Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom


    มาดอนน่า 50 ปี ! "ชีวิตฉันดาวน์โหลดไม่ได้"

    มาดอนน่า 50 ปี ! "ชีวิตฉันดาวน์โหลดไม่ได้"


    :หาก เบิร์ด ธงไชย แมคอินไตย์ มีความฝันว่าอยากจะขึ้นเวทีคอนเสิร์ต ไปจนถึงอายุ 88 แล้วล่ะก้อ...

    กรุงเทพธุรกิจ ออนไลน์ :  สาวกร้าวแกร่งทั้งอ่อนโยนอย่าง "มาดอนน่า" คงจะมีความชอบธรรมอย่างเต็มที่ กับการแสดงของเธอเลยหลักไมล์ที่ 100 ปี !  

    อย่าคิดว่า เป็นไม่ได้ นี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น เพราะ 16 สิงหาคมที่ผ่านมา ผู้หญิงที่เป็นมาแล้วทุกอย่าง เพิ่งจะผ่านหลักไมล์ครบรอบ 50 ปีอย่าง "คึกคัก" และ "มีชีวิตชีวา" ...คึกคักในความเป็นแม่ (ด้วยการรับเลี้ยงบุตรบุญธรรมเพิ่ม) มีชีวิตชีวาด้วยคิวทัวร์ยาวเหยียด นี่ยังไม่นับ...บทสัมภาษณ์หลายฉบับของนิตยสารแบรนด์เนมหลายเล่มระดับอินเตอร์ (vogue, vabity fair, i-D)

    แต่ที่พัดโหมใส่มีเดียในช่วงสุดสัปดาห์ผ่านมาก็คือ การทำสกู๊ปรายงานในสื่อหลายเล่มและทีวีหลายช่อง บางฉบับนำเธอไปคู่กับ "ราชันกระดกก้น" อย่าง ไมเคิล แจ็คสัน ซึ่งอายุ 50 ปีเท่ากันพอดี บางเล่มนำเธอไปเปรียบเทียบเส้นทางการเติบโต...จากเด็กสาวใจแตกทิ้งบ้าน มาจนถึงแม่ที่งดงามสร้างครอบครัว...

    ครึ่งศตวรรษหรือ 50 ปีมาดอนน่า จึงไม่ใช่ปรากฏการณ์ที่ผ่านเลย หากแต่กลายเป็นหมุดไมล์ที่ควรมองย้อนและเป็นกระจกสะท้อนวัฒนธรรมของอุตสาหกรรมดนตรีในอดีต

    หวังว่า บริทนีย์ สเปียรส์ และ ทาทา ยัง คงไม่อิดออด เพราะรับอิทธิพลทั้งสองคนมาเต็มๆ

    เธอเป็นใครในทศวรรษที่ 80s ?

    "เป็นทุกอย่าง" วินิจ เลิศรัตนชัย ดีเจชื่อดัง ที่มีบทบาทมากมายในตอนนี้บอกกับ "จุดประกาย" ผู้ชายที่บ้าบอลคนนี้และกลายเป็นผู้ดูแลโครงการสนามบอลที่กำลังบูมสุดขีดของค่ายอาร์เอสฯ เล่าให้ฟังว่า

    "ผมคิดว่ามาดอนน่า ไม่ได้เป็นผู้หญิงหรือเป็นผู้ชายนะ ผมว่าเขาคือมนุษย์ทั้งสองเพศ เพราะมาดอนน่ามีในสิ่งที่ชายและหญิงเป็นและอยากเป็น มีหลายอย่างแบบผู้หญิง แต่ขณะเดียวกันก็มีความเข้มแข็ง กร้าวแกร่งแบบผู้ชาย อาจจะมากกว่าผู้ชายบางคนเป็นเสียด้วย" วินิจ แจกแจงอย่างน่าสนใจว่า สิ่งที่มาดอนน่าสร้างไว้ให้กับโลกนั้น ไม่ใช่แค่การร้องเพลง หากแต่รวมไปถึงอิทธิพลของเพลง แฟชั่น และที่เขาชอบมากอย่างหนึ่งก็คือการแสดงบนเวทีคอนเสิร์ต

    "perform บนเวทีของมาดอนน่านั้นต้องบอกว่าสุดยอด เวลาดูเธอบนเวที เราจะพบว่านี่คือคนที่มีอะไรมากเหลือเกิน และไม่ใช่แค่การเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนทั่วไปนะ แม้แต่ผู้ชายอย่างผม ผมยังยอมรับว่ามาดอนน่ามีอิทธิพลกับผม ผมอยากเป็นแบบมาดอนน่าบ้าง โดยเฉพาะการเป็นตัวตนของตัวเอง"

    สื่อบางฉบับนั้นลงข่าวว่า เมื่อมาถึงหลักไมล์ที่ 50 มาดอนน่า กลายเป็นคนละด้านกับตอนที่เธอเป็นเด็กสาว ..สมัยเรียนนั้น มาดอนน่า เป็นเด็กสาวที่สวยแบบพั้งค์ๆ เธอเข้ากับกลุ่มเพื่อนที่ป๊อปปูล่าร์ในโรงเรียนไม่ได้

    “ฉันไม่ได้เป็นทั้งพวกฮิปปี้หรือพวกขี้ยา เลยจบลงที่การเป็นตัวประหลาด ฉันสนใจวิชาบัลเล่ต์คลาสสิกกับวิชาดนตรี พวกเด็กๆ จะรังเกียจเราหากเราแตกต่าง และฉันก็เป็นหนึ่งในผู้คนที่เด็กๆ จะชอบแกล้ง เมื่อสิ่งนั้นเกิดขึ้น แทนที่ฉันจะเป็นพรมเช็ดเท้าให้ใครเหยียบย่ำได้ตามใจชอบ ฉันจึงตัดสินใจที่จะดึงความต่างของฉันให้เด่นขึ้นมาโดยการไม่โกนขนหน้าแข้งไปเรียนแถมไว้ขนรักแร้อีกต่างหาก ฉันไม่แต่งหน้าหรือปฏิบัติตามแบบแผนที่เด็กสวยๆ มักจะทำ และแน่นอนมันทำให้ฉันโดนแกล้งหนักกว่าเดิมสุดท้ายฉันจึงบอกกับตัวเองว่าพอเสียที่กับโรงเรียนนี้ ฉันจะออกจากที่นี่ พวกเขาไม่รู้จักแม้กระทั่ง กุสตาฟ มาห์เลอร์!” จากนั้นเธอก็ไปศึกษาด้านการเต้นรำต่อที่มหาวิทยาลัยมิชิแกนเพียงปีเดียวเท่านั้นเธอก็ไปนิวยอร์ก" เธอบอกกับนิตยสาร i-D

    ส่วน นสพ.แทบลอยด์อย่าง the daily express ลงภาพของมาดอนน่า ตั้งแต่ตอนเริ่มผลงานใหม่ๆ โดยใช้ภาพของการเป็น trendsetter มาจนถึงการเป็น mom และต้องสร้างครอบครัวของเธอ

    หัทยา วงศ์กระจ่าง เป็นสาวแกร่งอีกคน ที่น่าจะมีมุมมองและอารมณ์ร่วมไปกับยุคสมัยของมาดอนน่า

    "ตอนนี้ มาดอนน่า 50 พี่เปิ้ลก็ 46 ตอนนี้ มาดอนน่า เป็นแม่คน พี่ก็ใช่ เธอสู้ชีวิตชอบลุย พี่ก็ชอบแบบนั้น จะเห็นได้ว่าในแง่ของผู้หญิง เราก็มีอะไรคล้ายๆ กัน แต่สิ่งที่พี่ชอบมาดอนน่าก็คือ เธอเป็นคนดังที่ไม่ลืมตัวเอง เป็นซูเปอร์สตาร์ที่ติดดิน นี่ก็เพิ่งอ่านบทสัมภาษณ์ของเธอในแมกกาซีนต่างชาติ จะเห็นว่าเธอสอนลูกให้เป็นคนดีเสมอ และเน้นถึงความเป็นแม่ลูกกันของครอบครัว ไม่ว่าใครจะมาจากท้องของคนไหน"

