Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom


    Il Divo - Happy Birthday Seb!

    ตั้งทู้ช้าไปวันนึง ขอโทษทีนะพี่ Seb จ๋า

    34 แล้วเน้อ ขอให้พึมีความสุขมากๆ ชีวิตรักหวานแหววตลอด และร้องเพลงเพราะๆให้พวกเราฟังไปอีกนานเท่านาน love

    วันนี้มีแต่สัมภาษณ์พี่ David อ่ะ
    ยาวไปนิด เราตัดออกหน่อย และแปลไม่ออกอีกน้อย เด๋วให้คุณสาฯช่วยเนอะ

    จาก iafrica.com dated 27 Feb 07

    Hard-work serenade - งานหนักนะร้องเกี้ยวสาวเนี่ย

    ถ้ามองแค่แว๊บแรก ชัวร์เลยว่าคุณต้องคิดว่าสี่หนุ่มวง Il Divo เนี่ยต้องมี lifestyle แบบชิล ชิล คงจะใช้ชีวิตสำเริงสำราญอยู่กับเรือยอช คอนยัค และอู้ตอนบ่ายๆ สลับกับร้องเพลงเกี้ยวสาวสวยชาวอิตาเลียนแน่ๆ

    อย่างน้อยที่สุด สูท Armani ลุคสดใส การแต่งตัวสุดเนี๊ยบ และการร้องโอเปร่า ก็ทำให้คิดว่าทั้งสี่เป็นสุภาพบุรุษมาดขรึม ที่ฟังเพลง Puccini ในห้องทำงานของพวกเค้า
    แต่ในความเป็นจริงแล้ว David Miller, Sebastien Izambard ชาวฝรั่งเศส, Urs Buehler จากสวิตเซอร์แลนด์ และ Carlos Marin ชาวสเปน มีรสนิยมในการฟังเพลงที่ละเอียดอ่อนน้อยกว่านั้นหน่อยนึง

    “Urs ชอบฟังเพลง heavy metal  Carlos ชอบฟัง Tom Jones แล้วก็พวกคลาสสิคร๊อค ยุค '60 กะ '70
    บางคนอาจจะเรียกว่าโบราณ แต่เนื่องจากตอนนี้มันไม่มีเพลงแบบนี้ มันก็เลยกลายเป็นแบบ retro และก็แนวดี โชคดีไปสำหรับ Carlos”  David กล่าวอย่างติดตลก ก่อนการแสดงที่ Sun City

    “Seb ชอบฟังป๊อปร็อค และพวกสมัยใหม่อย่าง Radiohead กะ Muse ส่วนผมชอบเพลงแบบเทคโนแดนซ์” หนุ่ม Tenor วัย 33 ซึ่งแสดงในละครบรอดเวย์ La Boheme ของ Baz Luhrmann ว่า

    "ในเวลาพักผ่อน พวกเราไม่มีใครฟังเพลงแบบ Il Divo เลย”

    ก็ไม่ใช่ว่าพวกเค้าจะมีเวลาพักผ่อนสักเท่าไหร่ เมื่อวาน (23 กุมภา) เป็นครั้งแรก ตั้งแต่วันที่ 10 มกรา ที่ทั้งสี่ได้หยุดพักหนึ่งวัน  
    ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วตั้งแต่พวกเค้าเริ่มต้นในเดือนเมษายน 2547 หลังจากการค้นหานักร้องอินเตอร์สี่คนมาเป็นเวลา 3 ปีของ Simon Cowell แกนหลักของรายการ Pop Idol

    "ผมไม่รู้เรื่องอะไรเลยจริงๆตอนที่มา audition
    รู้แต่ว่ามันเป็น cross over project แต่ในการ audition ของโอเปร่า ถ้าคุณจะทำแผ่น คุณก็ไปร้องอัด แล้วก็แบบว่าวางทิ้งไว้บนหิ้ง พวกเค้าก็จะบอกคุณว่าขอบคุณนะ แล้วคุณก็กลับไปใช้ชีวิตแบบเดิม แต่ในกรณีนี้มันไม่ใช่"

    หลังจากออกอัลบั้มมา 3 แผ่น ขายได้ 17 ล้านแผ่น พูดอย่างนี้ก็ถือว่าถ่อมๆไปหน่อยนะ

    แต่ David ก็ไม่ใช่พวกชอบพูดเกินความจริง เค้าเผยว่าสมาชิกทั้งสี่พบกันครั้งแรก 2 วันก่อนเข้าห้องอัด

    "พวกเค้าบอกเราว่า “เอ้านี่เพลง ไปทำอะไรมาที่ทำให้พวกเราทุกคนภูมิใจนะ”
    พวกเราก็ระดมสมองกัน และ bashed it out เพราะเราทุกคนมาจากอาชีพเดี่ยว แล้วทุกคนก็มีความคิดของตัวเองว่าทำยังไงเพลงถึงจะออกมาฟังดูดี

    เพราะฉะนั้นเราก็มีปากเสียงกัน ทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย มันก็เจ็บปวดมากขึ้นเรื่อยๆนะ
    และเมื่อภาษาอังกฤษเป็นภาษากลาง แต่ไม่ใช่ว่าทุกคนจะใช้ได้คล่อง ก็เลยมีการเข้าใจผิดกัน มีการตีความผิดกันเยอะเลย
    มันก็กินเวลาพักนึงแหละ กว่าจะเอาชนะอุปสรรคนั้นได้

    ข้อจำกัดทางเวลาผลักดันเราเข้าหากัน ไม่ใช่ออกห่างกัน และความกดดันก็ทำให้เป็นยังงี้ต่อไป

    พวกเราเริ่มต้นด้วยความเคารพซึ่งกันและกัน
    นี่คืองานและเรามาเพื่อทำสิ่งนี้  และเราทุกคนมีพันธะที่จะต้องให้ 100% แก่สิ่งที่เรากำลังทำไม่ว่าจะยังไงก็ตาม
    และความเคารพซึ่งกันและกันสำหรับสิ่งที่เราทำแบบนี้ก่อให้เกิดมิตรภาพในช่วงเวลาหลายปี
    เราผ่านหลายอย่างมาด้วยกัน เราเดินทางกันตลอด
    พวกเราเป็นครอบครัวของกันและกัน เป็นระบบ support ของกันและกัน
    มันก็เหมือนทุกครอบครัวแหละ มันมีทั้งทุกข์ ทั้งสุข
    บางทีคุณก็อยู่ในอารมณ์ขัน บางทีก็ไม่
    เรารู้จักกันดีขึ้นมาก เรารู้ว่าเส้นแบ่งกั้นอยู่ตรงไหน  ตรงไหนที่ล้ำไม่ได้ และตรงไหนที่ล้ำได้ ทำตลกได้"

    เห็นได้ชัดว่า David สนุกกับการเป็น Il Divo แต่ก็เห็นได้ชัดเหมือนกันว่า สามปีที่ผ่านมาเป็นงานหนัก – เป็นบางสิ่งที่เค้าเชื่อว่าช่วยทำให้วงประสบความสำเร็จมาได้

    “ตอนที่ทำอัลบั้มแรก พวกเราไม่ได้มองที่อนาคต เรามุ่งเน้นที่ปัจจุบัน และมันก็ออกมาดีจนเรารู้ว่าถ้าเราไม่เหลิง จดจ่ออยู่กับสิ่งที่ทำ และให้อย่างสุดๆทุกครั้งเวลาแสดง คนดูก็จะสนองตอบ ไม่สนองไม่ได้หรอก” David อธิบาย

    “เมื่อคนดูเห็นว่าคุณให้เค้า 100% พวกเค้าก็จะอินไปกับคุณ คุณจะพาพวกเค้าไปกับคุณด้วย
    และทุกช่วงเวลาที่ต่อเนื่องกันในการอยู่กับปัจจุบันได้ให้อนาคตกับเรา
    ถ้าเมื่อสามปีก่อนเรามัวแต่ไปมุ่งเน้นที่การมองไปข้างหน้า เราก็คงจะไม่สามารถให้ 100% ได้”

    และการให้ 100% ไม่ได้ง่ายเหมือนกับที่เห็นบนเวที

    “มันมีสมดุลที่ละเอียดอ่อนมากมาย ที่เราต้องรักษาเพื่อที่จะให้ได้ซึ่ง sound ที่เราทำในสตูดิโอ” David อธิบาย

    “ในสตูดิโอมันง่ายกว่ามาก เพราะเราไปทีละคน อัด part ของเรา แล้ว producer ก็จะนำมารวมกันทีหลัง แต่ตอนแสดงสด มันยากจริงๆ

    อันที่จริงแล้ว ผมร้องท่อนที่สูงที่สุด เพราะเสียงผมสูงที่สุด ในโอเปร่าตอนจบ เราจะมีทุกโน๊ตนี้ และในโชว์ 18 เพลง จะมีโน๊ตเสียงสูงมากกว่าที่โอเปร่ามี ดังนั้นผมจริงพยายามดันตัวเองให้ถึงระดับทางเทคนิคนั้นทุกคืน
     
    “มันเป็นเหมือนพายุหมุนที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้นและสนุกสนาน” David ว่า

    แต่พายุหมุนนี้จะยังคงหมุนต่อไปหรือไม่

    “คำถามนี้ยาก เพราะหลายอย่างขึ้นอยู่กับว่าผู้ชมจะยัง enjoy สิ่งที่เราทำอยู่หรือเปล่า” David ยอมรับ

    แต่พวกเค้าก็ไม่กระตือรือร้นที่จะมองไปข้างหน้าเท่าไหร่

    “เราอยากจะให้มันยังน่าสนใจอยู่ อยากจะไปข้างหน้า
    แต่เราทุกคนเห็นว่าทางที่ดีที่สุดที่จะทำ คือค่อยๆก้าวไปทีละก้าว”

    Note: อะนี้อยากแปล เพราะมีบางคำพูดที่กินใจ แต่บางวลีเราก็ไม่สันทัดอ่ะ

    ว่าแต่ bashed it out แปลว่าไรคะ
    over the years, growing pain  ของเราไม่หละหลวยเลย

    แล้วอะนี้ยกมาทั้งท่อนเพราะเราอาจแปลผิด

    In the operatic finales we've got all of these sustained notes, and in our show of 18 songs there are more sustained high notes than any opera that exists, so I'm always pushing myself to that technical level every night.

    ขอบคุณล่วงหน้าค่า flower

     
     

    จากคุณ : Desiree - [ 8 มี.ค. 50 03:11:26 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom