ความคิดเห็นที่ 1   มาจะกล่าวบทไปถึงวงDeftonesวงนี้ ขอแนะนำวงก่อนนะ Chino Moreno---ร้องนำ Stephen Carpenter----กีต้าร์ Chi Cheng----เบส Frank Delgado----เทิร์นเทเบิ้ล,คียบอร์ด และ แซมเพลอร์ Abe Cunningham-----กลอง Sergio Vega-----มือเบสจากวงQuciksandมาแทนชิ เชง แก้ไขเมื่อ 03 มิ.ย. 53 08:03:28 จากคุณ : Dancing on the corpse's ashes เขียนเมื่อ : 2 มิ.ย. 53 13:58:54

ความคิดเห็นที่ 2   จุดเริ่มต้นของวงDeftones นั้นกำเนิดจากมิตรภาพอันแสนจะยาวนาน ณ เมืองซาคราเมนโต มลรัฐแคลิฟอร์เนีย เมื่อทั้งชิโน สตีเฟน และ เอบ เป็นเพื่อนกันตั้งแต่ตัวกระเปี้ยก พอเข้าม.ปลายก็ยังเจอกัน นั่งรถโรงเรียนคันเดียวกัน สตีเฟนและชิโนยังอยู่ละแวกเดียวกันอีก แถมยังชอบเล่นสเก็ตบอร์ดเหมือนกันทั้ง3คนเลยไปไหนมาไหนด้วยกันเป็นประจำ จุดเปลี่ยเกิดเมื่อปี1986 สตีเฟนวัยประมาณ15-16ปี ถูกคนเมาแล้วขับในขณะที่กำลังเล่นสเก็ตบอร์ดทำให้ต้องดามเหล็กไว้ที่ขา ในเมื่อต้องนั่งแหง็กอยู่บนรถเข็นหลายเดือน เลยเอาเวลาที่ไม่สามารถเล่นสเก็ตบอร์ดได้มาลองฝึกเล่นกีต้าร์โดยเล่นตามวงดังในยุค80 เช่น Anthrax, Stormtroopers of Death และ Metallica พอชิโนรู้เข้าจึงคิดซ้อมดนตรีกันเล่นๆ จนวงเริ่มมาเป็นรูปเป็นร่างกันในปี 1988ทั้ง3หนุ่มจะไปซ้อมดนตรีกันเป็นประจำที่โรงรถบริเวณบ้านของสตีเฟน ชิโนร้องนำ สตีเฟนเล่นกีต้าร์ และ เอบมือกลอง ในรูปสมัยยังหน้าใสปิ๊งๆ แก้ไขเมื่อ 02 มิ.ย. 53 16:09:53 จากคุณ : Dancing on the corpse's ashes เขียนเมื่อ : 2 มิ.ย. 53 14:37:12

ความคิดเห็นที่ 3   ที่มาของชื่อวงDeftones ซึ่งหลายคนสงสัยมานานแล้วว่ามันแปลว่าอย่างไรกัน สามารถแยกคำได้ดังนี้ คือ คำว่า Def นั้น สตีเฟนผู้ตั้งชื่อวงได้พูดถึงที่มาของชื่อว่า เขาต้องการชื่อวงที่เด่นๆในขณะเดียวกันก็ไม่อยากได้ชื่อที่ดูตลกหรือเห่ยๆ เนื่องจากตัวสตีเฟนเองมักจะฟังเพลงฮิพ ฮอพเป็นปกติ นอกเหนือจากเมทัล เช่น LL cool J และ Public Enemy เขาจึงนำคำว่า Def ซึ่งเป็นคำสแลงที่แปลว่า เยี่ยมสุดยอด เจ๋ง และคำว่า Tones ซึ่งเขาก็นำมาจากคำต่อท้ายชื่อวงดนตรียุค50 ที่เขาชอบฟัง อย่างเช่นวง The cleftones,The harptones จึงกลายมาเป็นชื่อวง Deftones สตีเฟนกล่าวถึงชื่อวงต่อไปอีกว่าเป็นความตั้งใจของทางวงเองที่ไม่อยากให้ชื่อของวงเน้นไปด้านแนวดนตรีแนวใดแนวหนึ่งมากจนเกินไป และแล้วก็มีDeftones หลังจากซ้อมดนตรีกันเป็นเรื่องราวจนตั้งวง ซึ่งเป็นช่วงที่เอบยังไม่ตกลงใจเป็นมือกลองให้กับDeftones ทางวงจึงรับJohn Taylor มาเป็นมือกลองโดยจอห์นเองเล่นให้กับวงได้ไม่กี่เดือนก่อนจะออกไปเล่นกับวงPrayer Wheel โชคยังช่วยที่เอบตกลงเป็นมือกลอง จึงชักชวนDominic Garcia มารับหน้าที่กระตุกเบส แล้วก็มีเรื่องยุ่งๆอีก เพราะเอบออกไปเล่นกลองให้กับวงPhallucy วงเมทัลในเมืองซาคราเมนโตเหมือนกัน จึงทำให้มือเบสที่เป็นเพื่อนกับเอบต้องย้ายตำแหน่งมาเล่นกลอง Deftonesจึงหามือเบสมาแทน จนกระทั่งปี1993 เอบจึงกลับมาตายรัง ทั้งๆที่ก่อนหน้าเขาและวงPhallucy อัดเสียงอัลบั้มแรกชุด "Valium"จนเสร็จเรียบร้อยแล้ว เอบบอกถึงสาเหตุที่เขาออกจากวง ด้วยอนาคตของPhallucyมันไม่สดใสนัก เขาจึงขอกลับมาอยู่Deftonesก่อนที่ทางวงPhallucyจะขายงานชุดนี้ไม่นานเท่าไร หลังจากเอบกลับมาโดมินิคจึงกลับไปเล่นเบสเหมือนเคย และขอลาออกจากวง ทำให้Deftonesเปลี่ยนมือเบสซ้ำแล้วซ้ำอีก ในที่สุดก็พบจิ๊กซอว์ชิ้นสุดท้ายที่ชิ เชง หนุ่มนักศึกษามหาวิทยาลัยCSUมารับตำแหน่งมือเบสถาวรของวงไป รูปบน DeftonesกับJohn Taylor และรูปล่างวงPhallucy จากคุณ : Dancing on the corpse's ashes เขียนเมื่อ : 2 มิ.ย. 53 15:51:42

ความคิดเห็นที่ 4 วงโปรดเลยฮะ...จัดไปครับ จากคุณ : โอ๋เอง (ebolaknot) เขียนเมื่อ : 2 มิ.ย. 53 15:51:57

ความคิดเห็นที่ 5 เข้ามาโหวตเข้าคลัง และให้ จากคุณ : Sic6siX เขียนเมื่อ : 2 มิ.ย. 53 16:07:41

ความคิดเห็นที่ 6   เมื่อได้สมาชิกถาวรทางวงมุ่งหน้าแต่งเพลง ทำเพลงกันอย่างจริงจัง และได้บันทึกเพลงเดโม4เพลง หลังจากนั้นก็ออกตระเวนเดินสายเล่นดนตรีตามงานต่างๆ ในคลับบ้างสลับกันไป เมื่อเริ่มมีชื่อทางวงจึงได้ออกแสดงที่เมืองSan FranciscoและLos Angeles เป็นช่วงที่ทางวงได้เล่นกับวงต้นตำรับนูเมทัลอย่างKorn ที่เริ่มสร้างชื่อในแคลิฟอร์เนียเช่นกัน ในที่สุดฟ้าได้ให้โอกาสกับวงน้องใหม่ได้แจ้งเกิดในวงการ ตอนที่Deftonesเล่นเป็นวงปิดในงานแห่งหนึ่งที่แอล เอ ซึ่งคนดูเริ่มทยอยกลับกันหมดแล้ว ตัวแทนจากสังกัด Marverick(เจ๊แม่ มาดอนน่าเคยเป็นเจ้าของ) ประทับใจกับการเล่นดนตรีในวันนั้น จึงนัดให้ทางวงไปเล่นต่อหน้าFreddy DeMann และ Guy Oseary 2คนนี้เป็นผู้บริหารค่ายMarverick วงได้เล่น3เพลงด้วยกัน และในที่สุดทางวงก็ได้เซ็นสัญญาอย่างเป็นทางการกับค่ายดังกล่าว แก้ไขเมื่อ 02 มิ.ย. 53 16:25:42 จากคุณ : Dancing on the corpse's ashes เขียนเมื่อ : 2 มิ.ย. 53 16:08:49

ความคิดเห็นที่ 7   หลังจากเซ็นสัญญา Deftonesใช้สตูดิโอBad Animalsในการบันทึกเสียง กับโปรดิวเซอร์มือฉมังอย่างTerry Date(เคยทำงานกับsoundgarden,pantera,limb bizkit) ในที่สุดอัลบั้มแรกของทางวงออกวางจำหน่ายวันที่ 3 ตุลาคม ปี1995 ในชื่อว่า "Adrenaline" ใช่ว่าออกมาอัลบั้มแรกจะดังเปรี้ยงเลย Deftonesอาศัยการโปรโมตวงจากการบอกเล่าของคนฟังจนในที่สุดก็เริ่มมีแฟนเพลงมากขึ้น  ถึงแม้2ซิงเกิ้ล จากอัลบั้มนี้ คือเพลง 7wordsและ Bored ทั้งตัวเพลงและเอ็มวีไม่มีการออกฉายตามช่องเอ็มทีวีหรือตามวิทยุเลย ทางวงก็ยังได้แฟนเพลงคอยสนับสนุนจนสามารถติดอันดับสูงสุดในบิลบอร์ดชาร์ตอันดับ23 และอยู่ในชาร์ตอีก21สัปดาห์ นับว่าเป็นความสำเร็จอย่างสูงสำเร็จอัลบั้มเปิดตัวจากวงหน้าใหม่เช่นนี้ เอบบอกถึงความสำเร็จในอัลบั้มนี้และการทำอัลบั้มแรกนี้ ที่ช่วงนั้นพวกเขายังเด็ก ไม่รู้สึกเครียดอะไรมากนัก เพราะ ความใหม่ สด เสมอ ช่วยให้อัลบั้มนี้ออกมาอย่างรวดเร็ว ถึงแม้มันจะไม่ได้ดีมาก แต่เพราะความช่วยเหลือของแฟนๆทำให้อัลบั้มนี้ไปได้สวย มาเดากันดีกว่าว่าอัลบั้มแรกหน้าปกเป็นรูปอะไร จากคุณ : Dancing on the corpse's ashes เขียนเมื่อ : 2 มิ.ย. 53 16:54:31

ความคิดเห็นที่ 8   นอกจากนี้ทางวงยังทำเพลงTeethingในหนังเรื่อง The Crow:City of Angels ด้วย ได้เล่นหนังตั้งแต่อัลบั้มแรกกันเลยทีเดียว จากคุณ : Dancing on the corpse's ashes เขียนเมื่อ : 2 มิ.ย. 53 16:56:25

ความคิดเห็นที่ 9   Around the Fur... หลังจากเดินหน้าตะลุยทัวร์อย่างหนักในอัลบั้มแรกเป็นเวลาเกือบๆสองปี ทางวงจึงตัดสินใจเข้าสตูดิโอทำเพลงอัลบั้มที่สองกันอีกครั้งที่สตูดิโอ Litho และยังใช้บริการจากTerry Date อัลบั้มที่สองออกวางจำหน่ายในปี 26 ตุลาคม ปี1997 กับหน้าปกผู้หญิงในชุดบิกินี่ ในAround the fur ฝีมือของทางวงเริ่มจัดจ้านมากขึ้น ถึงแม้ว่าชิโนบอกว่าตอนทำอัลบั้มอันดับสองของDeftones ในตอนนั้นพวกเขาจะยังไม่มีแนวทางว่ามันควรออกมาแบบไหน แต่เมื่อทำไปเรื่อยๆก็เริ่มรู้สึกเข้าที่เข้าทาง มีการทดลองใช้เทคนิคต่างๆมากมาย และยังรวมถึงการเข้ามาช่วยงานของว่าที่สมาชิกใหม่ Frank Delgado ที่มีส่วนทำaudio effectถึง 5 เพลงในอัลบั้ม แต่เพราะในช่วงยุคนั้นวงฮาร์ดร็อคหรือเมทัลไม่มีวงใดมีดีเจอยู่ในวง แฟรงค์จึงเป็นว่าที่สมาชิกของวงไปก่อน ด้วยความสำเร็จที่เกินความคาดหมายของAdrenaline อัลบั้มAround the furจึงไม่แคล้วถูกคาดหมายว่าจะเป็นอัลบั้มที่จะทำให้Deftones เป็นวงดังตามติดวงKorn และถ้าดังแล้วทั้งวิทยุและเอ็มทีวีต้องหันมาเปิดเพลง,เอ็มวีของวงแน่ แล้วก็เป็นไปตามที่คาดหมายเมื่อAround the fur คว้าอันดับ1ในBillboard Heatseekersมาได้ แล้วในBillboard200 ขึ้นไปสูงสุดถึงอันดับ29 ซึ่งส่งผลให้สถานีวิทยุต่างๆ เอ็มทีวี เปิดเพลงของวง และยังทำให้วงได้ออกทัวร์เทศกาลคอนเสิร์ต เช่น Warped Tour,Pinkpop Festival,Rosklide Festival และไปแจ่มจรัสบนเวทีหลักของOzzfestในปี1999อีกด้วย เพลงพิเศษในอัลบั้มนี้ คือเพลง "Headup" ที่Max Cavaleraอดีตนักร้องนำวงSepulturaและชิโนแต่งเพลงร่วมกัน เพื่อระลึกถึงDana Wells ลูกของGloria Bujnowskiอดีตผู้จัดการวงSepulturaและภรรยาของแม็กซ์ สาเหตุที่ทำให้มีเพลงนี้ Dana Wells หรือ D-Low ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์เสียชีวิตที่เมือง Phoenix มลรัฐArizona โดยD-Low เป็นลูกเลี้ยงและเพื่อนสนิทของเฮียแม็กซ์ เนื่องจากอายุไม่ต่างกันมาก และเป็นเพื่อนสนิทของชิโนด้วย ปัจจุบันรู้สึกว่ากลอเรียยังเชื่อว่าอุบัติเหตุที่คร่าชีวิตD-Lowไปนั้น ไม่ใช่อุบัติเหตุและคดียังอยู่ในศาล ที่สวนรูตู๊สสส----------------ยังไม่ใช่อะ ที่ดูดน้ำมูก-------------------ถูกต้องงงงงง ตอนแรกดูเป็นหอยกัน แก้ไขเมื่อ 02 มิ.ย. 53 20:33:36 แก้ไขเมื่อ 02 มิ.ย. 53 19:16:12 จากคุณ : Dancing on the corpse's ashes เขียนเมื่อ : 2 มิ.ย. 53 17:09:41

ความคิดเห็นที่ 10 ปกแรกมันคือที่สวนรูตู๊สสสป่าวคับ จากคุณ : โอ๋เอง (ebolaknot) เขียนเมื่อ : 2 มิ.ย. 53 17:13:05

