|
ความคิดเห็นที่ 2 |
ไมเคิล ไม่ได้ทำอะไรผิดเลยในฐานะศิลปิน อัลบั้ม Off the Wall ซึ่งเป็นอัลบั้มแรกในฐานะศิลปินเดี่ยว มีเพลงที่ติดอันดับท๊อปเทน ถึง 4 เพลง และอัลบั้ม Thriller ก็เป็นอัลบั้มที่ถูกจารึกว่ายิ่งใหญ่ตลอดกาล ด้วยการที่เพลงทั้งหมด 7 เพลง ติดอยู่ในอันดับท๊อปเทน และเพลงถึง 5 เพลงจากอัลบั้ม Bad ก็เป็นอีกอัลบั้มหนึ่ง ก็ทะยานขึ้นสู่อันดับ 1 ของชาร์ต ที่แม้แต่อัลบั้ม Thriller ก็ยังมีเพลงเพียง 2 เพลงเท่านั้นที่สามารถขึ้นชาร์ทอันดับ 1 ได้ ทั้งหมดที่กล่าวไป คงอธิบายได้ดีถึงความเป็นที่สุดของเขา และเขาก็ควรจะทำเพียงแค่นั้น เต้นและร้องเพลงไป แต่ไมเคิล อยากจะเป็นอะไรที่มากกกว่านั้น เขาซื้อลิขสิทธิ์ของตำนานอย่าง Sly and the Family Stone แต่ก็ไม่มีใครสักคนที่จะใส่ในเรื่องนี้อย่างจริงจัง แต่เมื่อเขาซื้อลิขสิทธิ์ของวงเดอะ บีทเทิล ผู้คนเริ่มจะใส่ใจรับรู้ โซนี่เองก็ขอเข้ามามีส่วนร่วมในเค้กผลประโยชน์ชิ้นนี้ และด้วยความโลภของโซนี่ที่อยากจะมีส่วนร่วมกับผลประโยชน์ที่จะได้รับจากเดอะ บีทเทิล โซนี่จึงขอหารครึ่งกับไมเคิล แจ๊คสัน โดยการก่อตั้งบริษัท Sony/ATV music publishing นั่นหมายความว่า ตัวไมเคิลเอง ก็จะได้รับส่วนแบ่งครึ่งหนึ่งจากศิลปินทุกคนที่อยู่ในสังกัดโซนี่ ถ้าหากคุณอยากรู้ว่ามีเพลงอะไรบ้างแล้วล่ะก็ ลองคลิกไปดูรายชื่อเพลงทั้งหมดได้ที่ sonyatv.com บางตัวอย่างของนักร้องที่เขาเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์จากกว่า 900 ประเทศทั่วโลก ได้แก่ศิลปินอย่าง Tammy Wynette, Kenny Rogers, Alabama เพลงทุกเพลงที่แต่งโดย babyface เพลงลาติอย่าง เซเลน่า และ เอนริเก้ เอเกลเซียส (Selena and Enrigue Iglesias) เพลงของ Roberta Flack เพลงของ Mariah Carey เพลงของ Destinys Child, 2pac, Biggie and Fleetwood Mac songs และอื่น ๆ อีกมากกว่าแสนเพลง ผู้ชายคนนี้กำลังคิดทำอะไร ไม่เคยมีศิลปินผู้ยิ่งใหญ่คนไหนในประวัติศาสตร์เคยคิดทำมาก่อน ไม่แม้แต่ Bono, Springteen, หรือ Sinatra แล้วชายคนนี้คิดว่าเขาเป็นใครกัน? คุณจะต้องจัดการกับเขาให้อยู่หมัด
หากคุณคิดจะจัดการกับใครสักคน คุณจะต้องเล่นงานในสิ่งที่เขารักมากที่สุด ผมคงไม่ต้องอธิบายอะไรมากกว่านี้
มีชายเพียงคนเดียวที่จะดูจะใกล้เคียงกับตำแหน่งของไมเคิล แจ๊คสันในอุตสาหกรรมดนตรีในขณะนั้น ก็คือ Prince และอีกคนที่ดูเหมือนจะสำคัญน้อยกว่าเล็กน้อย คือ จอร์จ ไมเคิล พวกกลุ่มคนไม่หวังดีพวกนั้น ตามไล่ล่าจอร์จ ไมเคิล โดยการป่าวประกาศไปทั่วว่าเขาเป็นพวกรักร่วมเพศ ในขณะที่ปริ๊นซ์เองก็ต้องต่อสู้อย่างหนักเพื่อสร้างจุดยืนของตนเอง แต่อย่างไรก็ดี เขาก็ยังคงต้องพึ่งพาบริษัทใหญ่ยักษ์เพื่อเผยแพร่ผลงานของเขาอยู่ดี ซึ่งก็ไม่ได้มีอะไรผิดปรกติในประเด็นนั้น ปริ๊นซ์อาจจะได้รับส่วนแบ่งก้อนใหญ่ที่สุด แต่ผลสุดท้ายก็ลงเอยที่เขาต้องถูกตราหน้าว่าเป็นพวกคนเสียสติและเข้าใจยากเป็นเวลานานหลายปี
จากคุณ |
:
แอร์ริโกะ
|
เขียนเมื่อ |
:
10 พ.ย. 52 10:55:26
|
|
|
|
|