอย่างยิ่ง เพราะไหนจะปลอบใจให้มะเมี๊ยะกลับขึ้นไปบนหลังช้าง ไหนมะเมี๊ยะจะดึงดันกลับลงมาอีก เป็นหนที่สองวิ่งเข้าสู่อ้อมกอดเจ้าน้อยอีก กว่าขบวนจะออกเดินทางได้ก็เลยกำหนดเวลาไปนานอักโข
เจ้าน้อยยืนเหม่อมองดูจุดเล็กๆ ที่ขยับเขยื้อนเหลียวมองด้านหลังจากบนหลังช้างนั้นตลอดเวลา จนลับจากสายตาจึงยอมกลับสู่คุ้ม
ประชาชนชาวเชียงใหม่ ม่มีโอกาสประสบพบเห็นความรักต่างแดน อันลงเอยด้วยความโศรกสลดรันทดใจมาก่อน และไม่มีโอกาสจะพบเห็นได้อีกแล้วในประวัติศาสตร์ของเวียงพิงค์
เมื่อกลับไปถึงเมืองมะระแหม่งแล้ว มะเมี๊ยะได้แต่เฝ้ารอคอยเจ้าน้อย จนครบกำหนดเดือนที่ท่านได้รับปากไว้ แต่กลับไร้วี่แววใดๆ มะเมี๊ยะ จึงตัดสินใจเข้าพึ่งร่มพุทธจักร ครองตนเป็นชี เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจว่า
นางยังซื่อสัตย์ต่อความรัก ที่มีต่อเจ้าน้อยศุขเกษม
หลังจากที่มะเมี๊ยะ ทราบข่าวการเข้าพิธีมงคลสมรส ระหว่างเจ้าน้อย กับ เจ้าหญิงบัวนวล ณ เชียงใหม่ แม่ชีมะเมี๊ยะจึงเดินทางมายังเมืองเชียงใหม่ และขอพบเจ้าน้อยเป็นครั้งสุดท้าย เพื่อแสดงความยินดีกับชีวิตที่กำลังรุ่งโรจน์ องค์อดีตสวามีผู้เป็นที่รัก ก่อนที่จะตัดสินใจครองตนเป็นแม่ชีไปตลอดชีวิต
แต่เจ้าน้อยศุขเกษม ไม่สามารถหักห้ามความสงสารที่มีต่อมะเมี๊ยะได้ จึงไม่ยอมลงไปพบแม่ชีมะเมี๊ยะตามคำขอร้อง เพียงแต่มอบหมายให้เจ้าบุญสูงพี่เลี้ยงคนสนิท นำเงินจำนวน 80 บาทไปมอบให้แก่แม่ชีมะเมี๊ยะ เพื่อใช้ในการทำบุญ พร้อมกับมอบแหวนทับทิมประจำกายอีกวงหนึ่ง เป็นตัวแทนของเจ้าน้อย ให้ไปกับแม่ชีมะเมี๊ยะ
เหตุการที่เกิดขึ้นทำให้มะเมี๊ยะและเจ้าน้อย ต่างสะเทือนใจเป็นที่สุด
หลังจากเดินทางถึงเมืองมะระแหม่ง มะเมี๊ยะได้ครองชีวิตเป็นแม่ชีตามความตั้งใจ จนกระทั่งถึงแก่กรรม ในปี พ.ศ.2505 รวมอายุได้ 75 ปี
ส่วนเจ้าน้อยศุขเกษมได้รับราชการ เป็นรองอมาตย์โท ร้อยตรี เจ้าอุตรการโกศล (ศุขเกษม) ส่วนชีวิตสมรสของเจ้าน้อยก็ไม่มีความสุข ต้องแยกทางกันกับ เจ้าหญิงบัวนวล ณ เชียงใหม่ เจ้าศุขเกษมติดสุราอย่างแรง จนกระทั่ง...ตรอมใจ วายชนม์ เมื่ออายุได้ 30 ปี
" แม้มิได้เป็นมหาสมุทรกว้าง ขอเป็นทะเลก็พอใจฉัน แม้มิได้เป็นเหมือนดวงตะวัน ขอเป็นจันทร์เจิดแจ่มแอร่มดู "
ที่มา http://www.imahnoi.com/board/index.php?showtopic=2689
จากคุณ :
ปะหล่อง
- [
วันเข้าพรรษา 19:01:46
]
|
|
|