ความคิดเห็นที่ 1 Chapter 19    MICHAEL JACKSON .RIP.             กลางปี 2009 นอกจากกระแสเรื่องไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่ 2009 ที่ลุกลามระบาดไปทั่วทั้งโลกแล้ว ยังมีอีกกระแสความร้อนแรงที่ ทั่วโลกให้ความสนใจก็คือ การจากไปอย่างกระทันหันของราชาเพลงป๊อป Michael Jackson ที่เกิดขึ้นในช่วงดึกของวันที่ 25 มิถุนายน 2009 ก่อนที่คอนเสริต์ใหญ่ของนักร้องผู้นี้จะทำการเปิดการแสดงที่ โอทู อารีน่า กรุงลอนดอน ในกลางเดือน กรกฎาคม ที่จะมาถึงเพียงไม่กี่สัปดาห์  ข่าวนี้ช๊อคคนทั้งโลก เพราะไมเคิล แจ๊คสันคือ นักร้องแถวหน้าที่มอบความสุข ความบันเทิงให้ทั่วโลกมายาวนานนับสี่สิบปีในระดับตำนานแห่งราชาเพลงป๊อปที่มีลีลาโดดเด่น ทั้งการร้อง การเต้น อีกทั้งยังเป็นแรงบันดาลใจให้กับนักร้องรุ่นใหม่ ๆ มากมายนับไม่ถ้วน รวมถึงผลงานการสร้างประโยชน์ให้กับสังคมโลกโดยรวม  ที่ไมเคิลได้บริจาคเงินเพื่อสนับสนุนช่วยเหลือเด็กทั่วโลกผ่านทางกองทุนต่างๆ และมูลนิธิ Heal The World ของเค้าเอง       เนื่องจากโดยส่วนตัวแล้วผมเป็นแฟนพันธุ์แท้ของ Michael Jackson มาตั้งแต่เค้าเริ่มมาเปิดแสดงคอนเสริต์ครั้งแรกที่เมืองไทย เมื่อปี 1993 ในตอนนั้น เป็น ทัวร์คอนเสริต์เพื่อ โปรโมทอัลบั้ม Dangerous  เมื่อได้ฟังเพลงและดูการแสดงจาก VDO แล้วก็สรุปได้ว่า ผู้ชายคนนี้ไม่ใช่คน .ธรรมดาแน่ ๆ   ( แล้วจะเว้นวรรคทำไม ) จากคุณ : Panda Smile เขียนเมื่อ : 4 มี.ค. 53 02:39:13

ความคิดเห็นที่ 2 .แต่ทว่า กลางปี 2009 ชีพจรของไมเคิลที่เต้นมาตลอด 50 ปีก็ยุติหน้าที่ของมันอย่างถาวร เป็นฝันร้ายของแฟนเพลงราชาเพลงป๊อปไปอย่างน่าใจหาย   ดังนั้นผมจึงขออุทิศเนื้อหาบทนี้ มาคุยเรื่องภาษาอังกฤษจากการจากไปของนักร้องระดับตำนานคนนี้กันครับ   ลมหายใจสุดท้ายของ Michael Jackson หมดลงเมื่อเวลา 14.26 ตามเวลาท้องถิ่นนครลอสแองเจลิส สหรัฐอเมริกา ( หรือเวลา ตีสองเศษของประเทศไทย ) ซึ่งก่อนหน้านี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับโทรศัพท์แจ้งเหตุฉุกเฉินก็ได้บึ่งไปที่เกิดเหตุ และพบร่างของไมเคิล นอนหมดสติแล้วจึงรีบทำการกู้ชีพไมเคิลสุดความสามารถและนำส่ง ศูนย์การแพทย์ของมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย วิทยาเขตลอสแองเจลิส ( Medical Center , UCLA )  แต่แพทย์ก็ไม่สามารถต่อชะตาชีวิตของนักร้องต่อไปอีกได้แม้แต่วินาทีเดียว ในเบื้องต้นแพทย์ได้สรุปว่า ไมเคิลเกิดอาการ หัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน ( Cardiac Arrest )     เวลาเกิดการหยุดหัวใจหยุดเต้น การปฐมพยาบาลเบื้องต้นที่ต้องทำคือการทำ  CPR ก่อน คำนี้ย่อมาจาก คำว่า      Cardiopulmonary Resuscitation      แปลเป็นภาษาไทยประมาณว่า การช่วยเหลือปฐมพยาบาลเบื้องต้นสำหรับผู้ป่วยที่หมดสติ หยุดหายใจ หรือหัวใจหยุดเต้นให้ฟื้นขึ้นก่อนที่จะทำการรักษาทางแพทย์ต่อไป หรือว่าที่เราเรียกง่าย ๆ ว่า การปั้มหัวใจ อะไรทำนองนั้น  คำนี้อาจจะไม่ค่อยได้พบสักเท่าไหร่ แต่ไหน ๆ ก็แวะมาแล้วก็อยากจะแนะนำ ความรู้พื้นฐานของการทำ CPR กันสักนิดน่าจะดีครับ เป็นความรู้ทางการแพทย์ที่ไปได้ข้อมูลมา  หลักการที่จำง่าย ๆ สำหรับการ CPR นั้น เค้าเรียกย่อ ๆ ว่า A B C ครับ คือ จากคุณ : Panda Smile เขียนเมื่อ : 4 มี.ค. 53 02:40:59

ความคิดเห็นที่ 3 A Airway  คือ อันดับแรกสุดคือ การสำรวจว่ามีสิ่งแปลกปลอมกีดขวางทางเดินหายใจในผู้ป่วยหรือไม่ เช่น โดนไม้หน้าสามฟาดปากจนฟันปลอมหลุดเข้าไปอุดหลอดลม  หรือว่า กินกระดูกไก่หลุดเข้าในปิดทางเดินหายใจ  ขั้นตอนแรกเลยเค้าว่าให้ ผู้ป่วยนอนหงาย เอามือกดหน้าผาก อีกมือที่ว่างอยู่ให้ใช้ปลายนิ้วดันที่กระดูกขากรรไกรให้คางเชิดขึ้น ( อย่าไปดันตรงคอ เดี้ยวหายใจไม่ออก อาการยิ่งหนักเข้าไปใหญ่ )  แล้วดูว่า ยังหายใจอยู่ไหม ถ้าไม่หายใจก็ต้องผายปอดกันหน่อยละที่นี้ แต่ถ้ายังหายใจอยู่ก็ช่างมัน เดี้ยวให้มันลุกขึ้นมาเองได้ ฮี่ๆๆ B Breathing    ก็คือการช่วยหายใจ โดยการ ปากจูบปาก ( อะแฮ่ม ขั้นตอนนี้ ล่อแหลม แต่ว่าสำคัญ )  วิธีที่ถูกต้องทางการแพทย์เค้าบอกว่า หายใจเข้าตามปกติของคนที่จะเป่าปากผู้ป่วย จากนั้นเอาปากกระกบ อย่าให้มีช่องว่างครับ แล้วก็เป่าลมเอาเข้าไป  ฟู้ดดดดดด .สังเกตหน้าอกของผู้ป่วยด้วยว่ากระเพื่อมไหม เพื่อเช็คว่าลมเข้าไปจริง ๆ หลังเป่าปากไปสักสองครั้งแล้วก็เข้าสู่กระบวนการต่อไปครับ   C Circulation   ขั้นตอนนื้คือการนวดหัวใจ  หรือภาษาอังกฤษเค้าเรียกเท่ห์ ๆ ว่า Chest Compressionn ตำแหน่งการวางมือที่เหมาะสมคือ เหนือลิ้นปี่ขึ้นมาสักสองนิ้ว วางมือประสานกันกดลงไปตรง ๆ  ลำแขนตั้งฉากกับผู้ป่วย กดลงไปสักประมาณ 1 นิ้ว  โดยให้อัตราส่วนอยู่ที่ 30 : 2 (  นวดหัวใจ 30 ครั้ง เป่าปาก 2 ครั้ง ) จากคุณ : Panda Smile เขียนเมื่อ : 4 มี.ค. 53 02:42:28

