ความคิดเห็นที่ 1 |
|
The Whirlwind Review
การกลับมารวมตัวครั้งใหม่ของ Transatlantic ได้สร้างความตื่นเต้นให้กับแฟนๆของแต่ละสมาชิกอยู่ไม่น้อยทีเดียว โดยเฉพาะแฟนๆของ Dream Theater ที่กำลังลุ้นกันใจจดใจจ่ออยู่ ว่าเมื่อไหร่จะมากันเสียที ซึ่งก็เป็นที่น่าเสียดายละครับเพราะในตารางทัวร์ของวงนั้นไม่มีประเทศใน เอเชียอยู่เลย แล้วหลังจากทัวร์ของ DT แล้ว เฮียพอร์ตนอยกับน้าๆสามคนที่เหลือก็จะออกทัวร์เพื่อสนับสนุนอัลบั้มใหม่กัน ต่อไป อัลบั้มใหม่ของพวกเขามีชื่อง่ายๆสั้นๆว่า The Whirlwind (ชื่อ ทัวร์ของวงก็เลยเป็น Whirldtour ไปโดยปริยาย ฮา)
งานชุดนี้ผมถือว่าเป็นบทเพลงร็อคที่ยาวที่สุดในปี 2009 เพราะว่าความยาวของตัวเพลงจริงๆนั้นยาวถึงเกือบ 78 นาทีเห็นจะได้ ถ้าคนไม่ชอบเพลงยาวๆอยู่แล้วก็คงถึงกับต้องร้องยี้ไปตามๆกันละครับ แต่ในหนึ่งเพลงยาวๆนี้เราก็สามารถฟังแบบแยกแทร็คได้ ไม่เหมือนกับ The Incident ของ Porcupine Tree ที่ อาจจะต้องใช้เวลาฟังกันทั้งเพลง แถมตัวดนตรีของรายหลังนี้ก็ฟังยากกว่าอยู่แล้ว จึงอาจจะทำให้เกิดอาการเบื่อได้ง่าย ฉะนั้น หากต้องการจะฟังเพลงยาวๆเหยียบชั่วโมงเช่นนี้ คุณอาจจะต้องให้เวลากับมันพอสมควรเพื่อที่จะได้เข้าถึงตัวเพลงได้อย่างเต็ม ที่จริงๆ
ด้วยความที่ผมได้งานชุดนี้มาเป็น Deluxe Edition ซึ่งนอกจากจะ แถมโบนัสซีดีแล้ว ก็ยังมีดีวีดีแถมมาอีกหนึ่งแผ่นซึ่งในนั้นก็จะเป็นเบื้องหลังการทำอัลบั้ม ซึ่งก็ยังทำภาคดนตรีกันที่บ้านของน้านีล มอร์สเช่นเดิม แต่สิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปก็คือ พวกเขาทั้งสี่คนไม่ได้ทำเดโมกันมาก่อนเลย (สองอัลบั้มก่อนหน้านั้นพวกทำเดโมมาแล้วอัดกันเลย) The Whirlwind นี้ จึงเริ่มจากการแจมที่ชื่อว่า Boba Fett (ไม่รู้คิดชื่อกันได้ อย่างไร ฮา...) แล้วค่อยๆอัดภาคดนตรีทีละชิ้นจนเสร็จสมบูรณ์ ส่วนภาคเสียงร้องนั้นสมาชิกแต่ละคนแยกย้ายไปอัดกันเอง จะยกเว้นแต่เสียงร้องของเฮียพอร์ตนอยละที่น้านีลต้องตามไปช่วยอัดตอนที่ DT ไปทัวร์ที่เยอรมนี
สำหรับภาคดนตรีของตัวเพลงหลักอย่าง The Whirlwind ก็คงไม่ต้อง บรรยายสรรพคุณอะไรกันมาก เพราะแต่ละคนก็ใส่ฝีมือกันเต็มที่อยู่แล้ว และถ้าหากเทียบกับสองชุดที่ผ่านมา ผมคิดว่างานชุดนี้มีความสดมากกว่าพอสมควร และด้วยความที่เพลงยาวเกินหนึ่งชั่วโมงนี่เอง จึงทำให้พวกเขาต้องใช้พลังมากกว่างานก่อนๆเป็นเท่าตัว เพื่อตัวงานนั้นออกมาไหลลื่น ต่อเนื่อง และไม่น่าเบื่อ และด้วยคอนเซ็ปต์อันสว่างไสวต้องมีการเพิ่มในส่วนของเครื่องสายเข้าไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นเสียงจำลองหรือเสียงจริงก็ตาม พวกเขาก็สามารถทำออกมาได้อย่างอลังการมากจนน่าขนลุกทีเดียว โดยเฉพาะช่วงอินโทร (Overture) และเอาโทร (Whirlwind Reprise) ที่เอาเสียงออร์เคสตร้าจริงๆมาใช้
