ความคิดเห็นที่ 1 จ้องภาพนั้นอยู่นานมาก ความรู้สึกตอนนั้นคือเนี้ยแหละ ใช่เลย มันลงตัวที่สุด เรารัก TT เวอร์ชั่นสี่คน เรามีจุดอ่อนกับผู้ชายที่ชื่อ Robbie Williams แต่ภาพที่ห้าคนยืนเรียงกันในกล้องเนี้ย มันเป็นยิ่งกว่าความฝัน ก่อนหน้านี้จะมีซักกี่คนที่เชื่อว่ามันจะเป็นได้จริง จะมีแฟนซักกี่คนที่ยอมรับอยากจะให้มันเกิดขึ้น แต่คงไม่มีอะไรสมบูรณ์เหมาะสมกับตำนานของวงที่ชื่อ Take That มากไปกว่าสิ่งนี้อีกแล้ว เราเคยมองว่าเรื่องของ Take That คือดราม่าชีวิตของคนจริงๆ ไม่ใช่ Cinderella story ที่จบแบบ happy ending แต่เราอาจจะคิดผิดก็ได้ Happily Ever After อาจจะมีอยู่จริงก็ได้ ใครจะไปรู้ จากคุณ : Song iS A beautifuL LiE เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 53 22:22:46

ความคิดเห็นที่ 2 ต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่าเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดกับวงบ้าวงนี้มีอะไรที่เหนือความคาดหมายผู้คนมากมาย เรียกว่าสำเร็จของ Take That บางส่วนอยู่กับลูกฟลุคหรือดวงก็ว่าได้ ใครจะไปคิดว่าไอ้วงหน้าตาแต่งเนื้อแต่งตัวแบบรูปซ้าย จะกลายมาเป็น “the most successful British band since the Beatle” เพราะฉะนั้น ขอใช้กระทู้นี้เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นหลังจากวันที่พวกเค้าเดินออกไปจากหน้าบันทึกวงการเพลงป๊อบเมื่อ 14 ปีที่แล้ว จนกระทั่งกลับมาด้วยสิ่งที่เรียกว่า “the greatest comeback in music industry” เตรียมฉลองให้กับ 20 ปีของวงที่ชื่อ Take That พร้อมรออัลบั้มใหม่ของ The Fab Five Gary Barlow เคยพูดไว้ในงานแถลงข่าวยุบวงเมื่อปี 1996 ว่า “our dream is that after five or ten years we'll come back and do it all again.” -----ในห้าหรือสิบปีพวกเราจะกลับมาและทำมันอีกครั้ง เชื่อว่าตอนนั้น Gary คงไม่ได้หมายความตามนั้นจริงๆ หลายๆ เรื่องที่เกิดขึ้นแม้แต่ตัวพวกเค้าเอาก็คงไม่ได้คาดคิด 'Take That is magic. Once you believe it is real, the magic will disappear.'  (Gary Barlow, My Take) ...แทคแดตเหมือนมนต์วิเศษ แต่เมื่อไหร่ที่คุณเชื่อว่ามันคือความเป็นจริง มนต์วิเศษก็จะสลายไป หลายๆ อย่างในเรื่องราวของ Take That ที่เราจะเล่าให้ฟังจึงเป็นแค่เรื่องราวของคนธรรมดาห้าคนที่เผอิญได้โอกาสที่ยิ่งใหญ่ของชีวิต Never forget where your coming from .... อย่าลืมว่าคุณมาจากไหน Never pretend that it's all real .... อย่าคิดว่านี่คือความเป็นจริง The memory of TT .will live on. ตอนที่เตรียมรูปนี้ข่าว Robbie กลับมายังไม่หนาหูเท่าไหร่ ตอนนั้นมั่นใจมากกว่าได้โพสก่อนอีดาบ้านั้นกลับมาแน่ ต้องโทษตัวเอง ดันเขียนช้า ฮ่าๆ TT-Then and (almost) Now แก้ไขเมื่อ 20 ก.ค. 53 01:23:46 แก้ไขเมื่อ 20 ก.ค. 53 01:01:54 จากคุณ : Song iS A beautifuL LiE เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 53 22:45:03

ความคิดเห็นที่ 3 ความดังของ Take That ในเมืองไทยแต่ก่อน คนรุ่นนี้อาจจะคิดไม่ออก เราเองก็ลืมๆ ไปบ้างแล้ว (ปัจจุบันไม่ต้องพูดถึง ไร้วี่แววโดยสิ้นเชิง ขนาดข่าวรียูเนื่ยนที่อังกฤษถือเป็นข่าวด่วนข่าวร้อน เมืองไทยเงียบฉี่ ฮ่าๆ) พอดีไปเจอสมบัติเก่าๆ ที่เก็บไว้เลยได้ตัวอ้างอิงมา ตอนนิตยสาร Starpics แจกโปสการ์ดฉลองครบรอบ 30 ปี (คิดว่านะ) Take That ได้เป็นหนึ่งโปสการ์ดรวมกับชื่อบิ๊กๆ อย่าง Sharon Stone, Brad Pitt, Winona Ryder, Bruce Willis, Greenday, Slash และ Kurt Cobain อยู่รวมกับไอคอนดังๆ อย่างสง่าผ่าเผย ภาพข้างล่างนี้เป็นแผ่นพับโปรโมตอัลบั้ม Nobody Else ของ Take That จาก BMG Thailand ประวัติวงเป็นภาษาไทยที่อยู่ในนั้นก็ยังเป็นประวัติปลอมอยู่เลย ตอนนั้นมีวงต่างประเทศไม่กี่วงหรอกที่ได้ออกเทปซิงเกิ้ลเกือบทุกเพลงในเมืองไทย (เราก็ดันมีหมดทุกม้วน...!?!?) ตอนมาเมืองไทย มีคอนเสิร์ตตั้งสองรอบ แต่เค้าว่าตั๋วเหลือเพียบ ช่วงนั้นเป็นช่วงหน้าสิ่วหน้าขวานของวง (ร๊อบบี้ออกจากวงไม่นาน) แก้ไขเมื่อ 19 ก.ค. 53 22:54:03 จากคุณ : Song iS A beautifuL LiE เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 53 22:52:55

