ความคิดเห็นที่ 1 ตอนที่ 2: มรดกแห่งความหนักหน่วงของฮาร์ดร็อคจากกลางยุค 60’s ---------------------------------------------------------------------- ในช่วงปลายทศวรรษที่ 50  ยอดชายนายอเมริกันชนคนดนตรีผู้มีชื่อว่า Link Wray ได้เกิดอุตริความคิดในการแทงดินสอแหลมๆเข้าไปที่เครื่องขยายเสียง ผลลัพธ์ที่ออกมาจากความห้าวและซุกซนในครั้งนั้นคือ การจุดประกายการทดลองสร้างเสียงเอฟเฟ็คให้กับกีต้าร์เป็นครั้งแรก บทเพลงชื่อ “Rumble” (1958) ของเขาถูกบันทึกไว้ในฐานะของการทดลองใช้เสียงแปร่ง แต๊ว..แต่วๆ..ตะแหง่วๆ ให้กับลำโพง (Distortion Amplification) คนแรกๆ ของโลก (Wray เพิ่งเสียชีวิตไปในวัย 76 ปีเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2005) ต่อมาในช่วงกลางทศวรรษที่ 60 วงดนตรี The Kinks ได้ลอกเลียนอุตริดำริของ Wray โดยการใช้มีดโกนกรีดไปที่เครื่องขยายเสียงบ้าง นั่นทำให้บทเพลง “You Really Got Me” (1964) ของพวกเขาเบิกทางให้เกิดการประดิษฐ์อุปกรณ์ควบคุมการสร้างเสียงแปร๊วแปร่ว (Distorted) ได้โดยการเหยียบแผ่นโลหะที่พื้นในเวลาต่อมา ส่วนเทคนิคการสร้างเสียงฟี๊ดแบ็ค (Feed Back) นั้นไม่ต้องมีใครคิดค้นอะไรให้ยุ่งยากกระบาลนักประดิษฐ์ เพราะสี่สหายเต่าทอง (The Beatles) รู้กลเม็ดเด็ดรูหูอันนี้ดี โดยพวกเขาก็แค่ให้จอร์จดีดกีต้าร์สักหนึ่งคอร์ด แล้วก็ไปยืนอวดอาวุธคู่กายตัวเก่งอยู่หน้าตู้แอมป์เท่านั้น ก็สามารถทำให้บทเพลง “I Feel Fine” (1964) ของพวกเขาฮิตแบบมีสไตล์ได้แล้ว เช่นเดียวกับบทเพลง "My Generation" (1965) ของวง “ใครว่ะ” (The Who) และตามมาด้วยเพลง "Shapes of Things" (1966) ของวง Yardbirds วงดนตรีที่เคยถูก G3 ยุคแรกของวงการร็อค อย่าง Eric Clapton, Jeff Beck และ Jimmy Page ผลัดเปลี่ยนเวียนกันมาสะบัดกีต้าร์สำเนียงบริติซบลูส์ร็อคให้แล้วจนครบ! แล้วไอ้เจ้าเทคนิค Distortion และ Feedback ที่นักดนตรีร็อครุ่นลุงรังสรรค์กันขึ้นมานี้ ถือเป็นอัตลักษณ์แห่งเสียงกีต้าร์ที่แตกต่างไปจากร็อคสายอื่นๆ ก่อนหน้านี้อย่างชัดเจน และเป็นจุดเริ่มของการใช้ คอร์ดพลัง (Power Chord) ซึ่งสร้างซาวด์ที่ทั้ง “หนัก” ทั้ง “หนา” ให้กับดนตรีแนวฮาร์ดร็อคและเฮฟวี่ เมทัลในเวลาต่อมา แก้ไขเมื่อ 17 ก.ย. 49 20:07:58 จากคุณ : Younger Pat - [ 17 ก.ย. 49 20:07:34 ]

ความคิดเห็นที่ 2 แต่หากจะมีนักดนตรีสักคนที่คู่ควรได้รับการขนานนามว่าเป็นนักดนตรีเฮฟวี่ เมทัลคนแรกของโลกแล้ว คุณปู่ปีศาจคนดังอย่าง Alice Cooper สมควรได้เครดิตอันนี้ไปครอง ในช่วงปี 1965 ปู่แกยังเป็นที่รู้จักในนามของผู้นำวง “ไอ้แมงมุม” (The Spiders) ก่อนปู่จะมาตกผลึกดนตรีหูเหล็กได้ในอีก 6 ปีต่อมากับบทเพลงคลาสสิกที่สร้างความตะลึงรานให้กับโลกอย่าง “Love It to Death” (1971) อันเป็นที่มาของดนตรีแนวช็อคร็อค (Shock Rock) ของคุณปู่โหดในเวลาต่อมา แก้ไขเมื่อ 18 ก.