ความคิดเห็นที่ 1 อันนี้เป็นคลิปที่ 2 ค่ะ มีเท่านี้เอง จากคุณ : PK (myriostigma) เขียนเมื่อ : 30 เม.ย. 53 12:07:01

ความคิดเห็นที่ 2 ไมเคิลเล่าว่าเจอกับ Quincy ได้ยังไง To really go to the root of it I think you would have to start when I was 8 years old, Sammy Davis Jr. introduced me to Quincy Jones, I never forget it, and that I heard him say something like that and I just tuck it away subconsciously and never mentioned it, this is my first time mentioning it, probably. But I never thought about seeing Quincy again, so years later Motown was preparing to do this movie called “The Wiz” with Diana Ross, .., . Barry Gordy recommended that I should play the Scarecrow, so I did. So we made this film and I enjoyed it and Quincy Jones happened to be the man who’s doing the music. I heard of Quincy before when I was in Indiana as a child because my father used to buy jazz albums. I knew him as a jazz musician. ถ้าจะเอาตั้งแต่ต้นจริงๆคงต้องย้อนกลับไปเมื่อตอนผม 8 ขวบ Sammy Davis Jr. แนะนำผมให้รู้จักกับ Quincy Jones ซึ่งผมไม่เคยลืมเลยเหตุการณ์นั้นเลย แต่ผมไม่เคยพูดถึงมัน นี่ถือว่าเป็นครั้งแรกเลย แต่ตอนนั้นผมไม่เคยคิดเลยว่าจะได้กลับมาเจอ Quincy อีกครั้ง จนกระทั้งหลายปีต่อมา Motown  จะสร้างหนังเรื่อง The Wiz ขึ้นมาโดยมี Diana Ross เล่นด้วย ตอนนั้น Barry Gordy เสนอว่าให้ผมเล่นเป็น Scarecrow ผมก็เลยเล่น แล้วบังเอิญว่า Quincy Jones เป็นคนดูแลดนตรีในหนังเรื่องนี้พอดี เราก็เลยได้เจอกันอีกครั้ง จริงๆผมได้ยินชื่อของ Quincy ตั้งแต่สมัยผมยังอยู่ที่ Indiana ตอนเด็กๆแล้วล่ะ เพราะว่าพ่อผมชอบซื้อพวกเพลงแจ๊ซ แต่ตอนนั้นผมรู้จัก Quincy ในฐานะนักดนตรีแจ๊ซ แก้ไขเมื่อ 30 เม.ย. 53 12:23:11 จากคุณ : PK (myriostigma) เขียนเมื่อ : 30 เม.ย. 53 12:13:09

