Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom


    [กระทู้นอกเรื่อง] ความแตกแยก

    อิอิ เอาบทความดีๆ จากนักเศรษฐศาสตร์ คนสำคัญของเมืองไทยมาให้อ่าน  อินเทรนกระแสการเมืองกันหน่อย

    ดร.โกร่ง.. วีรพงษ์ รามางกูร  "การเมืองวิหิงสา"


    ดร.วีรพงษ์ รามางกูร อดีตรองนายกรัฐมนตรีและอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ซึ่งเป็นคอลัมนิสต์คอลัมน์ "คนเดินตรอก" ประจำหนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจได้เขียนบทความพิเศษเรื่อง "การเมืองวิหิงสา" ซึ่งสอดคล้องกับสถานการณ์การเมืองในขณะนี้จึงนำเสนอในหน้า 2 แทน "คนเดินตรอก" ในหน้าบทความประจำ

    ภาวะการเมืองขณะนี้หลายคนหายใจไม่ทั่วท้อง ไม่รู้ว่าจะเกิดภาวะทางตันขึ้นอีกหรือไม่ โดยเฉพาะประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญซึ่งไม่น่าจะเป็นปัญหา เพราะเป็นการเดินตามรัฐธรรมนูญปี 2550 เป็นไปตามนโยบายที่พรรคการเมืองใหญ่ทั้งสองพรรคใช้เป็นนโยบายในการหาเสียง และเป็นไปตามคำมั่นสัญญาของคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ ก่อนการลงประชามติว่าให้ออกเสียง "รับไว้ก่อนแล้วแก้ภายหลัง"

    ประเด็นในขณะนี้กลับกลายเป็นว่าแก้รัฐธรรมนูญเพื่อตนเองหรือเพื่อประเทศชาติ ความขัดแย้งใหม่กำลังจะปะทุขึ้นมาอีก ก็หวังว่าการประนีประนอมผ่อนปรนคงจะเกิดขึ้น ไม่นำไปสู่ทางตัน ไม่นำไปสู่การปฏิวัติรัฐประหารอีก เพราะเศรษฐกิจของชาติบอบช้ำมามาก และกำลังจะเผชิญกับวิกฤตการณ์น้ำมันครั้งใหม่ อันจะนำไปสู่ภาวะเงินเฟ้อและเศรษฐกิจชะงักงัน ซึ่งคราวที่แล้วกินเวลาถึง 7-8 ปี ตั้งแต่ปี 2522 ถึงปี 2529 ในช่วงนั้นถ้าไม่ได้รัฐบาลที่มีเสถียรภาพและต่อเนื่องอย่างรัฐบาลของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประเทศไทยก็คงจะเกิดวิกฤตล้มละลายแบบประเทศละตินอเมริกาไปแล้ว

    จากประสบการณ์ที่เคยเห็นความทุกข์ยากของผู้คนที่ตกงาน ล้มละลาย เดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้า จึงอดจะเป็นห่วงเป็นใยไม่ได้ และหวังว่าสถานการณ์ทางเศรษฐกิจน่าจะพอตั้งรับได้ เพราะคราวนี้เรามีทุนสำรองมากพอ ไม่เหมือนกับคราวเกิดวิกฤตการณ์น้ำมันครั้งที่สอง ถ้าการเมืองมีเสถียรภาพ รัฐบาลสามารถทำงานได้อย่างต่อเนื่อง

    การสร้างความคิดความรู้สึกให้กลายเป็นกระแสว่าประชาธิปไตยเป็นระบอบที่ต้องสะอาด โปร่งใส ไร้สิ่งมัวหมอง บริสุทธิ์ ยุติธรรม ไม่มีพวกพ้อง ไม่ซื้อเสียง ไม่หาเสียงโดยนโยบาย "ประชานิยม" น่าจะเป็นการปลุกกระแสให้เกิดความเข้าใจผิดเพื่อล้มล้างระบอบการปกครองระบอบประชาธิปไตย เป็นการเรียกร้อง "ความรุนแรง" การปฏิวัติรัฐประหาร