ย. 49 11:43:07 จากคุณ : Younger Pat - [ 17 ก.ย. 49 20:09:02 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ย้อนกลับไปในช่วงปลายทศวรรษที่ 60 แม้ว่าคนหนุ่มสาวชาวร็อคส่วนใหญ่ในช่วงเวลานั้นกำลังอยู่ตกอยู่ในห้วงภวังค์ฝันของ “คิมหันต์รัก” (Summer of Love) แห่งวัฒนธรรมบุปผาชน  แต่ในช่วงเวลานี้เองก็เกิดวงดนตรีแนวฮาร์ดร็อคขึ้นมากมายราวดอกเห็ดพิษ ที่ดังๆก็อย่างวง Cream, Jimi Hendrix Experience, Led Zeppelin, Iron Butterfly, Steppenwolf, Deep Purple, Grand Funk Railroad, Free, Uriah Heep, Mountain, Humble Pie, MC5, Cactus และ Black Sabbath! แก้ไขเมื่อ 18 ก.ย. 49 11:26:47 จากคุณ : Younger Pat - [ 17 ก.ย. 49 20:10:40 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ที่สำคัญคือ ได้เกิดคำว่า “เหล็กหนักโคตร” หรือเฮฟวี่ เมทัล (Heavy Metal) ขึ้นในช่วงนี้เอง แม้ว่าในหมู่นักประวัติศาสตร์ดนตรีร็อคจะโต้แย้งกันมากว่า คำว่า Heavy Metal เอามาจากที่ใดกันแน่ แต่หากพิจารณาจากเหตุปัจจัยในวงการร็อคในยุคนั้นด้วยกันแล้ว เป็นไปได้มากว่าคำว่าเฮฟวี่ เมทัลมีที่มาจาก 2 แหล่งด้วยกัน โดยหนึ่งนั้นมาจากชื่อของอัลบั้ม “Heavy” (1968) ของวง “ผีเสื้อเหล็ก” (Iron Butterfly) และอีกหนึ่งนั้นมาจากวลี “Heavy Metal Thunder” ที่ปรากฏอยู่ในบทเพลงคลาสสิกของเหล่าบรรดาขาซิ่งมอเตอร์ไซด์ฮาร์เล่-เดวิดสันอย่างเพลง "Born to Be Wild" เอ้า..”บอร์น ทู บี วา..อ่า..อา..ไอลด์...”อันเป็นบทเพลงขึ้นหิ้งของวง “สุนัขทะเลทราย“ (Steppenwolf) โดยคำว่า Steppes นั้นหมายถึงที่ราบในไซบีเรียซึ่งมีภูมิประเทศเป็นทะเลทรายนั่นเอง แก้ไขเมื่อ 19 ก.ย. 49 19:07:46 จากคุณ : Younger Pat - [ 17 ก.ย. 49 20:11:20 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ผมต้องขอออกนอกเรื่องราวจากเฮฟวี่ เมทัลสักเล็กน้อยนะครับ แต่ก็ยังมีส่วนสำคัญและเกี่ยวพันกันในแง่ของประวัติศาสตร์ดนตรีของคนหนุ่มสาวในปลายทศวรรษที่ 60 “คิมหันต์รัก” (Summer of Love) นั้นถือได้ว่าเป็นปรากฏการณ์ทางสังคมซึ่งเกิดขึ้นในช่วงฤดูร้อนของปี 1967 ในเขต Haight-Ashbury ของซานฟรานซิสโก หนุ่มสาวแห่งยุคสมัยชนมวลหมู่ดอกไม้ หรือ บุปผาชน (Flower Children) ผู้ซึ่งเบื่อหน่ายความฟุ้งเฟ้อในวัตถุนิยมจัดโคตรๆของคนเมืองอเมริกันในยุคนั้น จำนวนมากกว่า 2 แสนคนต่างเดินทางสู่ Gloden Gate Park ซึ่งตั้งอยู่ ณ สถานที่แห่งนี้ เพื่อเข้าร่วมแลกเปลี่ยนและซึมซับประสบการณ์วัฒนธรรมฮิปปี้ (Hippie Counterculture) จากกันและกัน ถือเป็นยุคสมัยที่รุ่มรวยด้วยสำนึกแห่งมนุษยชาติ (Human Be-In) ที่เกิดจากพลังของคนหนุ่มสาวมากที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์การเคลื่อนไหวทางสังคม ก่อนที่ในอีก 2 ปีถัดมาจะเกิดมหกรรมดนตรี  Woodstock ที่ยิ่งใหญ่ขึ้นในกรุงนิวยอร์ค แก้ไขเมื่อ 18 ก.