PANTIP.COM : C5493873 BARBRA STREISAND [Golden Oldies]

BARBRA STREISAND

.
บาร์บรา สตรัยแซนด์ เกิดเมื่อวันที่ 24 เมษายน ค.ศ. 1942 ที่ย่านบรู๊คลิน ใจกลางนครนิวยอร์ก คุณปู่อพยพมาจากหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งในฮังการีมาอยู่นิวยอร์ก เปิดแผงขายปลาสด พ่อเสียชีวิตตั้งแต่เธออายุ 16 เดือน แม่ซึ่งทำงานเป็นเลขานุการที่โรงเรียนแต่งงานใหม่ เธออยู่กับพ่อเลี้ยงเรื่อยมา หากแต่ว่าไม่ค่อยจะลงรอยกัน ส่วนแม่นั้นไม่ค่อยจะให้การเอาใจใส่และเหลียวแล บาร์บรามักใช้เวลาว่างหลบไปดูละครและภาพยนตร์ ฝันเสมอว่าสักวันหนึ่งเธอจะเป็นดาราให้ได้ เมื่อเรียนอยู่ที่โรงเรียนมัธยมปลาย ERAMUS HALL HIGH SCHOOL เธอเป็นสมาชิกนักร้องของโรงเรียน เพื่อนสมาชิกที่สนิทด้วยคือ นีล ไดมอนด์ กับบ็อบบี้ ฟิชเชอร์ ซึ่งต่อมากลายเป็นแชมเปี้ยนหมากรุกชื่อก้องโลก เมื่อเธอเข้าเรียนที่วิทยาลัย กลางคืนทำงานเป็นนักร้องที่ THE LION บาร์เกย์ชื่อดังย่านกรีนนิชวิลเลจ

โชคเริ่มเข้าข้างเธอในปี ค.ศ. 1961 เมื่อบาร์บรา สตรัยแซนด์ ได้รับการคัดเลือกรับบทตัวประกอบชื่อ MISS MARMELSTEIN ในละครเพลงบรอดเวย์เรื่อง YOU CAN TAKE IT WHOLESALE และที่นี่เองที่เธอพบรักกับดาราละครอีกคนหนึ่ง เอลเลียต กูลด์ ซึ่งกลายมาเป็นสามีคนแรกของเธอ จากละครเรื่องนี้ ที่แมวมองบริษัทแผ่นเสียงซีบีเอสมาพบเข้า ขอเซ็นสัญญาประเดิมด้วย ซิงเกิลแรก HAPPY DAYS ARE HERE AGAIN ออกจำหน่ายในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1962 ผลตอบรับดีพอใช้ เป็นผลให้ต้นปี ค.ศ. 1963 บาร์บรา สตรัยแซนด์ ออกอัลบั้มชุดแรกชื่อชุด THE BARBRA STREISAND ALBUM เพลงในอัลบั้มส่วนใหญ่เป็นเพลงสแตนดาร์ดที่เธอเลือกเอง อย่างเช่น CRY ME A RIVER รวมทั้ง HAPPY DAYS ARE HERE AGAIN ซึ่งต่อมากลายเป็นเพลงสัญลักษณ์เพลงหนึ่งประจำตัว หลังจากอัลบั้มชุดนี้ออกจำหน่ายได้ 2 สัปดาห์ เธอกลายเป็นนักร้องหญิงคนหนึ่งที่ได้รับการกล่าวขวัญมากที่สุด ในงานประกาศรางวัลแกรมมี่ประจำปี บาร์บรา สตรัยแซนด์ ได้รับรางวัลแกรมมี่ในสาขานักร้องหญิงดีเด่น จากความสำเร็จของอัลบั้มชุดหนึ่ง ตามด้วยอัลบั้มชุดสองและชุดสาม ขณะเดียวกันเธอกลับไปแสดงละครบรอดเวย์ รับบท แฟนนี ไบรซ์ ดาราละครเพลงชื่อดังยุคต้นทศวรรษ 1920s ในละครเพลงเรื่อง FUNNY GIRL เพลงฮิตเพลงหนึ่งในเรื่องคือ PEOPLE จากความสำเร็จที่ได้รับจากแฟนละคร ทำให้บรรดาแฟนๆ ทั่วโลก เรียกร้องอยากชมบทบาทเธอบนจอเงินบ้าง ในปี ค.ศ. 1968 FUNNY GIRL ถูกสร้างเป็นภาพยนตร์โดยโรงถ่ายโคลัมเบีย ดาราชายที่แสดงคู่กับเธอคือ โอมาร์ ชารีฟ ดาราชายชาวอาหรับจาก ดอกเตอร์ชิวาโก หลายฉากหลายตอนในเรื่องมีฉากที่เธอจูบกับโอมาร์ ชารีฟ เธอถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างแพร่หลายในการที่ตัวเธอนั้นเป็นยิวมาจูบกับดาราอาหรับ เธอไม่กล้าปรากฏตัวในที่สาธารณะอยู่พักหนึ่ง เพราะเกรงจะถูกทำร้าย จากความสำเร็จของ FUNNY GIRL ทำให้มีการสร้างภาพยนตร์เรื่อง HELLO DOLLY ในปลายปี ค.ศ. 1968 เธอรับบทตัวเอกคู่กับวอลเตอร์แมตเธา แถมยังมีดารารับเชิญอย่าง หลุยส์ อาร์มสตรอง มาแสดงด้วย ส่วนเพลงในเรื่องเป็นหน้าที่การเขียนของ เจอร์รี เฮอร์แมน เพลงเอกในเรื่องนอกจาก HELLO DOLLY ยังมีเพลง BEFORE THE PARADE PASSES BY ซึ่งภายหลังตัดเป็นซิงเกิลออกจำหน่าย