ความคิดเห็นที่ 3 ไมเคิลเล่าถึงการทำงานในอัลบั้ม "Off The Wall" Rod Temperton came in the studio, he came with this killer, this little German guy from Worms, Germany. This little white guy from Worms, Germany comes with this “(beatboxing)” and this whole melody and the chorus of “Rock With You,” .Wow, so when I heard that I said OK I have to really work my   First thing I presented was “Don’t Stop ‘Til You Get Enough”, that’s what I wrote for I wrote “Don’t Stop ‘Til You Get Enough,” and I think it was  uhh how many did I do, I think I did 3 or 4 on “Off the Wall,” I’ll think of them in a second. So every time Rod would present something and I would present something and we formed a kind of friendly competition(Laughs). But I love working like that because I used to read about how Walt Disney used to if they’re working on “Bambi” or any animated show, they’d put a dear in a middle of the floor and made the animators kinda compete, for different styles of drawing the dear, so whoever had the most style line affect that Walt liked would get picked so they kinda compete. It was like friendly thing but it was competition because it breached higher effort. So, whenever Rod would bring something, I would bring something and he would do something, I would do something else Rod Temperton เป็นคนพาชายชาวเยอรมันคนนี้เข้ามา ผู้ชายชาวเยอรมันตัวเล็กๆจากเมือง Worms คนนี้พอเข้ามาถึงก็ “(ไมเคิลทำเสียง beatbox)” เป็นทำนองและดนตรีของเพลง “Rock With You” มาเลยเชียว ซึ่งเจ๋งมาก พอผมได้ยินอย่างนั้นปุ๊บผมก็บอกกับตัวเองเลยว่า โอเคชั้นต้องเริ่มทำงานบ้างแล้วล่ะ เพลงแรกที่ผมเสนอไปคือเพลง “Don’t Stop ‘Til You Get Enough” ในอัลบั้ม “Off The Wall” มีเพลงที่ผมแต่งประมาณ 3 หรือ 4 เพลงเนี่ยแหละ ผมจำไม่ได้แฮะ เดี๋ยวผมค่อยคิดแล้วกัน ผมกับ Rod จะผลัดกันนำเสนองานของตัวเอง เขาเสนออย่างหนึ่ง ผมเสนออีกอย่างหนึ่ง เป็นเหมือนการแข่งขันเล็กๆ (หัวเราะ) แต่ผมชอบการทำงานแบบนี้นะ ผมเคยอ่านมาว่า อย่าง Walt Disney เวลาจะทำการ์ตูนเรื่องหนึ่งขึ้นมา สมมติถ้าเป็นเรื่อง Bambi เขาก็จะเอากวางจริงๆมาวางไว้ตรงกลางห้องเลย แล้วก็ให้พวกนักวาดลายเส้นแข่งกันลองวาดหลายๆแบบ ถ้าลายเส้นของใครดูมีชีวิตชีวามากที่สุดแล้ว Walt ชอบ ก็จะได้รับการรับเลือกไป ก็ถือว่าแข่งกันสนุกๆแต่ก็เป็นการแข่งขันอย่างหนึ่งเหมือนกันเพราะมันทำให้คนต้องใส่ความตั้งใจและความพยายามมากขึ้นไปอีก แก้ไขเมื่อ 30 เม.ย. 53 12:22:50 จากคุณ : PK (myriostigma) เขียนเมื่อ : 30 เม.ย. 53 12:21:39

ความคิดเห็นที่ 4 ไมเคิลพูดถึงการสร้างสรรค์ผลงาน I always wanna do music that influences and inspires people in this generation. I mean, let’s face it, who wants mortality? (Interviewere: What?) Immortality. You want what you create to live, be it sculpture or painting or music or composition. Like Michelangelo, he said “I know the creator will go, but his works survive, that is like to escape death. I attempt to bind my soul to my work,” That’s how I feel, I give my all when I work, I want it to just live, give all that I have, you know it has to be that way. ผมอยากทำดนตรีที่จะส่งผลกระทบและเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนในยุคนี้ พูดก็พูดเถอะ ไม่มีใครอยากตายหรอก (คนสัมภาษณ์: ว่าไงนะคะ) ผมกำลังพูดถึงความเป็นอมตะอยู่ ศิลปินทุกคนก็ต้องการให้ผลงานของตนเองคงอยู่ตลอดไปทั้งนั้นแหละ ไม่ว่าจะเป็นรูปปั้น ภาพเขียน ดนตรีหรือว่างานประพันธ์ต่างๆ เหมือนอย่างที่ Michelangelo พูดเอาไว้ว่า “ผมรู้ว่าศิลปินยังไงก็ต้องตาย แต่ผลงานต่างหากคือสิ่งที่จะยังคงอยู่ มันเหมือนกับการหนีความตาย ผมใส่จิตวิญญาณเข้าไปในงานของผม” ซึ่งผมก็รู้สึกเดียวกัน ผมทุ่มเต็มที่เวลาผมทำงาน ผมอยากให้มันมีชีวิตขึ้นมาและคงอยู่ต่อไป มันต้องเป็นแบบนั้น แก้ไขเมื่อ 30 เม.ย. 53 14:18:44 จากคุณ : PK (myriostigma) เขียนเมื่อ : 30 เม.ย. 53 12:25:48

ความคิดเห็นที่ 5 ไมเคิลเล่าถึงขั้นตอนการทำเพลง What I do when I work, I’ll do a raggadee rough version just to hear the chorus, see how much I like the chorus, if it works for me, that way when it’s raggadee, then I’d know if you really wanna go in. That’s at home. That’s Janet, Randy, me Janet and I go “Hoo hoo,” (laughs) เวลาจะทำเพลงขึ้นมาเพลงหนึ่ง ผมจะเริ่มจากการทำเวอร์ชั่นหยาบๆออกมาก่อนเพื่อจะฟังช่วงคอรัส ดูว่าผมชอบมันหรือเปล่า ถ้าผมว่ามันเวิร์ค ก็โอเคค่อยไปลงรายละเอียด (เปิดเพลงจาก iphone) นั่นที่บ้านนะครับนั่น มี Janet, Randy แล้วก็ตัวผมเอง Janet กับผมร้อง “Hoo..hoo.” (หัวเราะ) จากคุณ : PK (myriostigma) เขียนเมื่อ : 30 เม.ย. 53 12:28:28

ความคิดเห็นที่ 6 ไมเคิลพูดถึงที่มาของชื่อเล่น "Smelly" และการทำงานกับ Quincy Jones The dense is very important because, we had, eh, Quincy called me a nickname “Smelly,”. “Smelly” came from, well Spielberg called me that, because I say couple of some swear words now but especially then you can’t get me to swear. So, I said “That’s a smelly song” means that’s so great, you engross in, so he called me Smelly. Working with Quincy is just wonderful because he let you experiment and do your thing and he’s genius enough to stay out of the way, of the music and if there’s an element to be added, he’ll add it and he hears these little things, for instance “Billy Jean”, I’d written..I came with this piece of the basilic and the melody and the whole composition I brought, but then from listening he’ll add a nice rif. Quincy กับ Spielberg เรียกผมว่า “Smelly” คือชื่อนี้มันมาจากเมื่อก่อนที่ผมไม่ยอมพูดคำหยาบเลย แต่เดี๋ยวนี้ผมพูดบ้างแล้วนะ เมื่อก่อนเวลาผมคิดว่าเพลงไหนดีผมจะพูดว่า “That’s a smelly song,” หมายความว่า มันเยี่ยมมาก เป็นการชม พวกเขาก็เลยเรียกผมว่า “Smelly” การทำงานกับ Quincy เป็นอะไรที่เยี่ยมยอดมากเพราะว่าเขาปล่อยให้คุณได้ทำงานและใช้ประสบการณ์กับงานของคุณได้อย่างเต็มที่ เขาก็มีความเป็นอัจฉริยะพอที่จะไม่เข้ามายุ่ง แต่ถ้ามีอะไรที่ควรจะเสริมเข้ามามา เขาก็จะเสริมเข้ามา คือเขามักจะได้ยินเสียงเล็กๆน้อยๆ อย่างเพลง “Billy Jean” นี่ผมเป็นคนทำ เขียนมันขึ้นมา ใส่ทำนองทำดนตรี คือทั้งหมดเลยน่ะ แต่พอ Quincy มาฟัง เขาก็สามารถใส่เสริมอะไรที่มันเล็กๆน้อยๆ แต่ทำให้เพลงสมบูรณ์มากยิ่งขึ้นเข้าไปได้ จากคุณ : PK (myriostigma) เขียนเมื่อ : 30 เม.ย. 53 12:36:21