ย. 49 11:28:32 จากคุณ : Younger Pat - [ 17 ก.ย. 49 20:14:02 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ในช่วงเวลานั้น John Phillips แห่งวง “พ่อกะแม่” (The Mamas and the Papas) ใช้เวลา 20 นาทีในการประพันธ์บทเพลงแห่งความทรงจำชื่อ “San Francisco” ซึ่งมีเนื้อความที่งดงามมากตอนหนึ่งว่า If you're going to San Francisco, (หากคุณกำลังจะไปซานฟรานซิสโก) be sure to wear some flowers in your hair... (ขอให้ร้อยบุปผาไว้บนศีรษะของคุณด้วย) If you come to San Francisco, (หากคุณมาถึงยังซานฟรานซิสโกแล้ว) Summertime will be a love-in there. (คิมหันต์ฤดูจะโอบล้อมคุณด้วยรัก) ว้าว....ซึ้งซะ! Scott McKenzie ได้ขับร้องบทเพลง “San Francisco” เพลงนี้เพื่อใช้โปรโมตงาน Monterey Pop Festival ซึ่งถือเป็น Rock Festival ครั้งสำคัญครั้งแรกๆ ของโลกที่จัดขึ้นภายใต้ปรากฏการณ์ “คิมหันต์รัก” (Summer of Love) ในครั้งนั้น และทำให้บทเพลงๆนี้ยังคงความไพเราะและเป็นอมตะมาจนถึงปัจจุบัน แก้ไขเมื่อ 18 ก.ย. 49 12:22:03 จากคุณ : Younger Pat - [ 17 ก.ย. 49 20:15:56 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ทัศนคติความคิดต่อต้านยุคสมัยวัตถุนิยมโดย การใช้ชีวิตรวมหมู่ (Communal Living) การเฝ้าระวังด้านสิ่งแวดล้อม (Ecological Awareness) และ จิตสำนึกต่อส่วนรวม (Consciousness) ถือเป็นองค์ความคิดใหญ่ของหนุ่มสาวบุปผาชนในสมัยนั้น ซึ่งก็ได้ส่งทอดต่อๆกันมายังหนุ่มสาวในกลุ่มเด็กทำกิจกรรมทางสังคมในปัจจุบันด้วย ในช่วงเวลานั้นแม้จะมีด้านมืดแห่งวัยฉกรรจ์เรื่องการเสพยากันอย่างมโหฬาร แต่การที่มีคนเป็นแสนๆ คนเข้าร่วมติดต่อกันเป็นเวลาหลายๆวัน โดยไม่มีปัญหาทะเลาะวิวาทใช้ความรุนแรงและอาชญากรรมเลยนั้น มิใช่เรื่องที่จะเกิดขึ้นได้ง่ายๆ กับคนหนุ่มสาวในยุคนี้ (ปรากฏการณ์คล้ายกันนี้เกิดขึ้นอีกครั้งในเมืองไทยในช่วงที่ผ่านมา นั่นคือการชุมนุมติดต่อกันเป็นเดือนๆ ของเหล่าบรรดาคนแก่ อาเฮีย อาซ้อ รวมถึงชนชั้นกลางในกรุงเทพเป็นแสนๆ คน โดยไม่เกิดความรุนแรงเลยแม้แต่น้อย เพื่อร่วมกันต่อต้านใครบางคนที่ขายธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเรื่องความมั่นคงของชาติให้สิงคโปร์โตก พ่องมัน! จนกินเนสต์บุ๊คต้องบันทึกเรื่องราวนี้อีกครั้ง-- ขออนุญาตกัดเล็กน้อย เดี๋ยวจะไม่ใช่บทความของนัย Younger Pat ครับ (ฮา)) จากคุณ : Younger Pat - [ 17 ก.ย. 49 20:17:19 ]