ความคิดเห็นที่ 4 เอาละครับนั้นเป็นความรู้พื้นฐานที่น่าสนใจของการทำ CPR  ซึ่งตอนที่ไมเคิลหมดสติ หัวใจหยุดเต้นนั้น  ก็ไม่แน่ใจว่าทำกันถูกหรือไม่   แต่ระยะหลัง ๆ ประเด็นเรื่องการติดยากแก้ปวดของเค้า ถูกสังเกตว่าเป็นสาเหตุหลักถึงการจบชีวิตของราชาเพลงป๊อป เนื่องจากการใช้ยาหลายขนาน และความรุนแรงก็มากขึ้นตามระดับ อาการติดยา หรือว่าติดอะไรบางอย่างที่ต่อเนื่องนาน ๆ เราเรียกว่า  Addict     ครับ คำนี้หมายถึง คนที่ติดยาอะไรบางอย่าง หรือ หมายถึง คนที่ติดกิจกรรม หรือว่าบางสิ่งเฉพาะเจาะจง เช่น ติดเกมส์ ติดเรียน ติดหญิง  ติดทีวี   ติดเงินไม่เกี่ยวนะครับ  An addict  is someone who can’t stop taking harmful drug. Or  Someone like a particular activity very much.     นอกไปจากนั้นคำว่า Addicted ยังเป็น Adj ได้อีกด้วย โดยมีคำว่า To ต่อท้ายเพื่อบ่งบอกว่า ใครคนนั้นติดอะไรอยู่ เช่นตัวอย่างว่า   Many children are addicted to TV more than study. เด็ก ๆ มักจะติดทีวีมากกว่าการเรียน  ( อันนี้ต้องระมัดระวังก่อนให้ดี อย่าให้ติดมากเกินไปอาจจะเสียการเรียนได้ )         บางทีถ้าหากว่าไมเคิลไม่ใช้ยามากเกินไป หรือว่า ไม่ใช้เงินมากเกินตัว อาจจะไม่ทำให้จุดจบชีวิตมาเร็วแบบนี้ก็ได้ ผมอาจจะขอพูดแบบนี้ว่า Michael shouldn’t have taken drug.     Michael should have saved his money.   จะสังเกตว่า โครงสร้างประโยคตรงนี้ เป็นการบ่งบอกว่า ควร หรือ ไม่ควรทำอะไรในอดีต ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว มันไม่ได้เป็นอย่างที่เราพูด ไมเคิลไม่ควรใช้ยามากเกินไป แต่ความเป็นจริงไมเคิลใช้ยาเหล่านั้นมากเกินไป จากคุณ : Panda Smile เขียนเมื่อ : 4 มี.ค. 53 02:44:10

ความคิดเห็นที่ 5 You   should / shouldn’t  have done   something   โครงสร้างนี้ เป็นการบ่งบอกว่า ควรหรือไม่ควรทำอะไรในอดีต You should have gone to bed earlier.   คุณควรเข้านอนเร็วกว่านี้นะ ( แต่ความจริงแล้ว นอนดึกมาแล้ว )   I just know that I’m fat , I shouldn’t have eaten junk food so much เพิ่งจะรู้ว่าอั้วอ้วนวะ  รู้อย่างนี้ไม่น่ากินพวกอาหารขยะเลยอะ .เศร้า T_T   ( แต่เสียใจกินมาแล้วเพิ่งมาพูดหรอ สายไปละพวก เริ่มลดอาหาร และออกกำลังกายเลย  ) จากคุณ : Panda Smile เขียนเมื่อ : 4 มี.ค. 53 02:45:32

ความคิดเห็นที่ 6 พูดถึงอัจฉริยะทางด้านดนตรีแล้ว ต้องยก 2 นิ้ว ( 2 thump up ) ให้กับการสร้างสรรค์ผลงานระดับมาสเตอร์พีซ ที่ไมเคิลได้สร้างไว้ให้เป็นมรดกทางด้านเสียงเพลงให้คนรุ่นหลังได้ศึกษา ยิ่งผมได้เรียนรู้จักเค้ามากขึ้น ยิ่งทึ่ง และประทับใจอย่างมาก  วันที่เสียชีวิตของเค้า ทั่วโลกต่างเขียนอาลัยเค้าว่า   RIP  คำนี้ ย่อมาจาก  Rest in Peace  ซึ่งแปลเป็นไทยก้อประมาณว่า ขอให้สู่สุขคติ ขอให้หลับให้สบาย ( แปลตรง ๆ ก็บอกว่า พักให้ความสงบ )   สิ่งที่น่าเสียดายอย่างมากก็คือว่า ไมเคิลมีคิวที่จะขึ้นเล่นคอนเสริต์ใหญ่ในกรุงลอนดอนที่ O2 Arena ในชื่อคอนเสริต์สุดฮิปที่ชื่อว่า      This is it    คอนเสริต์ที่จะเป็นครั้งที่ใช่ สำหรับทุกคนและคอนเสริต์ที่จะมาเขย่าหัวใจแฟนเพลงทั่วโลก จากคุณ : Panda Smile เขียนเมื่อ : 4 มี.ค. 53 02:46:38

ความคิดเห็นที่ 7 This is it   .ความหมายคืออะไรกันแน่  คำนี้เป็นคำพูดฝรั่งเวลาเราบอกว่า อันนี้แหละ  ใช่เลย  ความหมายจะเหมือน ๆ กับ คำว่า   Bingo   เวลาฝรั่งอุทานคำนี้ เวลาเจออะไรที่ใช่ ถูกต้อง  ต้องอันนี้แหละ นี้เลย  ไมเคิลต้องการให้ คอนเสริต์ที่ O2 Arena ในลอนดอน เป็นอะไรที่คนดูร้องว่า ใช่เลย อันนี้แหละ . แบบนี้เลย แต่ก็ไม่สามารถเกิดขึ้นได้อีกแล้ว น่าเสียดายมาก ๆครับ       ยิ่งศึกษาชีวิตของไมเคิลมากเท่าไหร่ ยิ่งเห็นสัจธรรมของชีวิตมากขึ้นเท่านั้น ชีวิตที่มีชื่อเสียง ห้อมล้อมไปด้วยแฟนเพลงที่รักและชื่นชอบ รวมถึงคนที่พร้อมจะแสวงหาผลประโยชน์กับความเป็นซุปเปอร์สตาร์ของเค้า ผมอยากจะสรุปคำที่รวมความหมายของไมเคิล แจ๊คสัน ไว้สัก 5 คำครับ เป็นคำที่ถูกเลือกมาแล้วว่า เหมาะสมกับราชาเพลงป๊อปคนนี้มากที่สุด เท่าที่จะทำได้ มาดูกันว่ามีคำอะไรกันบ้าง จากคุณ : Panda Smile เขียนเมื่อ : 4 มี.ค. 53 02:47:53

ความคิดเห็นที่ 8 1. UNIQUE  ( โดดเด่น แตกต่าง  )                      คงไม่ต้องบอกกันมากว่า ไมเคิล คือต้นแบบของความแตกต่าง ที่โดดเด่นจนได้รับความนิยมไปทั่วโลก ว่ากันว่าทุกวันนี้ทุกตารางเมตรบนโลกนี้ ไม่มีใครไม่รู้จักเค้า ด้วยสไตล์การเต้นที่ถึงใจ ลูบเป้าเขย่าทรวง ล้วงคลึงให้ สาว ๆ ได้กรี้ดกร้าด กันสะนั่นคอนเสริต์  และลีลา Moonwalker ที่โดดเด่น สวยงาม ทำให้ผู้ชายคนนี้ ยึดครองตำแหน่งซุปเปอร์สตาร์ของโลกนี้มายาวนานนับสิบๆ ปี  และเชื่อได้เลยว่า ในอนาคตก็ยังจะมีคนรุ่นลูกเรา รุ่นหลานเรา เป็นแฟนไมเคิลเพิ่มขึ้นอีกด้วย  เพราะความเป็นเอกลักษณ์ที่หาใครแทนไม่ได้ เพราะเค้าคือ Michael Jackson  The King of POP . จากคุณ : Panda Smile เขียนเมื่อ : 4 มี.ค. 53 02:48:53

ความคิดเห็นที่ 9 2. SCANDAL ( เรื่องอื้อฉาว )       แน่นอนว่า คนดังอย่างไมเคิล แค่ขยับสื่อมวลชนก็พร้อมจะทำข่าวได้เสมอ ตลอดเวลาการเป็นนักร้อง ตั้งแต่วัยหนุ่มเป็นต้นมา มีเรื่องข่าวลือ จริงบ้างเท็จบ้าง โดยสื่อมวลชนพยายามจะเกาะติดวิถีชีวิตของไมเคิลทุกฝีก้าว ทุกวินาที และนำเสนอข่าวต่างๆ เป็นเช่นว่า ฟอกผิวสีให้ขาว จนผิดสังเกต หรือ การนอนในโลงแก้วออกซิเจน เพื่อชะลอความแก่ การทำศัลยกรรมใบหน้าหลายแห่ง จนผิดเพี้ยนจากความเป็นคนผิวดำ   รวมถึงคดีล่วงละเมิดทางเพศกับเด็กในระยะหลัง ๆ ที่เป็นช่วงขาลงของไมเคิล ทำให้เค้าแทบจะกินไม่ได้ นอนไม่หลับ แต่กระนั้นก็ตามไมเคิลก็อยากจะขอความเป็นส่วนตัว และอยากให้สื่อมวลชนเคารพสิทธิส่วนบุคคลของเค้าบ้าง จะเห็นได้จากเพลงของเค้ามาโดยตลอด จะต้องมีการประชด ประชัน หรือเสียดสีเหล่าสื่อมวลชนปาปารัชซี่ อย่างเพลง   Leave Me Alone ,   Scream , Tabloid Junkie    ลองไปหาฟังดูครับ จากคุณ : Panda Smile เขียนเมื่อ : 4 มี.ค. 53 02:50:15

ความคิดเห็นที่ 10 3. POPULAR ( ความนิยม )       แทบจะไม่น่าเชื่อว่า ความนิยมของไมเคิล ไม่ลดลงตามกาลเวลา แต่กลับได้แฟนเพลงเพิ่มมากขึ้นด้วยซ้ำ นี้ไม่ได้เป็นคำกล่าวที่เกินจริงเลยแม้แต่น้อย ดัชนีที่บ่งบอกว่า ไมเคิลดังเหนือกาลเวลาคือ แฟนเพลงของเค้าทั่วโลกมีทุกวัย ทุกชาติ กระจายกันอยู่ทั่วทุกมุมโลก หลังข่าวการเสียชีวิตของไมเคิล มีการไว้อาลัยกันทั่วโลก พิธีไว้อาลัยที่จัดขึ้นเมื่อ วันที่ 7 กค 2009 นอกจากจะถ่ายทอดสดทางเครือข่ายสถานีชื่อดังของอเมริกาแล้ว ยังมีการถ่ายทอดสัญญาณผ่านเวบไซต์ไป 37 แห่งทั่วโลก และรวมถึงการจัดรวมตัวการชมพิธีไว้อาลัยตามสถานที่สำคัญต่าง ๆ ทั่วโลกอีกด้วย  คอนเสริต์ This is it ที่เจ้าของคอนเสริต์ไม่มีโอกาสได้เล่น นั้น ขายบัตรหมดเกลี้ยงผ่านไม่กี่ชั่วโมง ทั้ง ๆ ที่ไมเคิลเองแขวนรองเท้า Moonwalk กับคอนเสริต์ใหญ่ แบบนี้มานานเกือบสิบปี   คงเป็นเพราะความ Popular นี้เองมั้งครับ   คำนี้ ย้ำกันนิดนึง คำนี้อ่านว่า พ๊อพ พิว เลอะ นะครับ อย่าไปอ่านว่า ป๊อปปูล่าร์ ตรง ๆ มันไม่ได้ Feel จากคุณ : Panda Smile เขียนเมื่อ : 4 มี.ค. 53 02:51:13

ความคิดเห็นที่ 11 4. Freak  ( แปลก พิลึก  )      อาจจะมีบางพฤติกรรมที่ไมเคิล แสดงออกมาแล้วคนทั่วไปคิดว่า เค้าทำตัวพิลึก กึกกือ ดูตลก  ๆ แปลก  ๆ เช่นตอนที่มาเมืองไทย ตอนปี 1993 คอนเสริต์ใหญ่ เค้ามาพร้อมกับหน้ากากใหญ่ปิดหน้าปิดตา ราวกับระวังไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ซึ่งตอนนั้น ยังไม่มีเลย   หรือแม้แต่การปิดโรงแรมหรู เพื่อช็อปปิ้งเพียงลำพัง แม้จะต้องจ่ายด้วยราคาที่สูงลิ่บลิ่ว  หรือคราวที่เอาลูกชายวัยแบเบาะมาโชว์ตรงหน้าระเบียง สร้างความหวาดเสียวแก่แฟนเพลง จนกลายเป็นกระแสข่าวดังไปทั่วโลก สุดท้ายไมเคิลก็ออกมาขอโทษสำหรับกรณีดังกล่าว รวมถึงพฤติกรรมเบี่ยงเบนทางเพศที่โดนสื่อมวลชนโจมตีใส่ข่าวจน แฟนเพลงบางกลุ่มเริ่มสับสนและงง กับพฤติกรรมของเค้า จนในช่วงยุคต้น 90  ผู้คนต่างให้ความสนใจในตัวไมเคิลและพฤติกรรมแปลก ๆ ของเค้ามากกว่าผลงานของเค้าเสียอีก  แต่ก็อย่างว่าครับ ทุกอย่างหล่อหลอมมาจากสิ่งปรุงแต่งที่สังคมมอบให้ ไมเคิล ความโด่งดัง ความเป็นคนมีชื่อเสียง ทำให้ไมเคิลวางตัวลำบากและขาดชีวิตที่เป็นส่วนตัวมายาวนานมากตั้งแต่ยังอายุยังไม่ถึง 15 ปี  แต่กระนั้นก็ตาม ไมเคิลก็มีพฤติกรรมเหมือนเด็กอยู่ตลอดเวลา เพราะต้องการชดเชยเวลาที่สูญเสียความเป็นเด็กไป เพราะต้องซ้อมดนตรี ร้องเพลง และตระเวนทัวร์คอนเสริต์ จนช่วงเวลาที่เด็กคนหนึ่งควรมีหายไป จากคุณ : Panda Smile เขียนเมื่อ : 4 มี.ค. 53 02:52:23

