 |
ความคิดเห็นที่ 152 |
|
ชา เป็นเครื่องดื่มที่คนทั่วโลกนิยมบริโภคไม่น้อยไปกว่า กาแฟ และโกโก้ ชาถือกำเนิดมาจากพืชตระกูล Camelliea มีชื่อทางพฤกษศาสตร์ว่า Camelliea sinensis ลักษณะเป็นไม้พุ่ม ใบแหลมสีเขียว ดอกสีขาว มีกลิ่นหอม ส่วนที่นำมาเป็นเครื่องดื่มจะอยู่บนสุด เป็นตำแหน่งของการผลิใบอ่อน และการแตกหน่อ ซึ่งเป็นส่วนที่มีคุณภาพดีที่สุด แต่ถึงจะมาจากพืชตระกูลเดียวกัน ก็ยังมีหลากหลายแบ่งได้ 4 ประเภท แตกต่างไปตามกรรมวิธีการหมักบ่ม หรือการผลิต ได้แก่ ชาขาว คือชาที่ได้จากการเลือกเก็บยอดชาที่อ่อนมาก คือยังมีขนเล็ก ๆ สีขาวปกคลุมยอดชาอยู่ ใบชาจะคงสภาพเหมือนใบชาสดและมีสีขาว น้ำที่ชงจากชาขาวจะมีสีใสๆถึงสีเหลืองอ่อน มีลักษณะใกล้เคียงกับชาเขียว ในแต่ละปีจะเก็บเกี่ยวยอดชาเพื่อนำมาผลิตชาขาวได้ในบางวันเท่านั้น
ชาเขียว คือชาที่ไม่ผ่านกระบวนการหมัก ในระยะเวลาสั้น การผลิตชาเขียว ทำโดยนำใบชาที่เก็บมาได้ มาผ่านไอน้ำหรือความร้อน เพื่อยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ทันที จากนั้นนำไปกลิ้งด้วยลูกกลิ้งและทำให้แห้งอย่างรวดเร็ว ใบชาที่ได้จึงยังคงมีสีเขียว ในชาเขียวจะมีสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยป้องกันรอยเหี่ยวย่น สีผิวด่างดำ และแห้งกร้าน
ชาอูหลง คือชาที่ผ่านกระบวนการผลิตด้วยการหมักแต่เพียง 10-80 เปอร์เซ็นต์ คือระยะเวลาการหมักนานกว่าชาเขียว ชาประเภทนี้จะมีสีและกลิ่นมากกว่าชาเขียวขึ้นมาหน่อย รสชาติเข้มข้นและมีกลิ่นหอม เมื่อดื่มจะให้รสฝาด และขมเล็กน้อย ชุ่มคอ
ชาอังกฤษ เป็นชาที่ติดอันดับท๊อปฮิตติดชาร์ทยอดนิยม ผู้คนนิยมดื่มกันทั่วโลก โดยเฉพาะแถบยุโรป คนไทยบางคนเรียกว่าชาฝรั่ง การผลิตจะนิยมใช้ชาพันธุ์ดีมีสารโพลีพินอลสูง ดีต่อสุขภาพ โดยเริ่มจากการนำใบชาไปหมักด้วยระยะเวลานานก่อให้เกิดการหมักอย่างเต็มที่ ซึ่งจะทำให้สีและรสชาติที่เข้มข้นมาก น้ำชาเป็นสีส้มหรือน้ำตาลแดง
นอกจากรสชาติที่เข้มข้น และกลิ่นหอมชื่นใจแล้ว ชาอังกฤษยังช่วยกระตุ้นการทำงานของหัวใจ ขับไล่ความเหนื่อยอ่อน สร้างความสดชื่น ป้องกันมะเร็ง ที่สำคัญช่วยชะลอความแก่ และป้องกันการเกิดสารอนุมูลอิสระ ช่วยหยุดยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียและไวรัส เนื่องจากมีสารสารแทนนินสูง จึงช่วยป้องกันฟันผุบรรเทาอาการท้องเสีย ดั้งนั้นการต้มหรือแช่ชาอังกฤษนานๆ จะทำให้ได้สารแทนนินและ แร่ธาตุอื่นๆ เช่น ฟลูออไรด์ วิตามินเอ วิตามินบี 1 บี 2 มากขึ้นด้วย
สรุปง่ายๆได้ว่า ใบชาที่เก็บมาจากยอดชาจะเรียกว่าชาขาว เมื่อผ่านการหมักในระยะเวลาสั้นๆจะเรียกว่าชาเขียว หากหมักระยะเวลานานขึ้นมาหน่อยจะมีสีเข้มขึ้นเรียกว่าชาอูหลง ส่วนชาที่มีความเข้มข้นที่สุดเพราะผ่านการหมักบ่มอย่างยาวนานก็คือชาอังกฤษ นั่นเอง
ชามีอยู่หลายชนิดค่ะ ชาเขียว ชาดำ ชาดอกไม้ แต่ไม่ว่าจะชาไหนต่างก็มีวิตามินอยู่ ไล่ตั้งแต่วิตามีน A, B1, B2, B3, P, PP, C เป็นต้น ในจำนวนนี้วิตามีน C มีมากที่สุดผู้ใหญ่ดื่มชาเขียวสองถึงสามถ้วยทุกวัน ก็จะได้วิตามีน C ปริมาณครึ่งหนึ่งที่ร่างกายต้องการ ชาช่วยย่อยสลายไขมัน ลดคลอเรสเตอรอลได้ โดยเฉพาะชาอูหลง ดื่มอูหลง 300 ซีซี. ช่วยสลายพลังงานไป 40 แคลลอรี่ (เทียบได้กับเดินเร็ว 15 นาที หรือเดินขึ้นลงบันได้10 นาที)ยิ่งกว่านั้นอูหลงยังเหมาะสำหรับคนที่เวลาเครียดหรืออารมณ์หงุดหงิด แล้วหาทางออกด้วยการกินได้อีกด้วย เพราะอูหลงจะไปช่วยกระตุ้นการทำงานของสมอง ชาช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับผนังเส้นเลือดและขยายหลอดเลือด ช่วยลดความดันและป้องกันเส้นเลือดตีบได้ ชายังช่วยป้องกันฟันผุได้ด้วยค่ะ ดังจะเห็นว่ายาสีฟันเริ่มมีผสมใบชามาขายกันแล้ว ชาเขียวกับการรักษามะเร็ง หัวข้อนี้เป็นที่พูดถึงกันมานานพอสมควร "ในชาเขียวมีสาร Catechin Polyphenol โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Epigallocatechin Gallate (EGCG) ที่มีอยู่มากในชามีคุณสมบัติเป็นสารต้านพิษ และยังช่วยฆ่าเซลล์มะเร็งและยับยั้งการเติบโตของเซลล์มะเร็งโดยไม่ทำลาย เนื้อเยื่อส่วนดี นอกจากนั้นยังช่วยลดระดับ LDL โคเลสเตอรอลในเลือด ป้องกันการจับตัวของลิ่มเลือด ซึ่งเป็นสาเหตุของอาการหัวใจวาย และลมชัก มักมีการเปรียบเทียบประโยชน์ที่ได้จากการดื่มชา กับประโยชน์ที่ได้จากการดื่มไวน์อยู่ เนืองๆ นักวิจัยได้สงสัยมานานแล้วว่าทำไมชาวฝรั่งเศสจึงมีอัตราการป่วยด้วยโรคหัวใจ น้อยกว่าชาวอเมริกันทั้งที่บริโภคอาหารที่มีไขมันสูงเหมือนกันคำตอบก็คือชาว ฝรั่งเศสมักนิยมดื่มไวน์ซึ่งในไวน์แดงมีสาร Resveratrol ที่เป็น Polyphenol ที่ลดอันตรายจากการรับประทานอาหารที่มีไขมันสูง และการสูบบุหรี่ ในปี ค.ศ.1997 นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยแคนซัส ได้สรุปว่า EGCG นั้น แรงเท่าๆ กับ Resveratrol ถึงเกือบ 2 เท่าซึ่งเป็นการอธิบายว่าทำไมชาวญี่ปุ่นจึงมีอัตราการเสี่ยงโรคหัวใจค่อน ข้างต่ำแม้ว่ากว่า 75% จะสูบบุหรี่ก็ตาม" ที่ชาเขียวดีที่สุดนั้นเพราะกรรมวิธีในการผลิต ทำให้ EGCG ไม่สูญสลายเหมือนชาอื่นๆค่ะ ส่วนชาเขียวพร้อมดื่มต่างๆที่ขายกันครึกโครมนั้น เบลมีสถิติสนุกๆมาให้อ่านกันค่ะ เขาว่าจากการตรวจสอบชาเขียวพร้อมดื่มทั้ง 23 ยี่ห้อพบว่า ร้อยละ65.22 มีคาเฟอีนเกิน 50 มิลลิกรัม/ขวด (คาเฟอีน ส่งผลให้ไขมันในเลือดและความดันเลือดสูงขึ้น เป็นสาเหตุของเส้นเลือดตีบตันเร็ว ทำให้เลือดไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆ ได้น้อย เป็นผลให้ร่างกายเสื่อมสภาพเร็วขึ้น หรือ แก่เร็วนั่นเอง)
อย่ากินผลไม้ล้างปากหลังอาหาร ที่ผ่านมาเรามักชินกับภาพจานผลไม้ที่ต้องเข้าเทียบหลังมื้ออาหารสำหรับผิดล้างปากดับอาหารคาวเสมือนเป็นของหวานตอนวัยยังใสกินผลไม้หลังมื้อหลักเป็นประจำ เเต่ร่ายกายไม่ฟ้องหรือออกอาการอะไร อาจมีเรอบ้าง ชิ่งก็ไม่ใช่ปัญหาที่ควรวิตกกังวลอะไร แต่เมื่อวัยเพิ่มขึ้นและจับสั่งเกตตัวเองได้ จึงเริ่มรู้ตัวว่าผลไม้ที่กินอย่างสะดวกปากกลับไม่ใช่ของกินเล่นอีกต่อไป เพราะร่างกายนอกจากจะออกอาการเรอหรืออยากจะพายลมออก ยังมีจุดเสียดแน่นท้อง บางทีก็รู้สึกผะอืดผะอมเหมือนมีอะไรจุกที่คอ ยาลดกรดไล่แก๊สช่วยได้บ้างไม่ได้บ้าง ที่เป็นเช่นนี้เพราะเราไม่รู้จักธรรมชาติของผลไม้และธรรมชาติของร่างกายเราดีพอ การกินผลไม้ให้ถูกเวลา จะช่วยทำให้ร่างกายได้รับสารอันเป็นประโยชน์อย่างเต็มที่ ผลไม้มีน้ำประกอบอยู่ในปริมาณ 60-96% เพียบด้วยกากใย มันจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยกวาดล่างพิษคั้งค้างในร่างกายให้ออกไปโดยการขับถ่ายแถมสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายหลายอย่าง เช่น แป้งและน้ำตาลที่ให้พลังงาน วิตามินแร่ธาตุที่ช่วยในกระบวนการปฏิกิริยาเคมีของร่างกาย ช่วยลดคอเลสเตอรอล อีกทั้งมีสารป้องกันมะเร็งด้วย แต่ต้องกินให้ถูกเวลา ต้องกินผลไม้ตอนท้องว่างที่ต้องกินตอนท้องว่างก็เพราะร่างกายเราใช่เวลาในการย่อยและดูดสึมสารอาหารจากผลไม้ไปใช้ในร่างกายเพียง 20-30 นาที เท่านั้น อีกทั้งใช้พลังงานสำหลับการย่อยน้อยมาก ถ้าเปรียบเทียบกับอาหารชนิดอื่น เช่นข้าวหรือ เนื้อสัตว์ต่างๆ จะใช้พลังงานในกานย่อยสูง ใช้เวลานาน 2-4 ชั่วโมง แต่ถ้ากินอาหารหนักหลายอย่างพร้อมกัน ในปริมาณมากอาจต้องขยายเวลาในการย่อยออกไปอีก การที่ร่างกายต้องใช้พลังงานไปกับการย่อยอย่างหนัก ผลก็คือทำให้รู้สึกไม่สดชื่น อ่อนระโหยระแหง ง่วงสึมอยากจะงีบเอาแรง เราจึงไม่ควรกินผลไม้หลังอาหาร เพราะเมื่ออาหารตกถึงกระเพาะจะใช้เวลาในการย่อยประมาณ 4 ชั่วโมง หากกินผลไม้ตามไปติดๆก็ต้องไปต่อคิวรอการย่อยรวมกับอาหารมื้อหนัก ขณะที่อาหารกับผลไม้ผสมกันอยู่ในกระเพาะรอการบดย่อย จะทำให้เกิดการหมักบูด เกิดเป็นแก็ส ซึ่งทำให้เราจุดเสียดแน่นท้องได้ เราจึงควรรอเวลาให้อาหารที่กินเข้าไปย่อยหมดเสียก่อน แล้วค๋อยกินผลไม้ ถ้าที่กินไป ไม่หนักหนา รอให้ 2 แล้วจึงกินผลไม้ แต่ไม่ควรกินอาหารตอนหิวนะค่ะ เพราะอะไร นั้นเดียวค๋อยบอกพรุ่งนี้แล้วกันเหมื่อยมือค่ะ
| จากคุณ |
:
yuyee
|
| เขียนเมื่อ |
:
14 มี.ค. 53 14:52:38
A:119.224.23.173 X: TicketID:242539
|
|
|
|
 |