CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangTorakhongGameRoom


    "How does it feel?"

    “Judas!!” เสียงตะโกนจากแฟนเพลงคนหนึ่งใน Manchester Hall ดังก้องขึ้นมาบนเวที แน่นอนว่า บ๊อบ ดีแลนได้ยินมัน ความหมายก็คือเขาคิดว่าดีแลนทำตัวเป็นผู้ทรยศต่ออุดมการณ์ตัวเองและแฟนเพลง สามปีที่ผ่านมาเขาคือพระเจ้าแห่งดนตรีโฟล์ค เนื้อหาที่งดงามและลึกซึ้งถูกขับร้องผ่านเสียงที่เหน่อกร้านไม่เหมือนใคร กีต้าร์โปร่ง และหีบเพลงปาก ดีแลนต้องการแค่นั้นสำหรับดนตรีของเขา และนั่นเป็นสิ่งที่แฟนเพลงผู้ซื่อสัตย์ไม่อยากให้มีการเปลี่ยนแปลง การแสดงคืนนั้นบ๊อบก็ไม่ได้ทำร้ายจิตใจแฟนเพลงอนุรักษ์นิยมเสียทีเดียว บ๊อบก็เปิดการแสดงในช่วงแรกด้วยแนวโฟล์คกีต้าร์โปร่งแบบเดิมๆ ก่อนที่เขาจะกลับมาในเซ็ทหลังด้วยลีลาร็อคเต็มขั้นที่ดิบและดังชนิดที่แฟนเพลงในยุค1965ต้องกระอัก

    “I don’t believe you.” ดีแลนคำรามตอบแฟนเพลงกลับลงไป “You’re a liar!” บ๊อบสำทับต่ออีกประโยค ก่อนที่จะหันกลับไปบอกลูกวงของเขาเบาๆพอได้ยินว่า “เล่นแม่งให้ดังสุดๆไปเลยเว้ย”

    Like A Rolling Stone คือเพลงสุดท้ายสำหรับคืนนั้นซึ่งผู้ชมส่วนใหญ่หรือเกือบทั้งหมดไม่เคยได้ยินเพลงนี้มาก่อน เพราะมันยังไม่ได้ออกขายในตอนนั้น เมื่อพวกเขาถล่มเวทีด้วยพลังเสียงอันเกรี้ยวกราดนั้นจบลง เสียงปรบมือโห่ร้องที่ตามมาก็ทำให้เป็นที่แน่ชัดว่าทิศทางที่บ๊อบ ดีแลนกำลังจะก้าวไปนั้นย่อมมีผู้เดินตามเขาต้อยๆไปอีกมากมาย

    เนื้อหาของมันช่างน่าศึกษาและตรงกับเรื่องราวในบ้านเรายิ่งนัก ดีแลนเป็นนักเขียนเพลงระดับมือหนึ่งของวงการมาตั้งแต่ไหนแต่ไร และเพลงของเขาส่วนมากก็ไม่ได้เข้าใจกันง่ายๆและเป็นที่สนุกสนานของแฟนเพลงในการที่จะตีความกันไปต่างๆนาๆ แต่สำหรับ Like A Rolling Stone เมื่อมองในระดับที่เรียบง่ายที่สุด มันก็เป็นเรื่องชีวิตคนๆหนึ่งที่ต้องเปลี่ยนแปลงกลับตาลปัตร จากความยิ่งใหญ่ไฮโซเรืองอำนาจ กร้าวกร่างไม่เคยเห็นศีรษะผู้ใดในสายตา พลันกลับต้องแหลกสลายกลายเป็นกรวดหินก้อนกระจ้อยที่ได้แต่กลิ้งไร้ทิศทางไปตามท้องถนน ไม่มีหนทางจะกลับบ้าน


    Once upon a time you dressed so fine
    You threw the bums a dime in your prime, didn't you?
    People'd call, say, "Beware doll, you're bound to fall"
    You thought they were all kiddin' you
    You used to laugh about
    Everybody that was hangin' out
    Now you don't talk so loud
    Now you don't seem so proud
    About having to be scrounging for your next meal.


    แวบแรกของความรู้สึก เหมือนกับดีแลน จะเยาะเย้ยผู้ยิ่งใหญ่ผู้โชคร้ายนั้นอย่างไร้ความเมตตา ด้วยการถามประโยคซ้ำๆว่า

    How does it feel? To be on your own… like a rolling stone

    แต่ในแว่บที่สองมันก็ดูเหมือนเป็นคำถามที่แสดงความห่วงไยอยู่ในที แต่ก็ไม่วายขุดเรื่องเก่าๆออกมาหาตะเข็บซ้ำเติม เห็นไหมล่ะ เราเตือนคุณแล้ว จะอย่างไรดีแลนก็จบเพลงด้วยประโยคทองเป็นคำแนะนำที่ซาบซึ้งและแสบสันต์สำหรับผู้มีบารมีตกงานตกกระป๋องผู้นี้

    When you’ve got nothing. You got nothing to lose.
    You're invisible now, you got no secrets to conceal.

    ดีแลนเริ่มต้นเพลงนี้จากการเขียนเรื่องสั้นขนาดยาวประมาณ20หน้า  และเขาใช้เวลาสามวันในช่วงเดือนมิ.ย. 1965 ในการที่จะสรุปมันลงมาเป็นเนื้อเพลงที่มีท่อนเวิร์ส 4ท่อนและท่อนสร้อยอันท้าทายนั้น เขาได้คำว่า rolling stone มาจากเพลง Lost Highway ของ แฮงค์ วิลเลี่ยมส์ และท่วงทำนองของมันก็มีทางเดินคอร์ดคล้ายคลึงกับ La Bamba ของริทชี่ วาเลนส์

    บ้านเราตอนนี้เท่าที่เห็นก็มีหินกลิ้งๆอย่างนี้อยู่หลายก้อนทีเดียว

    From LP Highway 61 Revisited (1965)

    จากคุณ : winston - [ 22 ก.ย. 49 09:54:22 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | PanTown.com | BlogGang.com