ความคิดเห็นที่ 12 5.Philanthropy  ( ความเป็นคนใจบุญ ชอบช่วยเหลือสังคม )     บทเพลง   We are the World   ที่ไมเคิล ร่วมมือกับ ลีโอเนล ริตชี่ ในปี 1985 คือจุดเริ่มต้นอย่างเป็นทางการสำหรับการอุทิศตัวเองในฐานะศิลปิน เพื่อจุดกระแสให้มวลมนุษย์เริ่มเข้ามาช่วยเหลือ ความยากจนและหิวโหยของประชากรในแถบ แอฟริกา  โดยในครั้งนั้นไมเคิลกับนักร้องชื่อดังกว่า 39 ชีวิตได้ร่วมกันร้องเพลงนี้ และจัดคอนเสริต์ขึ้นเพื่อหารายได้สำหรับการนี้โดยเฉพาะ นอกไปจากนั้น ไมเคิลยังจัดตั้ง กองทุน Heal The World ที่โด่งดังไปทั่วโลก ด้วยวัตถุประสงค์หลักคือเพื่อช่วยเหลือ สำหรับเด็กที่ขาดแคลนยาและหิวโหยทั่วโลก คนเร่รอนจรจัดไร้ที่อยู่อาศัย เด็ก ๆ ที่ถูกทอดทิ้ง โดยแหล่งรายได้หลักมาจากการแสดงทัวร์คอนเสิรต์ Dangerous World Tour ในปี 1992- 1993 ซึ่งมีผู้ชมกว่า 3.5 ล้านคน ใน 67 ครั้ง รวมทั้งในประเทศไทยด้วย สร้างเม็ดเงินเข้ากองทุนนี้หลายล้านเหรียญสหรัฐ  แต่กองทุนนี้ก็มาชะงักงันเอาตอนที่ไมเคิลมีเรื่องอื้อฉาวกับคดีทำอนาจารกับเด็ก ทำให้กองทุน Heal The World ต้องหยุดชั่วคราว มาตั้งแต่ปี 2002 เพิ่งจะมารื้อฟื้นกันอีกรอบในปี 2008 ที่ผ่านมานี้เอง   นอกจากนี้ไมเคิลยังมอบเงินบริจาคให้กับ องค์กรการกุศลทั่วโลกกว่าอีก 30 แห่งเป็นประจำต่อเนื่อง ซึ่งนั้นก็เป็นเหตุผลเพียงพอแล้วที่จะมอบคำว่า  Philanthropy ให้กับเค้าอย่างไม่ต้องสงสัย      คงไม่มีคำไหนจะบรรยายได้ว่า ทั่วโลกเสียใจและเสียดายกับการจากไปอย่างไม่มีวันกลับของราชาเพลง ป๊อปคนนี้มากแค่ไหน  รู้แต่เพียงว่าทั่วโลกจะจดจำผู้ชายคนนี้ไว้ในหัวใจตลอดกาล กับผลงานระดับตำนานและความเป็นอมตะของลีลาท่าเต้น และบทเพลงที่มอบความสุข ความบันเทิงขับกล่อมโลกนี้มายาวนานนับหลายสิบปี มรดกทางด้านดนตรีของไมเคิลจะยังส่งต่อไปยังคนรุ่นหลังให้ได้ศึกษาและชื่นชมต่อไปนานเท่านาน ผมเชื่อแบบนั้นครับ จากคุณ : Panda Smile เขียนเมื่อ : 4 มี.ค. 53 02:53:38

ความคิดเห็นที่ 13 แป่ะโป้งไว้ก่อนเดี๋ยวจะกลับมาอ่านเน๊อ จากคุณ : เราอุ้มนะ เขียนเมื่อ : 4 มี.ค. 53 05:58:51

ความคิดเห็นที่ 14   โอ๊ะ คุณ แพนด้า แปะไว้ก่อน เดี๋ยวมาอ่านอย่างละเอียดเหมือนกัน พอดีกำลังจะตั้งกระทู้ แล้วงานยุ่งอยู่ด้วยค่ะ อืห์ม....ขอวิจารณ์ตรงๆเลยไม่เกรงใจละกันนะคะ ก็มีทั้งที่ถูกใจแลไม่ถูกใจ แต่อ่านคร่าวๆรวมๆเขียนได้ดี (มีสอนภาษาอังกฤษด้วย) มีพิมพ์ผิดเช่นคำว่า คอนเสริต์ (ที่จริงต้องคอนเสิร์ต(หรือเปล่า) และก็ ข้อมูลงานการกุศล น่าจะอ้างอิงสถิติการกุศลของไมเคิลในกินเนสบุ๊ค ด้วยน่าจะเป็นอะไรที่เป็นรูปธรรมดี และก็ตรงนี้น่ะ 'แต่กองทุนนี้ก็มาชะงักงันเอาตอนที่ไมเคิลมีเรื่องอื้อฉาวกับคดีทำอนาจารกับเด็ก' มันเอื้อต่อการเข้าใจผิดไปนะ เราว่า เปลี่ยนเป็น 'แต่กองทุนนี้ก็มาชะงักงันเอาตอนที่เกิดข่าวอื้อฉาวและความเข้าใจบิดเบือนจากคดีความเกี่ยวกับเด็ก'  อะไรทำนองนี้ได้ปล่าวคะ เรื่องเกี่ยวกับความแปลก พึลึกของไมเคิล ไหนๆคุณแพนด้าพูดขึ้มมาแล้วก็น่าจะถือโอกาสแก้ความเข้าใจผิดนั้นไปเลย เช่นการที่ไมเคิลมักใส่หน้ากากเสมอเพราะผิวหน้าของเขาไม่มีเม็ดเมลานิน ซึ่งเสี่ยงต่อมะเร็งผิวหนังเป็นอย่างมาก หรือเรื่องscandal ที่คุณแพนด้ากล่าวถึงเรื่องฟอกผิว นอนในอ็อกซิเจนแชมเบอร์ หรืออื่นๆ ก็น่าจะให้ข้อมูลที่ถูกต้องควบคู่ไปด้วยว่า ที่จริงแล้วเขาเป็นโรคเกี่ยวกับผิวหนังชนิดหนึ่ง ไม่ได้รังเกียจสีผิวชาติกำเนิดของตัวเองอย่างที่เป็นข่าว เพื่อให้คนที่ไม่ได้ติดตามมาก่อน ไม่รู้เรื่องราวจะได้เข้าใจได้ถูกต้องมากขึ้น อ๊อฟขอยกงานเขียนที่น่าเอาอย่างมากๆ สำหรับคนที่อยากออกหนังสือเกี่ยวกับไมเคิลสักเล่มนะคะ คือนิตยสาร STARPICS ฉบับTribute และฉบับควันหลงน่ะค่ะ ของอ๊อฟอ่านจนกาวหลุดหมดแล้ว ยังไม่ได้เอาไปซ่อมเลย เป็นกำลังใจให้คุณแพนด้านะคะ กับการออกหนังสือเล่มแรก(หรือเปล่า) เป็นโอกาสอันดีที่จะเผยแพร่เรื่องราวดีๆของไมเคิลจากอีกหนึ่งคนรักไมเคิลน่ะค่ะ ป.ล. ชอบอารมณ์ขันที่แทรกในเนื้อหาตลอดเวลา คุณแพนด้านี่คงเป็นหนุ่มอารมณ์ดีจริงๆ จากคุณ : Better Off เขียนเมื่อ : 4 มี.ค. 53 10:46:24

ความคิดเห็นที่ 15 ^ ^อิอิใช่ค่ะคุณอ๊อฟ คุณแพนด้าเป็นหนุ่มหน้าตาอารมณ์ดี :) จากคุณ : MR.ROOFคุณแม่แคท (MR.ROOF) เขียนเมื่อ : 4 มี.ค. 53 12:39:23

ความคิดเห็นที่ 16   คุณแพนด้าเก่งจังเลยค่ะ เขียนบทความแล้วยังสอดแทรกสาระการใช้ภาษาอังกฤษอีก ข้าน้อยยังมิบังอาจวิจารณ์เนื่องจากยังอ่านไม่จบ แถมความรู้ทางภาษาอังกฤษของข้าน้อย ยังห่างไกลท่านนัก พอดีเปียเป็นพวกเป็ด(ขี้เหร่)อ่ะค่ะ พอได้หลายอย่างแต่ไม่เชี่ยวชาญสักอย่าง เฮ้อ..... จากคุณ : พี่เปีย เขียนเมื่อ : 4 มี.ค. 53 17:08:50

ความคิดเห็นที่ 17 ดีจังเลยค่ะ คุณ Panda Smile ที่นำมาลงให้อ่านก่อนเป็น Preview เผื่อมีอะไรปรับแก้ได้(รึเปล่า^^)  ก็จะได้ทำให้สมบูรณ์ ก่อนออกสู่สายตาชาวโลก   ชั่งเป็นความคิดที่รอบคอบยิ่งนัก : )    และขอมอบ 7 จอกให้แก่ความเพียรเลยค่ะ เมื่อกี้ลงอ่านดูเล็กน้อยแต่เดี๋ยวจะอ่านให้ละเอียดอีกทีนะค้า หากเมื่อหนังสือออกแล้ว (ตื่นเต้นแทน) ก็จะเป็นกำลังใจต่อไปนะค้า เย้ๆๆ ปล.เห็นด้วยกับข้อความแก้ไขจากพี่ Better Off ค่า จากคุณ : NarzizuZ เขียนเมื่อ : 4 มี.ค. 53 20:13:53

ความคิดเห็นที่ 18 มาขอเพิ่มเติมซักเล็กน้อยนะคะ ในส่วน  "จะเห็นได้จากเพลงของเค้ามาโดยตลอด จะต้องมีการประชด ประชัน หรือเสียดสีเหล่าสื่อมวลชนปาปารัชซี่ อย่างเพลง   Leave Me Alone ,   Scream , Tabloid Junkie    ลองไปหาฟังดูครับ" แอบอยากให้ฟังอีกเพลงด้วยค่ะ เพลงนี้ "Privacy"  เต็มไปด้วยความอึดอัดจริงๆ Ain't the pictures enough, why do you go through so much To get the story you need, so you can bury me ..... I need my privacy, I need my privacy So paparazzi, get away from me .... ปล. มันอาจไม่ได้สำคัญอะไร ข้ามไปก้ได้ค่ะ -*-  (แค่มาแอบยกมือเล็กๆ แหะๆ) จากคุณ : NarzizuZ เขียนเมื่อ : 4 มี.ค. 53 20:27:05

ความคิดเห็นที่ 19   เก่งจังค่ะ เป็นกำลังใจให้นะคะๆ ^_^ จากคุณ : Can U Feel It (Can U Feel It) เขียนเมื่อ : 4 มี.ค. 53 20:33:36

ความคิดเห็นที่ 20 แปะไว้ก่อน ยังไงมีเป็นเล่มขายเมื่อไหร่ ก็บอกด้วยนะจ้ะ จะได้อุดหนุน จากคุณ : ลูกโป่งสีน้ำเงิน เขียนเมื่อ : 4 มี.ค. 53 21:04:13

ความคิดเห็นที่ 21 เขียนได้เพลินทีเดียวค่ะ ตรงช่วงสอนอังกฤษ อย่างกับครูคริสมาเขียนเอง ให้อารมณ์คลายคลึงเชียว มุกขำก็ทำให้ยิ้มได้ด้วย ขอปรบมือพร้อมเป็นกำลังใจนะคะ จากคุณ : RockwithU เขียนเมื่อ : 4 มี.ค. 53 21:28:31

ความคิดเห็นที่ 22 Thx for sharing ka :) จากคุณ : แอร์ริโกะ เขียนเมื่อ : 5 มี.ค. 53 13:17:42

ความคิดเห็นที่ 23 โอ้..อ่านแล้วรู้สึกเข้าใจง่ายดี และชวนให้ติดตาม เพราะมีมุขตลก ทำให้เรา (ซึ่งภาษาอังกฤษอ่อนแอมาก ๆ ) ยอมนั่งอ่านแต่โดยดี... ได้พิมพ์เป็นเล่มเมื่อไหร่ก็บอกด้วยนะ จะอุดด้วยจ้า...เผื่อภาษาปะกิดเราจะดีขึ้น....แหะแหะ จากคุณ : Shogubutsu เขียนเมื่อ : 5 มี.ค. 53 23:01:15

ความคิดเห็นที่ 24   ขอชมคุณแพนดา ที่เขียนบทความได้ดีมาก ๆ มีความสนุกแถมยังได้ความรู้ภาษาอังกฤษด้วย อย่างนี้ออกพ็อคเก็ตบุคส์ได้เลยนะ จะช่วยอุดหนุนคะ จากคุณ : aor_mj เขียนเมื่อ : 6 มี.ค. 53 17:19:18

ความคิดเห็นที่ 25   มันยอดมากค่ะ This is itจะเป็นคำพูดติดปากของหนูตลอดไปค่ะ จากคุณ : jinnypk เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 53 00:16:31