เพลงนี้เป็นเพลงที่พิสูจน์ได้เป็นอย่างดีว่าความคาดหวังทางการค้ามีผลต่อการสร้างสรรค์ผลงานของศิลปินโดยเฉพาะศิลปินที่ยังไม่มีอำนาจต่อรองสูงพอที่จะควบคุมการทำงานให้เป็นอิสระได้ ความจริงในข้อนี้ทำให้เราได้ว่า การที่ศิลปินคนนึงจะสามารถประสบความสำเร็จได้อย่างต่อเนื่องโดยได้รับทั้งความนิยมและคำวิจารณ์ที่ดีนั้น เป็นสิ่งที่ยากยิ่ง
เมื่อศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับเดบิวต์อัลบั้มของมารายห์ลึกซึ้งมากขึ้นเรื่อยๆแล้ว จะพบว่า เธอไม่ได้มีความตั้งใจจะเป็นวิทนี่คนใหม่แต่อย่างใด แต่ความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ของศิลปินหญิงอย่างวิทนี่ ทำให้เกิดความคาดหวังของนักธุรกิจดนตรีที่จะสร้างสรรค์วิทนี่คนใหม่ขึ้นมาเป็นของตนเอง เพื่อที่จะตามรอยความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่นั้น ซึ่งยังเป้นสิ่งที่ปรากฏอยู่ตลอดมาในวงการดนตรี ไม่ว่าเวลาจะผ่านมานานเพียงใด โดยเฉพาะกับนักธุรกิจมือใหม่อย่างทอมมี่ มอตโตลา ที่เพิ่งเริ่มก่อตั้ง โคลัมเบีย เรคคอร์ด ในขณะนั้น เมื่อมีโอกาสได้เจอเพชรน้ำงามมาอยู่ในมือแล้ว แถมยังเป็นเพชรที่มีอะไรมาทดแทนจุดที่ด้อยของวิทนี่ได้อีกต่างหาก จึงไม่น่าแปลกใจที่ ทอมมี่ จะต้องคิดวางแผนที่จะสร้างวิทนี่คนใหม่ นับตั้งแต่แรกเจอ
เป็นเรื่องยากที่เมื่อเรามีความสามารถในแบบเดียวกับคนที่ได้รับความนิยม จะไม่ถูกคาดหวังให้ทำตามรอยไป และตัดสินอะไรเพียงวัดจากกระแสนิยมที่เกิด มารายห์เองคงไม่คาดคิดนับแต่วันที่เธอไปส่งเดโมให้มอตโตล่าฟังว่าเธอจะต้องมาเป็นนักร้องที่ยิ่งใหญ่ในรอยทางของวิทนี่ ฮุสตัน จากความคิดหลายอย่างที่ปรากฏในอัลบั้มแรกของเธอ เธอคงมีความคิดที่จะเป็นนักร้องที่อยากโชว์ความสามารถในการร้องเพลงที่พอแสดงชั้นเชิงทางดนตรีออกมาได้บ้าง โดยอิงความสามารถทางการแต่งเพลงที่เธอพอมีอยู่บ้างมาเป้นจุดขาย คล้ายๆกับการกำเนิดของอลิชา คียส ที่จมดิ่งสู่ดนตรีโซลและบลูส์โบราณที่ถูกนำมาเสนอในมุมมองใหม่พร้อมความสามารถด้านความมีชั้นเชิงทางดนตรี มากกว่าการจะเป็นนักร้องปอดเหล็กทะลุทะลวงขวัญใจมหาชนแบบวิทนี่ ฮุสตัน