ความคิดเห็นที่ 11 ที่ดูดน้ำมูกป่าวฮะ จากคุณ : emmure เขียนเมื่อ : 2 มิ.ย. 53 19:30:50

ความคิดเห็นที่ 12   ส่วนMXเป็นเพลงที่ แฟรงค์ได้แสดงฝีมือมากที่สุด ภายหลังจากการเสียชีวิตของดาน่า และ การออกจากวงSepultura เฮียแม็กซ์มาตั้งวงSoulfly ซึ่งหมายถึงการที่ดวงวิญญาณของดาน่าที่โบยบินไป ตอนนั้นเฮียแม็กซ์ได้ชื่อวงตอนทำเพลงHeadupพอดิบพอดี พอหลังจากทำเพลงเสร็จจึงประกาศเลยว่าเขามีวงใหม่แล้ว วงSoulfly แก้ไขเมื่อ 03 มิ.ย. 53 08:04:49 จากคุณ : Dancing on the corpse's ashes เขียนเมื่อ : 2 มิ.ย. 53 20:42:03

ความคิดเห็นที่ 13   วง Muse บางครั้งก็นำท่อนริฟท์อินโทรของเพลงHeadupมาใช้เป็นoutro ของเพลงNew Born เวลาแสดงสดด้วย จากคุณ : Dancing on the corpse's ashes เขียนเมื่อ : 2 มิ.ย. 53 21:05:07

ความคิดเห็นที่ 14 โอยยยยยยยยยยยยยยยยยยย สุดยอดอยากรู็ปประวัติเจอะลึกวงโคตรโปรดวงนี้มานาน มาเก็บบบบบบบบบบสาระเต็มๆ 55 ปล.ในรุปใน คห.1 ที่ชี้ว่า Vega นั้น Frank Delgado ไม่ใช่หรอคับ ? จากคุณ : liljoenewyork เขียนเมื่อ : 3 มิ.ย. 53 00:55:52

ความคิดเห็นที่ 15 มาช่วยกดเข้าคลังครับ ว่าแต่รูปคห.ที่ 1 อย่างที่คุณ liljoenewyork ว่า ลูกศรนั่น Frank นะครับ Sergio คนข้างล่างนี่ครับ มีโอกาสได้ดู Deftones ก่อนที่ Chi จะเกิดอุบัติเหตุ ถือว่าโชคดีจริงๆ เป็นคอนเสิร์ตที่มันที่สุดที่เคยดูมาครั้งนึงเลย แก้ไขเมื่อ 04 มิ.ย. 53 14:12:53 จากคุณ : knotyman เขียนเมื่อ : 3 มิ.ย. 53 05:17:17

ความคิดเห็นที่ 16   โอ๊ะขอบคุณมากมีคนช่วงทักท้วง ตอนแรกหารูปตั้งนานลืมไปในFBของวงก็มีรูปหมู่ Sergio Vega คนที่อยู่ถัดจากสตีเฟนด้านซ้าย จากคุณ : Dancing on the corpse's ashes เขียนเมื่อ : 3 มิ.ย. 53 08:09:50

ความคิดเห็นที่ 17   โอ้วรักวงนี้โคตรรรรรร   เป็นวงที่มีความเป็นตัวของตัวเองสูงมาก ฟังแล้วน่าจดจำทุกอัลบั้มเลย โหวตโลด จากคุณ : runangel (runangel) เขียนเมื่อ : 3 มิ.ย. 53 10:40:45

ความคิดเห็นที่ 18 ชอบเหมือนกันครับ ทุกวันนี้ยังฟังอัลบั้มเก่าๆอยู่ประจำเลย คิดถึง Chi Cheng http://oneloveforchi.com จากคุณ : กุ๊กคุง เขียนเมื่อ : 3 มิ.ย. 53 11:35:17

ความคิดเห็นที่ 19 จบแค่นี้แล้วเหรอครับ มีต่ออีกป่าวอ่ะ เอาคลิปนี้มาลงดีกว่า รวมดาวชาวสยาม เพลงประกอบหนัง Little Nicky ได้นาย อดัมแซนเลอร์ กะ Incubus มาแจม Deftones – "Be Quiet and Drive (Far Away) (Acoustic) จากคุณ : love mika เขียนเมื่อ : 3 มิ.ย. 53 12:14:33

ความคิดเห็นที่ 20   ยังมีต่อแต่แว๊บทำงานอยู่ อัลบั้มAround the fur ประสบความสำเร็จอย่างถล่มทลาย แน่นอนว่าชุดที่3ของทางวงย่อมมีออกมาแน่ๆ และในที่สุดWhite Ponyวางจำหน่ายเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน ปี 2000 คราวนี้ใช้สตูดิโอถึง2ที่ คือ The Plant Studios และ Larrabee Sound Studios และยังอยู่ดีกับโปรดิวเซอร์คนเดิม Terry Date สำหรับชุดที่3ของวงDeftonesนี้ ได้รับเสียงตอบรับอย่างดีทั้งจากแฟนเพลงและนักวิจารณ์ เพราะวงไม่เลือกที่จะทำเพลงแบบเดิมๆ เพื่อให้แน่ใจว่าจะประสบความสำเร็จอย่างอัลบั้มAround the fur ซาว์ดที่ฟังดูล่องลอย หลอนๆ เมื่อหลุดเข้าไปยังอีกฝากหนึ่งของความเป็นจริง ทำให้เห็นได้ชัดว่าอิทธิพลหลักๆของทางวง ไม่พ้นแนวนิวเวฟ และวงต่างๆที่ดังในยุค80 ไม่ว่าจะเป็นThe Cure, The smiths หรือ Depeche Mode รวมถึงการเข้ามาเป็นสมาชิกวงอย่างเป็นทางการของ แฟรงค์ เดลกาโด (Dj Speedboat) ถือเป็นการเข้าเติมเต็มให้กับวงรวมถึงยังทำให้ซาวด์ของDeftonesเป็นเอกลักษณ์ยากที่วงใดจะเลียนแบบ ชิโนและชิ พูดถึงช่วงการทำอัลบั้มWhite Pony  ที่เต็มไปด้วยแรงกดดันจากต้นสังกัด และยอดขายที่อัลบั้มAround the furทำไว้สูง และเมื่อถึงตอนแต่งเพลง Change (in the house of files) ทางต้นสังกัดบีบให้วงรีบๆออกอัลบั้มชุดที่3ออกมา แต่สมาชิกทุกคนในวงกลับใช้เวลาทำงานในพิถีพิถันมากขึ้นกว่า2ชุดแรก เนื้อหาส่วนใหญ่ในเพลงไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องส่วนตัว อีกทั้งทางวงตัดสินใจทำอัลบั้มกันตามที่พวกเขาอยากให้เป็น เนื้อหาในอัลบั้มWhite Pony ส่วนใหญ่จึงเขียนออกมาจากจินตนาการ และ โลกที่ชิและชิโนสร้างขึ้นมา จากการที่ทุกคนในวงกล้าที่ทำงานมากขึ้น จึงทำให้White Ponyก้าวทะยานอย่างเต็มภาคภูมิไปอยู่ที่อันดับ3 ของบิลบอร์ดชาร์ต และในปี 2001 ยังได้รางวัล แกรมมี่ ในสาขา Best Metal Performance จากเพลงElite เฉือนชนะคู่แข่งอย่าง Iron Maiden,Pantera,Marilyn Manson และรวมถึงวงเมทัลหน้าใหม่ไฟแรงอย่างSlipknotไปด้วย แขกพิเศษในอัลบั้มนี้มีนักร้องนำวง Tool -Maynard James Keenan มาช่วยร้องในเพลง Passenger ที่มีกลิ่นอายของวงToolออกมาเต็มๆ ส่วนเพลงRx Queenก็ยังได้Scott Weiland นักร้องนำวงStone Temple Pilotsมาช่วยร้องด้วย เพลงChange (in the house of flies) เป็นsoundtrackของหนังเรื่องQueen of the Damned ด้วย น่าเสียดายตรงที่หนังเรื่องนี้เป็นหนังเรื่องสุดท้ายของนักร้องสาวเสียงดี Aaliyah ที่เสียชีวิตจากเหตุเครื่องบินตกที่บาฮามัสหลังจากกลับจากการถ่ายเอ็มวี Rock the boat จากคุณ : Dancing on the corpse's ashes เขียนเมื่อ : 3 มิ.ย. 53 12:55:47

ความคิดเห็นที่ 21   ใครที่ซื้อซีดีหรือเทปชุด White Pony เทปจะปกสีแดง ซีดีปกติจะปกสีเทา ใครซื้อเทปไว้ลองถ่ายรูปมาลงก็ได้ เทปอยู่ในกล่องเก็บของต้องปีนป่ายไปหยิบ= = อันนี้ซีดีปกติ แก้ไขเมื่อ 03 มิ.ย. 53 13:09:29 จากคุณ : Dancing on the corpse's ashes เขียนเมื่อ : 3 มิ.ย. 53 13:03:33

ความคิดเห็นที่ 22   ส่วนLimited จะมีเพลงแทร็ค12 แถมให้คือเพลง The Boy's republic ซีดีพิเศษหน้าปกมีสองสี เทปนั้นเป็นแบบปกติสีแดงสด จากคุณ : Dancing on the corpse's ashes เขียนเมื่อ : 3 มิ.ย. 53 13:08:06

ความคิดเห็นที่ 23   ปัญหาเริ่มเข้ามาเยือนทางวงเมื่อค่ายเพลงเห็นว่าอัลบั้มปกติของWhite Ponyมีแค่ Change (in the house of flies)และ Digital Bathที่ตัดออกมาเป็นซิ้งเกิ้ลได้ ทางค่ายMaverickจึงต้องการre-release ออกชุดWhite Ponyมาอีกครั้งเพื่อกระตุ้นยอดขาย ซึ่งในแบบre-release จะมี12เพลงเช่นกันโดยเพลงนี้อยู่ในแทร็คที่1 และตัดเป็นซิ้งเกิ้ลที่2 โดยก่อนหน้านี้เคยหลุดออกมาทางอินเตอร์เน็ตในได้ฟังกันก่อนWhite Ponyจะวางขาย ทว่าทางวงตัดสินใจแปลงพลงนี้ให้เป็น เพลง" Pink Maggit" จนเมื่อทางค่ายได้ฟังอัลบั้มที่เสร็จสมบูรณ์ กลับบอกว่าเพลงPink Maggit นั้นเบาไป ของให้นำเพลงเวอร์ชั่นแรกมาอยู่ในอัลบั้มre-releaseด้วย น่าจะเดาออกว่าเพลงนี้ ชื่ออะไร เพราะมีท่อนแร็พไม่เหมือนเพลงใดในอัลบั้ม ซึ่งชิโนบอกว่า เป็นเพลงที่ทไเป็นซิ้งเกิ้ลเอาไว้ขายโดยเฉพาะ ปกสีขาวม้าตัวเดียววิ่ง จากคุณ : Dancing on the corpse's ashes เขียนเมื่อ : 3 มิ.ย. 53 13:19:42

ความคิดเห็นที่ 24 Back to School จากคุณ : Ex (Doomzdae) เขียนเมื่อ : 3 มิ.ย. 53 13:51:20

ความคิดเห็นที่ 25   เพลงนี้ก็คือ Back to School (mini maggit) โดยสาเหตุที่เพลงนี้เป็นเพลงที่ทางวงไม่ชอบเอาเสียเลย เนื่องจาก เป็นเพลงที่ชิโนรู้ว่าถูกค่ายกดดันให้เอากลับมาทำเป็นซิงเกิ้ลทั้งที่ก่อนหน้านี้ทุกคนในวงไม่ใส่เพลงนี้ไปในซีดีเวอร์ชั่นปกติ และที่เพลงนี้ได้ตัดเป็นEPและกลายเป็นซิงเกิ้ลที่2 นั้นมาชิโนบอกว่ามาจากความโง่เง่าที่จะเอาชนะต้นสังกัดของเขาเอง ชิโนต้องการพิสูจน์ให้ต้นสังกดที่บีบให้หาเพลงมาทำเป็นซิงเกิ้ล เขาเลยเอาเพลงBack to Schoolมาขัดเกลาใหม่อีกครั้งและทำให้สั้นลง ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็เสร็จไปให้Maverick เพื่อจะทำให้ค่ายเห็นว่าวงก็ทำเพลงหนักๆ ฮิตติดหูได้ มีอดีตสมาชิกวงMurderdollsมาเล่นด้วย Eric Griffin ผ่านแว๊บๆ จากคุณ : Dancing on the corpse's ashes เขียนเมื่อ : 3 มิ.ย. 53 13:52:16

ความคิดเห็นที่ 26   ส่วนท่อน  "I'll be the man, watch your backpack, pen and pencil."นั้นชิโนนำมาจากเพลง "I don't play"ของ Kool Keith อัลบั้ม Black Elvis/Lost in space แก้ไขเมื่อ 04 มิ.ย. 53 09:20:07 แก้ไขเมื่อ 03 มิ.ย. 53 13:58:23 จากคุณ : Dancing on the corpse's ashes เขียนเมื่อ : 3 มิ.ย. 53 13:56:37

ความคิดเห็นที่ 27 ในบรรดาอัลบั้มทั้งหลาย ผมปลื้ม White Pony มากที่สุด โดยเฉพาะเพลง Knife Party ชอบมาก จากคุณ : Sic6siX เขียนเมื่อ : 3 มิ.ย. 53 14:07:32

ความคิดเห็นที่ 28 ว่างๆเลยเอา Deftones collection มาให้ดูครับ จากคุณ : knotyman เขียนเมื่อ : 3 มิ.ย. 53 14:47:20

ความคิดเห็นที่ 29 ชุดล่าสุดสั่ง import เหรอครับ ผมรอแผ่นไทยอยู่ จากคุณ : Jose Pasillas ll เขียนเมื่อ : 3 มิ.ย. 53 16:05:12

ความคิดเห็นที่ 30 ไปนานจัง จากคุณ : Jose Pasillas ll เขียนเมื่อ : 4 มิ.ย. 53 01:59:58

ความคิดเห็นที่ 31 วงหน้าจัด p.o.d. มาเลย :) สมัยก่อน เมมสตรีมมาก อีกวง จากคุณ : liljoenewyork เขียนเมื่อ : 4 มิ.ย. 53 02:19:39