    "แน่นอน ถ้ามีการจัดอันดับศิลปินหญิงที่เป็น pop star สัก 3 คน มาดอนน่าจะต้องติด 1 ใน 3" หัทยา บอกกับจุดประกาย

    จะเห็นว่าการยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือรับเลี้ยงเด็ก ทั้งที่ตัวเองมีลูกได้นั้น เป็นแนวทางอย่างหนึ่งที่ มาดอนน่า ต้องการช่วยเหลือโลกและสังคม หัทยา บอกว่าสิ่งที่งามของผู้หญิงคนนี้ซึ่งเธอสัมผัสได้ก็คือ "ความเป็นแม่"

    แต่เจ้าของเพลง like avirgin ในต้นยุค 80s ก็มีมุมมองด้านนี้ลบกับสื่อมวลชนโดยเฉพาะปาปาราซซี

    “จะเห็นการเป็นคนมีชื่อเสียงสมัยนี้เปลี่ยนไปมาก ฉันไม่ได้มาที่ลอสแองเจลิสนานพอสมควรแล้ว พวกปาปาราซซีคลั่งกันเหลือเกิน ฉันไม่ได้ดูทีวีเลย มีคนเล่าให้ฟังว่ามีรายการทีวีที่พวกปาปาราซซีเป็นดาวในรายการนั้น มันเป็นเรื่องจริงหรือที่พวกเขาแอบถ่ายพวกปาปาราซซีด้วยกันเองในขณะที่อีกพวกหนึ่งกำลังทำงานของตน ที่ฉันรู้มามีแต่ต้องเว้นระยะห่างให้กัน ที่อังกฤษจะเป็นแบบนั้นเพราะว่ามันผิดกฎหมายนะที่อยู่ๆ จะถ่ายรูปเด็ก แต่ที่นี่กลับไม่เป็นอย่างนั้น พวกเขาเข้าใกล้กันขนาดนี้และไม่แยแสด้วยว่าพวกเขาจะทำให้ลูกๆ ของคุณกลัวขนาดไหน การเป็นคนดังสมัยนี้เปลี่ยนไปมาก เพราะตอนนี้มีช่องทางดังมากมายไม่ว่าจะตามนิตยสาร รายการทีวี และอินเทอร์เน็ต สำหรับให้คนตามติดเรา เราเป็นคนสร้างปีศาจขึ้นมา”

    มีสารคดีชิ้นหนึ่งที่มาดอนน่าเป็นผู้เขียนบทและโปรดิวซ์นั่นก็คือ I Am Because We Are เป็นสารคดีเกี่ยวกับประเทศมาลาวี ชนชาติเล็กๆ ที่ไม่มีอาณาเขตติดทะเลของทวีปแอฟริกา ที่นั่นเชื้อเอดส์ระบาดและเต็มไปด้วยเด็กกำพร้า ในผลงานชิ้นนี้เธอไม่เพียงแต่หวังที่จะตระหนักถึงสิ่งที่ว่านี้หากแต่เธอต้องการอธิบายความหมกมุ่นของเธอกับเรื่องของเด็กที่ไม่มีพ่อแม่ในแอฟริกาอีกด้วย

    เธอเล่าว่า “ผู้คนมักสงสัยว่าทำไมฉันถึงเลือกที่มาลาวี ฉันก็ได้แต่บอกว่า เปล่าหรอกฉันไม่ได้เลือกที่นี่ แต่เป็นที่นี่ต่างหากที่เลือกฉัน ฉันได้รับโทรศัพท์จากผู้หญิงที่ชื่อว่า วิคตอเรีย คีแลน เธอเกิดและโตทีนั่น เธอบอกฉันว่าที่มาลาวีมีเด็กกำพร้าติดเชื้อเอดส์มากกว่าหนึ่งล้านคนและไม่มีสถานเด็กกำพร้ารองรับที่เพียงพอ มีเด็กๆ เกลื่อนไปหมดทุกที่ เช่นตามถนนหนทาง ใต้สะพาน บ้างหลบอยู่ตามซอกตึกร้าง โดนลักพาตัวบ้าง ถูกข่มขืนก็ไม่น้อย เธอกล่าวว่ามันเป็นเรื่องใหญ่ เสียงของเธอดูเหนื่อยล้าและเหมือนจะร้องไห้ ฉันเลยถามเธอว่าจะช่วยอะไรได้บ้าง เธอตอบว่าฉันเป็นคนที่มีทรัพยากร ผู้คนสนใจในคำพูดและการกระทำของฉัน ฉันอายมากที่ไม่รู้ว่ามาลาวีอยู่ที่ไหน เธอบอกให้ฉันหาดูในแผนที่และจากนั้นฉันก็หาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับที่นี่ได้มากกว่าที่ฉันคาดไว้เสียอีก ที่สำคัญฉันทำความเข้าใจในตัวเองและในด้านมนุษยธรรม”