ความคิดเห็นที่ 4 ไม่อยากจะบอกเ้ลย  ว่าตอนนี้อยากให้มีแค่ 4 คน แต่ก็เอาเหอะ ความรู้สึกเก่าๆกลับมา ก็ว๊าฮูกันได้อีกครั้ง..... จากคุณ : ความตายสีชมพู เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 53 23:12:55

ความคิดเห็นที่ 5 <ขอโทษที่โพสช้าอีกแล้ว แทรกได้เลย เป็นคนทำอะไรช้า อาจจะโพสข้ามวัน> <เรื่องร๊อบบี้นี่ตอนแรกก็กลัวๆ นะ แต่พอเห็นรูปด้านบนแล้วรู้เลยว่ามันต้องอย่างนี้ เป็นงัยเป็นกัน> ก่อนจะเริ่มนิยายภาคต่อของเรา เรามาแนะนำตัวละครหลัก และเรื่องย่อภาคแรกของพวกเขาก่อน แดง           Gary Barlow (บนซ้าย) เขียว         Howard Donald (บนกลาง) เหลือง        Mark Owen (บนขวา) ฟ้า             Jason Orange (ล่างซ้าย) ชมพู (มั่ง?)  Robbie Williams (ล่างขวา) ความเดิมตอนที่แล้ว Take That ถือกำเนิดจากการที่ร่างทรงซาตาน Nigel Martin Smiths ต้องการสร้าง Boyband ขึ้นมาช่วยในการครองโลก (?!??) <อยากดูเว่อร์ชั่นนี้ตามดูต่อได้ใน http://www.youtube.com/watch?v=Y9nxRhVmcus  อิอิ> เรื่องจริงก็คือ Nigel (ต่อไปนี้เราจะเรียกว่า NMS) ต้องการจะสร้าง New Kids on the Block เว่อร์ชั่นผู้ดีอังกฤษ จึงเรียกเด็กหนุ่ม 5 คนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนเข้ามาฝึกซ้อมและรวมทีมขึ้นมาในนาม Take That ตัว NMS ต้องการให้เป็นวงขายอิมเมจแบบเด็กหนุ่มข้างบ้านใสสะอาด (แต่รู้สึกว่าทำไปทำมามันจะกลายพันธุ์เนอะ) โดยมีศูนย์กลางอยู่ที่นักร้องนักแต่งเพลงหลักของวงอย่าง Gary Barlow เป็นตัวสร้างความน่าเชื่อถือให้กับวง ในขณะที่คนอื่นๆ ช่วยเรียกแม่ยกสาวๆ  (หรือหนุ่มๆ บ้าง) ให้ NMS เริ่ม Take That อย่างสะเปะสะปะ  วงต้องทำงานหนักมากทั้งเล่นในโรงเรียนมัธยม คลับสำหรับเด็กวัยรุ่น คลับเกย์  วันละหลายๆ ครั้ง เรียกว่านานพอสมควรกว่าวงจะเริ่มจับทางได้แล้วมีเพลงฮิตเข้าชาร์ท แต่ด้วยความที่วางพื้นฐานของวงไว้กับการแสดงสด เข้าถึงแฟนๆ ตลอด ฐานแฟนเพลงของวงจึงค่อนข้างเหนียวแน่น พอเริ่มเครื่องติด ชื่อเสียงของ Take That ก็มีแต่พุ่งขึ้นๆ จนกู่ไม่กลับ   Take That กลายเป็นวงแรกนับจาก The Beatle ที่ได้ซิงเกิ้ลอันดับหนึ่งในอังกฤษติดต่อกัน 4 เพลงรวด จากหน้าละอ่อนกลายเป็นหน้าแบบนี้ไปกันหมดแล้ว ใครเป็นมนุษย์ไฟฟ้าสีอะไรดูได้จากสีไมค์ แก้ไขเมื่อ 20 ก.ค. 53 01:11:42 แก้ไขเมื่อ 20 ก.ค. 53 01:09:33 จากคุณ : Song iS A beautifuL LiE เขียนเมื่อ : 20 ก.ค. 53 01:08:18

ความคิดเห็นที่ 6 Take That เป็นวงที่มีบุคลิกที่ค่อนข้างแปลกสำหรับบอยแบนด์ เริ่มจาก NMS ต้องการให้พวกเค้าดึงดูดได้ทั้งเด็กสาวๆ และกลุ่มเกย์ ภาพลักษณ์ของวงจึงออกมาแต๋วเป็นพิเศษ อยู่บนเวทีก็ขายบุคลิกประหลาดๆ กว่าชาวบ้าน แต่กลับกลายเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของวง ที่ Take That ประสบความสำเร็จได้ส่วนหนึ่งก็มาจากการลองผิดลองถูกของ NMS เนี้ยแหละ พอเริ่มดัง แต่ละคนในวงก็เริ่มมีแฟนคลับเป็นของตัวเอง บทบาทในวงก็เพิ่มขึ้นตามลำดับ Mark Owen  กับ Robbie Williams ในฐานะที่มีแฟนคลับเยอะสุดเริ่มได้โอกาสร้องเพลงนำให้วงมากขึ้น หลังจากปล่อย Gary โซโล่อยู่นานสองนาน ส่วนของการแต่งเพลงก็เริ่มมีลองปล่อยของกันคนละนิดละหน่อย โดยเฉพาะกับหนุ่มน้อย Robbie ที่อยากจะใส่ไอเดียให้กับวงมากขึ้นเรื่อยๆ แต่กระนั้น หน้าที่หัวหน้าขบวนการก็ยังเป็นของแดง Gary อยู่ดี เค้าอาจจะไม่ใช่คนที่ดังที่สุดในหมู่แฟนๆ แต่กลับเป็นคนที่มีชื่อและได้รับการยอมรับในวงกว้างมากที่สุดในวง ด้วยฝีมือการแต่งเพลง นักวิจารณ์หลายต่อหลายสำนักเริ่มออกมาทำนายทายทักว่าเค้าจะเป็น  George Michael คนใหม่ เมื่อถึงวันที่ Take That ถึงกาลอวสาน NSM ซึ่งควบคุมทุกอย่างในวงก็ดูจะเห็นพ้องกับคนภายนอก Gary เป็นสมาชิกในวงคนเดียวที่ NSM ค่อนข้างจะยอมรับฟังความคิดเห็น อย่างไม่ได้ตั้งใจ สถานะในวงของ Gary จึงเหมือนเลื่อมล้ำกับคนอื่นๆ ที่มักจะโดน NSM กดให้อยู่ในโอวาส โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับพวกหัวดื้ออย่าง Jason Orange และน้องน้อย Robbie ขอบเรา นอกเหนือไปจากความแตกต่างของสถานะภาพในวง เงินค่าลิขสิทธิ์เพลงที่ไหลมาเทมาสู่กระเป๋าคนแต่งอย่าง Gary ก็เริ่มเข้ามามีบทบาทอย่างเงียบๆ คลิปนี้เป็นการแสดงชุดหนึ่งที่เป็นตัวแทนของความเป็น Take That Part I ที่ดี มันมีหมดทั้งเพลงสนุกๆ พลังบนเวที บุคลิก/ลูกบ้าของแต่ละคน ความเชื่อมั่นงี่เง่าของเด็กหนุ่ม และความแด๊ะแด๋ ที่มีแต่วงของ NMS เท่านั้นที่ทำได้ แก้ไขเมื่อ 20 ก.ค. 53 01:42:04 จากคุณ : Song iS A beautifuL LiE เขียนเมื่อ : 20 ก.ค. 53 01:20:43