ความคิดเห็นที่ 32   โดนไข้รับประทาน รถกลับบ้านก็รอน๊านนาน คนอ่านโปรดรักษาสุขภาพกันด้วย ------------------------------------------------------------------------------------- พอเสร็จจากการทัวร์สนับสนุนอัลบั้มม้าขาวแล้วทางวงมุ่งหน้าเข้าสตูดิโอที่บ้านเกิดเมืองซาคราเมนโตทันที โดยไม่ลืมที่จะหนีบโปรดิวเซอร์คู่บุญอย่างTerry Dateมาทำงานคู่กันเป็นชุดที่4 นอกจากจะอัดเสียงที่เมืองซาคราเมนโตแล้ว Deftones ยังอัดเสียงเพิ่มเติมอีก 2 สตูดิโอที่ Studio X และที่ Larrabee Studios ในช่วงแรกDeftones ใช้ชื่ออัลบั้มชุดใหม่ว่า "Lovers" ชิ เชง มือเบสร่างยักษ์บอกว่าอัลบั้มนี้เป็นอีกหนึ่งบทที่จะพิสูจน์ว่าวงเราทำเพลงตามที่อยากทำ แล้วเราก็เลือกทำดนตรีที่หนักขึ้น ต่อมาชิโน ได้เปลี่ยนใจมาใช้ชื่อว่าที่อัลบั้มลำดับที่4 ว่า "Deftones" เพราะชื่อ "Lovers"นั้นบ่งบอกถึงเนื้อหาของอัลบั้มอย่างชัดเจนเกิน "Deftones"วางขายเมื่อวันที่20 พฤษภาคม ปี 2003 อัลบั้มนี้ยังได้รับคำวิจารณ์ในแง่บวกและขึ้นถึงอันดับ2 ในบิลบอร์ดชาร์ต นักวิจารณ์หลายคนชื่อชมว่าDeftonesเป็นวงกล้าที่จะคิด กล้าที่จะทำให้สิ่งใหม่ๆ ในขณะที่วงชื่อดังยุคเดียวกลับย้ำอยู่กับที่ แต่ก็มีนักวิจารณ์บางคนติว่าอัลบั้มนี้ด้อยกว่าAround the furและWhite pony แต่ก็ยังเหนือชั้นกว่าวงอื่นๆอยู่มาก ชิโนยังออกมาพูดถึงแนวนู เมทัลว่า "ทุกสิ่งทุกอย่างมันพิสูจน์ได้จากงานเพลงของพวกเรา พวกผมเคยบอกแล้วว่าอย่าเอาพวกเราไปเหมารวมว่าเป็นวงนู เมทัล เพราะในขนาดที่หลายๆวงต่างพากันล้มหายตายจากไป พวกเราก็ยังอยู่กันดี" แก้ไขเมื่อ 04 มิ.ย. 53 08:47:55 จากคุณ : Dancing on the corpse's ashes เขียนเมื่อ : 4 มิ.ย. 53 08:47:28

ความคิดเห็นที่ 33   ในชุดDeftones งานมีความปราณีตมากขึ้นเนื่องจากทางวงใช้เวลาในการทำถึง1ปี โดยค่าใช้จ่ายในการทำอัลบั้มนี้สูงถึง 2.5 ล้านเหรียญดอลล่าี์ร์สหรัฐ เพราะทางวงถูกค่ายMaverickปรับ เนื่องจากวางขายงานไม่ทันตามกำหนดเวลาที่ได้ตกลงไว้ล่วงหน้า อารมณ์ของอัลบั้มนี้จะใช้คีย์บอร์ด และซินธิไซเซอร์ จากฝีมือของแฟรงค์ เดลกาโดมามีส่วนให้เพลงต่างๆมีซาวด์หลอนๆ ล่องลอยผสมผสานกับความหนักหน่วงของท่วงทำนอง ส่วนเพลง "Hexagram" "When Girls Telephone Boys และ Bloody Cape เป็นเพลงที่หนักมากขึ้นกว่าอัลบั้มก่อน แต่ยังมีเพลง "Lucky You"ที่ได้อิทธิพลอย่างชัดเจนจากแนวDark trip-hop ซึ่งได้DJ Crook จากวงไซด์ โปรเจคของชิโน "Team Sleep"มาช่วยทำเพลง อัลบั้มนี้มีเอ็มวี3ตัว คือ "Hexagram", "Minerva" และ "Bloody Cape" แต่เพลงหลังสุดไม่ได้ออกฉายทางทีวี แต่สามารถหาดูได้ "B-Sides & Rarities " ที่วางขายในปี 2005 เป็นอัลบั้มรวบรวมงานในหน้า B เพลงคัฟเวอร์ที่วงเคยเล่นไว้ รวมถึงมีดีวีดีให้ดูด้วย ชอบหน้าปกอัลบั้มนี้แฮะ จากคุณ : Dancing on the corpse's ashes เขียนเมื่อ : 4 มิ.ย. 53 09:07:27

ความคิดเห็นที่ 34   B-Sides & Rarities จากคุณ : Dancing on the corpse's ashes เขียนเมื่อ : 4 มิ.ย. 53 09:07:48

ความคิดเห็นที่ 35   สำหรับคนที่ไม่มีอัลบั้มดังกล่าว ต้องขอบคุณที่มียูทูปจึงมีเอ็มวีได้ดูกัน จากคุณ : Dancing on the corpse's ashes เขียนเมื่อ : 4 มิ.ย. 53 09:09:31

ความคิดเห็นที่ 36   อันนี้หนังสั้นจากซีดีซิงเกิ้ล Back To School (Mini Maggit) จากคุณ : Dancing on the corpse's ashes เขียนเมื่อ : 4 มิ.ย. 53 09:18:59

ความคิดเห็นที่ 37 ขอให้หายไข้เร็วๆนะครับ อันนี้ตั๋วคอนเสิร์ต จากคุณ : knotyman เขียนเมื่อ : 4 มิ.ย. 53 14:14:03

ความคิดเห็นที่ 38 หวังว่าสักวันจะได้ดู วงนี้มาเมืองไทย จากคุณ : manoman เขียนเมื่อ : 4 มิ.ย. 53 14:20:11

ความคิดเห็นที่ 39 มีวงเครื่องสายเอาเดฟโทนไปคัฟเวอร์หลายเพลง ฟังแล้วก็ได้อีกอารมณ์ จากคุณ : manoman เขียนเมื่อ : 4 มิ.ย. 53 14:35:57

