Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
"แฉ" ลูกคนโตต้องทนดูการกู้ชีพที่ไร้ผล  

แฉ"ลูกคนโต"ไมเคิล แจ็กสัน ถูกหมอสั่งทนดู"กู้ชีพพ่อ"หวังใช้เป็นพยาน ทั้งที่ตอนนั้นพ่อตายไปแล้ว

ครอบครัว"ไมเคิล แจ๊กสัน" ราชาเพลงป็อป เปิดเผยลูกชายคนโตของไมเคิลต้องทนดูหมอประจำตัวพยายามช่วยกู้ชีพพ่ออย่างไร้ผล เพราะที่จริงไมเคิลได้ตายไปแล้ว แฉฉีดยา"โพรโพฟอล"ต้องทำในสถานพยาบาลเท่านั้น และต้องทำโดยวิสัญญีแพทย์ที่เชี่ยวชาญ



สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ครอบครัวของไมเคิล แจ็กสัน ราชาเพลงป็อปผู้ล่วงลับ เปิดเผยว่า ดร.คอนราร์ด เมอร์เรย์ ทำให้ปรินซ์ ไมเคิล บุตรชายคนโตวัย 12 ปี ต้องทนดูความพยายามที่ไร้ผลในการกู้ชีพพ่อของตัวเอง ที่อยู่ในท่านอนคว่ำ เนื่องจากเขาต้องการพยานรู้เห็น เพื่อชี้ให้เห็นความพยายามทำให้หัวใจของไมเคิลกลับมาเต้นอีกครั้ง ซึ่งเรื่องนี้อาจทำให้ลูกชายของไมเคิลบอบช้ำทางจิตใจอย่างมาก ขณะที่ตำรวจกำลังพยายามประติดประต่อทุกเสี้ยววินาทีของ 12 ชั่วโมงสุดท้ายก่อนที่ไมเคิลเสียชีวิต ขณะที่หลักฐานใหม่ๆ ก็ปรากฎขึ้นมาเรื่อยๆ และครอบครัวของเขาก็พร้อมที่จะดำเนินการตามกฎหมาย


ดร.สตีเว่น เฮิฟฟลิน ศัลยแพทย์มือหนึ่งด้านศัลยกรรมความงาม ซึ่งเป็นตัวแทนของนางแคทเธอรีน แม่ของไมเคิล กล่าวว่า โรงพยาบาลยูซีแอลเอ ในลอส แองเจลิส เชื่อว่า ไมเคิลเสียชีวิตอย่างน้อย 2 ชั่วโมง ก่อนถูกนำตัวขึ้นรถพยาบาลไปยังห้องฉุกเฉิน และเชื่อว่าเขาเสียชีวิตจากยาโพรโพฟอล ซึ่งคนที่อยู่ในคฤหาสน์เล่าว่า เห็น ดร.เมอร์เรย์ให้ยาโปรโพฟอลผ่านหลอดเลือดดำของไมเคิลทุกคืน เหมือนการให้น้ำเกลือ และคนที่รู้เรื่องยาชนิดนี้จะทราบว่า คนให้ยาตัวนี้ได้ต้องเป็นวิสัญญีแพทย์ที่ฝึกมาอย่างดี และต้องให้ที่สถานพยาบาล เนื่องจากมีความอันตรายมาก เขาคิดว่า ดร.เมอร์เรย์ ต้องเผลอหลับ โดยเข็มยังเสียบคาแขนของไมเคิลอยู่ และดร.เมอร์เรย์ ต้องรู้ว่าไมเคิลเสียชีวิตแล้ว จึงไม่ยอมเอาตัวไมเคิลลงไปอยู่บนพื้นราบที่แข็งกว่า เพื่อทำซีพีอาร์ หรือกู้ชีพให้


ขณะที่เจ้าหน้าที่รถพยาบาล เปิดเผยว่า ดร.เมอร์เรย์ไม่ยอมให้พวกเขาช่วยชีวิตไมเคิลบนรถพยาบาล และหยุดทำซีพีอาร์ตอนที่ไมเคิลถึงโรงพยาบาล ก่อนถูกประกาศว่าเสียชีวิตแล้ว และครอบครัวไมเคิลยังให้การกับตำรวจด้วยว่า หลักฐานที่เกี่ยวข้องกับยาโพรโพฟอลถูกทำลายไปหมดแล้ว ทำให้ตำรวจต้องกลับไปที่คฤหาสน์อีกเป็นครั้งที่ 2 แต่ยังพบโพรโพฟอลอีกจำนวนหนึ่งซ่อนอยู่ในตู้


ดร.เฮิฟฟลิน เปิดเผยด้วยว่า สาเหตุที่ไมเคิลต้องหันไปพึ่งการทำศัลยกรรมเสริมความงาม เป็นเพราะเด็กๆข้างบ้านเขา ชอบนล้อเลียนไมเคิลว่าจมูกโต และตอนที่เขาไปพบ ดร.เฮิฟฟลินก็เป็นตอนที่เขาอยู่ในช่วงวัยรุ่นตอนปลายแล้ว ซึ่ง ดร.เฮิฟฟลิน กล่าวว่า ช่วงที่จมูกแจ็คสันดูดีที่สุดคือตอนที่เขากำลังรุ่งเรืองจากอัลบั้มทริลเลอร์ ถ้าเขาจะหยุดอยู่แค่นั้น


ด้านศัลยแพทย์อีกคนหนึ่ง คือ ดร.วอลเลซ กู้ดสไตน์ ประเมินว่า ไมเคิลน่าจะผ่านการทำศัลยกรรมเสริมความงามราว 50 ครั้ง โดยฝีมือของ ดร.เฮิฟฟลิน ซึ่งเขาปฏิเสธ และอ้างว่า ดร.กู้ดสไตน์ ถูกลงโทษทางวินัยจากแพทยสภาในรัฐแคลิฟอร์เนียในเรื่องนี้ไปแล้ว เนื่องจาก ดร.กู้ดสไตน์เช่าพื้นที่ในสำนักงานของเขา แต่ไม่เคยทำงานร่วมกัน และก็ไม่เคยพบไมเคิลเลยแม้แต่ครั้งเดียว

___________________________________

พอดีไปเจอข่าวในเว็บมติชนน่ะค่ะ ถ้าเป็นความจริง TT-TT สงสารตาปริ๊นซ์จัง TT_TT ปริ๊นซ์จ๋า~~ มามะพี่เฟินจะปลอบ [เอ๊ะยังไง? 55]

แต่เค้าน่าสงสารจริงๆน้า T.T

จากคุณ : nrefza2001
เขียนเมื่อ : 24 ก.ค. 52 20:06:22




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com