ความคิดเห็นที่ 7 ในปี 1995 กับความสำเร็จที่พุ่งปรี๊ด โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเพลงอย่าง Back For Good ที่สุดท้ายขึ้นชาร์ททุกที่ไม่เว้นแม้แต่อเมริกา มันดูเหมือนไม่มีอะไรจะมาหยุด Take That ได้ แต่กับ Robbie เค้ากลับหมดความใส่ใจในวงมากขึ้นทุกทีๆ การอยู่ในวงบอยแบนด์ไม่ใช่เรื่องเจ๋งในความรู้สึกของเด็กหนุ่มอย่าง Rob เค้าเลิกสนใจที่จะซ้อมกับวง ออกปาร์ตี้กับพี่น้อง Gallagher และบ่นว่าอยากแยกตัวหลังจากหมดทัวร์คอนเสิรต์ที่กำลังจะมีขึ้น สมาชิกคนอื่นๆ ในวงเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าที่ Rob พูดมันคือเรื่องจริงหรือเรื่องเล่น บวกเชื้อไฟที่ NMS ใส่ให้ว่าการจากไปของ Robbie หลังทัวร์จะส่งผลแง่ลบกับวง ก่อนคอนเสิร์ตใหญ่ของพวกเค้าที่กำลังจะมีขึ้นในอีกแค่สองอาทิตย์ วงเรียกประชุมเพื่อหาคำตอบจาก Robbie ว่าเกิดอะไรขึ้น คำขาดที่ Rob ได้รับก็คือถ้าออกก็ต้องเป็นตอนนี้ไม่งั้นก็เลิกพูดซะ เหมือนโดนรุม Robbie จึงตัดสินใจสะบัดหน้าออกมา --- 'เมื่อพวกเอ็งต้องการให้ข้าไป ข้าก็จะไป' ในขณะที่สมาชิกที่เหลือก็รู้สึกงุนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้นไม่น้อย พวกเค้าไม่คิดว่า Rob จะตัดสินใจจากไปจริงๆ   แต่ความจริงก็คือความจริง Take That จึงเริ่มต้นทัวร์ที่ใหญ่ที่สุดของพวกเค้าด้วยการมีสมาชิกแค่สี่คน การจากไปของ Robbie อาจจะไม่ใช้จุดที่ทำให้วงตัดสินใจยุบ เพราะแม้แต่ในตอนที่ Take That บอกเลิกศาลา ความนิยมในวงก็ยังมากมายเหมือนเดิม หากแต่มันกลายเป็นฉนวนที่ทำให้ทุกคนเริ่มฉุกคิด สำหรับสี่คนที่เหลือพวกเค้าก็เริ่มเห็นถึงความน่าเบื่อหน่ายในชีวิตหกปีที่ผ่านมาแล้วเช่นกัน ทุกคนรวมทั้ง NSM รู้ว่า Take That ไม่มีทางคงอยู่ไปได้ตลอดกาล ดังนั้นวงจึงเลือกที่จะหยุดมันลงในตอนที่ยังอยู่บนจุดสูงสุด คนเดียวที่ยัง (แอบ) ไม่อยากจะเลิกราจาก Take That คือ Howard Donald หนึ่งในโมเม้นต์ที่เปลี่ยนประวัติศาสตร์ของวงการเพลงอังกฤษอยู่ที่ไหน อยากรู้ดูได้เลยที่นี่ วงดนตรีและผู้ชายอีกหนึ่งคนบนนั้นจะกลายเป็นคำจำกัดความของ  British music ในอีกทศวรรษต่อมา Robbie เต้นด้องแด้งกับ Oasis ที่ Glastonbury1995 นาทีที่ 1:25 แก้ไขเมื่อ 20 ก.ค. 53 02:36:51 แก้ไขเมื่อ 20 ก.ค. 53 01:45:50 จากคุณ : Song iS A beautifuL LiE เขียนเมื่อ : 20 ก.ค. 53 01:34:56

