PANTIP.COM : C6366587 คุณคิดว่าทาทา ยัง ประสบความสำเร็จในการโกอินเตอร์มากแค่ไหนครับ [ศิลปิน-นักร้อง]

ความคิดเห็นที่ 19

มียอดขายของทาทา ในข่าวนี้ค่ะ

แผนกู้ชื่อ 'ทาทายัง' ครบรสโมเดิร์นมาร์เก็ตติ้ง

26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551 05:00:00

ล้วงลึกโรดแมพฟื้นแบรนด์ "ทาทายัง" สู่ซูเปอร์สตาร์ของคนไทยอีกครั้ง งานนี้ต้นสังกัดงัดตำราโมเดิร์น มาร์เก็ตติ้งครบรส ปรับโครงสร้างที่มาของรายได้จากสปอนเซอร์มากกว่ามุ่งหาเงินจากกระเป๋าแฟน ๆ

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : หากเทียบ "หนึ่งคนดัง" เท่ากับ "หนึ่งแบรนด์" สินค้าแล้วละก็ อายุอานามเกิน 10 ขวบปีขึ้น หรืออาจน้อยกว่านั้นแล้วแต่สภาพอุตสาหกรรมและการแข่งขัน แต่ที่แน่ ๆ เมื่อช่วงวัยของแบรนด์มากขึ้นเท่าไร ยิ่งต้องคิดหนักมากขึ้นเท่านั้น

ทั้งตลาดเริ่มชินชา ไร้ความตื่นเต้น และมีอารมณ์ร่วม แย่ไปกว่านั้นผู้บริโภคอาจถึงขั้นเมินแบบไม่เหลียวหลัง เมื่อเจอกับ "ของใหม่" ที่สดใสกว่า

เอ่ยชื่อ "อมิตา ทาทา ยัง" ขึ้นมา คงต้องบอกว่านานถึง 14 ปีแล้ว ที่คนไทยเคยรู้จักผู้หญิงคนนี้ในฉายา "สาวน้อยมหัศจรรย์"

แต่ถ้าถามถึง "ทาทา ยัง" ในวันนี้ ภาพลักษณ์ในสายตาของคนไทยค่อนข้างจะไปคนละทิศคนละทาง บ้างมองว่า ทาทา เป็นนักร้องที่ไปขายเสียงอยู่ต่างประเทศ บ้างมองว่า เป็นเซเลบ ที่หมั่นมีข่าว (คาว) ปรากฏตามสื่ออยู่บ่อยครั้ง

เหล่านี้ เป็นปัญหาเร่งด่วนที่ พีรธน เกษมศรี ณ อยุธยา ผู้จัดการทั่วไป บริษัท โซนี่ บีเอ็มจี (ประเทศไทย) จำกัด ผู้บริหารงานการตลาดให้กับ "ทาทายัง" เปรยว่า จะต้องเข้าไปแก้ภาพลักษณ์ของ "ทาทายัง" ในสายตาชาวไทยให้กลับมาดีขึ้นอีกครั้ง (แบบเร่งด่วน)

"ไม่ใช่ว่าเราจะปั้นภาพหลอก ๆ ของทาทาให้ดูดี เพียงแต่เรามองว่าภาพลักษณ์ของทาทาในวันนี้ไม่ได้เกิดขึ้นจากตัวตนหรือจิตใจของทาทาจริง ๆ แต่เป็นภาพที่สะท้อนออกจากสื่อ ความมั่นใจที่ดูเหมือนจะมากเกินไปก็เกิดขึ้นจากสื่อที่ตีความออกไป จนเดี๋ยวนี้แบรนด์ของทาทาในสายตาคนไทยเริ่มจะผิดเพี้ยน และที่สำคัญคือ ทาทา ในวันนี้ห่างไกลกับคนไทยมาก ถึงแม้คนจะยอมรับว่าเป็นซูเปอร์สตาร์จริง แต่ปัญหาคือจับต้องไม่ได้"

แต่กับแฟนเพลงในต่างประเทศนั้น จะได้เห็น และรู้จักทาทา จากการฟังเพลง และ ผ่านความสามารถทางดนตรีล้วนๆ แต่ทาทาอยู่เมืองไทย ก็มักตกเป็นข่าวอยู่เรื่อยๆ ขณะที่กิริยามารยาท การพูดจาก็ไม่คล้ายคนไทย ล้วนเป็นปัจจัยให้แบรนด์ของ ทาทา ไม่แข็งแรงเท่ากับตลาดต่างประเทศ

และที่ต้องเร่งเข้ามาเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เมื่อพบว่า "ทาทายัง" ค่อนข้างจะเป็นศิลปินที่ไกลตัวในสายตาของคนไทย

ในเรื่องการสร้างแบรนด์นั้น พีรธน บอกว่า "ความต่อเนื่อง" ในการทำตลาดเป็นเรื่องสำคัญที่สุดที่จะเป็นแรงขับเคลื่อนและผลักดันให้แบรนด์ใด ๆ ก็ตามยังคงอยู่ในใจของผู้บริโภคได้นาน

กับ "ทาทายัง" ก็เช่นกัน เมื่อ ทาทา เดินหน้าไล่ตามความฝันที่อยากจะเป็นศิลปินอินเตอร์อย่างมุ่งมั่น ก็กลายเป็นว่าทาทา ทิ้งตลาดไทยไปนานพอสมควร ทั้ง ๆ ที่รายได้จากตลาดไทยนั้นก็ไม่ได้น้อยไปกว่ารายได้จากต่างประเทศเลย

"ถึงแม้ว่ารายได้จากยอดขายในต่างประเทศจะดูดี แต่เงินที่ได้กลับมาไม่ได้เยอะอย่างที่เข้าใจ เนื่องจากต้องแบ่งรายได้ให้กับพาร์ทเนอร์ที่ทำการตลาดให้ในประเทศนั้นๆ พอหักลบแล้วก็เป็นรายได้ที่ใกล้เคียงกับที่ได้จากตลาดในไทย"

จึงเป็นที่มาที่ไปของแผนการรุกทำตลาดอย่างหนักเพื่อนำ "ทาทายัง" กลับมาผงาดในไทยให้ได้อีกครั้ง

"ที่บอกว่าเราจะนำทาทา กลับคืนสู่ชาวไทยอีกครั้งนั้น ไม่ใช่เพราะว่าทาทาขายในต่างประเทศไม่ได้ แต่เพราะเราเห็นว่าทาทาเคยดังมากในไทย แต่เนื่องจากว่าไปมุ่งตลาดต่างประเทศเสียนาน จนบางทีคนไทยเองยังชอบลืมว่าจริงๆ แล้วทาทา เป็นศิลปินไทย ทำให้ปีนี้เราตั้งใจกับตลาดเพลงไทยมาก"

พีรธน ปฏิเสธเกี่ยวกับสาเหตุที่กลับมาสนใจตลาดไทยอีกครั้งว่า ไม่ได้เป็นเพราะ ทาทา เจอทางตันในตลาดต่างประเทศ เพราะหากดูตัวเลขยอดขาย 2 อัลบั้มภาษาอังกฤษ อย่าง 'I Believe' และ 'Temperature Rising' ที่ออกวางแผงในปี 2547 และ 2549 ตามลำดับนั้น ก็ยังไปได้ดี

'I Believe' อัลบั้มภาษาอังกฤษชุดแรกของทาทา ทำยอดขายในญี่ปุ่นประเทศเดียวได้ถึง 4 แสนแผ่น และเมื่อรวมยอดขายอัลบั้มนี้ทั่วเอเชียแล้วก็ราว 1.2 ล้านแผ่น

ขณะที่ในอินเดีย เพลง "ดูมดูม" ซึ่งถูกนำไปใช้เป็นซาวด์แทร็คของภาพยนตร์เรื่อง "ดูม" ก็เป็นที่ถูกอกถูกใจชาวภารตะ จนยอดขายอัลบั้มเพลงประกอบหนังดังกล่าวพุ่งขึ้นไปถึง 8 แสนแผ่น

ส่วน 'Temperature Rising' อัลบั้มภาษาอังกฤษชุดที่ 2 ซึ่งมีเพลงโปรโมทคือ “El Nin-YO!” ก็ยังเบียดตัวขึ้นชาร์ทญี่ปุ่นได้อยู่ดี ด้วยตัวเลขยอดขาย 5 แสนแผ่น ส่งให้ทาทายังถูกจัดให้เป็น 1 ใน 10 ศิลปินต่างชาติที่มียอดขายอัลบั้มสูงสุดในญี่ปุ่น ประจำปี 2548

"ถึงใครจะคุยว่าศิลปินของเขาโกอินเตอร์แล้ว แต่เราก็เชื่อว่า ทาทา เป็นศิลปินไทยคนแรกและคนเดียวในตอนนี้ที่เป็นศิลปินอินเตอร์จริงๆ ไม่ใช่ว่าแค่ได้ไปร้องเพลงบนเวทีใหญ่ ๆ เพลงสองเพลง หรือมีอัลบั้มวางขายในต่างประเทศแล้วจะเรียกว่าโกอินเตอร์ได้" พีรธน กล่าวพร้อมกับเผยว่าในปีนี้จะเน้นทำการตลาดให้กับ "ทาทายัง" ทั้งในตลาดไทยและตลาดต่างประเทศพร้อม ๆ กัน

นโยบายของโซนี่ภายใต้การบริหารงานของ พีรธน นับจากนี้ ประกาศชัดแล้วว่า จะบริหารศิลปินให้เหมือนกับแบรนด์ๆ หนึ่ง โดยจะวาดเส้นทางระยะยาวเพื่อไปให้ถึงเป้าหมายของศิลปิน

ที่ผ่านมา ค่ายเพลงไทย ส่วนใหญ่ทำงานกันเป็นอัลบั้มๆ ไป ไม่ได้วาดแผนระยะยาว พอศิลปินถึงคิวออกอัลบั้มที ก็จะมานั่งคุยกันทีว่าจะทำเพลงแนวไหน เทรนด์ตลาดขณะนั้นเป็นอย่างไร แล้วก็ผลิตอัลบั้มออกมาแนวนั้น ซึ่งพอเสร็จ ก็โปรโมทอัลบั้มไปตามที่กำหนดไว้ และหลังจากนั้นก็จบ จนกระทั่งถึงคิวจะได้ออกอัลบั้มใหม่ก็มานั่งคุยกันใหม่อีกครั้ง วนเวียนอยู่อย่างนี้

นั่นคือเหตุผลที่ พีรธน กำลังจะบอกว่า กระบวนการดังกล่าวทำให้ศิลปินเพลงไทยไม่ค่อยมีคาแรคเตอร์ที่ชัดเจน มักจะเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาตามกระแส ขัดกันกับหลักการของการสร้างแบรนด์ที่แข็งแรง ที่จะต้องเกิดขึ้นมาจากความจริง สิ่งที่เป็นอยู่จริง ๆ

...ในแบบที่ ไม่ว่าสิ่งแวดล้อมจะเปลี่ยนไปอย่างไร แบรนด์ที่แข็งแรงแล้วก็จะไม่เปลี่ยนตาม

"ตอนนี้เราวาดแผนระยะยาวให้กับทาทาเรียบร้อยแล้ว ทั้งสำหรับการทำตลาดในประเทศและต่างประเทศ โดยในไทย เรามีเป้าหมายคือให้คนไทยรับรู้ว่าทาทาคือศิลปินไทย มีหัวใจเป็นคนไทย มีความคิดและความเชื่อไม่ต่างกัน และที่สำคัญคือ ทาทา จะต้องเป็นแบรนด์ๆ หนึ่ง

ถึงในไทยจะมีคนที่ร้องเพลงได้เก่งเหมือนทาทา แต่ทาทาก็จะต่างออกไป จากการแบรนดิ้งที่เราใส่อีโมชันนอล แวลูเข้าไป"

มูลค่าเพิ่มทางอารมณ์ซึ่ง พีรธน เอ่ยถึงนั้น มาในรูปของโปรแกรมซีเอสอาร์ โดยได้เลือกใช้กับทุกอัลบั้มในสังกัด โซนี่ บีเอ็มจี ทำตั้งแต่การบริจาคเงินส่วนหนึ่งจากยอดขายซีดีให้กับองค์กรการกุศลที่ตัวศิลปินเลือกเอง ซึ่งก็จะทำให้คนฟังอยากจะซื้ออัลบั้มถูกกฎหมาย เพราะจะมีส่วนช่วยเหลือสังคมด้วย

โดยอัลบั้ม "วันเลิฟ" ที่เพิ่งจะออกวางขายรับเทศกาลวาเลนไทน์นั้น ก็ได้พาร์ทเนอร์หลัก อสมท เข้ามาร่วมมือกันมากกว่าแค่เป็นมีเดียสปอนเซอร์ทั่วไป ซึ่งจะร่วมกันจัดกิจกรรม และทำรายการทีวีลักษณะซีซันนอล รวมถึงโปรแกรมรณรงค์เรื่องสิ่งแวดล้อมในช่วงปลายปี

พร้อม ๆ กับที่รายการออนแอร์ ทาทา ก็จะมีทัวร์คอนเสิร์ต 12 จังหวัดทั่วประเทศ เพื่อโปรโมทกิจกรรมนี้ด้วย กับฟรีคอนเสิร์ต ที่จะมีพันธมิตรเข้ามาสนับสนุนค่าใช้จ่าย

เมื่อบิลท์ความรู้สึกร่วมผ่านโปรแกรมต่าง ๆ แล้ว การสร้างสังคมย่อยคนรัก ทาทา ก็เป็นอีกส่วนงานที่ได้เริ่มทำ กับแผนการทำซีอาร์เอ็ม (Customer Relationship Management) ด้วยการเปิดรับสมัครสมาชิกใน 2 รูปแบบ คือ ระดับ โกลด์ และ ซิลเวอร์ ในราคา 10 และ 15 ดอลลาร์ ตามลำดับ โดยแฟนเพลงที่สมัครเข้ามานั้นก็จะได้รับสิทธิพิเศษต่าง ๆ อาทิ จองตั๋วคอนเสิร์ตก่อนใคร เป็นต้น

ส่วนตลาดต่างประเทศนั้น พีรธน วาดเส้นทางของทาทา ยัง ต่อจากนี้ ว่าจะบุกเข้าไปทำตลาดในยุโรปให้หนักขึ้น หลังจากประสบความสำเร็จในแถบเอเชียแล้วใน 2 อัลบั้มก่อนหน้านี้ และถัดจากนั้นจึงจะเข้าไปทำตลาดใน ออสเตรเลีย และ สหรัฐอเมริกา ตามลำดับ

สาเหตุที่เลือกยุโรปก่อนนั้น พีรธน ให้เหตุผลว่า โดยทั่วไปของการโปรโมทศิลปิน ถ้าศิลปินดังได้ในเกาะอังกฤษ ก็จะดังได้ในออสเตรเลียไปโดยปริยาย เพราะแฟชั่นทางดนตรีของออสเตรเลียโดยมากจะเดินตามเทรนด์ของฝั่งยุโรปอยู่แล้ว ขณะเดียวกันเมื่อเทียบกับตลาดของอเมริกา จะเห็นว่าศิลปินที่ดังจากอังกฤษก็เหมือนมีบันไดในการไต่สู่ตลาดเพลงที่ใหญ่ที่สุดในโลกอย่างอเมริกาได้อย่างไม่ยาก แต่สำหรับศิลปินที่ดังในอเมริกานั้น ไม่มีอะไรการันตีว่าจะสามารถดังได้ในฝั่งยุโรป

"ทาทา เป็นศิลปินเบอร์หนึ่งของค่ายเรา และวิธีคิดบริหารศิลปินในฐานะของแบรนด์นั้นก็เป็นครั้งแรกของค่ายด้วย ขณะที่การหารายได้ เราก็เปลี่ยนวิธีคิดจากแค่มุ่งหารายได้จากยอดขายแผ่นหรือขายตั๋วคอนเสิร์ตอย่างเดียว มาเป็นการหารายได้จากสปอนเซอร์นั้นก็เป็นเรื่องใหม่ของเรา ซึ่งหากว่าโมเดลนี้ประสบความสำเร็จ ก็จะเป็นโรดแมพที่จะใช้กับศิลปินเบอร์อื่น ๆ ของค่ายด้วย"

สำหรับแผนการแบรนดิ้งในครั้งนี้ พีรธน ยอมรับว่าไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เสียเลย ยอดขายอันเป็นประวัติศาสตร์ของอัลบั้ม “Amita Tata Young” ซึ่งขายได้กว่า 1 ล้านแผ่นภายในเวลาเพียง 5 เดือนต่างหาก ที่เป็นแรงขับเคลื่อนเพื่อท้าพิสูจน์การกลับมาอีกครั้งของ "อมิตา ทาทา ยัง"

http://www.bangkokbiznews.com/2008/02/26/WW71_7104_news.php?newsid=232746

จากคุณ : hiraikotsu - [ 26 ก.พ. 51 21:01:13 ]