ความคิดเห็นที่ 40   เดินทางมาถึงอัลบั้มลำดับที่5 ของDeftonesกันแล้ว แน่นอนความสำเร็จของDeftonesไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบเสมอไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทำงานกันมายาวนานถึง4อัลบั้ม Saturday Night Wrist นับเป็นอัลบั้มที่มีปัญหาเยอะมากไม่ว่าจะปัญหาส่วนตัวของชิโน หรือปัญหากับโปรดิวเซอร์ Bob Ezrin โปรดิวเซอร์ที่เคยทำงานให้กับวงรุ่นเดอะ ไม่ว่าจะเป็นAlice Cooper Kissและ Pink Floyd เรื่องราววุ่นๆเริ่มเมื่อปี 2004 เมื่อทางMaverickไม่พอใจกับยอดขายของอัลบั้มDeftones จึงเร่งให้ทางวงรีบเข้าสตูดิโอทำเพลง ในตอนแรกทางวงใช้สตูดิโอThe Spot ทำงานก่อนจะย้ายนิวาสถานมาที่Morning View Studios ชื่อคงคุ้นหูหลายๆคนเนื่องจากสตูดิโอนี้เป็นที่ๆวงIncubus มาใช้บันทึกอัลบั้มMorning Viewไง หลังจากมีรายชื่อโปรดิวเซอร์อยู่ในรายชื่อมากมาย ทางวงจึงตัดสินใจเลือกBob Ezrin เนื่องจากอยากได้ซาว์ดใหม่ๆ ระหว่างทำเพลงในสตูดิโอ Morning Viewเสร็จ มีการออกทัวร์เพื่อถือเป็นการคลายเครียดก่อนจะมุ่งหน้าไปทำงานงานกับBob Erzin ทว่าผลไม่เป็นไปตามที่วงคาดคิดเมื่อชิโน มอรีโนไม่ถูกใจกับบ็อบขึ้นมา ทำให้ชิโนหันไปทำงานเพลงกับวงTeam Sleep ปล่อยให้เพื่อนๆที่เหลือในวงทำงานกันต่อไป และงานนี้เสร็จก่อนคริสมาสปี 2004 ชิโนให้สัมภาษณ์ถึงบ็อบไว้ว่า "มีหลายช่วงเวลาที่ผมกับเขาเข้ากันได้ดี ผมเรียนรู้อะไรมากมายจากเขา แต่ก็มีอีกหลายช่วงเวลาที่บ็อบมีโลกส่วนตัวของเขา เขามักจะคิดเองว่าอะไรคือสิ่งที่ดีที่สุด แต่จริงๆแล้วเขาไม่รู้หรอกว่าอะไรคือสิ่งที่ดีที่สุดกันแน่" "ผมเคยทำงานกับโปรดิวเซอร์มา2-3คน ก่อนหน้านี้ทางวงก็ทำงานกับTerry Dateมาก่อน ที่เลือกทำงานกับบ็อบ เพราะอยากได้ความแตกต่าง แต่ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าความแตกต่างบางครั้งก็ไม่ได้ดีเสมอไป" ฝากบ็อบ แอซรินโต้กลับว่า "ที่ชิโนออกมาพูดแบบนี้มันไม่ใช่ครั้งแรก ก่อนหน้านี้ตอนงานแถลงข่าววงTeam Sleep มีคนถามเขาว่าทำงานของDeftonesเสร็จแล้วยัง เขาตอบว่ายัง สาเหตุที่เขาบอกว่ายังทำไม่เสร็จ คือ ทุกคนในวงเบื่อที่จะถ่อไปถึงคอนเนตทิคัต(ที่ๆสตูดิโอของบ็อบตั้งอยู่)  ที่นั้นมันน่าเบื่อมาก กลับไปทำที่ซาคราเมนโตยังดีกว่า" "ตอนนั้นผมได้ฟังก็โกรธสิ เพราะความจริงทุกคนในวง ยกเว้น ชิโน ก็อยู่ที่นี้กันอย่างสบายอกสบายใจด้วยซ้ำ  งานก็ทำเสร็จ ในขณะที่ชิโนคนเดียวกลับไม่เตรียมตัวมา มาสาย ไม่มาตามนัก หรือไม่โผล่หน้ามาเลย เขาอาจไม่ชอบที่นี่ก็ได้นะ แต่มันไม่ใช่ความผิดของสถานที่ ความผิดก็คือตัวของชิโนที่ไม่เตรียมตัวมาเอง" "สมาชิกคนอื่นๆในวงก็รอคอยให้อัลบั้มนี้เสร็จไวๆ เพื่อจะได้ออกทัวร์ไปใช้ชีวิตกันตามปกติ ผมคิดว่าเพื่อนๆของชิโนคงไม่ชอบที่เห็นชิโนออกทัวร์กับTeam Sleepทั้งๆที่ควรจะทำงานกับDeftonesให้เสร็จก่อน" "จริงๆแล้วผมชอบชิโนนะเขาเป็นคนเก่ง มีความสามารถ มีพรสวรรค์ เป็นคนมีหัวสร้างสรรค์ แต่เขามีปัญหาในเรื่องจะทำอะไรให้เสร็จเรียบร้อย เขาชอบโทษคนอื่น เขาใช้ผมเป็นข้ออ้างในการไปทำงานของตัวเอง แล้วทิ้งอัลบั้มไว้ค้างๆคาๆอย่างนั้น"บ็อบ แอซรินทิ้งท้ายไว้ จากบทสัมภาษณ์chartattack.com จากคุณ : Dancing on the corpse's ashes เขียนเมื่อ : 4 มิ.ย. 53 15:28:42

ความคิดเห็นที่ 41   ต่อมาในช่วงปี2005 ทางวงเอางานที่ทำกับบ็อบกลับมาทำที่ซาคราเมนโต แล้วชิโนก็แว๊บไปทัวร์กับTeam Sleepอีกครั้งซึ่งเพิ่งได้ออกอัลบั้มแรกในช่วงนั้นพอดิบพอดี ชิโนบอกว่าการออกทัวร์เป็นผลดีต่อเขามาก เพราะช่วงนั้นเขาไม่มีสมาธิกับการอัดเสียง เนื่องจากมีปัญหาติดเหล้าและยาเสพติด นอกจากนี้เขาเพิ่งจะหย่ากับภรรยาCelesteได้ไม่นาน ช่วงปี2005 เป็นช่วงที่สถานการณ์ภายในวงวุ่นวายมาก เพราะชิโนไปทำงานกับTeam Sleepและงานคัฟเวอร์จนไม่ได้กลับมาทำงานของDeftonesให้เสร็จ เมื่อสมาชิกที่เหลือต่างก็กังวลเพราะอยากให้อัลบั้มเสร็จเสียที ในที่สุดทางวกก็ตัดสินใจพักการทำอัลบั้มชั่วคราวมาออกอัลบั้มพิเศษ B-Sides & Raritiesแทน เนื้อหาของอัลบั้มSaturday Night Wrist นั้นชิโนบอกว่าส่วนใหญ่จะเกี่ยวกับ ยาเสพติด ปัญหาภายในวง การติดเหล้า ภาพหลอนที่มาจากการใช้ยาอย่างหนักของชิโน จวบจนปี 2006 วงเริ่มกลับมาทำงานใหม่อีกครั้งโดยนำเพลงที่กับบ็อบมาขัดสีฉวีวรรณเสียเอี่อยมอ่องคราวนี้หันมาใช้เพื่อนสนิทเป็นโปรดิวเซอร์Shaun Lopez โดยผลงานส่วนใหญ่ในอัลบั้มนี้มาจากความคิดของชิโนเป็นหลัก มีชื่อเพลงแปลกเยอะมาก  เช่น "U,U,D,D,L,R,L,R,A,B,Select,Start"(สูตรเกมอะไรใครช่วยบอกหน่อย) หรือ "Rats!Rats!Rats!" ในที่สุดชุดที่5 ก็คลอดออกมาได้แบบทุลักทุเลในวันที่ 31 ตุลาคม 2006 ยอดขายอาทิตย์แรกทำไปเพียงแค่ 76,000 ก็อปปี้ ซึ่งยอดขายลดลงกว่า2อัลบั้มก่อนหน้านี้อย่างเห็นได้ชัด ชิโนบอกว่าการไปทำงานกับวงTeam Sleepทำให้เขาชักลังเลว่าอยากกลับมาทำงานกับDeftonesอีกหรือไม่ เพลงMein มี เฮียSerj แห่งSystem of a downมาร้องคลอให้ด้วย ชื่อ Saturday Night Wrist ชิโนบอกว่า เป็นการอ้างอิงถึงอาการที่เส้นประสาทถูกทำลายจากการที่คนเมา เมาหลับแล้วนอนทับแขนตัวเอง และการที่คนอยู่เดียวทุกๆวันเสาร์ แล้วเพื่อนที่อยู่ข้างกายอย่างเดียว คือ อาการข้อมือสั่น แก้ไขเมื่อ 04 มิ.ย. 53 23:33:02 จากคุณ : Dancing on the corpse's ashes เขียนเมื่อ : 4 มิ.ย. 53 15:57:54

