ความคิดเห็นที่ 6
ไม่นานมานี้ผมเพิ่งอ่าน Beethovens Ninth : A Political History ของ Esteban Buch เป็นหนังสือที่น่าสนใจมากครับ
Beethovens Ninth : A Political History Esteban Buch Translated by Richard Miller (The University of Chicago Press, 2003)
นิตช์เช่เคยกล่าวไว้ว่า เบโธเฟนของคุณไม่ใช่เบโธเฟนคนเดียวกับของผม และร่วม 200 ปีที่ผ่านมา คำกล่าวของนิตช์เช่ก็สะท้อนถึงสถานะบทบาทของเบโธเฟนในวัฒนธรรมตะวันตก โดยเฉพาะในทางการเมือง แทบทุกความเคลื่อนไหวทางการเมืองในยุโรป ไม่ว่าเป็นซ้ายหรือขวา ต่างถือเบโธเฟนเสมือนเป็น สมาชิกพรรค ขึ้นอยู่กับว่าเราคุยกับผู้มีแนวคิดทางการเมืองแบบไหน เบโธเฟนเป็นได้ทั้งมาร์กซิสต์, นาซี, ฟาสซิสต์, นักประชาธิปไตย, เผด็จการ ไม่มีคีตกวีคนใดในประวัติศาสตร์ที่ถูกมองอย่างแตกต่างขัดแย้งเท่าเบโธเฟน ฌอง ปอล ซาร์ตร์ บอกไว้ว่า Because there was a Beethoven, we have to go on reinventing him.
ในปี 1999 นักประวัติศาสตร์ดนตรี Esteban Buch ได้เขียนหนังสือเกี่ยวกับซิมโฟนีหมายเลข 9 ของเบโธเฟน และปัจจุบันได้ถูกแปลจากภาษาฝรั่งเศสเป็นภาษาอังกฤษในชื่อ Beethovens Ninth : A Political History ในหนังสือเล่มนี้ Buch เขียนถึงบริบททางประวัติศาสตร์ของซิมโฟนีหมายเลข 9 อิทธิพลของบทกวีชิลเลอร์ต่อเบโธเฟน การตอบรับและแปลความหมายที่แตกต่างหลากหลายของซิมโฟนีบทนี้
เมื่อซิมโฟนีหมายเลข 9 ของเบโธเฟน ได้ออกแสดงครั้งแรกที่กรุงเวียนนาในปี 1824 นั้น ยุโรปกำลังอยู่ในช่วงสับสนวุ่นวายทางการเมือง เป็นช่วงที่เกิดการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงทางสังคม แต่ละชาติเริ่มมีบทเพลงเฉลิมฉลองชนชาติของตน อังกฤษมีเพลง God save the King มาตั้งแต่กลางศตวรรษที่ 18 ไฮเดินได้ประพันธ์เพลงชาติออสเตรียขึ้น (เพลงนี้ใช้เป็นเพลงชาติเยอรมันในปัจจุบัน) ฝรั่งเศสเริ่มมีเพลง La Marseillaise ในปี 1792 จากผลพวงของการปฏิวัติ
เบโธเฟนได้รับอิทธิพลความคิดจากการปฏิวัติฝรั่งเศส เขาชื่นชอบบทกวี An die Freude (Ode to Joy) ของชิลเลอร์มาตั้งแต่วัยหนุ่ม ความชื่นชอบนี้บอกถึง อุดมคติทางการเมือง ของเบโธเฟน ทำนองดนตรีพื้นฐานของ Choral Finale ให้ความรู้สึกสูงส่งงดงามเหมือนไฮเดิน ส่วนบทกวีของชิลเลอร์ All men will become brothers. ก็มีส่วนคล้าย La Marseillaise งานดนตรีชิ้นนี้ของเบโธเฟนจึงให้ความรู้สึกปิติหรรษาอย่างวิเศษสุด Buch เขียนไว้ว่า :-
The Ode to Joy is the most convincing depiction of utopia in sound
and it has become an aural fetish in the Western World.
สิ่งที่น่าพิศวงมากที่สุดคือ ไม่มีบทเพลงใดในประวัติศาสตร์ที่ถูกนำไปใช้ในทางการเมืองมากเท่าซิมโฟนีหมายเลข 9 ของเบโธเฟน และหลายครั้งที่บทเพลงนี้ถูกนำไปใช้โดย ขั้วตรงข้าม หรืออีกนัยหนึ่ง ปฏิปักษ์ทางการเมือง อาทิเช่น
ในศตวรรษที่ 19 นักชาตินิยมเยอรมันชื่นชอบเพลงนี้ เนื่องเพราะมีพลังในแบบวีรบุรุษเยอรมัน แต่ชาวฝรั่งเศสตอนนั้นกลับถือเพลงนี้เป็น La Marseillaise of Mankind เชื่อว่าเพลงของเบโธเฟนถ่ายทอดอุดมคติการปฏิวัติปี 1789 เสรีภาพ เสมอภาค ภราดรภาพ
ชาวคอมมิวนิสต์ตีความว่า ซิมโฟนีชิ้นนี้สะท้อนโลกยูโทเปียที่ปราศจากชนชั้น นักประชาธิปไตยกลับเชื่อว่า นี่คือบทเพลงแห่งประชาธิปไตย ต่อต้านการกดขี่ของคอมมิวนิสต์...