    วันนี้ มาดอนน่า ได้รับเลี้ยง เดวิดน้อย ซึ่งเป็นเด็กจากมาลาวีไว้เป็นบุตรบุญธรรม เขาได้กลายมาเป็นพี่น้องร่วมกับลูกๆ ของเธออีกสองคนได้แก่ ลอร์เดส 11 ปี กับ ร็อคโค 7 ปี พวกเขาอาศัยอยู่ที่ทาวน์เฮ้าส์ในกรุงลอนดอน

    ในวันที่ผ่านโลกมาค่อนชีวิต จักรวาลของมาดอนน่า เธอมองมันอย่างไร และด้วยสายตาแบบไหนต่อสิ่งเหล่านี้

    กับแอฟริกาว่า .....

    “หากคุณมีความเมตตาสักเล็กน้อยคุณไม่อาจจะละเลยกับสิ่งที่เป็นอยู่ได้เลย คุณจะต้องหาวิธีที่จะเข้าไปมีส่วนในการแก้ไขปัญหานั้น”

    กับการเปลี่ยนแปลงของนิวยอร์ก.......

    “มันไม่ใช่ที่ๆ น่าตื่นเต้นเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้วแหละ แต่ก็ยังมีแรงขับเคลื่อนที่มากอยู่ ผู้คนแห่งโลกศิลปะ ดนตรีและแฟชั่นในยุคแปดศูนย์ได้ล้มหายตายจากไปมากเหลือเกิน”

    กับธุรกิจดนตรีสมัยใหม่......

    “มีเพียงอย่างเดียวที่คุณไม่สามารถจะดาวน์โหลดได้นั่นก็คือการแสดงสด อีกอย่างหนึ่งก็คือชีวิต”

    กับอาชีพระยะยาวของเธอ...

    “..กล่าวอย่างสัตย์จริง มันไม่ใช่สิ่งที่ฉันสามารถจะนั่งไปวันๆ แล้วคิดอย่างใจจดใจจ่อเช่นว่าใครคือต้นแบบของเรา แล้วอีกนานแค่ไหนที่ฉันจะยังสามารถทำในสิ่งเหล่านี้ได้ หากสิ่งที่ฉันทำก็คือการทำโน่นทำนี่ ทำในสิ่งที่หลากหลาย และก็กลับมาหาดนตรี เคยลองทำหนังสุดท้ายก็กลับมาหาดนตรี เขียนหนังสือเด็กก็เคยนะแต่สุดท้ายก็หนีไม่พ้นดนตรีอีกนั่นแหละ”

    กับสามีของเธอ...

    “เราทั้งสองมีวิธีทำหนังที่ต่างกัน ฉันไม่มีความรู้ทางเทคนิคแบบที่เขามี เขามีภาพของเขา และหนังของเขาก็เป็นหนังที่คิดแบบผู้ชาย ส่วนหนังของฉันจะเป็นสายตาของผู้หญิงมากกว่า และฉันก็ไม่อาจเลี่ยงที่จะไม่ทำออกมาในเชิงอัตชีวประวัติกับทุกสิ่งที่ฉันทำได้เลย”

    นสพ.แทบลอยด์ในอังกฤษ เสนอข่าวว่า สิ่งที่ทำให้ มาดอนน่า เติบโตมากขึ้น ก็คือแนวทางของความสนใจในปรัชญาบางอย่าง โดยเฉพาะปรัชญา Kabbalah