ความคิดเห็นที่ 42   ขอบคุณKnotyman เห็นตั๋วแล้วอยากไปดูว่าชิโนเสียงจริงๆเป็นไง ------------------------------------------------------------------------------------ หลังจากวงแทบแตก Deftonesยังเอาตัวรอดมาทำอัลบั้มที่ว่า ที่ตอนแรกใช้ชื่อว่า Eros(อีกชื่อที่รู้จัก คือ Cupid) เริ่มเขียนเพลงกันตั้งแต่ปลายปี 2007 โดยกลับไปใช้บริการของ Terry Date เจ้าเดิม กำหนดวางแผงคือ 14 เมษายน 2008 ซึ่งชิโนบอกว่าอัลบั้มนี้ ประหลาดและแหกกฎเดิมๆ การทำงานในอัลบั้มดูชิโนจะประนีประนอมกับเพื่อนๆสมาชิกในวงได้ หลังจากผ่านมรสุมที่เกือบทำวงแตก ความคืบหน้ามีเรื่อยๆจนกระทั่งปลายปี2008 ในบล็อกของทางวงในเว็บ Myspace.com มีการอัพเดตความคืบหน้าทุกๆวันศุกร์ และในที่สุด เพลงแรกของอัลบั้มที่6 "Melanie"ก็ออกมาให้โลกได้ฟังกัน จุดเปลี่ยนของทางวงเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน ปีเดียวกัน ชิ เชง ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ที่ Santa Clara ในCalifornia อาการในตอนแรกของเขานั้นสาหัสมาก เมื่อทางวงทราบข่าวร้ายทั้งๆที่อัลบั้มใหม่ทำไปทั้งสิ้นเพลง 3 เพลง คือ  "Trempest" "Melanie" และ "Destiny"แล้ว  ส่วนความคืบหน้าอาการของชิ เชงดูท่าจะไม่ดีขึ้น ตอนนี้เองที่ความเศร้าและความเครียดเริ่มถาโถมโกมกุมทุกคนในวงDeftones ยังไม่มีใครรู้แน่ชัดว่าวงที่ขาดชิ เชงไปควรจพอยู่หรือไป แล้วใครจะมารับหน้าที่ต่อดี มีต่อพรุ่งนี้จ๊ะจะม่อยกระรอกแล้ว คร่อก จากคุณ : Dancing on the corpse's ashes เขียนเมื่อ : 5 มิ.ย. 53 00:09:37

ความคิดเห็นที่ 43   ขอบคุณKnotyman เห็นตั๋วแล้วอยากไปดูว่าชิโนเสียงจริงๆเป็นไง ------------------------------------------------------------------------------------ หลังจากวงแทบแตก Deftonesยังเอาตัวรอดมาทำอัลบั้มที่ว่า ที่ตอนแรกใช้ชื่อว่า Eros(อีกชื่อที่รู้จัก คือ Cupid) เริ่มเขียนเพลงกันตั้งแต่ปลายปี 2007 โดยกลับไปใช้บริการของ Terry Date เจ้าเดิม กำหนดวางแผงคือ 14 เมษายน 2008 ซึ่งชิโนบอกว่าอัลบั้มนี้ ประหลาดและแหกกฎเดิมๆ การทำงานในอัลบั้มดูชิโนจะประนีประนอมกับเพื่อนๆสมาชิกในวงได้ หลังจากผ่านมรสุมที่เกือบทำวงแตก ความคืบหน้ามีเรื่อยๆจนกระทั่งปลายปี2008 ในบล็อกของทางวงในเว็บ Myspace.com มีการอัพเดตความคืบหน้าทุกๆวันศุกร์ และในที่สุด เพลงแรกของอัลบั้มที่6 "Melanie"ก็ออกมาให้โลกได้ฟังกัน จุดเปลี่ยนของทางวงเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน ปีเดียวกัน ชิ เชง ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ที่ Santa Clara ในCalifornia อาการในตอนแรกของเขานั้นสาหัสมาก เมื่อทางวงทราบข่าวร้ายทั้งๆที่อัลบั้มใหม่ทำไปทั้งสิ้นเพลง 3 เพลง คือ  "Trempest" "Melanie" และ "Destiny"แล้ว  ส่วนความคืบหน้าอาการของชิ เชงดูท่าจะไม่ดีขึ้น ตอนนี้เองที่ความเศร้าและความเครียดเริ่มถาโถมโกมกุมทุกคนในวงDeftones ยังไม่มีใครรู้แน่ชัดว่าวงที่ขาดชิ เชงควรจะยุบวงหรือไม่ แล้วใครจะมารับหน้าที่ต่อดี แก้ไขเมื่อ 05 มิ.ย. 53 22:28:21 จากคุณ : Dancing on the corpse's ashes เขียนเมื่อ : 5 มิ.ย. 53 00:10:12

ความคิดเห็นที่ 44   และแล้วในปี 2009 ช่วงปลายเดือนมกราคมทางวงจะนำSergio Vega อดีตมือเบสวงQuicksand เข้ามาแทนที่ชิ เชง เนื่องจากอาการของชิ เชงยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงมากนัก โดยเซอร์จิโอเคยเข้ามาแทนชิ เชงในช่งปี1998 ตอนที่ชิ เชงบาดเจ็บ จนกระทั่งเดือนมิถุนายนปี 2009 ทางวงเลื่อนกำหนดออกงานชุดEros ไปอย่างไม่มีกำหนด ด้วยสาเหตุที่ว่าอยากเปลี่ยนแนวทางของวงใหม่ เพราะตอนที่ทำEros สภาพจิตใจของคนในวงย่ำแย่กับอาการของชิ เชง การที่ทำวันเลือนการออกอัลบั้มErosไปอย่างไม่มีกำหนดนั้นไม่เกี่ยวกับอาการของชิ เชงทั้งสิ้น ทางด้านชิ เชง แม้อาการจะดีขึ้นบ้างแต่ตอนอยู่ในโรงพยาบาลตลอด ค่าใช้จ่ายในด้านรักษาพยาบาลและค่ายาก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อยจนเกือบประมาณ7แสนดอลล่าร์สหรัฐ ทำให้ครอบครัวของชิ เชงไม่สามารถแบกรับค่สใช้จ่ายได้ทั้งหมด เหมือนแฟนเพลง ทางวง และเพื่อนร่วมอาชีพทราบข่าวนี้จึงมีการประมูลของ จัดคอนเสิร์ต เปิดรับบริจาค เพื่อช่วยเรื่องค่าใช้จ่าย โดยแฟนเพลงของDeftones คนหนึ่งนามว่า Gina Blackmore ได้ทำเว็บไซต์เพื่อเป็นสื่อกลางในการติดต่อระหว่างแฟนๆและครอบครัวของชิ เชง รวมถึงอัพเดตอาการของชิ เชงในแต่ละวัน www.oneloveforchi.com เข้าไปดูได้เลย จากคุณ : Dancing on the corpse's ashes เขียนเมื่อ : 5 มิ.ย. 53 22:59:46

