ความคิดเห็นที่ 1 The SPARS code is a three-letter code that appears on some Compact Discs recordings telling the consumer what type of tape recorder was used in the recording process, either analog (A) or digital (D). Several limitations of the code have led to it being largely abandoned. The three letters of the code have the following meanings: First letter - the type of tape recorder used during initial recording (analog or digital) Second letter - the type of tape recorder used during mixing (analog or digital) Third letter - the type of mastering used (digital only) There are four types: AAD - Analog tape recorder used during initial recording, mixing/editing, Digital mastering. ADD - Analog tape recorder used during initial recording, Digital tape recorder used during mixing/editing and for mastering. DDD - Digital tape recorder used during initial recording, mixing/editing and for mastering. DAD - Digital tape recorder used during initial recording, Analog tape recorder used during mixing/editing, Digital mastering. วิกี้ ล้วนๆเลย แฮะๆๆ โดยส่วนตัวแล้วรับได้ครับ กับแผ่นที่เป็น DDD หรือขั้น ADD เพราะโดย "ส่วนใหญ่" เสียงจะไม่ผุพังมาก """"""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""" แก้ไขเมื่อ 15 มี.ค. 52 09:51:06 จากคุณ : jassb1 - [ 15 มี.ค. 52 09:50:31 ]

ความคิดเห็นที่ 2 In my 15-year of listening to classical music CD, those three-letter code has no direct relationship to the sound quality at all. For me, It's just a marketig hype of the CD industry. I have many DDD CDs with unstisfactory sound (M. W. Chung conducting Vienna Philharmonic of Dvorak's Symphony no.6 and 8 is one example). Many Decca, DG, Philips and CBS CDs with AAD or ADD that I own have superb sound, such as Dvorak's Cello Concerto by Fournier/Berlin Phil/Szell on DG (recorded in 1960s), Mravinsky conducting Leningrad Philharmonic of Tchaikovsky's Pathetic Symphony on DG (also recorded in 1960s), Beethoven Spring and Kreutzer sonatas by Perlman/Ashkenazy on Decca (recorded 1973) and many more. Do not put any value to those three-letter code. It's the skill of the recording engineer that matters most to the sound quality. จากคุณ : :-) - [ 15 มี.ค. 52 10:13:38 A:124.121.41.137 X: TicketID:190740 ]

ความคิดเห็นที่ 3 Cool explanation แก้ไขเมื่อ 15 มี.ค. 52 13:19:22 จากคุณ : Genzo - [ 15 มี.ค. 52 13:17:37 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ขอโทษนะคะ ขอถามแบบโง่ๆหน่อย Analog กับ Digital มันต่างกันยังไง? แต่เดิมเข้าใจว่า Analog คือใช้เทปอัด ส่วน Digital คือใช้คอมพ์พิวเตอร์อัด เป็นCD อะไรทำนองนี้ แต่พอไปอ่าน คคห 1 ของคุณจ๊าบ อ้าว Digital ก็มีเป็นเทปด้วย แสดงว่าเราเข้าใจผิดสิเนี่ย ส่วนแผ่นที่กดมาเนี่ยลองฟังแล้ว มันก็ไม่มีคลื่นแทรกเท่าไหร่ เสียงฟังได้เพราะดี แต่ไม่ใสปิ๊งๆแบบที่คุ้นเคย แต่ฟังแล้วรู้สึกว่า เสียงคนร้องมันดังชัดมากๆๆๆ เสียงเปียโน หรือ orchestra ที่เล่นด้วยเบาบางไปเลย อันนี้นี่ คือเกิดจากตอนอัดในสมัยนั้นหรือเปล่าคะ หรือว่าเพราะคนทำ CD เค้าแต่งเสียงมาให้เป็นแบบนั้น? จากคุณ : Vitamin_C - [ 15 มี.ค. 52 20:27:38 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ต้องทำความเข้าใจกันนิดนึงครับเกี่ยวกับ คำว่า Analog และ Digital กันสักนิดนึงครับ Analog นั้นไม่ได้แปลว่าโบราณหรือไม่ดี และ Digital ก็ไม่ได้แปลว่าทันสมัยหรือดีเยี่ยมแต่อย่างใด เพียงแต่ระบบ Analog นั้นมีมาก่อนที่จะมีระบบ Digital จึงทำให้คนทั่วไปเข้าใจผิดว่า Digital นั้นดีกว่า Analog แต่แท้ที่จริงแล้ว ทั้งสองระบบมีข้อดีและข้อเสีย ที่ตรงข้ามกันและกินกันไม่ลง หากพูดโดยภาพรวม จะของอธิบายในเชิงเปรียบเทียบให้ท่านๆ ได้เข้าใจ(หรืออาจจะมึนมากขึ้น)ดังนี้ครับ จากคุณ : Genzo - [ 15 มี.ค. 52 22:46:17 ]

ความคิดเห็นที่ 6 จะเริ่มยังไงกันดี.... Digital กับ Analog นั้นแตกต่างกันในเรื่องของข้อมูลที่ใช้งาน โดยที่ Analog นั้นจะเก็บข้อมูลแบบต่อเนื่อง ส่วน Digital นั้นจะเก็บข้อมูลแบบสุ่ม ดูรูปประกอบ จากคุณ : Genzo - [ 15 มี.ค. 52 23:10:45 ]

ความคิดเห็นที่ 7 หากพูดถึงการเก็บข้อมูลของเสียงคงจะเข้าใจยากสักหน่อย เลยขอพูดในลักษณะของสิ่งทีใหญ่โตกว่ามากๆ เช่น ภูเขา หากเราต้องการจะบันทึกว่า ภูเขาลูกหนึ่งมีลักษณะรูปร่างความสูงเป็นอย่างไร ด้วยระบบ Digital และ Analog ก็จะเป็นดังรูป ด้านซ้ายมือในรูปเมื่อความเห็นที่แล้วจะเป็นขบวนการบันทึกลักษณะรูปร่างของภูเขาในระบบ Analog ส่วนด้านซ้ายมือจะเป็นขบวนการบันทึก ลักษณะรูปร่างของ ภูเขาในระบบ Digital โดยไล่กรรมวิธีจากบนลงล่าง จากคุณ : Genzo - [ 15 มี.ค. 52 23:15:06 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ในระบบ Analog นั้นภูเขาจะถูกบันทึกข้อมูลโดย แม่พิมพ์ขนาดใหญ่มากๆ ปั๊มลงบนภูเขา หลังจากนั้น แม่พิมพ์ ก็จะมีลักษณะของภูเขาเก็บเอาไว้ใช้งานในลักษณะของความเว้าความโค้งของแม่พิมพ์ ส่วนในระบบ Digital นั้นเราจะให้คนไปเดินสำรวจความสูง ทั่วๆภูเขา โดยระบุระยะที่จะต้องบันทึกค่า เช่น เดินทุก 1 เมตร ให้บันทึกความสูงของจุดที่ยืน 1 ครั้ง เมื่อทำเช่นนี้โดยรอบภูเขาแล้ว เราก็จะได้ข้อมูลสำหรับการที่จะบอกลักษณะรูปร่างของภูเขาไว้ใช้งาน ในรูปของตัวเลขความสูง จากคุณ : Genzo - [ 15 มี.ค. 52 23:21:13 ]