    มาดอนน่า บอกว่า “คนเราจะต้องรับผิดชอบในการกระทำ พฤติกรรม และคำพูดของตนเอง เมื่อเราคิดเช่นนี้ได้แล้วคุณก็ไม่อาจจะใช้ชีวิตไปวันๆ โดยไม่ใส่ใจต่ออะไรไปได้ คุณเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตที่คุณไม่เคยเป็นมาก่อน ฉันเป็นผู้ออกแบบโชคชะตาของฉันเอง ฉันมีส่วนเกี่ยวข้องในการนำสิ่งต่างๆ มาสู่ตัวฉัน และตัวฉันเองที่ผลักไสไล่ส่งสิ่งใดสิ่งหนึ่ง คุณไม่อาจจะโทษคนอื่นกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวของคุณได้อีก”

    เธออธิบายต่อไปว่า....

    “จักรวาลนั้นมีระบบแม้มันจะดูยุ่งเหยิงไร้ระเบียบ เราแยกแยะโลกของเราเป็นสัดส่วน สิ่งนั้นดี สิ่งนี้เลว แต่ชีวิตถูกสร้างขึ้นเพื่อล่อลวงเรา มันเป็นเพียงตอนหลายๆ ตอนของภาพลวงตาที่เราสร้างมันขึ้นมา และสุดท้ายการลงทุนสร้างนั้นก็ไม่ได้มีหน้าที่ที่จะให้ความกระจ่างแก่เราได้ เพราะโดยกายภาพแล้วมันคอยแต่จะทำให้คุณผิดหวังเนื่องจากร่างกายเป็นสิ่งที่ไม่ถาวร”

    “ถ้าหากความสุขของคุณขึ้นอยู่กับสิ่งที่สังคมตัดสินมอบให้กับคุณตัวของคุณก็จะได้รับแต่ความผิดหวัง” มาดอนน่ากล่าวทิ้งท้าย

    ในแง่ของอิทธิพลต่อโลกและธุรกิจนั้น เควิน นอร์แมน นักวิเคราะห์วัฒนธรรมป๊อปของนิตยสาร culture club บอกว่า สิ่งที่มาดอนน่าเป็นนั้น ถ้าจะเปรียบใครสักคนในแวดวงกีฬา ก็น่าจะเป็นเดวิด เบ็คแฮม

    "ทั้งสองคนนี้น่าจะเรียกว่า beckham effect และ madonna phenomenon เพราะมันสามารถขับเคลื่อนธุรกิจต่างๆ ได้ทั้งระบบ เราจะเห็นว่าทั้งสองคนสามารถพลิกรูปแบบเก่าๆ และแบบแผนเดิมๆ ของศิลปะบันเทิงได้ สิ่งที่ไม่เคยมีใครทำในเวทีคอนเสิร์ต มาดอนน่า ก็รื้อถอนโครงสร้างหมด ตั้งแต่ท่าเต้นจนถึงการแสดงแบบสุดขีด เบ็คแฮม ทำเช่นนั้นกับโลกของฟุตบอลแม้จะไม่ได้มีด้านที่หยาบกระด้างแบบมาราโดน่า ของอาร์เจนตินา"

    มาดอนน่า ผ่านเลยวันที่อายุครบ 50 ปีไปแล้ว

    แต่ชีวิตของเธอเหมือนเพิ่งเริ่มต้น และทำท่าจะเดินทางอีกยาวไกล

    มิใช่รอยเท้าของเด็กสาวไร้เดียงสา แต่เป็นก้าวย่างของแม่คนหนึ่ง

    แม่ที่ "รักโลก" ..และ "รักลูก"

    ................................

    หมายเหตุ : ข้อมูลบางส่วนจาก นสพ.เดลี่ เอ็กซ์เพรส และนิตยสาร i-D

    : นันทขว้าง สิรสุนทร giengi@yahoo.com

    http://www.bangkokbiznews.com/2008/08/22/news_287264.php

    จากคุณ : NT Guy - [ 22 ส.ค. 51 04:39:52 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom