Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
*****ถอดคลิปสัมภาษณ์ Sina Part1--- Part 6*****  

สวัสดีตอนค่ำมืดค่ะมามาส์และพี่น้อง........

ขอยกมารวมไว้ที่เดียวกันนะwink


Part1flower(VCR  แนะนำเหยียนเฉิงซวี่)

เขาคือไอดอลชายที่เป็นจิตวิญญาณของวง F4 ที่ทำให้ผู้คนคลั่งไคล้หลงไหลทั่วเอเชีย เขาเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์แบบอย่างของไต้หวัน พอที่จะเรียกได้ว่าเป็นนักแสดงขั้นปรมาจารย์ของละครไอดอลไต้หวัน เขาก้าวเข้าวงการสิบปีมานี้ กระแสนิยมและอิทธิพลของเขาได้แพร่ไปทั่วเอเชียรวมทั้งทุกพื้นที่ที่มีชาวจีนอยู่ทั่วโลก

ดำรงตำแหน่งซุปเปอร์สตาร์ไอดอลมาหลายปี ยังไม่มีใครสั่นคลอนตำแหน่งเขาได้  หน้าร้อนของปี 2010 นี้ เหยียนเฉิงซวี่จะนำความ surprise อะไรให้กับพวกเราบ้างนั้น โปรดเฝ้ารอ.

พิธีกร: ยินดีต้อนรับเพื่อนๆชาว Sina เข้าสู่รายการ ((Sina Star)) ดิฉันคือพิธีกรชื่อเจ้าหนิง เมื่อสักครู่นี้พวกเราได้ทำความรู้จักกับแขกรับเชิญพิเศษของวันนี้จาก VCR แล้ว เขาคนนั้นก็คือเหยียนเฉิงซวี่ ยินดีต้อนรับค่ะ(เสียงปรบมือ)

ซวี่: สวัสดีครับทุกคน สวัสดีครับพิธีกร ผมคือเหยียนเฉิงซวี่

พิธีกร: เมื่อสักครู่เราได้คุยกันถึงว่านานมากแล้วที่ไม่ได้มาจีนใหญ่ ดังนั้นครั้งนี้ได้นำหนังสือภาพเล่มใหม่มาพบกับแฟนเพลง และเพื่อนๆแฟนละครที่จีนใหญ่ ความรู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง ได้เจอกับพวกเขาหรือยัง งานแถลงข่าวเมื่อวานนี้

ซวี่: ได้เจอมาบ้าง ก็ดีใจมาก เพราะไม่ได้มาที่นี่นานพอควร ยังได้เห็นเพื่อนๆที่คุ้นหน้ามากมาย ตัวผมเองยังรู้สึกแปลกใจมากเลย (เสน่ห์แรงนิเรา)

พิธีกร: คุณจะแนะนำหนังสือภาพเล่มใหม่ของคุณกับทุกคนยังไงเหรอ

ซวี่: แนะนำว่า...เออ..จริงๆแล้วก็อยากแบ่งปันเรื่องราวของตัวเองกับทุกคนมากกว่า เพราะจากหนังสือภาพเล่มแรกทิ้งห่างประมาณแปดปีแล้ว แปดปีอีกแล้ว ดังนั้นผมคิดว่า พอดีเลยทุกคนคงอยากจะอาศัยเล่มนี้ทำความรู้จักผมมากยิ่งขึ้น

พิธีกร: เมื่อครู่นี้พูดถึงหนังสือภาพเล่มที่แล้วออกเมื่อปี2002 ก็คือแปดปีที่แล้ว ชื่อหนังสือคือ ((ผู้ชายสองภาค)) (ตุ้ย) และแปดปีให้หลังหนังสือภาพเล่มใหม่อีกเล่มห่างกันแปดปี คงมีการเปลี่ยนแปลงมากในช่วงแปดปีมานี้ คุณรู้สึกว่า จะนำเสนอภาพลักษณ์ใหม่หรือท่วงท่าใหม่ๆของเหยียนเฉิงซวี่ออกมาให้เห็นบ้าง

ซวี่: ก็คือ..ก็คืออายุมากขึ้น แล้วก็....

พิธีกร: อ๋า...หล่อมากขึ้นด้วย (ชมซึ่งหน้าแบบนี้เดี๋ยวพระอาทิตย์ดวงน้อยก็เขินตายหรอก)

ซวี่: แน่นอนว่าแปดปีมานี้ได้ผ่านอะไรมาอีกเยอะ เพราะคนเราเมื่อต้องผ่านอะไรมามากมายก็ต้องเติบโตเป็นธรรมดา เพราะบางทีก็เจออะไรที่ล้มเหลวมาบ้าง แต่ผมรู้สึกว่าความล้มเหลวก็มีส่วนทำให้ผมก้าวหน้าได้ เมื่อก่อนนี้ผมสื่อสารไม่ค่อยเป็น บางครั้งจะพูดแบบขวัญผ่าซาก พูดตรง ๆ แบบไม่ค่อยรู้ความ บางครั้งผมแค่อยากเรียกร้องให้งานออกมาดีมากขึ้น แต่คุณรู้นี่คนเราพอผ่านอะไรมามาก เจอความล้มเหลวมาบ้าง จึงรู้ว่าการสื่อสารก็เป็นศิลปะอย่างหนึ่งเหมือนกัน เช่นว่า เมื่อคุณอยากขอร้องอะไรบางอย่างนั้น คุณสามารถขอร้องแบบตรงๆ แต่คุณก็อาจลองใช้วิธีขอแบบอ้อมๆเพื่อให้คนที่รับฟังรู้สึกรื่นหู ความรู้สึกที่ได้รับฟังก็จะแตกต่าง เมื่อเหตุการณ์ผ่านไปสภาพก็เปลี่ยนแปลงไปด้วย เมื่อพวกเราคุยกันเรื่องอดีตอย่างฉะฉานนั้น ทุกคนในใจจะรู้ซึ้ง แต่มีบางอย่างทำให้รู้ว่าพวกเราไม่เหมือนเดิมแล้ว ผมว่าความรู้สึกแบบนั้นยอดเยี่ยมมากนะ

ก็คือไม่มีใครพอเกิดมาก็เป็นนักปราชญ์ใช่ไหม เป็นไปไม่ได้ว่าจะไม่เคยทำผิดต่อคนอื่น แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือคุณสามารถทำให้คนอื่นเข้าใจคุณมากขึ้นได้อย่างไร กับทำให้คนเขารู้ว่า ณ เวลานั้นๆเราไม่ได้มีเจตนาร้ายหรือตั้งใจที่จะทำผิดต่อเขา ทำยังไงให้เขารู้ว่า ณเวลานั้นๆเรายังสื่อสารไม่เก่ง หรือเป็นเพราะทีมงานปกป้องพวกเราดีเกินไปและเข้มงวดเกินไป ทำให้พวกเรา....เช่นว่าก่อนนี้ช่วงที่พวกเราเริ่มดังใหม่ๆ บริษัทดีกับพวกเรามาก ตอนนั้นข้างกายพวกเราก็มีทีมงานมากมาย...

พิธีกร: ล้วนคอยปกป้องพวกคุณ

ซวี่: ใช่ล้วนคอยปกป้องพวกเรา แต่ในทางกลับกันบางครั้งเป็นเพราะพวกเราโดนปกป้องมากเกินไป ทำให้พวกเราสูญเสียความสามารถบางอย่างไป ก็คือพวกเราสื่อสารกับคนอื่นไม่ค่อยเป็น อาจเป็นว่า ณ ตรงนั้นพวกเราแค่ตั้งใจอยากร้องขอทำให้ดีที่สุด แต่ว่าการร้องขออยากทำให้ดีก็จะขาดการเคารพไปนิด ขาดการเห็นใจไปหน่อย มองข้ามในจุดยืนของเขา มองข้ามความลำบากของพวกเขาที่ทำเพื่อพวกเรา แต่ผมรู้สึกว่าหลายปีมานี้ ทำไมผมจึงพูดว่า สาเหตุที่ผมออกหนังสือเล่มนี้สำหรับผมแล้วสำคัญมากก็คือ มันได้แบ่งปันเส้นทางชีวิตของผมกับคนมากมายที่ต้องเจอแน่นอน เช่นว่าพวกเราเคยเจอช่วงขาลง เวลาที่เจอความล้มเหลวก็จะต้องทุกข์ใจ พวกเราก็เคยรู้สึกว่าทำไมทุกคนถึงไม่เข้าใจพวกเรา แต่ผมรู้สึกว่า...ผมเชื่อว่าสวรรค์เบื้องบนได้ให้การทดสอบเหล่านั้น ล้วนช่วยให้ผมเติบโตและเปลี่ยนแปลงในภายหลัง

ดังนั้นผมรู้สึกว่ามันยอดเยี่ยมมากเลย ในทางกลับกันช่วงเวลาที่ผมเกิดเรื่องมากมาย ผมจะคอยบอกกับตัวเองว่า ให้ทุกอย่างกลับไปสู่จุดเดิม ไม่ว่าที่ผ่านมาผมอาจจะไม่รู้ความทำผิดต่อต้าเกอๆ หรือต้าเจี่ยๆที่คอยดูแลผมอย่างมากก็ตาม ผมรู้สึกมาตลอดว่าผมโชคดีมาก เพราะข้างกายผมมีคนที่ดีกับผมมากมาย แต่แรกเริ่มที่ว่าดีนี้ พวกเรายังไม่ค่อยเข้าใจ พวกเราจะรู้สึกว่า...ผมรู้สึกว่าคนเราจะมีความเคยชินอย่างหนึ่ง ข้างกายคุณจะมีเพื่อนมากมาย พ่อแม่ก็จะดีกับคุณมาก แต่ว่าบางครั้งที่พ่อแม่ดีต่อคุณกับเพื่อนๆที่ดีต่อคุณ คุณจะรู้สึกว่าเป็นเรื่องที่สมควรอยู่แล้ว

แต่พอถึงเวลาที่คุณเจอกับความล้มเหลวในสังคม ในเส้นทางชีวิตได้ผ่านประสบการณ์บางอย่าง ในโลกใบนี้ไม่ว่าใครคนใดคนหนึ่ง ยิ่งไปกว่านั้นต่อให้เป็นญาติสนิทของคุณ ความดีที่เขาดีต่อคุณ ไม่มีหรอกที่ว่าสมควร คุณควรจะคอยบอกกับตัวเองว่า คุณต้องรู้คุณค่าทุกเวลากับคนที่คอยช่วยเหลือเรา เช่นทีมงานที่กำลังปฏิบัติหน้าที่ รับเงินเดือนจากคุณ แต่คุณก็ไม่ควรคิดว่าเป็นเพราะเขารับเงินเดือนจากคุณ ดังนั้นเขาช่วยทำงานให้คุณเป็นเรื่องที่สมควรแล้ว เมื่อคนเรามีความคิดแบบนั้นหรือมีการตอบสนองแบบนั้น หลายสิ่งหลายอย่างก็ไม่ถูกต้องแล้วล่ะ นี่คือสิ่งสำคัญสิ่งหนึ่งที่ต้องเรียนรู้ (โอ้ยโย๋ ในโลกนี้จะมีอีกมั้ยที่คิดเหมือนคุณทั่นอ่ะ)

จากคุณ : พี่ R
เขียนเมื่อ : 15 มิ.ย. 53 22:02:14




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com