CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangTorakhongGameRoom


    [AF3]**จากดอย..ไป..สู่ดาว ของเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง****

    กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว..

    มีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งถือกำเนิดขึ้นมาบนความแตกต่างของสังคม แต่เป็นความลงตัวของความรักของคนสองเชื้อชาติ ในเมืองที่มีแต่ความสุขสงบ บนยอดดอยที่สูงเสียดฟ้า

    “การที่หนูเกิดมา เป็นความรับผิดชอบของคนสองคน แต่การทำให้หนูเติบโตเป็นคนดีที่ทุกคนรักได้ ดูเหมือนแม่จะต้องเป็นคนที่รับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว” ผู้หญิงรูปร่างผอมบางกล่าวกับเด็กทารกน้อยที่อยู่ในอ้อมอก

    “แม่เปลี่ยนแปลงชะตากรรมของตัวเองไม่ได้ แต่แม่กำหนดชะตากรรมของลูกได้” ผู้หญิงคนนั้นกล่าวทั้งน้ำตา

    จากวันนั้นเป็นต้นมา เด็กหญิงตัวน้อยในอ้อมอกแม่ก็เติบโตขึ้นเรื่อยๆ เป็นเด็กหญิงหน้าตาน่ารัก มองโลกในแง่ดี เป็นมิตรกับทุกคน เป็นตุ๊กตาตัวน้อยของแม่ เป็นตุ๊กตาที่น่ารักของคุณครู และเป็นตุ๊กตาหน้าทะเล้นของเพื่อนๆ ที่รู้จักเธอ

    ทุกคนรักเธอ เพราะเธอเข้ามาสนองทุกอารมณ์ที่พวกเขาอยากให้เธอเป็น เหมือนตุ๊กตาไขลานที่พูดได้ หัวเราะได้ ร้องไห้ได้

    แม้ในโลกนี้จะมีคนที่เป็นที่รักและเป็นที่ชังของคนหมู่มาก แต่น้อยคนนักจะเกลียดตุ๊กตา โดยเฉพาะตุ๊กตาที่ปั้นหน้าได้ทุกอารมณ์ ใครเห็นใครก็รักอยากเล่นด้วยอย่างเช่นเด็กหญิงคนนี้

    และแล้วในคืนวันหนึ่ง ขณะที่เด็กหญิงกำลังนั่งระบายสีภาพวาดอยู่ที่หน้าระเบียงบ้าน ทันใดนั้นก็มีแสงสีเงินแวววับพุ่งผ่านความมืดเข้ามาอยู่ใต้ชายคาบ้าน ทำให้เด็กหญิงตกใจจนทำดินสอสีไม้หล่นจากมือ

    “นั่นอะไรน่ะ” เด็กหญิงมองดูแสงสีเงินเป็นประกายแวววาวที่ลอยอยู่ตรงหน้า มันกระพริบถี่ๆ วูบวาบๆ จนเมื่อสายตาเริ่มชินกับแสง ก็เห็นว่า เป็นแสงที่เปล่งประกายออกมาจากตุ๊กตาตัวเล็กๆ ที่มีปีกบินได้

    “ฉันเป็นนางฟ้าที่อยู่บนดอยนี้มาหลายร้อยปีแล้ว ฉันเฝ้าดูเธออยู่ทุกวี่ทุกวัน” เสียงใสๆ เปล่งออกมาจากปากของตุ๊กตาผู้หญิงหน้าตาสวยเหมือนนางฟ้าในเทพนิยาย

    เด็กหญิงเปลี่ยนท่าทีจากตกใจมาเป็นหัวเราะเบาๆ เธอชอบฟังนิทานก็จริงแต่นี่น่าจะเป็นความฝันที่ใกล้เคียงกับความจริงมากที่สุด นึกอยากจะจับตุ๊กตาในฝันมาเล่น จึงเอื้อมมือออกไป

    “อ๊ะ..อย่านะ ฉันไม่ใช่ของเล่นนะ” นางฟ้าบินหลบได้อย่างหวุดหวิด

    นั่นยิ่งทำให้เด็กหญิงนึกสนุก วิ่งไล่จับนางฟ้าที่เธอเข้าใจว่า อยู่ในความฝันเป็นพัลวัน

    แต่ไล่จับเท่าไรก็จับไม่ได้ นางฟ้าบินโฉบไปโฉบมารอบๆ ตัวเธอ พยายามอธิบายอย่างไรเธอก็ไม่ฟัง จนกระทั่งเด็กหญิงเหนื่อยอ่อนและนั่งลงที่สนามหญ้า