ความคิดเห็นที่ 9 เอ... แล้วเพลงมันเกี่ยวอะไรกับภูเขาเนี่ย คือที่จริงแล้ว ลักษณะทางกายภาพของเสียงก็ไม่ต่างอะไรไปจากภูเขาคือมีลักษณะเป็นคลื่นๆ ขึ้นๆลงๆ สูงบ้างต่ำบ้าง แต่อยู่ในรูปของแรงดันอากาศ การบันทึกเสียงทั้ง Analog และ Digital ก็ทำในลักษณะของการบันทึกภูเขาแบบที่ผมว่ามา แต่ทำในสเกลที่ละเอียดกว่าอย่างมาก นั่นเอง ที่นี้มาพูดถึงข้อดีข้อเสียของสองระบบนี้กันบ้าง หากถามว่า ระบบไหนที่เก็บข้อมูลออกมาได้เหมือนตัวภูเขาจริงๆมากกว่ากัน มาถึงตรงนี้ ทุกคนคงจะตอบได้ว่า Analog ต้องทำได้ดีกว่าแน่นอน เพราะเล่นปั๊มมาทั้งดุ้น ส่วนข้าง Digital ถึงแม้ว่า จะเถียงว่าถ้าวัดความสูงทุกๆ 1 เมตรละเอียดไม่พอ ก็วัดทุก 1 เซนติเมตรสิ จะเห็นได้ว่า ในช่องหางของการวัดค่าทุกๆครั้งของ ระบบ Digital นั้นจะมีข้อมูลที่ไม่ได้ถูกบันทึกอยู่ถึงแม้จะวันละเอียดเป็น เซนติเมตร แต่ช่องระหว่างเซนติเมตรก็ไม่ได้ถูกบันทึกไว้แบบ Analog อยู่ดี ข้อมูลที่ได้ ก็จะเป็นแท่งๆ อยู่แบบเดิม โดยมีรูโหวอยู่เต็มไปหมดถึงแม้จะละเอียด เป็น ไมคร่อน ก็ยังมีช่องโหว่ระหว่างข้อมูลนี้อยู่ดีต่างจาก Analog แล้วดังนี้ Digital จะเกิดมาเพื่ออะไรกัน จากคุณ : Genzo - [ 15 มี.ค. 52 23:31:36 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ข้อเสียของระบบ Analog ที่มีอยู่ในตัวมันก็คือ แม่พิมพ์ที่เก็บลักษณะของภูเขาเอาไว้ถึงแม้ว่า จะสามารถเก็บรายละเอียดของภูเขาไว้ได้หมด แต่เมื่อแม่พิมพ์ที่ทำไว้ถูกใช้งานไปเรื่อยๆ ก็จะเกิดการสึกกร่อน แตกหัก หรือบิดเบี้ยวไปตามกาลเวลา ทำให้ข้อมูลที่มีอยู่เพี้ยนไปจากเดิมเรื่อยๆเมื่ออายุแม่พิมพ์เพิ่มขึ้น ถึงแม้จะมีการทำแม่พิมพ์ใหม่ขึ้นมาจากอันเดิมที่มีอยู่ ลักษณะที่ได้ก็จะไม่เหมือนภูเขาเช่นเดิมแล้ว หากเป็นภูเขา ก็อาจจะไปปั๊มภูเขามาใหม่ได้ แต่หากเป็นดนตรีแล้ว คุณจะ ไปขุดผีนักดนตรีขึ้นมาเล่นงานชิ้นนี้เพื่อบันทึกใหม่ได้ ฤ หรือถึงแม้ว่าเจ้าตัวยังไม่ได้ไปไหน ก็ตาม จะสามารถเล่นได้เหมือนเดิมอย่างไม่มีเพี้ยนไปเลยหรืออย่างไร ต่างจากระบบ Digital ที่ถ้าหากว่า ไม่ได้มีใครเอายางลบ มาลบข้อมูลความสูงของภูเขาที่นักสำรวจทำการจดเอาไว้ออก ตัวเลขที่ทำการบันทึกไว้ ข้อมูลที่มีอยู่ก็จะอยู่ตลอดไป แม้ว่า จะถ่ายเอกสาร เป็น Copy ที่ 2,3,4,... ก็ยังมีข้อมูลความสูงของภูเขาอยู่เช่นเดิม จากคุณ : Genzo - [ 15 มี.ค. 52 23:42:05 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ดังนั้นโดยสรุป ระบบ Analog ทำการเก็บของมูลได้ละเอียดกว่า Digital แต่มีข้อจำกัดในการส่งต่อข้อมูลผ่านการเวลารุ่นสู่รุ่น แต่ Digital นั้นยอมละทิ้งข้อมูลบางอย่างที่ไม่สำคัญ เช่นเค้าบอกว่าหูมนุษย์สามารถรับรู้ความถึ่ได้สูงสุดโดยเฉลี่ยคือ 20,000Hz ดังนั้นอัตราการบันทึกที่ทำกันอยู่ในระบบ Digital ทุกวันนี้ ก็จะทำกันที่มากกว่า 20,000Hz ขึ้นไปสองเท่าโดยประมาณ คือ 44000Hz ข้อมูลที่ละเอียดกว่าที่ ระบบ Digital เลือกที่จะละทิ้งไปแต่จะทำให้ข้อมูลที่บันทึกไว้ สามารถอยู่ไปได้ตลอดกาล ไม่มีวันผิดเพี้ยน (เพี้ยนครั้งแรกครั้งเดียวตอนเก็บ เพื่อให้ได้งานที่อยู่ไปตลอดกาล) แต่ปัญหาก็อยู่ที่ว่า ก็ยังมีหูคนบางคนที่สำผัสได้ ถึงความสูญหายของข้อมูลที่เกิดจากการทำข้อมูลระบบ Digital อยู่ดี ระบบ Digital ทุกวันนี้ เพิ่มความละเอียด เพื่อให้เข้าใกล้ระบบ Analog มายิ่งขึ้นแต่ก็ยังใช้ คำว่าเข้าใกล้อยู่วันยังค่ำ หาได้เท่าเทียมไม่ ส่วนต้นฉบับในระบบ Analog เองก็โดนกาลเวลา รุมทำร้ายอยู่ทุกวินาที ดังนั้น สองระบบนี้จึงต้องนำมาอุดช่องว่างเพื่อแก้ไขจุดด้อยของกันและกัน เอวัง ก็ด้วยประการฉนี้ จากคุณ : Genzo - [ 15 มี.ค. 52 23:52:29 ]

ความคิดเห็นที่ 12 ทำให้งงกันมากขึ้นหรือทำให้เข้าใจบ้างก็คุยกันได้นะครับ จากคุณ : Genzo - [ 16 มี.ค. 52 00:36:47 ]

ความคิดเห็นที่ 13 แย้งคุณ Genzo หน่อยครับ กระบวนการที่คุณชี้แจงมามันเปนกระบวนการอัดเสียงครับ แต่เมื่อมาทำเปน แผ่น CD  - D ตัวสุดท้าย มันก็ถูกแปลงมาเปน Digital อยู่ดี ดังนั้นมันก็แทบจะไม่มีความแตกต่างหรอก ยกเว้นว่าคุณฟังเปน แผ่น LP เทียบกับ CD ถึงจะเปนการเทียบ Analog กับ Digital ซึ่งพวกเล่นแผ่นเสียงก็จะยืนยันว่าเสียงจาก Analog ดีกว่า (ซึ่งก็น่าจะเปนอย่างนั้นเพราะมันไม่มีการลดทอน - เขาเล่าว่า -ผมไม่มีแผ่นเสียงนะ) ดังนั้น จะเลือก AAD ADD หรือ DDD ผมว่ามันขึ้นอยู่กับคุณภาพ ในการบันทึกเสียง มากกว่าบันทึกเสียงด้วยระบบอะไร แต่แผ่นในระบบ DDD เพิ่งจะเกิดขึ้นในยุค 80 ดังนั้น จึงมีแนวโน้มที่จะบันทึกเสียงได้ดีกว่า เนื่องจากระบบการบันทึกเสียงในปัจจุบัน ก็ควรดีกว่าอดีตในยุค 50 - 60 แต่ก็คงไม่เสมอไปหรอกครับ จากคุณ : RAKANG - [ 16 มี.ค. 52 08:27:22 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ขอบคุณมากครับ จากคุณ : ErShiYi - [ 16 มี.ค. 52 09:54:58 ]