หลายๆเพลงในอัลบั้มนี้ โดยเฉพาะเพลงดั้งเดิมที่เธอแต่งร่วมกับเพื่อนรักหักเหลี่ยมโหดอย่าง เบน มากูลีส์ เป็นเพลงที่มารายห์ตั้งใจนำเสนอความมีชั้นเชิงและดำดิ่งอย่างที่ว่า แต่ด้วยข้อจำกัดทางการตลาดทำให้มารายห์ต้องเลือกเพลงมาแค่บางเพลง และปรุงแต่งให้มันตลาดฟังง่ายมากขึ้น มาถึงตรงนี้มารายห์คงเริ่มเข้าใจถึงความจำเป็นทางการตลาดมากขึ้น ดังนั้นการที่ทอมมี่ มอตโตลา ไปจ้างโพรดิวเซอร์คู่บุญเก่าของวิทนี่ ฮุสตัน (ซึ่งขณะนั้นถูกเจ๊แกเฉดหัวทิ้ง แล้วไปซบอกเบบี้เฟซ แปลงร่างเป็นนางซูซานแทนแล้ว) อย่าง นาราดา ไมเคิล วอลเดน มา แสดงให้เห็นถึงความพยายามอย่างชัดเจนที่จะสร้างภาพให้มารายห์มีความเป้นวิทนี่ในสายตาของคนทั่วไปและนักวิจารณ์
เช่นเดียวกับในทุกอัลบั้มจนถึงปัจจุบัน มารายห์จะมีเพลงโชว์ความชอบครึ่งๆกับเพลงตลาด การที่มารายห์ตื่นเต้นกับผลงานที่จะได้ร่วมทำกับนาราดา ในตอนแรก ก็เพราะอย่างน้อยเธอก็มั่นใจในความสามารถของโพรดิวเซอร์ชื่อดังว่าจะสามารถสร้างเพลงที่ดี ติดหูให้แก่เธอได้อย่างแน่นอน แต่ด้วยเหตุใดก็ไม่ทราบ ข้อมูลบอกเพียงแต่ว่า มารายห์เกิดทะเลาะกับ นาราดาอย่างรุนแรงในขั้นตอนของการสร้างเพลงขึ้น (พวกขั้นเลือกเครื่องดนตรี กำหนดแนวทางการร้อง ซึ่งขั้นตอนตรงนี้จะมีผลทำให้เพลงเป็นไปคนละอารมณ์เลย) ทำให้นาราดาถึงขั้นทิ้งการทำเพลงนี้ไปซะเฉยๆ ซึ่งคาดการณ์เอาเองว่า นาราดาคงถือว่าตนมีประสบการณ์มากกว่า จึงต้องการสั่งให้มารายห์ทำนู่นนี่ในแบบโพรดิวเซอร์วางอำนาจชอบทำ และเป้นไปตามความคิดที่คุ้นเคย เช่น ถ้าเป็นยัยวิทจะต้องแหกอย่างนี้ เอื้อนอย่างนี้ ซึ่งคงทำให้คนหัวแข็งงี่เง่าอย่างเจ๊แกเครียด กดดัน จนต้องโวยวายระเบิดเม้งแตกแน่ๆเลย (คาดการณ์อย่างนั้น) เพลงนี้มีข่าวลือว่า พอนาราดา ทิ้งงานไป ก็มีคนมาช่วยคุมงานต่อให้ เป็นเด็กฝึกหัดเพิ่งเทิร์นโปรอย่าง วอลเตอร์ อฟานาเซียฟ ที่ริเริ่มไต่เต้างานตั้งแต่เป้นนักดนตรีทีละขั้น จนกลายมาเป็นโพรดิวเซอร์หลักของมารายห์ได้ในอัลบั้มต่อๆมาในท้ายที่สุด
สำหรับตัวเพลงเพลงนี้เป้นเพลงบัลลาดดิว่า ออแนวตลาดเอามากๆ การร้องของมารายห์เพลงนี้พยายามทำเสียงให้หนักเข้มข้นออกแนว วิทนี่ ซึ่งเทียบให้เห็นว่าจริงๆแล้วเนื้อเสียงมารายห์บาง และดำน้อยกว่า การโหวกเวกโวยวายร้องสุดกำลังเพลงนี้ เป็นเหมือนความพยายามเค้นพลังเสียงไปตามอารมณ์เพลง มากกว่าจะเป็นการร้องได้แบบชิลล์ๆ แล้วถึงจุดพีคก็โวยวายตลาดแตกแบบวิทนี่ ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้เนื้อเสียงพระเจ้าประทานที่แตกต่างรูปแบบกันของดิว่าทั้งสอง (ลองเทียบเพลงนี้กับ All The Man That I Need ดู) แต่ความรู้สึกในเพลงนี้ มารายห์ทำให้ได้ภาพความรู้สึกเหมือนกับเราไปกันไม่ไหวแล้วจริงๆ ฉํนก็พยายามแล้ว สิ่งที่เหลือคงต้องทำใจ มารายห์ให้ความรู้สึกยามร้องว่า ไอ ด้นนนนน วอนนนา ครายยยยย แบบ สาวที่ยังเสียใจ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะแก้ปัญหานี้ยังไง แต่สิ่งที่พอรู้ก็คือเราก็คงต้องแยกจากกัน ซึ่งร้องเพลงนี้ทีไรก็นึกถึงเสียงที่เหมือนสั่นเครือของมารายห์ที่ทำให้เรารู้สึกอ่อนไหวไปกับเพลงนี้ทุกที รู้สึกเลยว่าเหมือนมาลัยมีแฟนแล้วต้องเลิกกันจริงๆ แล้วมาบ่นให้เราฟัง พร้อมร้องไห้เครือๆเล่าเรื่องไปด้วยจริงๆ
เพลงนี้กลายเป็นเพลงที่มารายห์ไม่อยากพูดถึงมากที่สุด เนื่องด้วยความไม่ประทับใจในระหว่างการทำงาน แม้ว่ามันจะทำให้เธอประสบความสำเร็จอีกหนึ่งระดับ แต่เธอก็ไม่สนใจ พอหมดช่วงโปรโม แล้ว เธอแทบจะเคยนำเพลงนี้ไปร้องที่ไหนอีกเลย (จริงๆคงเป้นข้ออ้าง เพราะว่าอีเพลงนี้มันร้องยากมาก โหวกเหวกโวยวายเหนื่อยสุดๆ เป็นเพลงที่ยามพวกเราไปคาราโอเกะแทบจะตายทุกครั้งที่เอาเพลงนี้มาร้อง เจ๊ก็คงคิดงั้น มันเป้นเพลงที่เค้นคอแตกเกินไป ไม่ใช่แนวทางการแหกแบบปกติของเธอ ดังนั้นเพื่อสุขภาพเสียง อะฮั้นขอบายดีกว่าฮ่ะ) แต่กลายเป็นว่าเอ็มวีเพลงนี้เป้นเพลงที่เจ๊บอกว่าชอบที่สุดในอัลบั้มแรกนี่แล้ว เธอจึงยินยอมให้เป้นเพลงเดียวที่มีสิทธิ์เสนอหน้านำภาพสมัยนั้นจริงๆไปปรากฏตัวในรวมวิดีโอชุด วันส์ได้ (อีก 3 เพลงโดนเวอร์ชั่นไลฟ์หมด) เหตุผลที่เธอให้ก็คือ เอ็มวีนี้เป็นเอ็มวีที่แสดงตัวตนของเธอได้มากที่สุด และทำให้คนได้เห็นภาพความเซกซี่ที่แท้จริงในตัวเธอ (เหรอ?) นอกนั้นเอ็มวีที่เหลือๆนั้นเจ๊ทั้งไม่สวย แถมกะโหลกกะลา ตัวเจ๊เองยังรับไม่ได้เลย อย่าไปดูมันเลยฮ่ะ
ประกาศ รับสมัครคนเขียนแทนด่วน ใครอยากเขียนเพลงไหนรีบจองกันได้เลย โดยเฉพาะเพลง Someday กับ Love Takes Time คิดว่าคงมีคนที่อยากเขียนกันอยู่ เพราะเป็นเพลงโปรดของหลายๆคนเลย ใครสนใจ พิมพ์ตอบไว้ในกระทู้นี้นะ อยากอ่านแนวทางของเพื่อนๆชาวบอร์ดคนอื่นๆมั่งจัง (เพราะคิดว่าเขียนเองทั้งหมดคงไม่ไหว แลวกไปวนมา ซ้ำซากน่าดูเลย นะนะ ช่วยกันหน่อยนะจ้ะ โครงการนี้จะได้เร็วขึ้น และสำเร็จไปได้)
แก้ไขเมื่อ 17 ม.ค. 50 12:25:20
แก้ไขเมื่อ 17 ม.ค. 50 12:11:58