ความคิดเห็นที่ 7 ไมเคิลพูดถึงอิทธิพลในการแต่งเพลงและแรงบันดาลใจในการทำอัลบั้มที่ดีที่สุด Ever since I was a little kid I used to always study composition and it was Tchaikovsky that influenced me the most, I think .and of course Debussy whom I love very much. What I love is like if you take an album like “The Nutcracker Suite”, every song is a killer, every one. I said to myself, why can’t there be a pop album or an album that every coz people used to do albums where you’ll get one good song and the rest was like B side, they called it Album songs. And I would always say to myself, why can’t every one be like a hit song, why can’t every song be so great that people would wanna buy it or you could release it as a single, and every one could be a single. So I always tried to strife for that, that was my purpose for the next album that I do, that’s the whole idea, I want to be able to put any one that we want and I worked hard for it. ผมศึกษาเรื่องการประพันธ์ดนตรีมาตั้งแต่เด็กๆแล้วล่ะ ผมว่าผมได้รับอิทธิพลมาจาก Tchaikovsky มากที่สุด แล้วก็ยังมี Debussy อีกคนที่ผมรักมาก ที่ผมชอบก็คือว่า สมมติคุณหยิบอัลบั้มอย่าง “The Nutcracker Suite” ขึ้นมา ทุกเพลงในนั้นเป็นเพลงที่เยี่ยมยอดทั้งหมด ทุกเพลงเลยจริงๆ ผมก็เลยถามกับตัวเองว่า แล้วทำไมถึงไม่มีอัลบั้มเพลง Pop ที่เป็นแบบนั้นบ้างนะ เพราะเมื่อก่อน เวลาคนทำเพลงก็มักจะทำเพลงดีๆออกมาแค่อัลบั้มละเพลง ส่วนที่เหลือก็เรียกมันว่าเป็น album songs ซึ่งผมก็คิดมาตลอดว่าทำไมนะ จะให้ทุกเพลงจะเป็นเพลงฮิตไม่ได้หรอ ทำไมไม่ทำให้ทุกเพลงสามารถปล่อยออกมาเป็นซิงเกิ้ลแล้วคนอยากจะซื้อได้ ผมอยากทำให้มันเป็นแบบนั้น มันเลยกลายเป็นจุดมุ่งหมายของอัลบั้มถัดมาของผมซึ่งผมตั้งใจทำมันมาก แก้ไขเมื่อ 30 เม.ย. 53 12:43:37 จากคุณ : PK (myriostigma) เขียนเมื่อ : 30 เม.ย. 53 12:42:24

ความคิดเห็นที่ 8 ไมเคิลกับ MTV But it broke my heart at the same time, it lit something that’s just, oh my God, I was like saying to myself you know, I have to do something where they it refused to be ignored I mean and I came with “Thriller” and everytime I tried to outdo myself ”Billie Jean”, they say we won’t play it. So, Walter Yetnikoff who was the president of Sony at the time, he said OK we’re pulling Streisand, we’re pulling Chicago and when they played it, it set the all-time record, they were asking for everything  we had they said we’re pulling Streisand, we’re pulling Chicago, we’re pulling Neil Diamond, Walter Yetnikoff said. And after they played it, they were knocking our door, it opened the door for Prince and all the other black artists it was 24 hours of heavy metal, just a potpourri  of crazy images and they came to me so many times in the past and they said “Michael, if it wasn’t for you, there would be no MTV,” They told me that, over and over. แต่มันก็มีเรื่องที่ทำให้ผมต้องเสียใจเหมือนกัน ตอนนั้นผมคิดเลยนะว่าผมต้องสร้างผลงานที่จะไม่มีใครสามารถปฎิเสธได้ แล้วผมก็ทำ “Thriller” ออกมา แล้วหลังจากนั้นผมก็พยายามสร้างสรรค์ผลงานออกมาให้ดีกว่าที่ผมเคยทำเอาไว้ยิ่งขึ้นไปอีก .แต่อย่าง “Billie Jean” นี่ตอนแรกพวกเขาปฏิเสธนะ เขาจะไม่ยอมเปิด “Billie Jean”เลย ตอนนั้น Walter Yetnikoff ซึ่งเป็นประธานของ Sony อยู่ในขณะนั้นก็เลยบอกเลยว่า ไม่เปิดใช่ไม๊ ได้เลย งั้นเดี๋ยวเราเอา Streisand เอา Chicago เอา Neil Diamond ออกให้หมดเลย เราไม่ให้คุณเปิดศิลปินพวกนี้ด้วยเหมือนกันถ้าอย่างนั้น ในที่สุดพวกเขาก็ยอมเปิด “Billie Jean” แล้วมันก็กลายเป็นสุดยอดสถิติตลอดกาล หลังจากนั้นพวกเขาก็มาขอทุกอย่าง ทุกเพลงที่เรามีเลย นี่เป็นการเปิดประตูให้กับ Prince และศิลปินชาวผิวดำคนอื่นๆด้วยเช่นกัน เมื่อก่อนในทีวีก็จะมีแต่เพลงแนว Heavy Metal แล้วมิวสิควิดิโอก็จะเป็นการเอาภาพบ้าๆบอๆหลายๆภาพมารวมๆกันแค่นั้นเอง MTV เคยบอกผมหลายครั้งว่า “ถ้าไม่มีคุณนะ ไมเคิล วันนี้ก็คงไม่มี MTV เหมือนกัน” แก้ไขเมื่อ 30 เม.ย. 53 14:23:42 จากคุณ : PK (myriostigma) เขียนเมื่อ : 30 เม.ย. 53 12:48:18

ความคิดเห็นที่ 9 ไมเคิลเล่าถึงตอนที่ Barry Gordy ขอร้องให้เขาขึ้นแสดงงาน Motown 25 I was at the studio editing “Beat It” and in some kinda way I happened to be at Motown Studio, I had long left the company. I was there and Susie Ikeda, who’s a sweet lovely Japanese lady whom I adore this is the lady who used to when I was a little boy like little boy at Motown, her job was to keep my head on the microphone .I have a little apple box with my name on it “Michael Jackson” and this little Japanese lady job was to keep my head in it cuz I like to dance when I sing, so she kept my head in the microphone. She happened to be at the studio and she asked me what I was working on, I said I’m editing this things which is “Beat It”, she watched it and she said, she was catatonic and she said oh my God. In some kinda way she told Barry Gordy, something happen with it. So, they were happening to do, getting ready to do something with Motown Anniversary and Barry Gordy came over and he asked me did I wanna do the show and I told him no. I told him no. I said no because the Thriller thing that had, I was building and creating, something I was planning to do and he said to me well, it’s the anniversary. I said, this is what I said to him, I said “The only way I’ll do it if you’d let me do one song that is not a Motown song” He said what is it, and I said “Billy Jean,” He said OK, fine I said “you’ll let me do Billy Jean?” he said Yes, I said OK, fine. ตอนนั้นผมกำลัง edit เพลง “Beat It” อยู่ที่สตูดิโอ และด้วยเหตุผลอะไรซักอย่างเนี่ยแหละที่ทำให้ผมต้องไป edit งานที่สตูดิโอของ Motown ทั้งๆที่ตอนนั้นผมออกจาก Motown ไปตั้งนานแล้ว ตอนนั้น Susie Ikeda มาเจอผมเข้า Susie นี่เป็นชาวญี่ปุ่น ผมรักเธอมากสมัยผมเด็กๆ ตอนที่ผมยังเป็นศิลปินในสังกัดของ Motown คุณ Susie นี่มีหน้าที่คอยจับหัวผมให้อยู่ตรงกับไมโครโฟนเวลาอัดเพลง เพราะผมชอบเต้นไปด้วยเวลาร้องเพลง วันนั้น Susie ก็เข้ามาถามผมว่าทำอะไร ผมก็บอกไปว่าผมกำลัง edit เพลง “Beat It” อยู่ เธอก็เข้ามาฟังแล้วก็ตื่นเต้นใหญ่ แล้วไปอีท่าไหนยังไงก็ไม่ทราบ Susie ก็ไปบอก Barry Gordy ว่าผมกำลังทำอะไรอยู่ Barry ก็เลยเข้ามาหาผมแล้วก็ถามว่าผมอยากจะขึ้นแสดงโชว์ในงานของ Motown มั้ย ตอนนั้นผมก็บอกไปว่าไม่ Barry ก็บอกว่า แหม แต่นี่มันเป็นงานครบรอบของ Motown นะ ในที่สุดผมก็เลยบอก Barry ไปว่า ผมจะขึ้นแสดงก็ต่อเมื่อคุณยอมให้ผมเล่นเพลงหนึ่งที่ไม่ใช่เพลงของ Motown นะ เพราะผมรู้ไงว่านี่เป็นงานของ Motown ศิลปินที่ขึ้นแสดง ก็เป็นศิลปิน Motown เพลงที่ขึ้นโชว์ก็ต้องเป็นเพลง Motown ผมก็เลยบอก Barry ไปอย่างนั้น  แต่ Barry ถามว่าแล้วผมจะเล่นเพลงอะไรล่ะ ผมก็บอกไปว่าผมจะแสดง “Billie Jean” Barry ตอบตกลง ผมก็เลยถามย้ำไป (ไมเคิลถามงงๆ) “ยอมให้ผมเล่น “Billie Jean” จริงๆหรอ” Barry บอก “ใช่ไง” ผมก็เลย โอเค ได้เลย จากคุณ : PK (myriostigma) เขียนเมื่อ : 30 เม.ย. 53 12:54:21

ความคิดเห็นที่ 10 ไมเคิล และการแสดง Billie Jean ในงาน Motown 25 I remember we had like 2 or 3 days and I rehearsed and choreographed and dressed my brothers I choreographed them with the piece, picked the songs and medley. Not only that, you have the work out the camera angles and oh I directed and edited everything I do every shot you see is my shot I’m not joking, let me tell you why I have to do it that way I have 5, 6 cameras, 1, 2, 3, coz when you’re performing, I don’t care what kind of performance you give, if you don’t capture it properly the people will never see it and usually there..it’s the most selfish medium in the world, directing and cameras are so selfish because you’re filming what you want people to see, when you want them to see, how you want them to see, what juxtaposition you want them to see it and so you create the totality of the whole feeling of what being presented in your angles and your shots. So, I had to set the cameras, set the angles, edited it Susan Depass knows I edited every angles cause I know what I want to see, I know what I wanna go to the audience, I know what I wanna come back because I know the emotions that I felt when I performed it, I tried to recapture the same emotion and I cut and edited and direct, that’s the idea. ผมจำได้ว่าเรามีเวลาแค่ 2-3 วันเท่านั้นเองในการเตรียมตัว ผมเลือกเพลงที่จะเอามารวมอยู่ใน Medley ฝึกซ้อมและคิดท่าเต้นให้กับพวกพี่ๆ แล้วก็หาเสื้อผ้าให้พวกเขาด้วย เท่านั้นยังไม่พอนะ คุณต้องคอยดูเรื่องมุมกล้องด้วย ผมเป็นคนกำกับและตัดต่อทุกอย่างเองเลย ทุกๆที่ช๊อตที่คุณเห็น เป็นช๊อตของผมที่ผมเลือกมาทั้งนั้น อันนี้จริงๆนะไม่ได้พูดเล่น เดี๋ยวผมจะบอกให้ว่าทำไมต้องทำขนาดนั้น อย่างงานนี้ผมมีกล้องทั้งหมด 6 ตัว เพราะว่าทุกครั้งเวลาคุณขึ้นแสดง ผมไม่แคร์ว่าโชว์นั้นจะเป็นโชว์อะไร แต่ถ้าคุณไม่ได้จับภาพมันเอาไว้ให้ดี คนดูจะไม่มีวันได้เห็นการแสดงที่แท้จริงของคุณ การใช้กล้องในการจับภาพนี่เป็นการใช้สื่อในแบบที่เห็นแก่ตัวที่สุด รวมไปถึงการกำกับและการตัดต่อด้วย เพราะว่าในขณะที่คุณถ่ายเนี่ย คุณเลือกถ่ายแต่ในสิ่งที่คุณอยากให้คนเห็น ในช่วงเวลาที่คุณอยากให้คนเห็น สามารถจัดได้ด้วยว่าจะให้ภาพออกมาเป็นยังไง คือทั้งหมดทั้งปวงที่ออกสู่สาธารณชนเนี่ย มันคือมุมและช๊อตของคุณเองทั้งนั้น ผมเป็นคนจัดกล้องเอง วางมุมเอง ตัดต่อเอง Susan DePass รู้ว่าผมตัดต่อเองในทุกมุม เพราะผมรุ้ว่าผมอยากจะเห็นอะไร ผมรู้ว่าผมอยากให้คนดูเห็นอะไร ผมรู้ว่าผมอยากได้อะไรกลับมาจากคนดู เพราะว่าผมรู้นี่ว่าตอนที่ผมกำลังแสดงอยู่นั้นผมรู้สึกอย่างไร สิ่งที่ผมทำตอนที่ผมกำกับและตัดต่อก็คือผมพยายามจับภาพ อารมณ์และความรู้สึกในขณะที่ผมแสดงกลับมา แก้ไขเมื่อ 30 เม.ย. 53 14:00:52 จากคุณ : PK (myriostigma) เขียนเมื่อ : 30 เม.ย. 53 12:57:39

ความคิดเห็นที่ 11 จบค่ะ ^^ จากคุณ : PK (myriostigma) เขียนเมื่อ : 30 เม.ย. 53 12:58:10

ความคิดเห็นที่ 12 ขอบคุณมากๆๆค่ะ คุณ PK ^^ จากคุณ : ซาจา เขียนเมื่อ : 30 เม.ย. 53 13:11:27

ความคิดเห็นที่ 13 ไม่แปลกใจเลย ทำไม MJ จึงผลิตผลงานได้ดีเยี่ยม เพราะเค้าเคารพผลงานของเขา เคารพผู้คนที่จะได้ดู ได้ฟังงานของเขา อ่านแล้วประทับใจดีค่ะ เราฟังเพลงของเขาทีไร...มันมีความพิเศษที่ไม่มีใครเลียนแบบได้ ต่อให้ร้องเหมือน เต้นเหมือน แต่มันก็ยังคงไม่ใช่อยู่ดี นี่คือจิตวิญญาณที่เขาใส่ไว้ในผลงานของเขาอย่างน่าอัศจรรย์ ขอบคุณนะคะ..ขออนุญาตเอาไปไว้ในบล็อคด้วยนะคะ จากคุณ : Jeeup เขียนเมื่อ : 30 เม.ย. 53 13:18:29

ความคิดเห็นที่ 14 กรี้ดดดดดดดคุณพีเค เยี่ยมมากเลยค่ะ ทั้งการถอดคำพูดและการแปลที่จัดได้เป็นสัดส่วน ทำให้อ่านง่ายสบายตา แถมภาพและคลิปประกอบก็หาได้เหมาะเหม็งสวยงาม รีบกดเข้าคลังโดยทันใด... ขอบคุณคุณพีเคสำหรับกระทู้นี้มากเลยนะคะ . คุณภาพคับจอสมยี่ห้อพีเค~ จากคุณ : RockwithU เขียนเมื่อ : 30 เม.ย. 53 13:42:43

ความคิดเห็นที่ 15   ขอบคุณมากๆๆๆๆค่ะ สุดยอดไปเลย เฮียเราเนี่ย ^^ จากคุณ : jinnypk เขียนเมื่อ : 30 เม.ย. 53 16:26:34

ความคิดเห็นที่ 16   ขอบคุณคุณ PK มาก ๆ เลยค่ะ :) จากคุณ : P.S.T. (Pretty Small Thing) เขียนเมื่อ : 30 เม.ย. 53 18:02:57

ความคิดเห็นที่ 17 ขอกรี๊ดอีกที กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด อ่านแล้วเข้าใจง่ายจริงๆอย่างที่น้องร็อคบอกค่ะ อ่านไปเราก็นึกถึงหน้าไมเคิลให้สัมภาษณ์ไปยิ้มไป จินตนาการภาพตามได้ตลอดเลยค่ะ ผู้ชายคนนี้เก่งจริงๆ ไม่รู้จะหาคำไหนมาอธิบายได้ เค้ามีมากกว่าคำว่าตัวจริง ทำได้ทุกอย่างจริงๆ ใส่ความตั้งใจความจริงใจไว้ในงานของตัวเองตลอด ขอบคุณคุณPKมากๆค่ะ จากคุณ : mr.roof miss you MJ. (MR.ROOF) เขียนเมื่อ : 30 เม.ย. 53 19:56:08

ความคิดเห็นที่ 18 โอโห กดเก็บเข้าคลังก่อนอื่นเลย   ขอบคุณคุณ PK สำหรับ คลิปคำสัมภาษณ์และเนื้อหาด้วยนะค้า ทรงคุณค่า จริงๆ ต้องไปอ่านแล้วเก็บเลยทีเดียว^^ จากคุณ : NarzizuZ เขียนเมื่อ : 30 เม.ย. 53 20:16:14

ความคิดเห็นที่ 19 ขอบคุณมากเลยค่าคุณพีเค   ผลงานของไมเคิลไม่มีวันตายจริงๆเพราะเค้าใส่ทั้งจิตวิญญาณลงไป ทั้งหมดที่มี     ว่าแต่อยากเห็นซูซี่จังเลยค่ะ  คนที่คอยจับคอพี่ไมค์ตอนอัดเสียง  ไห้ร้องตรงกับไมค์ข้างหน้านั่น   จากคุณ : เราอุ้มนะ เขียนเมื่อ : 30 เม.ย. 53 21:26:37

ความคิดเห็นที่ 20 "ทำไมนะ จะให้ทุกเพลงจะเป็นเพลงฮิตไม่ได้หรอ" ชอบประโยคนี้จัง เพราะก็เคยคิดเหมือนกันว่ามีเพลงที่เป็นซิงเกิ้ล แล้วเพลงที่เหลือล่ะ...มันไม่เพราะเหรอ..น่าสงสารคนแต่งเพลงนะ.... ขอบคุณ คุณ PK มากนะคะ ปล. กดเข้าคลังเสร็จ..เพิ่งมาอ่าน คห. ทั้งหลาย ถึงจะรู้ว่า ท่านเปากะฮิปหู่กดไปแล้วววว แง๊ววว จากคุณ : Shogubutsu เขียนเมื่อ : วันแรงงาน 53 10:23:22

ความคิดเห็นที่ 21   สุดยอดค่ะ ขอบคุณทั้งคุณนก และคุณ PK นะคะ สงสัยมานานแล้ว smelly นี่มีที่มายังไง 555 ชอบข้อมูลดิบๆจากปากไมเคิลแบบนี้เหมือนกัน (ไม่ใช่แบบที่ถูกตัดต่อนะ ฮึ) จากคุณ : Better Off เขียนเมื่อ : วันแรงงาน 53 22:22:48

ความคิดเห็นที่ 22 ขอบคุณมากค่ะ ชอบภาพประกอบใน คคห 4 จังเลย จากคุณ : zeasky เขียนเมื่อ : 3 พ.ค. 53 11:37:10

ความคิดเห็นที่ 23   สงสัยเหมือนกันค่ะว่า Smelly มีที่มายังไงกัน 555 จากคุณ : LoveMJJ เขียนเมื่อ : 3 พ.ค. 53 14:13:50