ความคิดเห็นที่ 8 ต้องเรียกว่าจุดจบของวงภาคแรก คือจุดเริ่มของเรื่องราวอีกหลายๆ เรื่องสำหรับผู้ชายห้าคนนี้ มีทั้งบ้าหลุดโลกโคดดราม่า ไปจนถึงเรียบง่ายอย่างสุดๆ เพราะหลังฉากของวงที่ชื่อว่า Take That ก็คือคนธรรมดา ฉะนั้นอย่าไปหวังว่าชีวิตมันจะ happy ending เรารักกันตลอดไป AFTER THE BREAK UP หลังจากประกาศยุบวง เราไม่รู้ว่ามีแฟนวัยคลั่งคนไหนได้ฆ่าตัวตายตามที่ผู้ใหญ่หลายๆ คนเป็นห่วงหรือเปล่า (ที่อังกฤษมีตั้งสายฮอตไลน์ให้แฟนๆ ได้โทรเข้าไประบายเพื่อกันเด็กๆ คิดสั้น) แต่แน่ๆ มีหนึ่งคนที่คิดมากกับการยุบวงจนเกือบจะกระโดดแม่น้ำฆ่าตัวตาย . Howard Donald หนุ่มกล้ามโตที่แฟนๆ ดูจากภายนอกว่าห่าม เชื่อมั่นในตัวเองสุดๆ (ภาคแรก Howard ทั้งเจาะ ทั้งทำผมแบบ deadlock) กลับถูกเพื่อนๆ ในวงลงความเห็นว่าขี้อายที่สุด Gary เคยบอกว่า Howard สามารถนั่งทั้งชั่วโมงในการให้สัมภาษณ์ได้โดยไม่พูดอะไรเลยแม้แต่คำเดียว การสิ้นสุดของ Take That ณ ตอนนั้นสำหรับ Howard มันคือหายนะ Take That ให้ชีวิตที่เขาเรียกหาจากที่อื่นไม่ได้ จากเป็นช่างทำสีรถ มีเงินเติมน้ำมันรถแค่ทีละ 2 ปอนด์ การเข้ามาอยู่ในวงให้โอกาสมหาศาลพร้อมความเป็นอยู่อย่างราชา ที่สำคัญที่สุด การแสดงของ Take That คือหนทางปลดปล่อยซึ่งเค้ายังรู้สึกสนุกและเชื่อมั่นกับมันอยู่ Howard ถึงขนาดให้สัญญาไว้ในคอนเสิร์ตกับแฟนๆ ว่า Take That จะไม่มีวันไปไหนตราบใดที่แฟนๆ ยังต้องการพวกเค้าอยู่ (แล้ว 5 เดือนต่อมาวงก็ประกาศแยกทาง) ความคลั่งไคล้ใน Take That ตอนท้ายๆ ยังมีมากขนาดไหน ฟังได้จากเสียงกรี๊ดในคลิป Smash Hit Awards ปีสุดท้าย Blackstree Boys เคยให้สัมภาษณ์ว่า Take That กับ Never Forget ใน Smash Hit Awards เป็นเหมือน inspiration ของพวกเขา พี่ใหญ่อย่าง Howard ดูเท่เสมอเมื่ออยู่บนเวที แก้ไขเมื่อ 20 ก.ค. 53 02:02:04 แก้ไขเมื่อ 20 ก.ค. 53 02:01:09 จากคุณ : Song iS A beautifuL LiE เขียนเมื่อ : 20 ก.ค. 53 01:57:55

ความคิดเห็นที่ 9 ใน Take That ภาคแรก Howard เป็น backing vocal หลักของวงที่ Gary นับถือความสามารถมาก เมื่อเป็นเรื่องของการประสานเสียง คนที่เข้าห้องอัดแต่ต้นๆ พร้อมเฮีย Gaz ก็คือพี่ใหญ่อย่าง Howard นี่เอง เมื่อทำใจยอมรับกับการปิดตัวของ Take That ได้ Howard ก็เริ่มมองหาลู่ทางในอนาคตให้กับตัวเอง เช่นเดียวกับ Take That คนอื่นๆ เค้าเซ็นสัญญากับ BMG ค่ายเดิมของวง และเริ่มแต่งเพลงเพื่อเตรียมออกอัลบั้มเดี่ยว Howard เล่นดนตรีเป็นตั้งแต่ก่อนเข้า Take That ถึงก่อนเข้าวงเขาจะร้องเพลงไม่ค่อยเป็นก็ตาม แต่เมื่อออกจาก Take That Academy เค้าพกดีกรีทั้งนักแต่งเพลง นักร้องนำ ติดตัวออกมาด้วย (อารมณ์บ้านเอเอฟหรึอเปล่า) เสียง Howard อาจจะหยาบไม่ใช่เสียงสวรรค์อย่างพ่อ Gaz ของเราแต่วิธีการร้องของเค้าก็มีเสน่ห์พอที่น่าจะเรียกแขกได้ แฟนๆ หลายคนเชื่ออย่างนั้น แน่นอนแฟนเพลงไม่ใช่นักวิเคราะห์ตลาดให้ค่ายเพลง แต่เดิมเมื่อ Take That ออกอัลบั้ม มันก็มีค่าใช้จ่ายเพื่อการทำหนึ่งอัลบั้ม ตอนนี้จะมาแตกหน่อเป็น 2, 3 หรืออาจจะเป็น 4 อัลบั้มเดี่ยวของแต่ละคน งบประมาณก็เริ่มไม่พอแบ่งสรรปั่นส่วน เจ้าของเงินอย่าง BMG บวกลบลูกคิดแล้วก็มองว่าอัลบั้มเดี่ยวของคนที่เป็น “the dancer” ของวงอย่าง Howard น่าจะไม่รอด โครงการออกอัลบั้มของเฮียเลยต้องถูกพับไปทั้งๆ ที่อัดเพลงซิงเกิ้ลแรกพร้อมถ่ายวีดีโอเสร็จเรียบร้อยแล้ว ความฝันของการเป็นศิลปินเดี่ยวของ Take That คนแรกก็เลยปิดฉากลงด้วยประการละฉะนี้ เข้าใจว่า (ไม่ชัวร์นะ) ผลพวงจากการเตรียมงานเดี่ยวของ Howard ก็ตกทอดมาถึงเด็กในสังกัด NMS อีกคน หลายๆคนในนี้อาจจะร้องอ๋อเมื่อเอยชื่อ เพลง Crazy Chance ของหนุ่มน้อย Karvana เพลงนี้เป็นฝีมือแต่งเนื้อร้องและทำนองโดย Howard Donald ล้วนๆ ไม่เสียแรงศิษย์ Gary เอ๊ย Take That Academy เนอะ แก้ไขเมื่อ 20 ก.ค. 53 02:18:01 จากคุณ : Song iS A beautifuL LiE เขียนเมื่อ : 20 ก.ค. 53 02:11:24

ความคิดเห็นที่ 10 เราจะพักเรื่องของ Howard เอาไว้แค่นี้ก่อน แล้วมาตามดูว่าที่ศิลปินเดี่ยวคนอื่นๆ ของวงกันบ้าง ยังก่อน เราจะยังไม่พูดถึงเฮีย Gaz  หรืออีตาบ้าอีกคนหนึ่งนั่น ?!?!? ลองมาติดตามพ่อหนุ่มที่ขึ้นชื่อว่ามีแฟนคลับมากที่สุดในวงกัน ว่ากันว่าจดหมายแฟนๆที่มาถึง Take That มากกว่า 50% เป็นของหนุ่มตัวเล็กที่ชื่อว่า Mark Owen Mark ตั้งใจเต็มที่กับการออกงานเดี่ยวทั้ง ๆ ที่ตอนเริ่มต้นกับ Take That หนุ่มน้อยหน้าละอ่อนคนนี้ร้องเพลงแทบจะไม่เป็นเลย กระนั้น 6 ปีที่อยู่กับ Take That ไม่ได้สอน Mark แค่การทำงานเพลง มันยังสอนเขาด้วยว่าไม่มีอะไรที่จะได้มาโดยไม่พยายาม เมื่อ Take That ปิดฉาก Mark ซื้อเปียโนมือสองต่อจาก Gary แล้วก็เก็บตัวตั้งหน้าตั้งตาเขียนเพลง ทั้งๆที่ในสถานะแบบเขาจะเลือกหาเพลงจากนักแต่งดังๆ คนไหนก็ได้ แต่ Markie ก็เลือกที่จะเดินทางนี้ จากคนที่มีความรู้ทางดนตรีเป็นศูนย์ตอนเริ่มกับ Take That มีเครดิตแต่งเพลงร่วมเล็กๆ ให้วงก็แค่สองเพลง Mark ใช้เวลา 5 เดือนหัดแต่งเพลง เขียนๆๆ จนออกมาเป็น 12 เพลงที่อยู่อัลบั้มเดี่ยวอันแรกของเขา Green Man กลายเป็นเซอร์ไพรส์ของงานเมื่อ Mark กลายเป็นคนแรกของวงที่ออกอัลบั้มเดี่ยว ไม่ใช่ Gary หรือ Robbie อย่างที่ใครๆ คาดคิด ไม่แค่นั้น Mark ยังตั้งใจเดินห่างจากความเป็น Take That ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ โดยเลือกที่จะทำงานร่วมกับ John Leckie โปรดิวเซอร์คู่บารมีของ The Stone Roses เจ้าพ่อเพลงอินดี้ของอังกฤษนั้นเอง ส่วนตัวตอนที่รู้ว่าได้ John Leckie มาเป็นโปรดิวเซอร์ให้ Mark นี่โคดดีใจเลย ตอนนั้นกำลังบ้า The Roses มากๆ -หลังจากบ้า The Bend ของ Radiohead ที่ John เป็นโปรดิวเซอร์ให้เหมือนกันไปแล้ว- ด้วยความชอบโปรดิวเซอร์เลยให้คะแนน Markie มากเป็นพิเศษ ในบรรดางานเดี่ยวอัลบั้มแรกของสมาชิก Take That เราถูกจริตกับงานของ Mark ที่สุด โดยเฉพาะกับเพลงนี้ ไม่แน่ใจว่าปีไหน แต่จากทรงผม น่าจะเป็นไลฟ์ช่วง 2004 Mark ร้องเพลงดีขี้นมากจริงๆ จากคุณ : Song iS A beautifuL LiE เขียนเมื่อ : 20 ก.ค. 53 02:25:33

ความคิดเห็นที่ 11 Take That เป็นเหมือนฟองสบู่อันใหญ่ที่สมาชิกทุกคนอยู่ข้างในและต้องค่อยประคับประคองมันไว้ สมาชิกของวงแต่ละคนถูกวางบทบาทไว้อย่างชัดเจน และต้องสวมบทไปตามนั้นตลอดเวลาเพื่อการคงอยู่ของฟองสบู่ จนความเป็นตัวตน ความเชื่อมั่นในตัวเองของแต่ละคนถูกกดให้ลดลงไปเรื่อยๆ โดยที่คนภายนอกซึ่งมองวงผ่านฟองสบู่ไม่เคยรู้ เมื่อฟองสบู่แตก Mark-the baby face ต้องกลับมาเป็น Mark Owen ที่โดนแต่คำสบประมาท เราว่ามันทำให้เขาเลือกที่จะเดินในทางที่ฉีกออกไปจาก Take That อย่างสุดโต่งเพื่อพยุงความเป็นตัวตนของเขาไว้ แต่สุดท้ายความเป็น the baby ใน Take That ก็กลายเป็นตราบาปสำหรับการออกงานเดี่ยวของ Mark อัลบั้มกับซิงเกิ้ลแรกๆ อย่าง Child และ Clementine ทำตำแหน่งในชาร์ทได้ดีมากก็จริงแต่ไม่สามารถยืนระยะยาวได้ แฟนเก่าๆ ของ Mark บางส่วนรับไม่ได้กับการหันเหออกจากป๊อบของเขา ในขณะที่เด็กอินดี้ก็มองว่าเขาแค่ทำตัวเกาะกระแสบริทป๊อบที่ยืดหัวหาดชาร์ทเพลงอยู่ตอนนั้น เรียกว่าอีกซักพักใหญ่ๆ เลยกว่าที่คนจะเริ่มเข้าใจในความตั้งใจของ Mark เลยกลายเป็นว่า Green Man ทำให้เขาหมดที่ยืนในวงการดนตรี BMG ตัดสินใจยกเลิกสัญญากับเขาหลังจากอัลบั้มทำยอดไม่ได้ตามเป้า มันทำให้ความเชื่อมั่นของ Mark ถูกบั่นทอนลงไปอีก เขาถดถอยออกไปอยู่กับตัวเอง หมกตัวอยู่แต่ในบ้าน ใช้เหล้าเป็นที่ระบาย พร้อมกับเฝ้าแต่งเพลงที่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะมีโอกาสปล่อยออกมาให้คนภายนอกได้ฟัง จริงๆ ภาพความเป็นอินดี้ของ Mark ในตอนนั้นมันเหมือนว่าเขาพยายามมากเกินไปจนคนดูเข้าไม่ถึง ดูคลิปนี้ที่ไรก็ได้แต่ขำ ทั้งๆที่ I Am What I Am เป็นเพลงที่เรารู้สึกว่าเนื้อหามันสื่อความนึกคิดของ Mark Owen จริงๆ โดยเฉพาะท่อนขึ้นที่บอกว่า ทุกๆคนเฝ้าแต่จะมองเขา ตัดสินเขาผ่านมุมมองแคบๆ เท่ารูเข็ม Looking at me through the eye of a needle is a scary thing to do I feel a mole hill lies in front of me to climb แก้ไขเมื่อ 20 ก.ค. 53 02:48:26 จากคุณ : Song iS A beautifuL LiE เขียนเมื่อ : 20 ก.ค. 53 02:35:33

ความคิดเห็นที่ 12 ในขณะที่ Mark เลือกที่จะสร้างฟองสบู่ใหม่ให้ตัวเอง Jason เลือกจะหายตัวไปกับฟองสบู่ Take That ที่สลายไป ในบรรดาห้าคน เรามองว่าพี่ Jay เป็นคนที่โดนความเป็น Take That ขยี้ความเชื่อมั่นในตัวเองออกไปมากที่สุด   ความที่เป็นคนหัวแข็ง NMS มักจะหาทางที่จะกดดันให้เขากับ Robbie เชื่อฟังคำสั่งมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ NMS มีวิธีที่ทำให้ Jason รู้สึกว่าไร้ค่าได้ (มีข่าวลือว่า) ทำแม้กระทั่งแอบปิดไมค์พี่ Jay ตอนร้องเพลง Gary เชื่อว่าส่วนหนึ่งที่ทำให้ NMS ร้ายกาจกับ Jason ก็เพราะเขาแอบชอบพี่ Jay อยู่ (ออกจะฮอตขนาดนั้น ใช่มั้ย :D) แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม ความเป็นคนคิดมาก ความเครียดสะสม อาการเบื่อหน่ายกับชีวิต 6 ปีใน Take That ทำให้ Jason เลือกที่จะหันหลังให้วงการโดยสิ้นเชิงหลังจากยุบวง เขาเลือกที่จะหายตัวออกท่องเที่ยวไปในที่ที่ไม่เคยได้สัมผัสอย่างจริงจังในช่วงเวลาที่อยู่กับวง และหนึ่งในนั้นก็คือ Thailand (ง่ะ ทำไมตอนนั้นไม่รู้เรื่องเลย) ว่ากันว่าพี่ Jay มาพักอยู่เกาะพะงันตั้งสามเดือน (ตามที่ดีเจเคธี กรอสบอก แต่ทำไมไม่มีใครบอกเราเลย แอบร้องไห้กระซิกๆ) นอกจากนั้น Jason ยังแบ็กแพ็กไปตามที่ต่างๆ ทั้งในเอเชีย ยุโรป และอเมริกาอยู่นานเหมือนกัน เพราะฉะนั้นว่ากันจริงๆ ชีวิตหลัง Take That ของแต่ละคนไม่ได้รันทดดังวงเวียนชีวิตอะไรนักหรอก เพราะเงินที่หาได้ช่วงเป็น Take That นั้นมากจนเกินพอ ที่เป็นปัญหาคงเป็นสภาพจิตใจของแต่ละคนมากกว่าว่าจะปรับตัวได้มากน้อยแค่ไหน พี่ Jay ช่วงเบรกนี่ดูน่ารักน่าหม่ำที่สุดแล้ว หาวีดีโอยากมาก แต่เห็นแล้วเคลิ้มเลย <ขออนุญาตออกอาการกรุ๊ปปี้เล็กน้อย> แก้ไขเมื่อ 20 ก.ค. 53 02:47:05 แก้ไขเมื่อ 20 ก.ค. 53 02:46:12 จากคุณ : Song iS A beautifuL LiE เขียนเมื่อ : 20 ก.ค. 53 02:44:29

ความคิดเห็นที่ 13 ต้องออกตัวก่อนว่าเราเล่าเรื่องครั้งนี้ พยายามตั้งอยู่บนความจริงให้มากที่สุด แต่หลายๆ จุด มันก็เป็นแค่การตีความของเราเอง แน่นอนว่าหลายๆ คนคงจะรอพระเอกเปิดตัวอยู่ ซึ่งก็อาจจะไม่ใช่พระเอกในความรู้สึกของทุกคน แต่เราจะยกให้เขาเป็นไปก่อน เพราะนี่คือนิยายของ Take That Gary Barlow น่าจะเป็นคนเดียวที่การอยู่ใน Take That ช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้เขามีมากขึ้นไปกว่าแต่ก่อน ทั้งประสบการณ์ทำงาน เครดิตในวงการในฐานะนักแต่งเพลง-นักร้องนำของวงเป็นฐานให้กับงานเดี่ยวของ Gary ได้เป็นอย่างดี และไม่ใช่แค่ในอังกฤษเท่านั้นที่เขาถูกจับตามอง Gary ถูกคาดหวังมาจากที่ที่ไกลกว่านั้น ...จากอเมริกา Clive Davis นายใหญ่ Arista Records ค่ายที่ปั้นศิลปินระดับโลกอย่าง Whitney Houston มาแล้ว เห็นแวว Gary มาได้ซักพัก (ตั้งแต่เซ็นสัญญาให้ Take That ออก Back For Good ที่อเมริกา) เพราะฉะนั้นนอกเหนือไปจากเซ็นสัญญากับ BMG ที่อังกฤษ Gary ยังเตรียมพร้อมที่จะออกอัลบั้มเดี่ยวของเขาที่อเมริกาเช่นกัน (สำหรับศิลปินอังกฤษ ถือเป็นเรื่องใหญ่มาก) the next George Michael, the new Elton Johns สารพัดฉายาที่สื่อตั้งขึ้นมาเพื่อเรียกพระเอกของเรา ดูเหมือนหนทางการเป็นศิลปินเดี่ยวของ Gary จะโรยด้วยกลีบกุหลาบ Forever Love ซิงเกิ้ลแรกในฐานะ Gary Barlow เปิดตัวในเวลาแค่ไม่กี่เดือนหลังจาก Take That ยุบวง (เมษาถึงกรกฎา Gary เป็นคนแรกที่ออกซิงเกิ้ล แต่พอถึงอัลบั้ม Mark กลับออกก่อน) เมื่อตีเหล็กตอนที่ยังร้อน จึงไม่น่าแปลกใจที่เพลงนี้จะได้ซิงเกิ้ลอันดับหนึ่งไปอย่างง่ายดาย ส่วนตัวเฉยๆ กับเพลงนี้ตอนที่มันออกมา ความรู้สึกคือ ก็บัลลาดอีกเพลงของ Gary ไม่มีอะไรแปลกใหม่ แต่จากตอนนี้พอมองย้อนกลับไปมันกลายเป็น เนี้ยแหละบัลลาดของ Gary Barlow กลายเป็น signature ไปแล้ว รีบดูซะก่อนจะโดนดูดเข้าหลุมดำอีก Sony ใจร้าย แก้ไขเมื่อ 20 ก.ค. 53 03:13:54 จากคุณ : Song iS A beautifuL LiE เขียนเมื่อ : 20 ก.ค. 53 03:10:13

ความคิดเห็นที่ 14 สิ่งที่ Gary ลืมไปก็คือในทางที่เขาก้าวขึ้นสู่ความสำเร็จ มันมีตาปลาใครบ้างที่เขาเผลอไปเหยียบเข้า แต่แน่นอนว่าคนที่โดนเหยียบนะ จำขึ้นใจ ปฏิกิริยาของ Robbie หลังออกจากวงเป็นสิ่งที่สมาชิกที่เหลือแปลกใจกับมันไม่น้อย โดยเฉพาะกับพระเอกของเราที่ตกเป็นเป้าโจมตีของเฮีย Rob มากที่สุด Gary กับ Jason อาจจะเป็นสมาชิกที่เสียงดังที่สุดในเหตุการณ์ที่ทำให้ Robbie ออกจากวง แต่เฮีย Gaz ไม่เคยคิดเลยว่ามันจะทำให้ Robbie หันมาเล่นงานเขามากขนาดนี้ ถ้าพูดกันตามจริง ความสัมพันธ์ใน Take That อาจจะไม่ใช่สิ่งที่เรียกว่า Best Friend Forever แต่ Gary ก็เชื่อเสมอว่ามันเป็นเรื่องประหลาด (ในทางที่ดี) ที่คนแปลกหน้าห้าคน สามารถอยู่ด้วยกันด้วยดีมาได้ยาวนานขนาดนี้ ชีวิตใน Take That อาจจะมีเรื่องทุกข์ร้อนบ้าง แต่กับความสัมพันธ์ของพวกเขาทั้งห้าในช่วงเวลานั้น มันมีแต่เสียงหัวเราะ Gary และคนอื่นๆที่เหลือไม่เคยรู้สึก (หรือจะเรียกว่าไม่รับรู้ก็ได้) ว่า Robbie มีความขัดข้องหมองใจกับวงขนาดไหน ตั้งแต่ Robbie เดินจากมา สองสิ่งที่เกิดประจำกับเฮีย Rob ก็คือภาพเฮียเมาหัวราน้ำออกมาจากผับและคำสัมภาษณ์โจมตี Take That Robbie มองว่าวงกับ NMS เป็นเหมือนขุมนรกที่กักขังเขาไว้ตลอด 6 ปีที่ผ่านมา ภาพของ Gary ที่ฝังอยู่ในความคิดของ Rob ตอนนั้น คือ ‘เห็นแก่ตัว’ ‘งี่เง่า’ ‘โลภมาก’ ซึ่งก็พอจะเข้าใจได้ ในเมื่อ Gary เป็นคนคอนโทรลแทบจะทุกอย่างในวง  รองมาจาก NMS อีกเรื่องหนึ่งที่น่าจะสร้างความหงุดหงิดให้กับเขาคงเป็นเงื่อนไขการยกเลิกสัญญากับ BMG   ซึ่งห้ามไม่ให้ Robbie Williams ออกผลงานใดๆ ก่อน Gary Barlow อย่างเด็ดขาด ผลก็คือซิงเกิ้ลแรกของ Robbie ที่ออกกับบริษัทลูกของ EMI ต้องออกหลัง Forever Love สองอาทิตย์ แถมยังโดยขวัญใจวัยรุ่นวงใหม่อย่าง Spice Girls ชิงอันดับหนึ่งในชาร์ทไปได้ด้วย กระนั้นจะโดยตั้งใจหรือไม่ก็ตาม เฮีย Rob ดันหยิบ Freedom งานเก่าของ George Michael มาคัฟเว่อร์ เหมือนจะเป็นการตบหน้า Gary แบบกลายๆ ในฐานะเด็กเก่าเฮีย Rob ชอบมากเพลงนี้ ทั้งเอ็มวี ทั้งเพลง จากคุณ : Song iS A beautifuL LiE เขียนเมื่อ : 20 ก.ค. 53 03:28:03