ความคิดเห็นที่ 8 โอเค..เรากลับมาเรื่องหูเหล็กดีกว่า (ฮา) ในหมู่วงดนตรีฮาร์ดร็อคในปลายยุค 60’s นั้น ต้องถือว่าวง “ครีม” (Cream) ซึ่งเป็นทริโอ้กรุ๊ฟที่มียอดชายนายสโลแฮนด์อย่าง Eric Clapton เป็นมือกีต้าร์นั้นนับว่าประสพความสำเร็จอย่างสูงยิ่ง บทเพลงอย่าง “แสงสว่างกลางใจรักจากเธอ”...อ้วกกก! (Sunshine of Your Love) อันประกอบไปด้วยเสียงร้องที่ทรงพลัง และท่อนริฟฟ์กีต้าร์พาวเว่อร์คอร์ดแห่งความทรงจำ (ถูกจัดอยู่ในอันดับสองของบางโพลสำรวจ เป็นรองแค่อันดับหนึ่งตลอดกาลอย่างเพลง “ควันไฟในนที” (Smoke on the Water) ของวง “ม่วงมหากาฬ” (Deep Purple)) หรือบทเพลง “ห้องสีขาว” (White Room) ซึ่งมีการใช้เทคนิค wah wah นั้นก็ถือเป็นสองบทเพลงขึ้นหิ้งในประวัติศาสตร์ร็อคที่ทรงอิทธิพลทางดนตรีอย่างมากต่อวงฮาร์ดร็อคในรุ่นต่อๆมา แต่การใช้เทคนิควาห์วาห์กับกีต้าร์ในการบันทึกเสียงอย่างเป็นทางการครั้งแรกนั้น มีบันทึกไว้ว่าเป็นคุณปู่คันทรี่ Chet Atkins ที่เอามาใช้บรรเลงในอัลบั้ม "Boo Boo Stick Beat" (1961) ของแกต่างหาก แก้ไขเมื่อ 17 ก.ย. 49 20:21:26 จากคุณ : Younger Pat - [ 17 ก.ย. 49 20:18:53 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ในช่วงปลายยุค 60’s ยังมีอีกวงหนึ่งที่สามารถเทียบชั้นทาบรัศมีกับวงครีมได้คือวง Jimi Hendrix Experience ที่นำโดยนักกีต้าร์ผู้มีใบหน้า (รวมถึงปากห้อย) ละม้ายนายเธียร์รี่ อองรีแห่งทีมปืนใหญ่อาร์เซนอล..โดยในอัลบั้มที่มีชื่อว่า “ตัวเองมีประสบการณ์แล้วหรือยัง..กิ๊วๆ?“ (Are You Experience?) ในปี 1967 ซึ่งมีบทเพลงดังอย่าง “หมอกสีม่วง” (Purple Haze) หรืออัลบั้ม “Bold As Love” ในปีเดียวกันที่มีเพลงอมตะ “ปีกน้อย” (Little Wing) รวมถึงอัลบั้ม “แดนดินสตรีไฟฟ้า(แรงสูง)” (Electric Ladyland) ในปี 1968 ก็มีบทเพลงมันส์โคตรด้วยเทคนิควาห์วาห์เช่นกันชื่อเพลง “ไอ้กุมารทอง” (Voodoo Child (Slight Return)) ของจิมิ เฮนดริกซ์ เหล่านี้ล้วนเป็นไฮไลต์ที่เกิดขึ้นในช่วงปลายทศวรรษที่ 60 ซึ่งสถาปนาให้นาย James Marshall "Jimi" Hendrix ขึ้นเป็นฮีโร่กีต้าร์รุ่นบุกเบิกของชาวร็อคอย่างแท้จริง! จากคุณ : Younger Pat - [ 17 ก.ย. 49 20:23:07 ]

ความคิดเห็นที่ 10 จบละ โปรดติดตาม Heavy Metal Age: เมื่อร็อคหนักแน่นดุจภูผาถล่มถลาย (3) ตอนที่ 3: สามวงยักษ์รุ่นแรกที่ทรงอิทธิพลต่อเมทัลรุ่นต่อมา Heavy Metal Age: เมื่อร็อคหนักแน่นดุจภูผาถล่มถลาย (1) http://www.pantip.com/cafe/chalermkrung/topic/A4673116/A4673116.html แก้ไขเมื่อ 18 ก.ย. 49 11:24:33 แก้ไขเมื่อ 17 ก.ย. 49 20:29:32 จากคุณ : Younger Pat - [ 17 ก.ย. 49 20:26:31 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ดูบอลจบแล้วค่อยมาอ่าน อ่านจบแล้ว ชอบๆ เยี่ยมครับสนุกกว่าภาคแรกอีก โดยเฉพาะ #7 อุอุ ถุจาย พูดถึงเพลง San Francisco แล้วคิดถึงตอนเด็ก ชอบมั่วเพลงนี้ แก้ไขเมื่อ 18 ก.ย. 49 02:46:18 จากคุณ : ID.2.CU - [ 17 ก.ย. 49 20:53:23 ]

ความคิดเห็นที่ 12 ยาวดีจังเฮีย ขอเซฟไว้ก่อนนะ จากคุณ : 5150_b - [ 18 ก.ย. 49 10:08:02 ]

ความคิดเห็นที่ 13 อ่านเพลินดีจังเลยครับ ชอบมาำกเลบ ขอบคุณพี่ Younger Pat ที่มีบทความดีๆมาให้ได้อ่านประดับความรู้ จากคุณ : โตนิค - [ 18 ก.ย. 49 11:10:32 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ขอบคุณสำหรับบทความคะ....อ่านเพลินเลย เดี๋ยวจะกลับไปอ่านตอนที่ 1 ยังไม่ได้อ่านเลย// จากคุณ : marinesnow - [ 18 ก.ย. 49 18:47:18 ]

ความคิดเห็นที่ 15 ขอบคุณครับ อ่านสนุก สำนวนเจ๋ง ข้อมูลแน่นปึ๊ก แต่ มีหลายเรื่องที่คลาดเคลื่อนกับความเข้าใจของผม เช่น Led Zeppelin Grand Funk Railroad Black Sabbath เป็น Hard Rock ? ดนตรี Heavy Metal นิยามจากชื่ออัลบั้ม Heavy/Iron Butterfly ? ช่วย Confirm ด้วยครับ ว่าข้อมูลเหล่านี้นำไป Reference ได้ ผมจะได้เก็บไปโม้ต่อ อิอิ จากคุณ : เจ็บ...วาย - [ 19 ก.ย. 49 11:21:29 A:124.121.73.120 X: TicketID:114114 ]

ความคิดเห็นที่ 16 มันมี overlapping ในแนวดนตรีที่เป็นช่วงรอยต่อ (transition) ระหว่าง hard rock จากยุคปลายยุค 60 ถึงกลางยุค 70 กับ heavy metal ในยุคกลาง 70 ถึง ตลอดยุค 80 ครับ วงอย่าง deep purple และ black sabbath เอง บางเพลงก็เป็น hard rock บางเพลงก็หนักหน่วงเป็น heavy metal ยุคแรกๆครับ แต่ถ้าจะถามว่า เอาอะไรมาวัด ผมที่ไม่ใช่นักวิชาการด้านดนตรี มิใช่ผู้ทรงความรู้ทางดนตรี ผมก็ต้องตอบแบบกำปั้นทุบดินเลยว่า ใช้ความรู้สึกครับ! แล้วไอ้ความรู้สึกของผม มันก็อาจไม่ค่อยเหมือนของคนอื่นไปเสียทุกด้านแน่ๆ (ฮา) ความจริง ผมว่ามันก็ไม่สำคัญนักว่า มันจะ hard rock หรือ heavy metal เพราะ ขอให้ตัวเพลงออกมาดี มีคุณค่าก็พอ วงอย่าง scorpions อาจเล่น rock you like a hurricane เป็น heavy metal แต่เล่น lady starlight เป็น hard rock ก็ได้ ผมรักทั้งสองเพลง คิดไปก็ปวดหัวครับเรื่องนี้ อาจต้องถามนักวิชาการตัวจริง เขาอาจมี criterion มาใช้แบ่งแนวดนตรีทั้งสองก็ได้นะครับ แต่คงไม่ใช่ผมแน่ๆ คำตอบคงทำให้คุณเจ็บ..วายผิดหวัง -_-' ------------------------------------------------- ส่วนที่มาของคำว่า heavy metal ผมอยากให้กลับไปอ่านข้อความที่ผมปรับปรุงใหม่ใน คห. 4 อีกครั้งครับ ในข้อความเดิมผมคงเขียนสั้นไป เลยทำให้ผู้อ่านเข้าใจผิดไป ขอโทษด้วยครับ แก้ไขเมื่อ 19 ก.ย. 49 19:11:16 จากคุณ : dinosaur of rock'n'roll (Younger Pat) - [ 19 ก.ย. 49 14:37:06 ]