Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
Michael Jackson’s This Is It’ พลังชีวิตหลังความตาย// บทความดีๆ  

ไม่รู้มีคนโพสหรือยัง หากซ้ำ ขออภัยค่ะ


งานศพและพิธีการฝังศพซึ่งอยู่ในความสนใจและมีคนอยากร่วมในประวัติศาสตร์ตรงจุดนั้นด้วยมากที่สุด ผ่านไปอย่างยิ่งใหญ่อยู่ในความทรงจำของคนทั้งโลก
     
       เมื่อไมเคิล แจ๊คสัน ตาย ทำไมโลกต้องร้องไห้เพื่อเขา
     
       ความตายของเขา ได้ทำให้ไมเคิล แจ๊คสัน กลายเป็น ‘อมตะ’ ไปโดยแท้จริงอย่างสมบูรณ์แบบ เพราะฉะนั้น ความตาย คือ ความเป็นอมตะ (โดยเฉพาะคนที่สร้างสรรค์งานในเชิงพาณิชย์ศิลป์ที่ประสบความสำเร็จอย่างท่วมท้น)
     
       ไมเคิล แจ๊คสัน ถูกบรรจุอยู่ในใจของโลกดนตรีและแฟนเพลงไปตลอดกาลชั่วนิจนิรันดร์
       ...
      โลกร้องไห้เพื่อ ‘ไมเคิล แจ๊คสัน’
       ไมเคิล แจ๊คสัน ได้ถูกสถาปนาขึ้นเป็น ‘ราชาเพลงป๊อป (King of Pop)’ ด้วยความเต็มใจจากเจ้าตัว ซึ่งธุรกิจและอุตสาหกรรมดนตรีต่างก็ชอบสมญานามนี้ โดยวัดจากความสำเร็จผ่านยอดขายอัลบั้ม คอนเสิร์ต และสินค้าต่างๆ
      ส่วนสื่อมวลชนและนักวิจารณ์พิจารณาจากรางวัลทางดนตรี โดยเฉพาะรางวัลแกรมมี่ที่ได้มา รวมถึงยอดขายและความเป็นขวัญใจของคนฟังเพลงกระแสหลักที่เป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุด
     
       เมื่อมองให้ลึกลงไปถึงเนื้อใน โดยข้ามผ่านความสำเร็จต่างๆ และเรื่องราวสนุกเคล้าน้ำตาของไมเคิล แจ๊คสัน ซึ่งเป็นบุคคลสาธารณะที่ถูกผู้คนคลั่งไคล้ติดตามจับจ้องมากที่สุดคนหนึ่งของโลก
     
       ถ้าไม่มีเขาเกิดขึ้นมา โลกดนตรีจะเดินทางมาถึงจุดนี้อย่างยุคปัจจุบันหรือไม่…???
     
       ความสามารถในเชิงชั้นทางดนตรี การร้องเพลง และการแสดงของ ไมเคิล แจ๊คสัน นั้น ปฏิเสธไม่ได้ว่าเกิดมาจากพรสวรรค์ที่มาผนวกรวมกับการบ่มเพาะจากเบ้าหลอมของครอบครัวดนตรีมาตั้งแต่เด็กๆ รวมกับการฝึกฝนทักษะในศาสตร์ทางด้านดนตรี การขับร้อง และการแสดงที่หนักหน่วงภายใต้การเคี่ยวกรำของผู้เป็นพ่อ ทำให้พลังในพรแสวงของเขาถูกผนึกกลืนกลายกับพรสวรรค์อย่างแยกกันไม่ออก และนำไปสู่ความเป็นเลิศที่เป็นอัจฉริยะเหนือคนดนตรีที่ร่วมสมัยเดียวกัน
     
       เพราะฉะนั้นทุกสิ่งทุกอย่างที่ ไมเคิล แจ๊คสัน เป็นอยู่ตั้งแต่เกิดจนถึงวันสุดท้ายของชีวิต จึงไม่ได้มาเพราะโชคช่วย แต่ถูกหนุนเนื่องจากแรงเหวี่ยงของยุคสมัย โดยเฉพาะเทคโนโลยีทางภาพและเสียง รวมถึงความอลังการของคอนเสิร์ตที่สามารถสะกดคนฟังและคนดูให้อิ่มเอิบกับบทเพลงที่ถ่ายทอดมาจากตัวของเขาได้อย่างยอดเยี่ยม
     
       เส้นทางเดินในถนนดนตรีภายใต้การทำเงินอย่างมหาศาลให้กับตัวเขา ธุรกิจและอุตสาหกรรมดนตรีที่ขับเคลื่อนผ่านงานของเขา จะพบได้ว่ามาจากกการปูพื้นตั้งแต่เด็กในนาม ‘แจ๊คสัน ไฟว์’ ก่อนที่มาสุกงอมเต็มที่ในฐานะโซโล่ อาร์ตติสท์หรือศิลปินเดี่ยวนั้น ถือเป็นเรื่องของจังหวะและโอกาสที่ลงตัวเป็นอย่างยิ่ง
     
       ในช่วงรุ่งโรจน์เรืองรองสุดของยุคทศวรรษที่ 80 นับได้ว่า วงการดนตรีของอเมริกาและของโลกได้เชื่อมต่อเปลี่ยนผ่านจากวิธีคิดหลักในการขายเพลงจาก โปรดักส์ เซ็นทริค หรือเน้นคุณภาพของตัวงานเพลงและดนตรีเป็นจุดขาย ก้าวเข้าสู่ยุคมาร์เก็ตติ้ง เซ็นทริค ที่ใช้การตลาดนำตัวเพลงและดนตรี โดยลดทอนคุณค่าของเพลงเป็นแค่สินค้าประเภทหนึ่งที่ไม่ได้แตกต่างจากสินค้าอื่นๆ ทั่วไป
     
       สำหรับงานเพลงของไมเคิล แจ๊คสันเองนั้น มีความเข้มข้นในการสร้างสรรค์และรังสรรค์งานเพลงและดนตรีป๊อปแด๊นซ์ที่มีพื้นฐานของบทเพลงคนแอฟริกัน-อเมริกัน กอปรรวมดนตรีโซล, อาร์แอนด์บี, ฟังค์, ดิสโก้, ร็อค มาสู่บีทที่ใหม่กว่าด้วยเทคโนโลยีทางเสียงซินธิไซเซอร์ กลายเป็นอัตลักษณ์ทางดนตรีและบทเพลงของเขาที่เลอเลิศเข้าไปอยู่ในใจของคนฟังเพลงร่วมสมัย นี่คือความเข้มแข็งทางโปรดักส์ เซ็นทริค ที่สะท้อนถึงจิตวิญญาณทางดนตรีที่แท้จริง
     
       การมาถึงของมิวสิควิดีโอของช่องเอ็มทีวี ทำให้ภาพของไมเคิล แจ๊คสัน ยิ่งโดดเด่นด้วยพลังการแสดงและความคิดที่ฉีกหลุดออกไปในการเต้นที่ไม่เคยมีมาก่อนบนโลกนี้ ซึ่งนำไปสู่แรงเร้าใจที่เพิ่มมูลค่าในการทัวร์คอนเสิร์ต ทุกคนอยากดูการแสดงของเขา การดูเพลงคือ มารเก็ตติ้ง เซ็นทริค ที่ไมเคิล แจ๊คสัน สามารถทำควบคู่ไปกับงานเพลงคุณภาพของเขาได้อย่างไม่มีที่ติ
     
       จุดสำคัญอีกจุดหนึ่ง การเปิดกว้างทางสังคมและขยายตัวทางเศรษฐกิจของคนแอฟริกัน-อเมริกัน ที่มีบทบาทมากขึ้นในวงการต่างๆ ทุกจุด โดยเฉพาะความฝันแบบอเมริกันดรีมที่เปิดโอกาสให้กับคนที่มีความสามารถที่เอกอุได้ขึ้นเป็น พ็อพสตาร์ และผงาดขึ้นเป็นซูเปอร์สตาร์ ซึ่งไมเคิล แจ๊คสัน ก็ข้ามผ่านมาได้อย่างที่ไม่มีใครเคยทำมาก่อน
     
       และมีสิ่งหนึ่งที่ไม่เหมือนคนอื่น ยิ่งใหญ่กว่าซูเปอร์สตาร์คนอื่น ด้วยการขึ้นเป็น ‘เมกะ ซูเปอร์สตาร์’ ก็คือการแสดงถึงการเป็นศิลปินผู้มีจิตสำนึกห่วงใยโลกและผู้คนบนโลกนี้ ถ้าพูดภาษาทางการตลาดยุคนี้ก็ต้องเรียกว่า ซีเอสอาร์ โดยเฉพาะปรากฎการณ์ผ่านบทเพลง ‘We Are the World’ กับ ‘Heal the World’ ซึ่งสามารถผูกรวมและมัดใจคนทั่วโลกให้พุ่งความสนใจมาที่เขาได้ด้วยภาพลักษณ์ที่งดงาม
     
       หากถามว่า ทำไมโลกต้องร้องไห้ให้กับไมเคิล แจ๊คสัน ก็ต้องตอบว่า ในฐานะมนุษย์คนหนึ่งที่สามารถสร้างสรรค์งานศิลปะดนตรีประสบความสำเร็จในเชิงพาณิชย์เป็นอย่างสูง โดยมีแต่พัฒนาการที่ไปข้างหน้า รวมถึงการเสียสละเพื่อสังคมโลกโดยนำตัวเองเป็นแกนกลางก็น่าจะเพียงพอแล้ว
     
       แต่ที่น่าเสียใจยิ่งกว่านั้น ก่อนที่จะเสียชีวิต เขาการกลับมาเพ่งความสนใจที่ดนตรีอีกครั้ง แต่ไม่ทันได้ขึ้นเวทีคอนเสิร์ตจริงและทำงานสตูดิโออัลบั้มชุดใหม่ ทำให้คนทั้งโลกอดเห็นความอัจฉริยะของเขาไปชั่วกาลนาน เพราะถ้าเขายังมีชีวิตอยู่ วงการดนตรีโลกคงมีสิ่งใหม่ๆ เกิดขึ้นผ่านความคิดของเขาอย่างแน่นอน

จากคุณ : MIMJ
เขียนเมื่อ : 27 พ.ย. 52 11:07:13




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com