Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom


    049 : Open Arms มาอยู่ในอ้อมกอดผมดีกว่า(นะ mimi)

    เขียนไปดูบอลไปครับ ถึงเพลงในความรับผิดชอบครับ เพลงนี้ชอบทั้ง 2 Versions เลยครับทั้งของเดิมจากวง  Journey (ที่จริงแล้วผมชอบ Rock Ballad มากเลยครับ) และที่ Cover โดย Mariah Carey
    มาเกริ่นๆกันถึง Version เดิมกันก่อนนะครับ

    "Open Arms" เป็นเพลงที่ถูกบันทึกเสียงโดยวง  Journey เขียนโดย  Steve Perry [นักร้องนำของวงครับ ใครนึกไม่ออกแต่เคยเห็น MV เพลง "We Are the World"(1985) ก็คนที่ร้องเสียงสูงๆท่อน "Oh, there's a choice we're making / We're saving our own lives" นั่นละครับ
    หรือคนที่ไปร้อง duet กับ  Kenny Loggins ในเพลงดัง "Don't Fight It"(1982) ตานี้ทำงานร่วมกับนักร้องดังๆหลายคนเช่น Sheena Easton  (คนที่ร้องประกอบหนัง James Bond  ตอน For Your Eyes Only นั่นละครับ และเคยได้ Grammy Award สาขา Best New Artist ปี 1981) หรือ
    Jon Bon Jovi(ตอนนั้นกำลังดังระเบิดกับ 2 Albums คือ Slippery When Wet – 1986 และ New Jersey – 1988)] และ Jonathan Cain (สมาชิกวงที่เล่น Keyboard ครับ) มันเป็นเพลง  ballad ที่พรรณาถึงความพยายามของคู่รักที่จะกลับมาเริ่มต้นใหม่อีกครั้งกับ "open arms"(กลิ่นโชยหน่อยๆครับยังไม่เน่ามาก)
    โดยเพลง "Open Arms" นี้ถูกบรรจุใน studio album ชุดที่ 7 ของวง ชื่อชุด  Escape(ดังนะครับชุดนี้ขึ้นอันดับ 1 ใน album chart ขายได้ตั้ง 9 platinum มีเพลงดังๆก็ "Who's Crying Now", "Don't Stop Believin'" เข้าสู่ Top 10 Single Chart ด้วยครับ) produce โดย Kevin Elson [ทำเพลงให้กับวงดังๆเช่น  Europe(ที่รู้จักกันก็ชุด The Final Countdown(1986)) และ Mr.Big(ชุดMr. Big (1989)] และ Mike Stone เป็น recording engineer ทำงานกับ Queenในหลายๆ Album (สาวก Queen คงรู้จักดีนะครับ)
    แต่เพลงนี้ก็เกือบไม่ได้อยู่ใน Album เพราะมือกีต้าร์ชื่อ  Neal Schon ดันเกลียดเพลงนี้ และสมาชิกอื่นๆของวงก็ดันไม่ชอบเล่นเพลง Ballad

    "Open Arms" ถูกนำไปเป็น Soundtrack ประกอบภาพยนต์การ์ตูน(Animation)ของ Canada เรื่อง Heavy Metal(1981)(เป็นหนังประเภท science fiction และ fantasy ถูกนำออกฉายเมื่อ August 1981) และ single เพลง "Open Arms" ถูกปล่อยออกจาก album ชุด Escape เป็น single ที่ 3(ปล่อยออกมาทั้งหมด 5 single) เมื่อ January 1982 ใน U.S. และมันได้กลายเป็น single ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของวง Journey ถึงแม้มันจะไม่ขึ้นถึงอันดับที่ 1 ใน U.S. Billboard Hot 100 chart แต่มันก็อยู่ในอันดับ 2 ถึง 6 สัปดาห์
    และยังขึ้นไปได้สูงสุดถึงอันดับ 7 ใน U.S. Adult Contemporary Chart แต่สำหรับ U.S. Mainstream Rock Chart ไปได้แค่อันดับ 35

    "Open Arms" ถูกจัดเป็น power ballad [ขอกล่าวยาวหน่อยนะครับเพราะผมชอบเพลงประเภทนี้มาก คือไม่เป็นเพลงรัก(love songs)จนเลี่ยน ส่วนมากกล่าวถึงความปราถนา, ความต้องการ, ความรัก, การสูญเสียและการสารภาพ ไม่มีเนื้อหาหนักๆแบบเพลง metal  โดย Power ballad เริ่มต้นขึ้นในยุค 1970 กับวงอย่าง the Raspberries, Styx, Boston, REO Speedwagon, Journey, Def Leppard และ Scorpions
    ตัวอย่าง power ballad เช่น
    "Don't Wanna Say Goodbye" จาก the Raspberries'
    "All By Myself" จาก Eric Carmen (รู้จักกันดีครับ) ,
    Scorpions กับ "Still Loving You" ,
    Bonnie Tyler กับ Total Eclipse of the Heart ,
    Prince กับ "Purple Rain"
    หรือ "Sweet Child O' Mine", "November Rain", "Estranged", และ "Don't Cry" โดย Guns N' Roses ,
    Warrant กับ "Heaven" ,
    Def Leppard กับ "Love Bites" ,
    Scorpions' "Wind of Change" ,
    Van Halen กับ "When It's Love" ,
    Aerosmith กับ "I Don't Want to Miss a Thing"
    และ The Calling กับ "Wherever You Will Go" (เลือกยกตัวอย่างเฉพาะเพลงโปรดมากของผมครับ)]
    โดยนักวิจารณ์ได้ยกย่อง "Open Arms" ให้เป็นหนึ่งในเพลงที่เขียนเนื้อร้องได้ดีที่สุดของวงเลยทีเดียว
    และ VH1 ได้จัดให้เพลงนี้เป็นอันดับ 1 ของ "25 Greatest Power Ballads" เลยครับ โดย 10 อันดับแรกมี
    10  Is This Love  โดย Whitesnake  
    9  Sister Christian  โดย Night Ranger  
    8  Love Bites  โดย Def Leppard  
    7  Every Rose Has Its Thorn  โดย Poison  
    6  November Rain  โดย Guns N' Roses  
    5  I'll Be There for You โดย Bon Jovi  
    4 With Arms Wide Open โดย Creed  
    3  Beth  โดย Kiss  
    2  I Don't Want to Miss a Thing  โดย Aerosmith  
    1  Open Arms โดย Journey
    นิตยสาร All Music Guide กล่าวว่า "เป็นหนึ่งในเพลง rock ballad ที่สวยงามที่สุด"]

    ในปี 2003  Clay Aiken(ผู้ชนะรายการ  American Idol) ได้แสดงเพลงนี้ในรอบรองชนะเลิศ และต่อมาได้ไป duet กับ Kelly Clarkson(ผู้ชนะปีก่อนหน้าเขา) ใน concert tour เมื่อ February—April 2004  และ "Open Arms" ยังเป็นรายชื่อเพลงใน  ...Baby One More Time Tour(1999) ของหนูหอก(Britney Spear) ด้วย
    และ animated television comedy เรื่อง South Park (Episode 909) ก็ได้นำเพลงนี้ไปประกอบด้วย

    ที่เกริ่นมาทั้งหมดก็อยากให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่และความเป็นมาของเพลงนี้อ่ะครับ ต่อมาก็ถึง Mariah Carey version ครับ
    Mariah Carey เธอ produce เพลงนี้ร่วมกับ Walter Afanasieff  สำหรับ album ชุด Daydream ที่เธอเลือกเพลงนี้มา cover ก็น่าจะเป็นที่  Steve Smith(มือกลองวง  Journey) เล่นกลองให้หลายๆ single ของเธอก่อนหน้านี้ และ Randy Jackson[มือเบส(รู้จักกันดีกับการเป็นกรรมการตัดสิน  American Idol) ก็เคยเป็น backing band และออก tour กับวง  Journey ในปี 1983 และ 1985
    เขาเล่นเบสให้กับศิลปินดังๆมากมายเช่น Aretha Franklin, George Michael , Clarence "Gatemouth" Brown, Billy Cobham, Richard Marx, Billy Joel, Bon Jovi และ Bob Dylan เขาเคยเป็น producer/songwritter โดยทำงานร่วมกับ Narada Michael Walden และ Walter Afanasieff  มาก่อน
    เขาได้ช่วยบันทึกเสียง, produce หรือออก tour กับศิลปินดังๆเช่น  Mariah Carey(เขารู้จักกับเธอตั้งแต่เธอยังเป็นวัยรุ่นเลยครับ และเล่นเบสให้เธอใน Live 8 in London ปี 2005 ด้วย)  NSYNC, Celine Dion, Wild Orchid, Bruce Springsteen, และ Madonna(แหะ แหะ คุณป้าข้างบ้านที่เคารพรักอย่างสูงสุด โดยเขาเล่นเบสให้เธอกับ single อันดับ 1  "Like a Prayer")] ก็เคยทำงานกับเธอมานานหลายปี เห็นไหมครับเธอก็ใกล้ชิดกับวง Journey นะครับ

    "Open Arms" ถูกปล่อยออกเป็น single ที่ 3 ของ album ในปี 1996 ในตลาดนอก U.S. เป็นส่วนใหญ่ โดยประสบความสำเร็จพอประมาณ เป็น top 5 ใน U.K. แต่ได้รับความนิยมอย่างมากใน Philippine

    MV กำกับโดย  Larry Jordan (คนเดียวกับที่กำกับเพลง "One Sweet Day") โดยเป็น live performance ของเพลงนี้ที่ Madison Square Garden และ MV สำหรับ Spanish version (ใช้ชื่อเพลงคือ "El Amor Que Soñé") ก็เป็น live performance จากที่เดียวกันด้วย

    สำหรับ  CD single ที่ออกใน U.K. ของเพลง "Open Arms" ประกอบด้วย "I Am Free" ,  live versions ของเพลง "Fantasy" และ Vision of Love" (1990) อีก version ของ CD single ประกอบด้วย "Hero" (1993) , "Without You" (1994) และ radio edit ของ "I'll Be There" (1992) โดยขายได้กว่า 700,000 copies ครับผม

    จากคุณ : urbanboy - [ 24 พ.ค. 50 03:07:49 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom