 |
050 - "Always Be My Baby" กระทู้อลังการ ต้อนรับการมาของ Jimmy Jam & Terry Lewis
หลังความสำเร็จครั้งมโหฬาร กับ "วันหวานวันหนึ่ง" ที่กลายเป้นตำนานสะเทือนชาร์ตตลอดกาล เพลงอันดับ 1 ของมารายห์เพลงต่อมา กลับไม่ได้เป้นเพลงที่มาจากกระแสนิยมล้วนๆเหมือนเพลงที่แล้วอีกต่อไป มันกลายเป็นเพลงที่เหมือนมาชี้ชะตามากกว่า ว่าเพลงๆหนึ่งที่เริ่มแสดงให้เห็นถึงความชอบของเธอเด่นชัดขึ้น กับความสามารถในการเลือกใช้โพรดิวเซอร์หน้าใหม่ด้วยตัวเองของเธอนั้น จะให้ผลลัพธ์เป็นอย่างไร เชื่อว่านี่คือการวัดดวงครั้งสำคัญครั้งหนึ่งของเธอทีเดียว
เพลงนี้ ไม่ได้เปิดตัวเป็นพลุแตก แบบจุดปุ๊ยได้ปั๊บ แบบ 2เพลงแรกของอัลบัมนี้ แต่การที่มันไต่ขึ้นไปที่อันดับ 1 ได้ จากการเปิดตัวที่อันดับ 2 แล้วกระดื้บขึ้นลงอยู่แถวนั้น ในช่วงปีที่มีแต่เพลงเจ๋งๆฟูฟ่าเปิดตัวกันมากมาย กลายเป็นเพลงที่มีจำนวนอันดับ 2 (แต่ไม่ต่อเนื่อง) ยาวนานที่สุดของมารายห์ทั้งหมด และมีสถิติน่าภูมิใจกับการแตะอันดับ 1 ของฟากอาร์แอนด์บี ชาร์ทด้วย พร้อมกับตำแหน่งเพลงที่ถูกเปิดมากสุดในอเมริกาปี 1996 ครอบคลุมได้ทั้งชาร์ทเพลงคนแก่และเพลงอาร์แอน์บีวัยฮิปได้อย่างน่าดูชม เป็นการเปิดตัวคุณนายมาลัยในภาคดำในอย่างสวยงามสมบูรณ์แบบเป้นที่สุด
มารายห์ตามจิก เจอร์เมน มาทำงานให้เธอ เช่นเดียวกับที่เธอชอบทำกับการปั้นโพรดิวเซอร์หน้าใหม่ๆให้ดังในงานยุคหลังๆ ถือว่าเธอเป้นคนที่ฟังเพลงกว้างมาก มารายห์ชอบผลงานเจดี ในยุคแรกเริ่มที่ทำกับ Kris Kros (ซึ่งตอนหลังมารายห์ก็เอาเพลงเค้ามาแซมเปิ้ลในยุคหลังด้วย)ในเพลง Jump แรพเพอร์วัยละอ่อนที่เจดีกำลังปลุกปั้น เธอดึงเจดีมาทำรีมิกซ์ให้กับเธอใน Never Forget You และให้โอกาสในการทำเพลงร่วมกับเธอในอัลบัมเดย์ดรีม ซึ่งให้ผลลัพธ์ออกมาเป็นเพลงที่พวกเรารู้สึกว่ามีรสชาติต่างออกไปจากเดิม กับการแทรกความทะมึนเข้ามาอีกนิดในผลงานอย่างบางเบา ผลการร่วมมือทำงานระหว่างทั้งสอง ให้ผลสำเร็จเป็น โอกาสในการตั้งค่ายส่วนตัวของดูพริ ในเครือโซนี่ เลยทีเดียว ซึ่งการเกิดขึ้นของค่าย โซ โซ เดฟ นั้น ประหนึ่ง ค่ายที่มีมาเพื่อช่วยสนองความต้องการของมารายห์หลายๆอย่างโดยเฉพาะ ทั้งการปั้นศิลปินหน้าใหม่มาให้เจ๊ช่วยดัน และช่วยสร้างรีมิกซ์ในแบบที่เธอทำ ประหนึ่งตาเจดีประมูลงานกับเจ๊ครั้งเดียว ได้สิทธิ์ผูกขาดทำรีมิกซ์ตามใจเจ๊ไปตลอดเลยทีเดียว ถือเป้นโอกาสและโชคของตาเจอร์เมนมาก แอบคิดว่า ถ้าไม่มีเจ๊ในวันนั้น กับเพลงมหัศจรรย์เพลงนี้ ตาเจดีจะได้มีโอกาสมาเฉิดฉาย เป้นสามีเจ๊เจเนท อย่างทุกวันนี้ได้ไหมหนอ