    ความจริงแล้วนักปราชญ์ทางรัฐศาสตร์เคยกล่าวไว้ว่า ระบอบประชาธิปไตยไม่ใช่ระบอบการปกครองที่ดีที่สุด แต่เป็นเพียงระบอบการปกครองที่เลวน้อยที่สุดเท่านั้นเอง

    เหมือนกับครูที่ต้องการให้ลูกศิษย์ทั้งชั้นสอบตก ก็เลยออก ข้อสอบยากๆ โดยรู้อยู่แก่ใจว่าลูกศิษย์ทั้งชั้นคงจะตอบคำถาม ไม่ได้ แล้วก็เอาตกซ้ำชั้นทั้งชั้น หรือให้การบ้านยากๆ ถ้าทำไม่ได้ก็จะถูกตี ลูกศิษย์ทั้งชั้นก็ถูกตี เพราะไม่มีใครทำการบ้านได้เลย การสร้างกระแสว่าประชาธิปไตยต้องสะอาด บริสุทธิ์ จึงเป็น การเมืองวิหิงสา

    การปกครองทุกระบอบมักจะต้องสร้างสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้ยึดถือว่าเป็นสิ่งสูงสุดจะละเมิดเสียมิได้ เช่น สหรัฐอเมริกาก็สร้างให้รัฐธรรมนูญเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ประเทศที่มีการปกครองระบอบประชาธิปไตยในยุโรปรวมทั้งญี่ปุ่นก็สร้างความเชื่อว่ารัฐธรรมนูญเป็นสิ่งสูงสุด ใครจะละเมิดล้มล้างไม่ได้ แต่แก้ไขได้ตามครรลองของรัฐธรรมนูญ อังกฤษไม่มีรัฐธรรมนูญ แต่ก็สร้างแนวความคิด ความมีอำนาจสูงสุดของรัฐสภา หรือที่เรียกกันว่า "Supremacy of the British Parliament" การปกครองของอังกฤษจึงเป็นการปกครองแบบเผด็จการโดยรัฐสภา แต่รัฐสภาก็เป็นตัวแทนของประชาชน ขณะเดียวกันสภาของอังกฤษก็เคารพต่อขนบธรรมเนียม มารยาทประเพณีการปกครองอย่างเหนียวแน่น จึงกลายเป็นประชาธิปไตยแบบอังกฤษ

    ระบอบการปกครองบางประเทศโดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศอิสลามก็ยกคำสอนของศาสนาเป็นสิ่งสูงสุด กฎบัตรกฎหมายก็ต้องอนุวัติคล้อยตาม "สิ่งสูงสุด" ของระบอบการปกครอง จะหักล้าง ขัดแย้งไม่ได้

    การไม่ยึดถือรัฐธรรมนูญและระบบกฎหมาย หรือจารีตประเพณีการปกครองในระบอบการปกครองว่าเป็นสิ่งที่ต้องยึดถือ เพราะเหตุที่สร้างความคิดว่าการปกครองระบอบประชาธิปไตยภายใต้ กฎหมายรัฐธรรมนูญ หรือจารีตประเพณีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีรัฐสภาเป็นสถาบันสูงสุดในกรณีของประเทศอังกฤษจะต้องขาวสะอาด โปร่งใส ไร้สมัครพรรคพวก จึงเป็นการสร้างเงื่อนไขให้เกิดความรุนแรง เป็นการสร้างทางตัน เป็นการเชื้อเชิญการปกครองระบอบอื่นให้เข้ามาแทนที่อย่าง ที่กล่าวมาแล้ว