ความคิดเห็นที่ 15 อ๋าห์   ใช่แล้วครับคุณ RAKANG ที่ผมพูดนั้นเป็นการอธิบาย วิธีการที่แตกต่าง ของ ระบบ Analog และ Digital เท่านั้นครับ ที่จริงแล้วแบบไหนให้เสียงที่ดีกว่า ย่อมขึ้นอยู่กับคุณภาพการบันทึกเสียมากกว่า Sound Engineer มีเทคนิกการบันทึกเฉพาะตัวมากมาย เช่นการเลือกชนิดของไมค์โครโฟน ตำแหน่งที่วางไมคโครโฟน การMix ระดับเสียงที่ได้มาจากไมค์โครโฟร หลายสิบหลายร้อยตัวรอบๆวง Orchestra การจัดห้องอัดเสียง และรสนิยมของ Sound Engineer เองด้วย บางคนนั้นเป็นสูตรลับเฉพาะตัว ขนาดที่ พอเสียชีวิตไปแล้ว ก็ไม่สามารถบันทึกเสียงได้ในสไตล์ที่เขาเคยทำได้อีกเลย แม้ว่าเทคโนโลยีจะพัฒนาไปเท่าไรก็ตาม ก็มีให้เห็นกันอยู่หลายคน จากคุณ : Genzo - [ 16 มี.ค. 52 10:05:47 ]

ความคิดเห็นที่ 16 ขอ ตย.แผ่นที่อัดเสียงมาได้บรรลุขอบจักรวาลอย่างยอดเยี่ยมหน่อยสิครับ อิอิ จากคุณ : jassb1 - [ 16 มี.ค. 52 11:12:08 ]

ความคิดเห็นที่ 17 ข้อมูลไม่ยืนยันนะครับ อาจจะผิดไปบ้าง ผมเคยคุยกับคนทำเพลงของค่ายไทยๆค่ายหนึ่ง พอดี ได้ไปดู mixer เขาน่ะครับ  เขาเล่าว่า สมัยก่อนเป็นอนาล๊อก คือ อุปกรณ์ต่างๆ เวลาทำการบันทึกก็ลงมาในเทปรีล  แล้วก็เอาต้นฉบับมา mix เข้าด้วยกันอีกที ก็เป็น Analog ซึ่งช่างบันทึกเสียงรุ่นเก่าก็จะต้องทำงานบนระบบนั้นนั่นแหละ กระทั่งการบันทึกแบบ เอาไมค์(ขยายด้วยหลอด) ไปเก็บเสียงจากต้นกำเนิด (ในห้องบันทึกเสียง) พอมารุ่นใหม่ จากไมค์ ต่อเข้าระบบบันทึก มันก็แปลงเสียงทั้งหมดเป็นดิจิตอล ลงมาสเตอร์  แล้วก็เลือกเขาเรียกอะไร แซมปลิ้งเรท – อัดลงฮาร์ดดิสก์ไว้ ตามที่ต้องการ  ใช้ขนาดใหญ่ แล้วก็เอามามิ๊กกัน ประมาณนั้น ออกมาเป็นมาสเตอร์ แล้วมาสเตอร์ก็ลงมาสู่เทป มาสู่ซีดี  // ประมาณนี้แหละ แบบไหนดีที่สุด --  ในแง่ของคนทำงาน เขาก็ว่า มันสะดวกและใช้ความชำนาญคนละอย่างครับ ในแง่คนฟังอย่างเราๆ ล่ะ อย่างไหนดีที่สุด – ผมว่ามันมีเรื่องที่อยู่เหนือจาก AAD , ADD , DDD เยอะนะครับ พวกนั้นมันเทคโนโลยีอย่างหนึ่ง – อ้อ ระหว่าง โมโน กับ สเตอริโอ ก็เหมือนกัน --  ใครเคยฟัง Mono ดีๆแล้วคงจะรู้สึกว่า ความรู้สึกไม่ได้แตกต่างจาก สเตอริโอเลย เว้นไว้เสียแต่ว่า--  ระบบที่แบบ อยากจะ ฟังให้เห็นความแตกต่างระหว่าง 2 แชนแนล อย่างชัดเจน นั่งตรง sweet point ในแวดวงเครื่องเสียงล่ะ --  แตกต่างกันระหว่างแผ่นธรรมดา กับแผ่น audiophile หรือไม่ ?? เอาเป็นว่า เท่าที่ผมได้ยินมาก็แล้วกัน--  นักฟังบางคน แนะนำแผ่นบางค่ายของ Mercury Living หรือ Telarc ซึ่งเขาจะบอกว่า เพลงคลาสสิก นั้นเป็นเพลงที่มีพิสัยความถี่กว้างมากๆ เพราะเครื่องดนตรีหลากหลาย แล้วก็มีระดับเสียง ดัง-เบา ไม่เหมือนกัน ดังนั้นเขาจะเลือกจากค่ายที่ทำแผ่นออกมาให้สำหรับทดสอบเครื่อง --  แน่ล่ะ แผ่นบางแผ่นมีคะแนนตรงกันข้ามกับที่หูฟังคลาสสิกเขาให้กัน   แต่ก็มีเหมือนกัน ที่ให้ออกมาตรงกัน เรียกว่าดีทั้งศิลป์และเสียง   สำหรับผม ... คุณภาพเสียงของ CD มีผลต่อการเลือกซื้อแผ่นของท่านหรือไม่ //  มีบ้างครับแต่ไม่เยอะนัก เพราะโอกาสจะได้ลองฟังก่อนซื้อไม่มี ร้านมีให้เลือกไม่มาก // ยิ่งถ้าซื้อจากเน็ต ยิ่งเหมือนการสุ่มกดเลยล่ะ ปล แค่อยากคุยเล่นๆนะครับ ผมก็นักฟังมือสมัครเล่น เท่านั้นเอง จากคุณ : ชายลังเล - [ 16 มี.ค. 52 11:51:26 ]

ความคิดเห็นที่ 18 เอ แล้วถ้า 3 ตัวนั้นมันไม่ได้รับประกันความคมชัดของเสียง แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรตอนเลือกแผ่นคะ ถ้าไม่ได้ลองฟัง อย่างนี้ต้องแล้วแต่ดวงสิเนี่ย จริงๆตัวเองไม่ได้เล่นเครื่องเสียง วิทยุที่ใช้ฟังนี่ ใส่แผ่นไปแต่ละที แทบต้องจุดธูปบูชาขอให้มันอ่านแผ่นทีเถอะ ก็เลยอยากได้แผ่นที่ฟังแล้วเสียงเพราะๆชัดๆ เพราะเมื่อก่อนบังเอิญเคยได้ลองฟังแผ่นที่ เขียนว่าเนี่ยนะตำนานๆ คนเล่นมีชื่อเสียง อันปีเก่าๆ แต่พอเปิดฟังมา ....โหย...มีแต่เสียง หึ่งๆๆๆ กดเร่งเสียงไปลำโพงแทบแตกแล้วยังได้ยินเสียงดนตรีติ๊ดเดียว มันจะฟังแล้วซาปซึ้งได้อย่างไรเนี่ย เจอะแบบนี้เข้าไป ไม่เคยหยิบมาฟังอีกเลยค่ะ หลังจากนั้นเลยเริ่มพิถีพิถันในการเลือกแผ่นมากขึ้น แหะๆ จากคุณ : Vitamin_C - [ 16 มี.ค. 52 15:58:48 ]

ความคิดเห็นที่ 19 แซมปลิ้งเรท (Sampling Rate) ก็คือความถี่ในการบันทึกข้อมูลครับ ยิ่ง Sampling Rate สูงๆ ก็จะได้ข้อมูลที่ละเอียดมากขึ้น โดยมาก จะใช้ค่า  Sampling Rate ที่มีความถี่เป็นสองเท่าของความถี่สูงสุดที่ต้องการบันทึกความถี่เรียกว่าโดยความถี่สูงสุดที่บันทึกได้จะเรียกว่า Nyquist Frequency ครับ จากคุณ : Genzo - [ 16 มี.ค. 52 16:06:04 ]

ความคิดเห็นที่ 20 >>> เอ แล้วถ้า 3 ตัวนั้นมันไม่ได้รับประกันความคมชัดของเสียง แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรตอนเลือกแผ่นคะ ถ้าไม่ได้ลองฟัง อย่างนี้ต้องแล้วแต่ดวงสิเนี่ย <<< It has always been like this since the time of LP/casette tape. But if you think about this, you will find that most recordings since 1960s are generally good/satisfactory than bad regardless of whether they are AAD or ADD or DDD. Recording made before 1960s are mostly in mono and can have unsatisfactory sound. So, you can look at recording/issue "year" of the CD before buying. Nowsdays, another thing you can do is to search classical music reviews before buying the one of your interest. There are planty reviews of classical music recordings on internet. Many reviews provide information about sound. I normally use these sites: http://www.classicaldigest.com/ (click the hot link: Compositions) http://www.classicstoday.com/ http://www.classical.net/music/recs/reviews/master/ http://www.musicweb.uk.net/classrev/classrev.htm (use the Search tab or Classical CD Review) http://www.gramophone.co.uk/cdreviews.asp Or use a Google search starting with the word "amazon" followed by a few more keywords, e.g. "amazon nagano brahms harmonia". จากคุณ : :-) - [ 16 มี.ค. 52 16:39:41 A:61.47.4.27 X: TicketID:190740 ]

ความคิดเห็นที่ 21 Naxoz web site (naxos.com) also lets you listen to the first 25% of all tracks of all its CDs (including BIS, Marco Polo, Capriccio) so you can get a feel of the sound to see if you like it or not. You must register (for free) for this free service. จากคุณ : :-) - [ 16 มี.ค. 52 20:01:52 A:124.121.88.226 X: TicketID:190740 ]