เบื้องหลังการสร้างเพลงนี้ ตาเจดีไม่ได้ลงทุนอะไรมากเลย นอกจากเปิดโพรแกรมมิ่งกลองป๊อกแป๊กตามถนัดไป แล้วเจ๊ก็นั่งจินต์ว่าฟังแล้วเจ๊อยากจะพูดถึงอะไร ความรู้สึกแบบไหน คู่หูตาเจดี (ที่มักถูกผู้คนลืมชื่อ) คือ มานูเอล ซีล ก็พรมมือลงคีย์บอร์ดเป็นแบคกรานด์ไปให้ แล้วอิเช้สุดมหัศจรรย์ของเรา ก็ฮัมเมโลดี้ออกมาได้เป็น ท่อน You're Always Be A part of Me.... กะท่อน บริดจ์ I Know That You'll Be Back Boy...ได้อย่างเหลือเชื่อ (เก่งเวอร์มาก)แล้วอีเจ๊ก็ตัดสินใจได้ทันทีว่า เพลงนี้จะต้องชื่อ Always Be My Baby ชัวร์ค่ะ แล้วเช้ ก็ลงมือแต่งสำบัดสำนวนสุดเริ่ดหล้า กลายเป็นเพลงบอกลาที่สุดสวยเพลงนี้ด้วยตัวเองล้วนๆ (เบื้องหลังศัพท์สำรวยทั้งหลายอย่าง Inevitably, Indefinitely)เก่งจริงๆเลย เช้มาลัยของเรา
ความไพเราะของเพลงนี้ อยู่ที่ความลงตัวขององค์ประกอบทุกด้าน ตาเจดี สร้างโครงสร้างเพลงป๊อกแป๊กแนวถนัดให้มีความเก๋ในทำนองได้ คือ เป็นเพลงช้าที่มีจังหวะคร่อมๆ เป็นอาร์แอนด์บีนิยมในยุคนั้น มากับเสียงกลองโพรแกรมมิ่งตุ่มโป๊ะที่เหมือนเสียงน้ำกระเพื่อม มานูเอล ซีลให้เสียงเกากีตาร์สังเคราะห์แสนสวย ให้ความรู้สึกถึงความไร้เดียงสา เสียงคอรัส จาก 3 สาวหมึกดำมหัศจรรย์ ที่มีเจ๊เคลลี่ ไพรซ์ กะน้องเธออยู่ด้วย ของแย่งซีน เป็นเพื่อนสาวที่มาร่วมรำลึกความหลังด้วยการนั่งชิงช้าร้องเพลงและ ชุบ ดุบ ดุร่วมกัน เป้นการเติมความน่ารักและความดำให้กับตัวเพลง จนรู้สึกเห้นถึงความเป็นเพลงอาร์แอนด์บีมากขึ้น แล้วเจ๊เคลลี่ ก็เป้นอีก 1 ลูกหม้อก้นกุฎิเจ๊มาลัย ที่ได้โอกาสไปเกิดอีก 1 ราย
พูดแล้ว จะลืมถึงองค์ประกอบสำคัญที่สุดของเพลงอย่างเสียงร้องของเจ๊ไปไม่ได้ นักวิจารณ์เค้าว่ากันว่าเสียงร้องในเพลงนี้ของเจ๊มีลวดลายมากขึ้น ไม่ใช่เจ๊มาลัยเพลงหวานเงือกคนเดิมอีกต่อไป ลูกเล่น เทคนิค การเปล่งเสียง มีความเป็นโซลมากขึ้น แต่รู้สึกได้ว่า ไม่เช่นเป้นการเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อกระแสนิยม แต่เป้นการแสดงออกถึงความสามารถที่มีอยู่แล้วในตัวเธอให้เด่นชัดขึ้น ด้วยองค์ประกอบของเพลงที่เอื้อขึ้นมากกว่า เสียงหลบบ้าง แหกบ้างของเจ๊ในเพลงนี้ ให้ความหวานใส แม้จะรู้สึกว่านี่คือภาคต่อของเพลงที่มีท่อนชู ดุบ ดู สุดน่ารัก จากเพลง ผู้ชายในฝัน (Dreamlover) ก็ตาม แต่เรารู้สึกว่าเธอโตขึ้น มีความคิดที่กว้างขึ้น แต่ขณะเดียวกัน ก็ไม่ได้ทิ้งความเป้นตัวตนที่มองโลกในแง่ดีและไร้เดียงสาไป
ด้านเนื้อหาเพลง นี่คือเพลงที่มีเนื้อหาอยู่ในตระกูล Anytime You Need A Friend อันได้แก่ Anytime You Need A Friend, Butterfly , Subtle Invitation ที่พูดถึงการจากลากัน แต่อยากให้เธอยังนึกถึงฉัน และยินดีต้อนรับเสมอเมื่อเธอจะกลับมา โดยคล้ายกับเพลง ผีเสื้อบิน มากที่สุด ตรงที่ เป็นการยินดีปล่อยคนที่รักให้ไปพบสิ่งที่ดี เพราะรู้ตัวดีว่าคงไม่อาจรั้งเธอไว้ได้ แต่ก็อยากให้เธอจำไว้ว่า เธอยังมีฉันอยู่เสมอ ถือเป้นการจากลาในมุมมองที่น่ารัก และเป็นเอกลักษณ์มากๆ และนี่คือความรู้สึกที่ว่า ทำไมเราจึงรู้สึกว่ามารายห์คือเพื่อนของเรา เพราะเธอสอนเราให้มองโลกในแง่ดี และเธอก็มีเรื่องราวความคิดของเธอมาเล่าให้ฟังเสมอ (สังเกตว่า เจ๊ผูกขาดแต่งเนื้อเองคนเดียวเพียวๆมาตลอด) เราจึงมีความรู้สึกว่า ไม่ว่าเธอจะออกเพลงมากี่เพลง เธอก็คือ เธอคนเดิมที่เราเคยรู้จักในอดีต จะแร่ดไปบ้าง บ้าบอไปบ้าง แต่เราก็รู้ว่าเธอคือคนใจดี
สมควรยิ่งที่เอ็มวีเพลงนี้จะออกมาอย่างที่เห้น เพราะอีเช้กำกับเองเป้นเพลงที่ 2 แล้วน่ะฮ่ะ เธอจึงสร้างภาพได้ตรงกับอารมณ์เพลงที่เราคิดไว้มากๆเลยอ่ะ เธอชวนเรามานั่งชิงช้ารำลึกความหลังวัยเด็กกัน พร้อมกับพาไปดูภาพ Young Love แก่นๆ แก่แดดของเธอ ที่คาดว่าจะสามารถตัดต่อภาพดีๆเป้นเอ็มวีเพลง Underneath The Stars ได้เลยล่ะ ในขณะที่ภาพคุรนายปัจจุบัน ก็คือ การปล่อยเธอไปในแสงดวงดาวอย่าง Slippin' Away เราก็เลยมีความรู้สึกว่า ทั้ง 3 เพลงนี้ เป้นเพลงที่มีเรื่องราวต่อเนื่องกัน ให้ภาพความรู้สึกแบบเดียวกัน การเลือกทำเอ็มวีเพลงนี้ จึงเป็นการเติมเต็มภาพความฝันกลางวัน ในภาคระลึกวัยเยาว์ของเธอได้สมบูรณ์ที่สุด และเป้นกึ่งกลางที่พบกันพอดีระหว่างความรักในทั้ง 2 เพลง
ว่าแล้วเรามาเปิดเพลงทบทวนความทรงจำกับเพลงสุดน่ารักที่ชวนให้นึกถึงวัยเยาว์กันดีกว่าไหม กับ เวอร์ชั่นสั้น ด้วน Radio Edit ที่ถูกตัดจากอัลบั้มเวอร์ชั่นความยาว 4.18 นาที มาเหลือแค่ 3.20 นาที มันห้วนสะใจจริงๆ
Always Be My Baby (Radio Edit)
http://www.mediafire.com/?dvvmoxahkmq
จากคุณ :
พระนายหมื่นไร่  
- [
16 มิ.ย. 50 16:43:21
]
|
|
|
|
|
|