ช่วงปลายทศวรรษ 1960s ช่วงสงครามเวียดนาม สังคมอเมริกันออกจะสับสนวุ่นวายพอสมควร เธอไม่เห็นด้วยกับนโยบายของประธานาธิบดีนิกสัน ที่เข้าไปแทรกแซงการเมืองในเวียดนาม เธอเดินขบวนปราศรัยช่วยหาเสียงให้กับวุฒิสมาชิก จอร์จ แม็กกัฟเวิร์น ในการแข่งขันชิงตำแหน่งประธานาธิบดี เธอถูกขึ้นบัญชีดำจากประธานาธิบดีนิกสัน แต่ทางแฟนๆ ยังให้การต้อนรับเธออยู่ ช่วงนี้ภาพยนตร์ที่เธอแสดงอย่างเช่น WHAT'S UP DOC? (1972), UP THE SAND BOX (1972) ไม่ได้รับการต้อนรับเท่าที่ควร เธอมาดังอีกครั้งในปี ค.ศ. 1973 เมื่อเธอมาแสดงคู่กับ โรเบิร์ต เรดฟอร์ด ใน THE WAY WE WERE

THE WAY WE WERE ลำดับเหตุการณ์ในช่วง 10 ปี ของสาวสวยคนหนึ่งจากรั้วมหาวิทยาลัยตั้งแต่ครั้งเป็นนิสิตสาว พบรักชายหนุ่มจนกระทั่งออกจากมหาวิทยาลัย มาทำงานหาเสียงให้กับพรรคการเมือง ชีวิตมีทั้งหวานชื่นและขมขื่น ดนตรีประกอบในเรื่องเป็นฝีมือของมาร์วิน แฮมริช ส่วนคำร้องเขียนโดย อลัน กับมาริลิน เบิร์กแมน หลายฉากในเรื่องจะมีเสียงของบาร์บรา สตรัยแซนด์ ขับร้องเป็นแบ็กกราวนด์ ขณะถ่ายทำภาพยนตร์มีข่าวลือว่าโรเบิร์ต เรดฟอร์ด หลงเสน่ห์เธออย่างถอนตัวไม่ขึ้น ทั้งๆ ที่ตัวเขาแต่งงานแล้ว เมื่อภาพยนตร์ออกฉายประสบความสำเร็จทั้งรายได้จากรอบฉาย อัลบั้มซาวนด์แทรค รวมทั้งทำให้เพลง THE WAY WE WERE ได้รับรางวัลตุ๊กตาทองสาขาเพลงยอดเยี่ยมประจำปี ค.ศ. 1974

ขณะที่ประสบความสำเร็จกับการแสดงภาพยนตร์ ด้านยอดขายอัลบั้มหลายชุดที่ออกจำหน่ายในช่วงต้นทศวรรษก็ประสบความสำเร็จควบคู่ไปด้วย เธอหันมาเลือกงานของนักเขียนเพลงรุ่นใหม่บันทึกเสียงในอัลบั้มชุด STONEY END ชุดนี้ประกอบด้วย IF YOU COULD READ MY MIND งานเขียนของ กอร์ดอน ไลต์ฟุต, STONEY END และ TIME AND LOVE ของลอรา ไนโร จากนั้นตามด้วยชุด BARBRA JOAN STREISAND เพลงเอกในอัลบั้มคือ WHERE YOU LEAD เขียนโดย แคโรล คิง

ปี ค.ศ. 1976 บาร์บรา สตรัยแซนด์ คืนสู่จอเงินอีกครั้งกับหนังเรื่องใหม่ A STAR IS BORN เพลงเอกในเรื่องที่เธอร่วมเขียนกับ พอล วิลเลียม คือ EVERGREEN เพลงที่ทำให้เธอได้รับรางวัลตุ๊กตาทองเพลงประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ถัดมาในปลายปี ค.ศ. 1978 แทรคหนึ่งในอัลบั้มชุด SONGBIRD ชื่อ YOU DON'T BRING ME FLOWERS ที่เธอร้องดูเอตกับ นีล ไดมอนด์ เมื่อเปิดผ่านทางสถานีวิทยุทั่วประเทศ ได้รับความนิยมขึ้นถึงอันดับหนึ่งในชาร์ตบิลบอร์ด เธอกลับมาดังในแวดวงเพลงอีกครั้ง แต่ไม่ดังเท่ากับในปี ค.ศ. 1980 เมื่อเธอขอให้แบร์รี กิบบ์ เขียนเพลงให้กับเธอขับร้องในอัลบั้มชุด GUILTY เพลงฮิตในอัลบั้มที่เธอร้องดูเอตกับแบร์รี กิบบ์ ได้แก่ GUILTY กับ WHAT KIND OF FOOL อัลบั้มชุด GUILTY ขายทั่วโลกถึง 20 ล้านก๊อบปี้ หลังจบจากอัลบั้มชุดนี้ บาร์บรา สตรัยแซนด์ กลับคืนสู่จอเงินอีกครั้งด้วยการเป็นผู้อำนวยการสร้าง เขียนบท และกำกับภาพยนตร์เกี่ยวกับบรรพบุรุษของเธอชื่อ YENTL (1983) ถึงแม้ว่าภาพยนตร์จะไม่ทำรายได้เป็นกอบเป็นกำ แต่เธอได้รับคำชมจากนักวิจารณ์ทั่วโลก รวมทั้งได้รับรางวัลลูกโลกทองคำ ระยะหลังภาพยนตร์ที่เธอแสดง อาทิ THE PRINCE OF TIDES (1990), THE MIRROR HAS TWO FACES (1996) และเรื่องล่าสุด MEET THE FOCKERS (2004) ประสบความล้มเหลวอย่างไม่เป็นท่า เธอจึงหวนกลับคืนสู่วงการเพลง เพลงฮิตเพลงสุดท้ายที่แฟนเพลงให้การต้อนรับได้แก่ AS IF WE NEVER SAID GOODBYE จากละครเพลงเรื่อง SUNSET BOULEVARD ช่วงนี้ใครที่มีโอกาสแวะผ่านไปยุโรป หากจังหวะดีและกำลังทรัพย์เพียงพอ ผ่านไปยังเมืองที่บาร์บรา สตรัยแซนด์ กำลังเปิดการแสดงอยู่ แนะอย่าพลาดคอนเสิร์ตเธอ อาจเป็นคอนเสิร์ตทัวร์ครั้งสุดท้าย เพราะเธอเพิ่งผ่านพ้นวัย 65 ปี เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา จะกลับมาเดินสายอีกครั้งคงจะยาก.

from.. แทบลอยด์ 10/6/2550
หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์

จากคุณ : coif - [ 10 มิ.ย. 50 13:06:59 ]