ภาคเมโลดี้นั้นดูน้ารอน สโตลท์จะมีบทบาทมากกว่างานก่อนๆเป็นเท่าตัวเลยทีเดียว และซาวด์ที่แกเล่นออกมานั้นหนาขึ้นกว่าเดิมพอสมควร แต่ก็ยังไม่ทิ้งท่อนลีดที่หวานหยดย้อยและมีความหวือหวา สำหรับน้านีลนั้นก็ไม่แพ้กันครับ เน้นซาวด์คีย์บอร์ดที่อลังการ และเมโลดี้ที่หวือหวาพอๆกับน้ารอน ส่วนภาคริทึ่มของเบสและกลองนั้นก็ยังคงเข้าขากันดีเยี่ยมเช่นเคย โดยเฉพาะเวลาเล่นพาร์ตที่เร่งจังหวะหน่อยอย่าง On the Prowl หรือ Evermore สำหรับเสียงร้องนั้น ก็เช่นเดิมครับ ทุกคนได้มีบทบาทร้องนำกันหมด โดยที่เฮียพอร์ตนอยก็ยังคงได้บทน้อยที่สุดเช่นเดิม โดยบทร้องนำส่วนใหญ่จะมีกันสองคนคือน้านีลและน้ารอน ส่วนน้าพีท (เทรวาวาส) กับเฮียพอร์ตนอยก็ได้ร้องน้อยเรียงลำดับกันไป ส่วนเรื่องไลน์ประสานนั้นพวกเขาก็รักษามาตรฐานไว้ได้เช่นเดิม
ส่วนโบนัสแทร็คนั้นก็จะเป็นสี่เพลงที่ทำขึ้นใหม่กับอีกสี่เพลงคัฟเวอร์ที่จะ โชว์พลังเสียงของแต่ละคนได้อย่างเต็มที่ โดยน้ารอนนั้นได้ร้องไปสองเพลงเต็มๆคือ Spinning กับ Lenny Johnson และเพลงนี้ไลน์กีต้าร์ของแกก็เด่นกว่าใครอีกด้วย (อารมณ์แบบ ขอเป็นพระเอกซะหน่อยเถอะ ทำนองนั้น) ส่วนน้าพีทก็ได้โชว์พลังเสียงในเพลง Lending a Hand ส่วนเสียงร้องของน้านีลในเพลง For Such a Time คง ไม่ต้องพูดถึงเพราะแกก็ยังคงโดนเด่นเช่นเดิม ส่วนเฮียพอร์ตนอยขอโชว์บ้างกับ A Salty Dog ซึ่งเป็นคัฟเวอร์ วง Procol Harum แม้เสียงแกจะไม่ดีนัก แต่แกก็พยายามแล้ว (ฮา) ส่วนเพลงสุดท้าย Soul Sacrifice ซึ่งคัฟเวอร์คุณลุงซันตาน่ามา นั้น ผมว่าน่าจะเป็นเพลงที่โดดเด่นที่สุดแล้ว เพราะแต่ละคนก็ได้โชว์ฝีมือกันอย่างเต็มที่ อย่างกีต้าร์ของน้ารอนนี่ก็แทบจะถอดแบบคุณลุงเจ้าของเพลงมาเลย แต่ทีเด็ดจริงๆอยู่ที่การโซโลกลองของเฮียพอร์ตนอยละ แกเล่นลาตินได้ใจมากทีเดียว แต่ก็เป็นที่น่าเสียดายอีกละครับที่ไม่ได้ฟังโซโลเบสของน้าพีท ส่วนฮิดเดนแทร็คหลังจบเพลงนี่อัดกันเอาฮาที่หน้าบ้านของน้านีลก่อนจะแยกย้าย กัน แต่ก็ร้องประสานกันได้ไพเราะน่าดู
The Whirlwind นั้นถือว่าเป็นการกลับมาอย่างยอดเยี่ยม แม้จะขัดใจแฟนๆไปบ้างก็ตรงที่เดียวยาวเกินหนึ่งชั่วโมงนี่ละ แต่หนึ่งชั่วโมงนี้ก็ได้พลังของภาคดนตรีอันสว่างไสวขับเคลื่อนไปสู่การเริ่ม ต้นศักราชใหม่ จากประโยคสุดท้ายของเพลงที่ว่า From the whirlwind comes the breath of life… และยังสามารถฟังแยกแทร็คได้ หรือถ้าใครไม่ชอบเพลงนี้จริงๆก็ลองฟังโบนัสแทร็คได้ครับ เพราะแต่ละเพลงนั้นก็โดดเด่นไม่แพ้ตัวเพลงหลักเลยแม้แต่น้อย ส่วนงานชุดนี้จะเป็นมาสเตอร์พีซหรือไม่ หูของคุณเท่านั้นที่จะตัดสิน
เขียนเมื่อ 5 ม.ค. 53
แก้ไขเมื่อ 26 ก.พ. 53 17:35:44
แก้ไขเมื่อ 26 ก.พ. 53 17:35:06
จากคุณ |
:
JPMR
|
เขียนเมื่อ |
:
26 ก.พ. 53 17:32:11
|
|
|
|