    “เมื่อไรฉันจะตื่นซักที ฉันคงหลับไปนานมากแล้ว” เด็กหญิงบ่นกับตัวเอง

    “เธอไม่ได้หลับหรอก เธอเห็นนางฟ้าจริงๆ และฉันก็ไม่แปลกใจเลยที่เธอนึกเช่นนั้น เธอเห็นอะไรเป็นของสนุกสนานไปเสียหมด” นางฟ้าบินลงมาต่ำแล้วกล่าว เด็กหญิงมองจ้องเหมือนอยากจะลองฉกอีกสักครั้ง

    “เธอเป็นนางฟ้าจริงๆ เหรอ”

    “อืมม์..ใช่ ฉันอยู่บนดอยนี้มานานมากแล้ว เฝ้าดูเธอมาตั้ง 18 ปีแล้วนะ ถึงเวลาเสียทีที่จะต้องปรากฏตัวให้เธอเห็น”

    “ทำไมฉันไม่เคยเห็นเธอเลย” เด็กหญิงเริ่มเชื่อบ้างแล้ว อดไม่ได้ที่ขนจะลุกซู่

    “เพราะฉันไม่เคยปรากฏตัวให้ใครเห็นน่ะสิ”

    “แล้วทำไมต้องให้ฉันเห็นด้วยล่ะ”

    “เพราะเธอเป็นคนแรกที่ทำให้ดอยแห่งนี้ชุ่มชื่นไปด้วยความสุข สนุกสนาน เธอทำให้นางฟ้าอย่างฉันหัวเราะได้แทบทุกวัน หลังจากที่ดอยแห่งนี้เงียบสงบมาช้านาน จนฉันคิดว่า เรามีแต่เด็กที่เกิดขึ้นมาเพื่อร้องไห้เมื่อเขาไม่ได้สิ่งที่ต้องการ และหัวเราะเมื่อได้สิ่งที่เขาต้องการแล้วเท่านั้น แต่เธอได้ทำทุกสิ่งที่ตรงกันข้ามกับเด็กคนอื่นๆ ได้ทั้งหมด” นางฟ้ากล่าวแล้วยิ้ม

    “เธอจะมาเอาฉันไปเล่นตลกบนท้องฟ้าเหรอ” เด็กหญิงทำหน้าเหรอหรา

    “เปล่า..ไม่ใช่” นางฟ้าสั่นศีรษะ นั่งลงบนบ่าของเด็กหญิง ชี้คฑาไปที่เชิงเขาด้านล่าง มันปรากฏเป็นแสงสีงดงามเต็มไปหมด เสียงดนตรีจากบทเพลงไพเราะหลายบทดังประสานกันเป็นบทเพลงเดียว

    “โอ้ว..ว” เด็กหญิงอุทานออกมาอย่างไม่เชื่อสายตา ยกมือทั้งสองข้างขึ้นแนบแก้ม

    “ข้างล่างนั่นมีคนแบบเธอหลายคนที่คอยสร้างสรรค์ความสุข เสียงหัวเราะและความบันเทิงไม่รู้จบ แต่ฉันลงไปเที่ยวมาหมดแล้ว มีไม่กี่คนในจำนวนนั้นที่สามารถเป็นทุกสิ่งทุกอย่างได้ในคนๆ เดียวกันได้อย่างที่เธอทำ ฉันจึงอยากจะส่งเธอลงไปข้างล่างนั่น ไปเป็นดาวประดับความศิวิไลซ์ไง บนดอยนี้..เล็กเกินไปที่จะรองรับความสุขที่เธอหยิบยื่นให้กับทุกคน”

    “แล้วฉันจะไปได้อย่างไร ตัวคนเดียวหรือ”

    “เมื่อเวลานั้นมาถึง..เธอจะไปตัวคนเดียว พร้อมพรสามประการที่ได้จากคนที่เธอรัก”

    แสงไฟที่หลากสีสันค่อยๆ ดับไปทีละดวงสองดวง เสียงดนตรีก็เริ่มแผ่วเบาลงไปเรื่อยๆ จนในที่สุด เบื้องล่างก็มีแต่ความมืดและความเงียบ

    เด็กหญิงตื่นขึ้น เมื่อถูกเขย่าตัวและได้ยินเสียงดุ

    “นอนฟุบกับพื้นอีกแล้ว เข้าไปนอนข้างในบ้านเดี๋ยวนี้เลยนะ”

    เด็กหญิงงัวเงียลุกขึ้นนั่ง เอามือขยี้ตาก่อนจะหยิบสมุดวาดเขียนและกล่องดินสอสีเดินตามผู้เป็นแม่เข้าไปในบ้าน

    **********************

    เช้าวันต่อมา..
    เด็กหญิงก็กล่าวกับเพื่อนสนิทที่เรียนอยู่ด้วยกันว่า..

    “พรุ่งนี้ฉันจะลงจากดอย ไปตามเส้นทางของความฝัน เพื่อปั้นตัวเองให้เป็นดาวประดับฟ้า”

    เพื่อนๆ พากันตกตะลึง ต่างสอบถามเธอกันยกใหญ่ เธอจึงเล่าความฝันให้เพื่อนๆ ฟัง ทุกคนแสดงความเป็นห่วง กลัวว่า เธออาจจะถูกหลอก ถูกล่อลวง เพราะแสงสีของเมืองใหญ่เป็นพิษเป็นภัยกับผู้หญิงสวยๆ ทุกคน

    “แต่ก็ไม่ใช่ผู้หญิงสวยๆ ทุกคนต้องตกเป็นเหยื่อของแสงสี มีบางคนได้เป็นดาวประดับฟ้า” เด็กหญิงกล่าว

    เมื่อไม่มีใครหาเหตุผลทัดทานได้แล้ว เด็กหญิงจึงกล่าวกับเพื่อนๆ ทุกคนว่า..

    “พวกเธอมีพรวิเศษอะไรมอบให้ฉันนำไปใช้ตามหาฝันในเมืองใหญ่ไหม”

    เพื่อนๆ ช่วยกันคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงตอบว่า..

    “ความสามารถเธอก็มีแล้ว ความสวยเธอก็มีแล้ว งั้นพวกเราขอพรให้เธอมีความร่าเริง แจ่มใสตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงไปกับเธอด้วยนะ”

    เด็กหญิงให้สัญญากับเพื่อนๆ ด้วยการแปะมือกับเพื่อนๆ ทุกคน

    ก่อนกลับบ้าน เด็กหญิงเดินไปลาครูที่เธอรักมากที่สุด เล่าเรื่องนางฟ้าและความฝันให้ครูฟัง

    คุณครูทำหน้านิ่วอยู่นานหลังจากฟังเรื่องราวเสร็จ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มให้กำลังใจ

    “คุณครูมีพรวิเศษให้หนูนำไปตามหาฝันในเมืองใหญ่ไหมคะ” เด็กหญิงทวง

    คุณครูคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบกลับว่า..

    “ความสามารถเธอก็มีแล้ว ความสวยเธอก็มีแล้ว ความร่าเริงแจ่มใสเธอก็มีแล้ว งั้นครูขอให้สิ่งที่อบรมสั่งสอนเธอมาตลอดเวลานั่นคือ มารยาทและการวางตัวที่เหมาะสมกับโอกาส”

    เด็กน้อยยิ้มรับ แม้จะยังแคลงใจอยู่ว่า พรนี้จะช่วยทำให้เธอตามล่าความฝันได้จริงๆ หรือ

    เมื่อกลับไปถึงบ้าน..
    หลังจากอาหารเย็นแล้ว เด็กหญิงก็เดินเข้าไปหาแม่ของเธอ เล่าเรื่องนางฟ้าที่พบเห็นให้แม่เธอฟัง

    แม่ของเธอนั่งนิ่งอยู่พักหนึ่งซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เด็กหญิงกังวลใจ ถ้าเม่ของเธอไม่เชื่อเรื่องนางฟ้า เธอคงไม่อาจขัดแย้งได้เหมือนที่ทำกับเพื่อน

    สีหน้าของคุณแม่มีความกังวลมากกว่าเธอเสียอีก แต่ก็มีรอยยิ้มเผยออกมาในที่สุด

    “แม่เชื่อเรื่องนางฟ้าของหนูแล้วใช่ไหมคะ” เด็กหญิงแสดงอาการตื่นเต้น ยินดี

    “เรื่องนางฟ้าแม่ไม่เชื่อหรอกจ้ะ แต่..แม่เชื่อในตัวของลูกมากกว่า” หญิงวัยกลางคนกล่าวพร้อมกับเอามือลูบศีรษะเด็กหญิงอย่างเอ็นดู

    เมื่อคุณแม่อนุญาตให้ลงจากดอยไปตามล่าฝันได้แล้ว เด็กหญิงก็ขอพรข้อสุดท้ายจากแม่..

    “คุณแม่มีพรวิเศษอะไรมอบให้หนูเอาไปใช้ในการตามหาฝันในเมืองใหญ่ไหมคะ”

    คุณแม่ตอบในทันทีโดยไม่ต้องคิดว่า..

    “พรวิเศษแม่ได้มอบให้ลูกตั้งแต่เกิดแล้วล่ะ เพียงแต่ลูกอาจไม่รู้ว่ามันวิเศษกว่าคนอื่น”

    เด็กหญิงยิ้มรับอย่างงงๆ พยายามถามเท่าใดก็ได้รับคำตอบเช่นเดิม

    ***********

    จากคุณ : มุมเล็กๆ ที่ไม่มีใครสนใจ - [ 30 ส.ค. 49 17:27:34 A:124.120.136.81 X: TicketID:018238 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | PanTown.com | BlogGang.com