    สมัยก่อนและระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง คณะราษฎร์ก็ใช้แนวความคิดให้ประชาชนยึดรัฐธรรมนูญเป็นของศักดิ์สิทธิ์สูงสุด และใช้เป็นเครื่องมือในการทำลายและปราบปรามฝ่ายต่อต้าน คณะราษฎร์ เช่น กลุ่มพระยามโนปกรณ์นิติธาดา กลุ่มพระองค์เจ้าบวรเดช กลุ่ม ร.ท.ณ.เณร ตาลลักษณ์ ว่าเป็นฝ่ายที่คิดจะล้มล้างรัฐธรรมนูญ ทั้งๆ ที่ประชาชนส่วนใหญ่ไม่เคยรู้ว่า "รัฐธรรมนูญ" คืออะไร มีคนถามว่า "รัฐธรรมนูญ" เป็นลูกชายคนโตของพระยาพหลฯใช่ไหมต่อมาสมัยหลังสงครามฝ่ายคณะราษฎร์แตกคอกันเอง ฝ่ายจอมพล ป.พิบูลสงคราม จึงร่วมมือกับพรรคประชาธิปัตย์ ใช้กรณี "สวรรคต" เป็นเครื่องมือทำลายกันเองและสามารถอยู่ในอำนาจถึง 10 ปี โดยใช้รัฐธรรมนูญเป็น "สิ่งสูงสุด" ละเมิดมิได้เป็นเครื่องมือ ต่อมาระบอบรัฐธรรมนูญได้ถูกทำลายลงโดยจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ เมื่อวันที่ 20 กันยายน 2500 จอมพลสฤษดิ์ไม่ใช้รัฐธรรมนูญเป็นสิ่งที่จะให้ประชาชนยึดถือเป็นหลักการสูงสุดในการปกครองอีก รัฐธรรมนูญจึงไม่เป็นสิ่งที่จะยึดถือถาวร ฉีกได้เมื่อมีความขัดแย้งหรือเมื่อเกิดทางตันในทางการเมืองพรรคการเมืองซึ่งได้กำเนิดและคงอยู่ทำงานได้โดยยึดถือ "รัฐธรรมนูญ" เป็นสิ่งสูงสุด จึงพลอยอ่อนแอและกลายเป็นองค์กรเฉพาะกิจไป ยกเว้นพรรคใหญ่ที่ยังคงอยู่จนกลายเป็นสถาบันแต่ก็สลบบ้างฟื้นบ้าง ไม่มีผลงานสร้างสรรค์ประชาธิปไตยและผลงานเศรษฐกิจ การเมือง การ ต่างประเทศและความมั่นคงที่เป็นชิ้นเป็นอัน แม้จะดำรงอยู่มาเป็นเวลากว่า 60 ปีก็ตาม เมื่อจะเทียบกับผู้นำทางทหาร เช่น จอมพล ป.พิบูลสงคราม จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ จอมพลถนอม กิติขจร พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เป็นต้น

    พรรคการเมืองและการเลือกตั้งแม้ไม่ใช่สาระสำคัญทั้งหมด ของระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย แต่ก็เป็นสาระสำคัญที่ขาดเสียมิได้ของระบอบประชาธิปไตย การไม่เชิดชูยึดถือรัฐธรรมนูญเมื่อมีปัญหาความขัดแย้งจึงไม่มีขบวนการแก้ไข กลายเป็นทางตันที่ต้องใช้ความรุนแรง

    พรรคการเมืองและการเลือกตั้งซึ่งเป็นสาระสำคัญที่จะ ขาดเสียมิได้ของระบอบประชาธิปไตย ระบอบพรรคการเมือง ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นประชาธิปไตยที่สุดก็คือระบอบพรรคการเมืองสองพรรคใหญ่ ที่มีโอกาสจัดตั้งรัฐบาลได้พรรคเดียว อาจจะมีพรรค เล็กผสมบ้างเป็นครั้งคราว เช่น อังกฤษและ ยุโรปหรืออเมริกา

    รองลงมาก็คือมีพรรคเดียว แต่มีหลายมุ้งในพรรคเดียวกัน แต่ละมุ้งอาจจะมีนโยบายต่างกัน มีการต่อสู้กันในพรรคก่อนจึงออกมาสู่การเลือกตั้งแข่งกับพรรคเล็ก แบบพรรคเสรีประชาธิปไตย ของญี่ปุ่นซึ่งเป็นรัฐบาลพรรคเดียวมาตลอด หลังสงครามโลก ครั้งที่สอง มีเว้นให้พรรคเล็ก เช่น พรรคสังคมนิยมครั้งหนึ่งเป็นเวลาสั้นๆ ระบบพรรคเดียวไม่ว่าแบบญี่ปุ่น อียิปต์ สิงคโปร์ หรือมาเลเซียคงไม่เหมาะสำหรับประเทศไทย

    ถ้าจะพัฒนาให้เป็นระบบพรรคใหญ่สองพรรค ก็ต้องมีพรรคที่เข้มแข็งสองพรรคผลัดกันเป็นรัฐบาลและฝ่ายค้าน ที่เห็นในขณะนี้ก็คือพรรคพลังประชาชนกับพรรคประชาธิปัตย์ พรรคพลังประชาชนก็เป็นพรรคที่ตั้งขึ้นมาทดแทนพรรคไทยรักไทยเดิมที่ถูกยุบไปด้วยการถูกรัฐประหาร และทำท่าจะเติบใหญ่เป็นสถาบันต่อไป เพราะลงถึงประชาชนชั้นล่างและประชาชนชั้นกลาง ซึ่งต่อไปไม่คำนึงถึงไม่ได้แล้ว

    ส่วนพรรคใหญ่อีกพรรคหนึ่งตั้งขึ้นมาเพื่อต่อต้านทำลาย คณะราษฎร์ หลังสงครามคณะราษฎร์ได้จัดตั้งพรรคแนวรัฐธรรมนูญ และพรรคสหชีพขึ้น พรรคใหญ่นั้นไม่ได้เน้นในเรื่องการพัฒนาประชาธิปไตย เศรษฐกิจ ความมั่นคงและการต่างประเทศ แต่เน้นทำลายล้างพรรคแนวรัฐธรรมนูญและพรรคสหชีพ เมื่อไม่มีทางชนะการเลือกตั้งได้ จึงเข้าไปร่วมมือกับทหาร จอมพล ป.พิบูลสงคราม ใช้กรณี "สวรรคต" เล่นงานพรรคการเมืองของคณะราษฎร์ และเชื้อเชิญให้ทหารปฏิวัติ เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2490 และได้จัดตั้งรัฐบาลหลังการเลือกตั้งที่ไม่มีคู่แข่งและได้รับการสนับสนุนจากทหารเมื่อเดือนมกราคม 2491 แต่ถูกทหารจี้ให้ลาออกในเดือนเมษายน 2491 เมื่อมีการนำเอาบทเฉพาะกาลของรัฐธรรมนูญฉบับปี 2475 มาใช้อีกในปี 2495 จึงคว่ำบาตรการเลือกตั้งในปี 2495 นั้นเอง

    จากนั้นก็เป็นประเพณีวัฒนธรรมของพรรคที่เน้นหนักในเรื่องการทำลายฝ่ายตรงกันข้ามทางการเมืองทุกวิถีทาง เริ่มจากทำลายทหารหลังปี 2495 เรื่อยมาจนถึง 2516 ไม่ได้เน้นการพัฒนา เศรษฐกิจการเมืองประชาธิปไตย ความมั่นคง การต่างประเทศ เมื่อได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลก็ประสบความล้มเหลวในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและการเมือง

    ทุกวันนี้ก็ยังประสบปัญหาเดิม ไม่มีทางชนะพรรคการเมืองฝ่ายตรงกันข้ามด้วยผลงานตามกรอบรัฐธรรมนูญและกฎหมาย วิถีทางเดียวที่จะได้เป็นรัฐบาลคือทำลายฝ่ายตรงกันข้ามเป็นจุดมุ่งหมายหลัก ไม่ได้เน้นที่นโยบายและผลงาน แต่จะสร้างทางตันให้กับการเมืองเพื่อเปิดโอกาสและเชื้อเชิญให้ทหารปฏิวัติรัฐประหาร น่าเสียดายถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไป ประเทศไทยจะพัฒนาไปสู่ประชาธิปไตยแบบพรรคเดียวซึ่งไม่น่าจะเหมาะกับอุปนิสัยของคนไทย การเมืองอย่างนี้เป็น "การเมืองวิหิงสา" โดยพรรคการเมืองเป็นผู้ทำให้เกิดขึ้นกันเอง

    เรื่องสุดท้ายก็คือเรื่องการหาเงินเพื่อใช้จ่ายในการเลือกตั้ง หรือที่ฝรั่งเรียกว่า "Political Financing" เป็นจุดอ่อนของประชาธิปไตยที่เกิดใหม่สำหรับประเทศกำลังพัฒนา ซึ่งไม่มีระบบที่โปร่งใส ไม่ค่อยมีคนยอมจ่ายค่าสมาชิกพรรค หรือการบริจาคเพราะศรัทธาในพรรคหรือผู้นำพรรค แต่จะจ่ายเพื่อประโยชน์ตอบแทนที่มากกว่า จึงมีข่าวการทุจริต ฉ้อราษฎร์บังหลวง ซึ่งทำกันทุกพรรค เท่าที่เห็นมา ไม่มีใครดีกว่าใคร ยกเว้นการหลอกลวงประชาชนโดยการสร้างภาพว่าใครจะเก่งกว่า ความจำเป็นอันนี้ถูกใช้เป็นเครื่องมือฟาดฟันกันเองและจากฝ่ายทหารที่อยากจะปฏิวัติรัฐประหารอยู่แล้วโดยธรรมชาติถ้ามีโอกาส

    จะเห็นได้ว่าเรื่องการหาเงินเข้าพรรคเพื่อการเลือกตั้งและการทำกิจกรรมของพรรคจึงเป็นข้ออ้างของฝ่ายทหารที่ทำการปฏิวัติรัฐประหารทุกครั้งการสร้างกระแสว่าโครงการสวัสดิการที่เป็น ประโยชน์และเข้าถึงคนชั้นล่างหรือ "รากหญ้า" ภายใต้กรอบวินัยทางการคลังที่เป็นไปได้ว่าเป็นโครงการที่ไม่ดี เป็นโครงการประชานิยม มอมเมาประชาชน ต่อไปพรรคอื่นเป็นรัฐบาลก็คงจะถูกโจมตี ถ้ามีโครงการที่เป็นสวัสดิการกับคนยากคนจน ทั้งๆ ที่ทุกพรรคการเมืองก็ชูโครงการอย่างนี้ เช่น เรียนฟรีถึงมหาวิทยาลัย รักษาฟรี กองทุนหมู่บ้านมากขึ้น สินเชื่อคนยากคนจนมากขึ้น แต่ถ้ามีโครงการใช้เงินจำนวนมากแต่ไม่ถึงชาวบ้าน เช่น กองทุน มิยาซาว่า 50,000 กว่าล้านบาทหายไปกับน้ำ ไม่เป็นไร เพราะไม่ได้เสียงจากประชาชน ไม่มีใครว่า โครงการประกันราคาพืชผลใช้เงินมากมายไม่ถึงชาวบ้าน ไม่เป็นไร เพราะผู้ทำไม่ได้แต้มจากรากหญ้า ไม่อิจฉาริษยา

    ถ้ายังเล่นการเมืองวิหิงสาแบบนี้ เราจะมีประชาธิปไตยได้อย่างไร


    http://www.matichon.co.th/prachachat/prachachat_detail.php?s_tag=02edi01020651&day=2008-06-02&sectionid=0212


    Standing O

     
     

    จากคุณ : เห็ดถอบจัง - [ 3 มิ.ย. 51 21:11:55 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom