If it's over นับเป็นผลงานที่ร่วมกันแต่งโดยสาวน้อยมาราย(ในขณะนั้น)และนักร้อง-นักแต่งเพลงชื่อดังอย่าง Carole King ซึ่งเคยทำให้ป้าอาริท่าดังเปรี้ยงปร้างมาแล้วจากเพลง (You Make Me Feel Like) A Natural Woman ในปี 1967 มาคราวนี้ ด้วยความที่เห็นแววอะไรสักอย่าง เธอจึงขันอาสามาร่วมงานกับมารายซึ่งเพิ่งจะออกอัลบั้มมาได้อัลบั้มเดียวแต่ดังเป็นพลุแตก โดยแรกเริ่มเดิมทีนั้นป้าแครอลเธอจะให้มารายคัฟเฟอร์ (You Make Me Feel Like) A Natural Woman แต่ว่ามารายเธอปฎิเสธไปด้วยความปีกกล้าขาแข็ง เอ้ย... ด้วยความที่อยากจะทำเพลงในแนวทางของตนเอง และก็เกรงว่าตัวเองคงไม่สามารถเทียบป้าอาริท่านักร้องต้นฉบับได้ ดังนั้น If it's over จึงคลอดออกมาโดยมี Walter Afanasieff ซึ่งชิมลางไปแล้วจาก Love takes time มาโปรดิวซ์ให้
อย่างไรก็ตาม ทางต้นสังกัดโคลัมเบียเรคคอร์ดขณะนั้นคิดว่าด้วยความที่เพลงมันออกไปแนวโฉ่งฉ่างแบบโซล-แจ๊ส ซึ่งไม่เข้ากับภาพลักษณ์นักร้องเพลงป๊อปอย่างมารายที่ถูกสร้างภาพมาตั้งแต่อัลบั้มแรก และจะส่งผลต่อยอดขายและสถิติซึ่งเพลงของเธอก่อนหน้านี้ขึ้นอันดับ1ไป6เพลงด้วยกัน ทำให้ทางค่ายจึงตัดสินใจไม่ตัดเพลงนี้ในอเมริกาแต่ไปตัดที่อื่นแทน เพลงนจึงไม่ค่อยจะประสบความสำเร็จนักในด้านสถิติหลังจากที่ออกมา นอกจากนี้บรรดานักวิจารณ์ปากเสียทั้งหลายในตอนนั้นยังพลอยแช่งชักหักกระดูกเธออีกว่าสงสัยจะไปไม่รอด ออกมาได้แค่สองอัลบั้มก็ท่าทางจะดับซะแล้ว แต่ว่าทั้งนี้ทั้งนั้น เพลงนี้ก็เป็นเพลงที่เธอนำไปร้องตามรายการหลายครั้ง หรือแม้แต่บนเวที grammy awards ปี 92 ด้วย
กล่าวถึงตัวเพลง ในด้านเนื้อหา ถ้าจะพูดอย่างเต็มปากว่าดูแปลกใหม่และแตกต่างก็ไม่เชิงนัก จริงๆแล้วเพลงนี้ก็มีเนื้อหาที่เข้าใจง่าย การใช้คำไม่ซับซ้อน ตรงไปตรงมา และนำเสนอแง่มุมที่ใครๆก็เข้าใจ มองเห็นภาพโดยไม่ต้องคิดมาก เรียกว่าพูดกันโต้งๆถามกันตรงๆเลย
ลองสมมุติว่าเป็นตัวคุณสิ เมื่อมาถึงจุดๆหนึ่งหลายๆอย่างในความสัมพันธ์มันไม่ได้เป็นไปตามที่คิดไว้ คนที่คุณรักมีท่าทีเปลี่ยนไป คุณคิดว่ามันเกินจะรับมือได้ ทั้งๆที่คุณยังรักเค้าอยู่ แต่เค้าไม่แม้แต่จะพูดตรงๆหรือกล้าสบตากับคุณ คุณคิดว่ามันไม่ถูกต้องที่จะฝืนยื้อต่อไป ความรู้สึกของเค้ามันหมดไปแล้ว ตอนนี้คุณไม่ต้องการคำขอโทษ หรือความสงสารใดๆเพราะมันไม่ได้ช่วยอะไรให้ดีขึ้น คุณต้องการแค่ความจริง ขอแค่ให้เค้าบอกกับคุณตรงๆว่าเค้าไม่ได้รักคุณแล้ว ไม่ต้องมีข้ออ้างใดๆอีก ขอแค่ให้เค้าปล่อยคุณไปซักที ในเมื่อทุกอย่างมันจบลงแล้ว...เป็นคุณ คุณจะทำแบบที่ว่ามามั้ย คือขอแค่ให้มันจบถึงแม้ว่าจะต้องเลิกกับเค้า
ในภาคดนตรีก็มีส่วนผสมของแบนด์วงใหญ่แบบดนตรีโซล-แจ๊ส ซึ่งส่วนตัวผมว่าเด่นมากๆที่จังหวะหนักแน่นแบบเพลงโซล แล้วก็เครื่องเป่าแบบแจ๊สทำให้เนื้อเพลงดูขลังและดูจริงจังปนๆอารมณ์อลังการแบบดิว่ามากขึ้นไปอีก ส่วนในภาคการร้อง มารายก็ทำได้ดีและครบเครื่องอีกเช่นเคย ทั้งกดเสียงต่ำในช่วงแรกๆแล้วก็ค่อยๆร้องสูงขึ้นสลับกับการจัมพ์ออคเตฟ หรือแม้แต่เทคนิคแบบ melisma ที่ร้องเปลี่ยนคีย์ ขึ้นสูงลงต่ำ จนกลายเป็นเอกลักษณ์ของมาราย สังเกตว่าอัลบั้มนี้เธอจะใช้วิธีการร้องแบบนี้เกือบจะทุกเพลง คือการร้องกดเสียงลงต่ำ โดยปล่อยลมออกมามากๆ ทำให้เสียงดูแหบๆ (จุดเริ่มต้นของความแหบของเธอ) ดูเพลง the wind นั่นสิ หรือบางเพลงก็กดต่ำจนกลายเป็นเสียงงึมงัมๆไปเลย จากนั้นก็ค่อยๆโหนสูงปริ๊ดในท่อนพีคซึ่งคงเป็นการโชว์ความสามารถด้านการร้อง หรือโชว์เรนจ์เสียงของเธอนั่นเอง ทำให้อัลบั้มนี้ถึงแม้ว่านักวิจารณ์จะวิจารณ์ในแง่ลบเกี่ยวกับแนวเพลง แต่กลับให้การยอมรับในด้านเสียงร้องหรือเทคนิคการใช้เสียงต่างๆของเธอ เช่นการโหนเสียงสูงเป็นต้น สำหรับเพลงนี้ก็เช่นกัน นอกจากจะใชเทคนิคการร้องแบบที่กล่าวมาแล้ว เธอยังขับพลังเสียงออกมาให้ดูกร้าวมากขึ้นเพื่อรับกับดนตรีและเนื้อเพลงที่เธอต้องการจะสื่ออีกด้วย
เมื่อกล่าวถึงไลฟสด มารายเธอก็ทำได้ดีทั้งหมด(ช่วงนั้นยังไม่ค่อยพลาด) แต่ไลฟที่ผมชอบมากคือ ที่ร้องที่ SNL เพราะมีการเสริมวงมโหรีปี่พาทย์บรรเลงเพิ่มความขลังให้กับเพลงเข้าไปอีก ส่วนมารายเธอก็ร้องได้อารมณ์มากๆ ชอบมุมกล้องของรายการด้วย(เกี่ยวมั้ย?) นับว่าเป็นไลฟที่พลาดไม่ได้จริงๆสำหรับแฟนๆและผู้ที่ต้องการจะซึมทราบถึงความอลังการของเสียงมารายในช่วงนั้น(ซึ่งไม่มีอีกแล้ว)
นอกจากนี้ก็มีที่งาน grammy awards 1992 แล้วก็ใน MTV Unplugged ซึ่งตัดเป็นเอ็มวีสำหรับเพลงนี้ด้วย
จากคุณ :
Root of Yggdrasil
- [
3 ก.พ. 50 02:35:43
]