ความคิดเห็นที่ 4
วงที่ DT เลือกจะรับเอาอิทธิพลมาไว้ในวงนั้นไม่ได้มีแต่วงรุ่นเก๋าเท่านั้น การนำซาวด์ใหม่ๆ เข้ามาก็เป็นความต้องการไม่ให้พวกเขา(ที่ตั้งวงกันมากว่า 20 ปีแล้ว)ดูไดโนเสาร์สำหรับแฟนรุ่นใหม่จนเกินไป ซึ่งวงร่วมสมัยที่ DT ชอบลองของด้วยมากที่สุดตอนนี้คงไม่พ้น Muse ยอดวงอัลเทอร์เนทิฟ โปรเกรสซิฟ ร็อค 3 ชิ้นจากอังกฤษ ที่เราเคยได้ฟังผลงานสไตล์ของ Muse ที่จัดจ้านไปด้วยเสียงซินธิไซเซอร์โดยฝีมือของ DT มาแล้วจากเพลงสุดมันอย่าง Never Enough จากชุดที่แล้ว แต่ดูเหมือนจะไม่หนำใจ เราจึงได้ฟังมันอีกครั้งจากเพลง Prophets of War เพลงต่อต้านสงครามของ DT ที่ได้อิทธิพลดังกล่าวชัดเจนกว่าเดิมเสียอีก เพลงนี้ไม่โดดเด่นนักถ้าฟังในอัลบั้ม แต่คงสนุกมากๆ ถ้าไปเล่นในคอนเสิร์ต เพราะเพลงนี้ทางวงได้เชิญแฟนเพลงที่อยู่ใกล้ๆ กับห้องอัดจำนวน 50 คนมาช่วยตะโกนเป็นจังหวะเพิ่มความหนักแน่นให้กับเพลงด้วย ซึ่งไอเดียเหมือนกับที่ยอดมือกีตาร์อย่าง โจ แซทริอานี ใช้ในเพลง Crowd Chant จาก Super Colossal ผลงานชุดล่าสุดของเขา ซึ่งทั้งสองเพลงนี้เปิดโอกาสให้แฟนเพลงมีส่วนรวมกับวงด้วยการ Chant ระหว่างการแสดงคอนเสิร์ต (แต่ถ้าแฟนไม่ทำการบ้านก็คงออกมามั่วนิดๆ) ความแตกต่างระหว่าง DT ในช่วงทศวรรษนี้ กับ DT ในช่วงทศวรรษที่แล้ว อาจจะเรียกได้ว่ามีมนตราแห่งเสียงเพลงที่แตกต่างกัน การฟัง DT สมัยก่อนแม้ว่าเพลงนั้นจะยาวไม่ถึง 10 นาที (The Killing Hand 8:40 นาที, Take the Time 8:21 นาที, Metropolis Pt. 1 9:32 นาที, Voices 9:53 นาที) แต่เราก็รู้สึกเหมือนกับเพิ่งจะฟังเพลงที่มีความยาวนับชั่วโมงไป เพราะความหนาแน่นของเนื้อหาในแต่ละเพลงที่อาจจะเทียบเท่ากับอัลบั้มของศิลปินรายอื่นทั้งชุดไปแล้ว ขณะที่การฟัง DT ในยุคนี้ที่ไม่ว่าเพลงจะยาวซักเพียงไหน (The Glass Prison 13:52 นาที, The Great Debate 13:43 นาที, This Dying Soul 11:28 นาที, Endless Sacrifice 11:23 นาที, In The Name of God 14:16 นาที, Sacrificed Sons 10:42 นาที) เรากลับฟังมันได้อย่างเพลิดเพลินโดยไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปเท่าไหร่แล้ว ซึ่งถ้าจะว่าไปแล้วก็ถือว่าเป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมด้วยกันทั้งคู่ เมื่อวิเคราะห์ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว รู้สึกเหมือนว่าบางทีอาจจะเป็นเพราะว่าพวกเขาใช้เวลาในการพาผู้ฟังไปถึงขอบแห่งจินตนาการทางดนตรีของแต่ละเพลง "ช้าลง" กว่าแต่ก่อน หรือบางทีการจะทำให้ตัวเพลงมีความหนาแน่นเท่าเดิมพวกเขาต้องขยับขยายเวลาของตัวเพลงออกไป อย่างที่บางครั้งจะรู้สึกเหมือนว่า A Change of Seasons ผลงานที่แต่งขึ้นมาในยุคแรกๆ ของพวกเขาที่มีความยาว 23 นาที ดูจะมี "มวล" ทางดนตรีที่อัดแน่นยิ่งกว่า Octavarium ผลงานในยุคหลังทีมีความยาว 24 นาทีซะอีก อย่างที่เราจะได้ยินจากอีกเพลงในชุดนี้อย่าง The Ministry of Lost Souls เพลงเนื้อหาสุดหลอนยาว 14:57 นาทีของเปทรูชชี ที่มามุกเดียวกับ Endless Sacrifice ที่โดดเด่นด้วยการขึ้นต้นเพลงในสไตล์สโลว์ร็อคแล้วกระหน่ำด้วยท่อนแจมที่สุดแสนจะอลังการ หากแต่เพลงนี้ทั้งสองสิ่งกลับแตกต่างกันเสียจนแทบจะดูไม่ออกว่ามาจากเพลงเดียวกัน แฟนเพลงต้องคอยถึงครึ่งเพลงกว่าท่อนโซโลดนตรีที่แสนวิเศษของพวกเขาจะโผล่มาให้ได้ยิน จนบางครั้งก็สงสัยว่าทำไมพวกเขาต้องให้แฟนเพลงต้องรอขนาดนั้นกว่าจะได้ตื่นเต้นกันอย่างที่ควรจะเป็นจากเพลงของพวกเขา สิ่งหนึ่งที่อาจจะขัดใจแฟนเพลงเล็กน้อยก็คือนี่เป็นชุดที่ 3 แล้ว (และเป็น 2 ชุดติดต่อกัน) ที่ DT ไม่มีเพลง instrumentals หรือเพลงบรรเลงมาเสิร์ฟให้แฟนๆ ได้ฟังกันอย่างชุ่มปอดซักเพลง โดยเฉพาะแฟนๆ ที่ติดใจพวกเขาจาก Liquid Tension Experiment ที่เป็นตำนานไปแล้วนั้นคงกระสับกระสายกันมิใช่น้อย แต่จะว่าไปแล้วหลายเพลงในชุดนี้ก็มีเนื้อหาในการบรรเลงที่พอจะทดแทนสิ่งที่ขาดไปได้พอหอมปากหอมคอ แต่ข่าวดีที่มาพอเหมาะพอเจาะก็คือการประกาศออกผลงานชุดพิเศษของ LTE อย่าง Spontaneous Combustion ซึ่งเป็นการแจมของ 3 สมาชิกของ LTE ระหว่างที่เปทรูชชีลาไปเฝ้าเมียที่กำลังคลอดในระหว่างการบันทึกเสียงชุดที่สอง และอัลบั้มนี้ยังเป็นการต้อนรับการคืนสู่เหย้าของ LTE ที่ประกาศฟอร์มวงกันอีกครั้ง เพื่อขึ้นแสดงในเทศกาล NEARfest กลางปีหน้านี้ด้วย หลังจากฟังชุดนี้จบแล้ว หลายคนอาจจะคิดว่าการที่ DT หันมาเน้นในสไตล์โหดดุดันเป็นหลักอีกครั้งก็เพื่อเป็นการต้อนรับบ้านใหม่อย่างค่าย Roadrunner Records ที่พี่ๆ น้องๆ ร่วมค่ายต่างเสือสิงห์กระทิงแรดด้วยกันทั้งนั้น แต่ถ้าพิจารณาจากประวัติศาสตร์การทำงานของวงผ่านอาร์ตเวิร์คในแต่ละอัลบั้มแล้ว ดูเหมือนว่า DT จะเล่นแสงกับเงากับผลงานในแต่ละชุดของเขาเสมอมา สังเกตว่าถ้าชุดไหนหนัก ชุดต่อมาจะเบาลง ถ้าชุดไหนเน้นซาวด์ทดลองเป็นหลัก ชุดต่อมาจะเน้นความหม่นโดยรวมของอัลบั้มมากขึ้น อาจเป็นไปได้ว่าผลงานชุดที่ 10 ที่แฟนๆ ของวงก็รู้ว่าไม่ต้องรอนานนี้ (เพราะเป็นวงที่มีมาตรฐานการทำงานที่รวดเร็วมาก) นอกจากจะได้ฟังบทสรุปของ Alcoholics Anonymous suite ที่รอคอยกันแล้ว เนื้อหาดนตรีอาจจะมีความลงตัวไปด้วย ความลึกลับ, งดงาม, หนักแน่น, อลังการ ซึ่งเป็นสไตล์ถนัดของพวกเขามากกว่านี้ก็เป็นได้ (ถ้าชุดต่อไปมีแค่ 4 เพลง แต่เพลงละ 20 นาทีก็คงไม่มีแฟนคนไหนบ่น เพราะยังไงพวกเขาก็เป็นวงที่ใช้เนื้อที่บนแผ่นซีดีได้คุ่มค่าทุกตารางมิลมาแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้ว) แต่ก่อนที่จะถึงวันนั้น เชื่อแน่ว่าแฟนเพลงหลายคนคงยังไม่ลืมเหตุการณ์เมื่อวันที่ 25 มกราคม 2549 ที่อิมแพค อารีน่า ที่ DT ได้มามอบของขวัญด้วยการบรรเลงเพลงจากทุกอัลบั้มของพวกเขาในคอนเสิร์ตเต็มเหยียดความยาวกว่า 3 ชั่วโมง ที่แฟนเพลงหลายคนยังประทับใจไม่หาย และน่าเสียดายกับอีกหลายๆ คนที่พลาดโอกาสนั้นไป ที่น่าสนใจก็คือในช่วงต้นปี 2008 ที่จะถึงนี้ หลังจากที่พวกเขาเสร็จสิ้นภารกิจในการทัวร์อเมริกาเหนือและยุโรปแล้ว ป้ายแรกที่พวกเขาจะมาเยือนได้แก่ เกาหลี, ญี่ปุ่น และสิงคโปร์ ในวันที่ 12, 15, 17 มกราคมนี้ ซึ่งหวังเหลือเกินว่าพอถึงช่วงนั้นแฟนเพลงบ้านเราจะได้มีโอกาสฉลองครบรอบ 2 ปีการมาเยือนของ Dream Theater ด้วยการชมการแสดงคอนเสิร์ตของพวกเขานั่นเอง
จากคุณ :
Younger Pat
- [
15 ต.ค. 50 18:38:54
]
|
|
|