ความคิดเห็นที่ 45   หลังจากเลื่อนErosออกไปอย่างไม่มีกำหนด Deftonesก็มาเริ่มงานใหม่กับโปรดิวเซอร์คนใหม่ คือ  Nick Raskulinecz ที่เคยฝากผลงานไว้กับวงFoo Fighters,Stone sour,Alice in Chains การทำงานชุดใหม่ทางวงเน้นการทำงานร่วมกันไม่เน้นไอเดียของสมาชิกคนใดเป็นใหญ่ อีกทั้งยังพยายามหลีกเลี่ยงการใช้โปรแกรม"Pro Tools" โดยจะเน้นว่าซ้อมไปเรื่อยๆผิดพลาดก็เล่นใหม่ๆเรื่อยๆจนกว่าจะได้ผลงานเพลงที่ดีที่สุดออกมา ทำให้ได้ซาวด์ที่ออกมาดิบกร้าว อัลบั้มที่6 ของทางวงได้ชื่อใหม่อย่างเป็นทางการว่า Diamond Eyesพร้อมกับต้นสังกัดใหม่ RepriseหลังจากMaverickขายกิจการไป ในตอนแรกอัลบั้มจะออกวางแผงเมื่อวันที่ 27เมษายน ปี 2010 ก่อนเลื่อนไปเป็น 18 พฤษภาคม แล้วจึงได้ออกขายจริงๆเมื่อวันที่ 4 พฤษภาคมที่ผ่านมา อัลบั้มนี้ผ่านวงมาเหยียบอันดับ6 ในบิลบอร์ดชาร์ตได้สำเร็จ จากคุณ : Dancing on the corpse's ashes เขียนเมื่อ : 5 มิ.ย. 53 23:17:12

ความคิดเห็นที่ 46   ภาคเนื้อเพลงของอัลบั้มลำดับที่6 นี้ แตกต่างไปขางงานช่วงยุค90 ที่ชิโนบอกไว้ใช้บรรยายความเจ็บปวด และชีวิตมันห่วยแตกเพียงใด พวกกลับใช้โอกาสให้เป็นวิกฤต วงDeftonesเลือกจะเติบโตขึ้น เป็นอีกครั้งที่ชิโน ไม่ได้เขียนเพลงที่มีเนื้อหาเี่กี่ยวกับตนเอง เขาเน้นว่าอัลบั้มนี้เป็นการมองโลกในแง่มุมที่สนุกสนาน ถือว่าเป็นการสะท้อนจากการทำงานเพลงในช่วงที่ชิ เชง ไม่สามารถทำงานร่วมกับคนในวงได้ แต่Deftonesเลือกที่จะเดินหน้าต่อไปปลดปล่อยทุกอย่างใส่เป็นเสียงเพลงในอัลบั้ม ชิโนบอกว่าเขาไม่ชอบที่จะฟังคนอื่นมานั่งเล่าปัญหาให้ฟังมากนัก ถ้าเป็นยุค90 เขาก็ใช้ดนตรีบ่นเรื่องต่างๆผ่านเสียงเพลง แต่พอมาตอนนี้เขาชอบเพลงที่ทำให้เขาหลุดออกจากความเป็นมนุษย์ ชอบร้องเพลงเกี่ยวกับสิ่งแปลกๆ ถือว่าเนื้อเพลงในอัลบั้มนี้ได้อิทธิพลจากวงThe Cureอย่างชัดเจน วงThe Cureเป็นวงที่ชิโนฟังมาตั้งแต่สมัยยังเด็กๆ เนื้อเพลงทำให้เห็นภาพชัดเจนโดยไม่ต้องมานั่งเสียเวลาเล่าเรื่องให้เยิ่นเย้อ เช่นเพลง Rocket Skates ถือว่าเป็นการผสมผสานกันระหว่างความสวยงามและความรุนแรง เปรียบได้กับเพลง Knife Party คำวิจารณ์ในอัลบัมนี้ถือว่าได้รับการตอบรับที่ดีมากๆ นักวิจารณ์หลายคนชอบที่วงเติบโตขึ้น มีซาว์ดใหม่ๆ การร้องของชิโนก็ไม่ได้แค่แผดเสียง เพียงแค่ตอนนี้เสียงกระซิบอันแผ่วกลับมีทำให้มีพลังไม่ต่างจากตอนที่เขากรีดร้องออกมา แก้ไขเมื่อ 07 มิ.ย. 53 16:10:14 จากคุณ : Dancing on the corpse's ashes เขียนเมื่อ : 5 มิ.ย. 53 23:53:10

ความคิดเห็นที่ 47 U,U,D,D,L,R,L,R,A,B,Select,Start สูตรผิดด้วยครับ จริงๆต้อง B A มีข้อมูลว่า เป็นสูตรที่ขนานนามว่า Konami Code ครับ ซึ่งผมก็เพิ่งรู้ว่ามันใช้กันเยอะขนาดนี้ ตอนแรกที่ผมรู้ก็มีแค่ Contra 30 lives แค่นั้นเอง  ^ ^ http://en.wikipedia.org/wiki/Konami_Code แก้ไขเมื่อ 06 มิ.ย. 53 02:04:14 จากคุณ : serial_killer เขียนเมื่อ : 6 มิ.ย. 53 02:03:49

ความคิดเห็นที่ 48   จบแล้ว สำหรับความเป็นมาของDeftones ที่สามารถเอาชนะปัญหาหนักของวง ด้วยการทำเพลงต่อไป แม้จะยังไม่แน่ว่าชิ เชงจะฟื้นคืนสติ และกลับมาเล่นดนตรีได้เหมือนเดิมอีกเมื่อไร แต่อัลบั้มDiamond eyes เปรียดั่งเพชรน้ำหนึ่งที่โผล่พ้นจากโศกนาฏกรรมที่ทางวงต้องเผชิญ คราวนี้ก็รอดูว่าวงSlipknotที่ต้องเสียมือเบส พอล เกรย์ไปจะเอาชนะอุปสรรคดังกล่าวได้อย่างไร ปล. เพลงKorn จำกันได้ไหม ในอัลบั้ม life is peachyมีเพลงชื่อ ชิ ก็มาจากชิ เชง เพราะตอนแรกชิ เชงเรียกเพลงนี้ว่าเร็กเก้ ตอนหลังไม่รู้จะตั้งชื่อเพลงว่าอะไร โจนาธานเลยตั้งว่าชิ เพื่อเป็นเกียรติแก่ชิ เชงที่ตั้งชื่อเพลงคนแรก ปิดท้ายด้วยrocket skates เอ็มวีตอนท้ายดูหลอนๆ แก้ไขเมื่อ 07 มิ.ย. 53 16:19:40 จากคุณ : Dancing on the corpse's ashes เขียนเมื่อ : 7 มิ.ย. 53 16:19:05

ความคิดเห็นที่ 49   rocket skates จากคุณ : Dancing on the corpse's ashes เขียนเมื่อ : 7 มิ.ย. 53 16:20:02

ความคิดเห็นที่ 50 ขอบคุณมากๆ ครับ หยิบ Around The Fur กับ White Pony มาฟังทีไรก็หวนคิดถึงชีวิตในมหา'ลัยทุกที จากคุณ : ก๊วกกี้ (earth the RippeR) เขียนเมื่อ : 8 มิ.ย. 53 14:49:32

ความคิดเห็นที่ 51 จำได้ว่าตอนนั้นชอบ Deftones มากกว่า Korn ซะอีกนะ จากคุณ : oat_jazz เขียนเมื่อ : 8 มิ.ย. 53 15:56:02

ความคิดเห็นที่ 52   เคย ดู Deftones ครั้งหนึ่ง เหมือน กัน ครับ มา ที่ Seattle พอดี สุดยอดดด เมื่อไร มา ไทย ก้อ ไม่ รู้ จากคุณ : oddjob เขียนเมื่อ : 8 มิ.ย. 53 18:28:44

ความคิดเห็นที่ 53 เหมือนอาการ Chi จะดีขึ้นเล็กน้อย http://www.theprp.com/2010/06/08/news/deftones-bassist-chi-cheng-showing-signs-of-improvement/ จากคุณ : knotyman เขียนเมื่อ : 9 มิ.ย. 53 13:29:50

ความคิดเห็นที่ 54 แจ่ม จากคุณ : the author เขียนเมื่อ : 16 มิ.ย. 53 00:09:22