ในยุคนาซีรุ่งเรืองสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ซิมโฟนีหมายเลข 9 เป็นบทเพลงยอดนิยม ถูกบรรเลงในเยอรมันบ่อยครั้งที่สุด ฮิตเลอร์ชอบเพลงนี้มากขนาดให้วงดนตรีมาบรรเลงในวันเกิดตัวเอง แต่ในช่วงเดียวกันนั้น ทั่วทั้งสหรัฐอเมริกาได้หยิบบทเพลงนี้ขึ้นมาเล่นเพื่อต่อต้านนาซี เพื่อความสงบสุขของมนุษยชาติ...
ในปี 1989 Leonard Bernstein กำกับเพลงนี้ในงานเฉลิมฉลองการรวมชาติเยอรมันที่กำแพงเบอร์ลิน และในปีเดียวกัน ที่กรุงปักกิ่ง นักศึกษาจีนที่เรียกร้องประชาธิปไตยได้เปิดเพลงนี้ดังกระหึ่มที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน ก่อนโดนรถถังของรัฐบาลจีนเข้าล้อมปราบ...
ในปี 2000 Simon Rattle และวง Vienna Philharmonic ไปบรรเลงเพลงนี้ที่ค่ายกักกัน Mauthausen เพื่อรำลึกถึงการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวในสงครามโลกครั้งที่ 2 และหลังจากเหตุการณ์ตึกเวิร์ลเทรดเซ็นเตอร์ถล่มเมื่อวันที่ 11 ก.ย. 2001 ซิมโฟนีหมายเลข 9 ก็ถูกนำมาบรรเลงตามเมืองต่างๆในสหรัฐอเมริกา...
Ode to Joy ยังได้รับความนิยมเปิดในโอลิมปิกเกมส์ และปัจจุบันเพลงนี้เป็นเพลงประจำสหภาพยุโรป (EU)
ซิมโฟนีหมายเลข 9 ของเบโธเฟน ถือเป็นมรดกล้ำค่าของมนุษยชาติ เป็นดนตรีอันสูงส่งยิ่งใหญ่ที่ช่วยยกระดับจิตใจมนุษย์ อย่างไรก็ตาม เป็นสิ่งที่น่าแปลกใจว่า เหตุใดที่ซิมโฟนีบทนี้ถึงถูกตีความไปอย่างสุดขั้ว เพราะต้องอย่าลืมว่า พวกนาซีในค่ายกักกันชาวยิวนิยมดนตรีของเบโธเฟนเป็นอย่างยิ่ง ในปี 1943 นักโทษชาวยิวในค่ายกักกัน Auschwitz ที่เป็นเด็ก ได้ถูกเกณฑ์ให้ซ้อมขับร้อง Ode to Joy โดยหนึ่งในนักโทษที่ซ้อมขับร้องสามารถหลุดลอดจากค่ายกักกันในเวลาต่อมา เขาเขียนบันทึกไว้ว่า :-
Sometimes I think of it as a magnificent demonstration of the spirit of universal values that can survive even the most inhuman deeds ever performed by the hand of man. That it was a protest and a resistance of the spirit in the face of crime and mass violence.
But sometimes I have doubts about that interpretation. Perhaps the choice was the expression of an extreme sarcasm, an almost satanic gesture.
เขายังบอกไว้ว่า แม้เวลาผ่านไป 50 ปี เขาก็ยังไม่เข้าใจการเลือกใช้ Ode to Joy ในสถานการณ์ อมนุษย์ เช่นนั้น
มนุษย์เชื่อในพลังดนตรี พลังศิลปะ เชื่อว่าช่วยกล่อมเกลาจิตใจมนุษย์ ทำให้เป็นคนดีขึ้น ทว่าประเด็น นาซีกับเบโธเฟน ทำให้เราต้องย้อนทบทวนว่า ดนตรีและศิลปะช่วยยกระดับจริยธรรมของมนุษย์มากเพียงใด
แต่อย่างไรก็ตาม ประเด็นนี้ไม่ควรทำให้เราสูญเสียศรัทธาและความเชื่อมั่นในคุณค่าของศิลปะ ผมเห็นด้วยกับ Maynard Solomon (ผู้เขียนประวัติเบโธเฟน) เราไม่ควรละทิ้ง ความฝัน ในซิมโฟนีหมายเลข 9 :-
If we lose awareness of the transcendent realm of performance, beauty, and brotherhood afforded us by the great affirmative works of our culture, if we lose the dream of the Ninth Symphony, we will have nothing left to balance against the crushing terrors of modern civilization, nothing left to set against Auschwitz and the Vietnam War as a paradigm of human potentialities.
จากคุณ :
BlueWhiteRed
- [
24 ก.ค. 50 21:48:50
]
|
|
|