ความคิดเห็นที่ 22 ขอบคุณครับ คุณ :-)  ได้ข้อมูลล่ะ ตอนนี้ผมไม่ค่อยได้ซื้อแผ่นเท่าไรครับ  ปกติเมื่อก่อนใช้บริการ Amazon ครับ มาขอต่ออีกหน่อย คุณ :-) บอกว่า For me, It's just a marketig hype of the CD industry. ผมเห็นด้วยในกรณีนี้ เพราะตลาดแข่งกันอย่างมากมาย ผมย้อนกลับไปดูแผ่นที่ผมมี ในสมัย 1950 - 1980  โดยส่วนใหญ่เป็น ADD แต่หลังจาก 1980 เป็นต้นไป จะเป็นระบบ DDD สังเกตอีกว่า การบันทึก (หรือ A ตัวแรก) ที่แข่งขันกันในตลาดน่าดู ระหว่างค่ายด้วยกันก็ยังแข่งขันกัน และในที่สุดก็มาถึงยุค D  ดิจิตัล ที่ผมว่าแข่งขันกันน่าดู คือ แต่ละค่ายก็คุยว่าการบันทึกของตัวเอง แจร่มที่สุด เช่น ใช้เทปโอเพนรีล ที่ความเร็วสูงสุดเท่าที่มีในอุตสาหกรรม ใช้ไมโครโฟนที่ให้คุณภาพการบันทึกดีที่สุด บางค่ายอย่าง Mercury Living Presence ถึงกับบอกว่า ใช้ Magnetic Film 35 mm ด้วย  แถมยังมีการบันทึกแบบที่เขาเรียกว่า Full range stereo phonic คือ เก็บช่วงความถี่เต็มพิกัดเลย   สิ่งที่เป็นความลับก็คือ แต่ละค่ายจะมีสตูดิโอที่ไม่เหมือนกัน และช่างเทคนิคแค่ละค่ายก็—ผมว่าเองนะ ใช้เทคนิคในการบันทึกแตกต่างกัน การวางไมค์ ตำแหน่งไมค์ ผลลัพธ์คือ --  ต้องการให้ใด้แผ่น LP , CD ที่ออกมาขาย ที่มีคุณภาพใกล้เคียง หรือเหมือนกับ การที่เราได้ฟังวงสดๆเล่น  อุตสาหกรรมบันเทิงนี้ มีมูลค่าในตลาดเยอะครับ เหมือนเค้กก้อนใหญ่ ดังนั้น เขาก็แข่งกันน่าดู (สำหรับ นักเล่นเครื่องเสียง เขาจะต้องบอกว่า เสียงสดมากๆ  ความเพี้ยนต่ำ เสียงฮัมไม่มี ดนตรีมีความหนักแน่น กระชับ เก็บเสียงไว ไดนามิกดี พลังเสียงเยี่ยม อะไรประมาณนั้นครับ ซึ่งก็เป็นความสุขของคนเล่นเครื่องเสียง แน่นอนว่า อุปกรณ์ที่ใช้ย่อมต้องมีคุณภาพสูงกว่า อันนี้แล้วแต่ความรัก ชอบของแต่ละคน – เอ้อ ถ้าใครได้มีโอกาสฟังชุดฟังเพลงคลาสสิก ชุดแพงๆ แล้วก็คงรู้อรรถรสนี้นะครับ ผมแอบไปฟังตามงานเครื่องเสียงบ่อย --  ส่วนเวลาฟังเอง ผมฟังจากเครื่องเล่น DVD ต่อเข้าแอมป์ธรรมดา ฮี่ ฮี่ ) เมื่อคืนแอบไปดูแผ่นซีดีที่ผมมี  แผ่นค่ายดอยช์แกรมม่าโฟน  ผมมีทั้ง ADD , DDD  ที่เป็น DDD ดูเหมือนเขาจะภูมิใจเป็นพิเศษ พิมพ์หน้าปกติไว้เลย  Digital Recording (แถมห้อยกลางปกด้วย Digital หรือ Numerique )  ไว้ด้วย และยังมีบางแผ่น บอกว่าเป็น 4D (4 ทิศทางการอัดเสียง) ส่วนค่ายอื่นๆ อย่าง Telarc ก็ไม่น้อยหน้า เขามี Pure Digital   ทาง Sony ก็มี  เช่นถ้าเป็น ADD  ก็มีบางชุดเป็น 20 Bit Super Bit Mapping (SBM) ประมาณนั้น //  (ทั้งหมดนี้ เวลาผมฟังเห็นความแตกต่างเล็กน้อยครับ) ดิจิตัลกับอนาล๊อก นั้น ข้อดีข้อเสียคนละอย่างกันจริงๆ  ไม่เช่นนั้น ปัจจุบันคงมีคนเลิก Analog ไปแล้ว แต่เท่าที่ในหนังสือเครื่องเสียง ก็ยังมีบริษัท ที่ ลงทุนอัดด้วยระบบ Analog กันอยู่ แล้วก็พัฒนาในส่วนของการ A/D  (Analog to digital) ให้ความคงที่แน่นอน เหมือนต้นฉบับมากที่สุด แก้ไขเมื่อ 17 มี.ค. 52 11:49:12 จากคุณ : ชายลังเล - [ 17 มี.ค. 52 11:01:14 ]

ความคิดเห็นที่ 23 เสียงที่บันทึกแล้วฟังเป็นธรรมชาติที่สุดคือanalogครับเช่นแผ่นเสียง LPแต่systemทั้งหมดHi-Endน๊ะคือฟังจากแผ่นเสียงแล้วเทียบกับCDความแตกต่างคือCDจะมีความกร้าวเสียงแข็งกว่าเนื่องจากต้นฉบับจะมาจาTapeลองเข้าไปดูในlinkคนรักVinilดู http://www.musicfountain.net/new_page_1.htm แก้ไขเมื่อ 16 เม.ย. 52 22:11:58 แก้ไขเมื่อ 16 เม.ย. 52 22:10:19 จากคุณ : musicman (Kiat_Su) - [ วันเถลิงศก (15) 09:22:07 ]