ความคิดเห็นที่ 15 <หลังจากนี้จะเริ่มด้นสดแล้ว ผิดพลาดและช้าไปขออภัยด้วย> ช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุดของ Robbie คงเป็นช่วงหลังจากที่เขาเดินออกมาจาก Take That อาการติดยาติดเหล้าของเขายิ่งหนักข้อขึ้นทุกวัน การสุมหัวอยู่กับสองพี่น้อง Gallagher มีแต่ทำให้อะไรๆ แย่ไปกว่าเดิม ยิ่งชีวิตเละเทะเท่าไหร่เฮีย Rob ดูจะยิ่งโทษวงและ Gary มากขึ้นเท่านั้น และแล้วสงครามของ Ex-Members of Take That ก็เริ่มขึ้น สื่อได้โอกาสตีไข่ใส่สีกันสนุกกับคำสัมภาษณ์ของทั้งสองฝ่าย ตัว Gary เองในตอนแรกก็เหมือนจะลอยตัวกับสงครามน้ำลายครั้งนี้ อย่างที่บอก เขาไม่เคยมีมุมมองที่เป็นภาพลบกับ Rob สำหรับ Gary ผู้ชายที่ยืนด่าเขาปาวๆ ทุกวัน ไม่ใช่ไอ้น้องตัวตลกประจำวงคนเดิม แรกๆ ก็คงงงๆ อารมณ์ว่ามันเป็นอะไรของมันฝ่ะ ซักพักหนักๆ เข้าก็เป็นอาการ แม่_ เป็นห่_อะไรของมึ_ ว่ะ จึงไม่น่าแปลกใจที่เฮีย Gaz จะแอบสะใจจนต้องออกไปฉลอง ตอนที่ซิงเกิ้ลของ Robbie ได้เข้าชาร์ทแค่อันดับที่สอง แต่นั้นก็เป็นไปตามอารมณ์ระห่ำของคนหนุ่มทั่วๆ ไป เอาเข้าจริง Gary ไม่มีเวลาที่จะมานั่งทำสงสรามสื่อกับเฮีย Rob เพราะเขามีเรื่องต้องทำมากกว่านั้น อเมริกากำลังรอเขาอยู่ Clive Davis มุ่งมั่นกับการที่จะปั้น Gary Barlow มากจนแทบจะเรียกว่า GB ขออะไรเป็นได้หมด อยากทำงานกับนักแต่งเพลงคนไหน โปรดิวเซอร์คนไหน บอกมาก ป๋า Clive สั่งให้ ชื่ออย่าง Diane Warren หรือ Davis Foster คนฟังเพลงสากลคงจะรู้จักดี ไม่ต้องห่วง เสร็จพี่ Gaz มาหมดแล้ว แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีเรื่องยุ่งยาก เว่อร์ชั่นแรกของอัลบั้มเดี่ยวพี่ Gaz ถูกป๋า Clive ปัดทิ้งลงถังทำให้ต้องถูกเลื่อนวงแผงไปเกือบครึ่งปี (Markie เลยได้ชิงออกก่อน) เหตุผลเพียงเพราะค่ายไม่คิดว่าเพลงที่ Gary แต่งเองทั้งหมดจะเหมาะกับตลาดอเมริกา Open Road เปิดตัวในอังกฤษด้วยอันดับหนึ่งตามคาดหมาย ยังไม่มีใครหยุด GB ได้ ในงานเดี่ยวเฮีย Gaz เราชอบเพลงนี้ที่สุด มันดูมีอารมณ์ มีความรู้สึก และก็เป็นเพลงที่ Gary แต่งเอง แก้ไขเมื่อ 20 ก.ค. 53 04:43:26 จากคุณ : Song iS A beautifuL LiE เขียนเมื่อ : 20 ก.ค. 53 04:39:38

ความคิดเห็นที่ 16 กรี๊ดดดดดด เห็นรูปแล้วขนลุกเลยครับ รออ่านจบก่อนค่อยเม้นต์ทีเดียวละกัน จากคุณ : strawberry machine gun เขียนเมื่อ : 20 ก.ค. 53 10:56:49

ความคิดเห็นที่ 17 ถ้าให้ออกตัวแทนเฮีย Rob เราว่า Robbie หลังจากออกจาก Take That เขาอยู่ในสภาวะที่ความรู้สึกนึกคิดไม่สมบูรณ์ ปัญหาเรื่องเหล้ายาที่มีตั้งแต่ก่อนออกจากวงไม่ได้ดีขึ้นมาเลย ดูเหมือนมีแต่จะแย่ลง การที่ NMS พยายามฟ้องเรียกค่าเสียหายจาก Robbie ข้อหาเดินออกจากวงก่อนกำหนดก็ไม่ได้ช่วยให้อะไรๆ มันดีขึ้น เราว่า Robbie รู้สึกกับวงรวมทั้งพี่ชายอีกสี่คนที่บีบให้เขาเดินจากมาในลักษณะของคนที่รักมากก็แค้นมาก สุดท้ายเขาเลยไม่ลังเลที่จะเอาคืนทุกครั้งที่มีโอกาส แต่ก็มีหลายครั้งที่เขาออกมาให้สัมภาษณ์เสียใจกับคำพูดต่างๆ ที่เขาพูดไปโดยไม่ทันคิด แต่กลับกันไม่ทันไรเฮีย Rob ก็จะหักมุมหันกลับมางับอดีตเพื่อนร่วมวงอีกรอบ Robbie ออกซิงเกิ้ลแรกและซิงเกิ้ลที่สองของเขาจากเดบิตอัลบั้ม Life thru a Lens ในสภาพที่สะบักสะบอมจากอาการติดยา จนสุดท้ายต้องเข้าสถานบำบัดตามคำแนะนำของ Elton Johns และ George Michael ส่วนสถานการณ์ในฐานะศิลปินเดี่ยวของเขาก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันเท่าไหร่เลย Life Thru a Lens เข้าชาร์ทครั้งแรกไม่ถึงแม้กระทั่ง Top 10 ผู้คนเริ่มที่จะขีดฆ่าผู้ชายที่ชื่อ Robbie Williams ออก แก๊งค์ Gallaghers ที่เคยสนับสนุนก็แตกคอกัน เพลงที่โนลสัญญาว่าจะแต่งให้ก็เป็นหมัน อะไรๆ ก็ดูจะไม่โสภาเลยสำหรับ Rob น้อย ในเวลาเดียวกับที่ Rob ตะเกียตะกายหาทางเซฟชีวิตการเป็นศิลปินเดี่ยวของเขา คู่แข่งคนสำคัญอย่าง Gary กลับตั้งหน้าตั้งตาทำภารกิจใหญ่ที่สำคัญของชีวิต เจาะตลาดอเมริกา Gary เคยบอกว่าอย่าไปเอาอะไรกับ Robbie นัก วันหนึ่ง Rob อาจจะพูดอย่าง ตื่นขึ้นว่าโลกก็อาจจะเปลี่ยนไปแล้วสำหรับ Robbie อย่างในสัมภาษณ์นี้ตอน 1997 ก็เข้ามาแหย่ Gary ซะอย่างงั้นทั้งๆ ที่เพิ่งด่าเขาปาวๆ ว่าเป็น the worst song writer นาทีที่ 0.55 จากคุณ : Song iS A beautifuL LiE เขียนเมื่อ : 20 ก.ค. 53 11:39:44

ความคิดเห็นที่ 18 Gary ทุ่มความพยายามทั้งหมดให้กับตลาดอเมริกา เรียกว่าเดิมพันหมดหน้าตักโดยไม่ได้รู้ว่าผลที่จะได้คืออะไร ความจริง การที่เขาต้องทำอัลบั้มแรกใหม่เกือบทั้งหมดตามคำสั่งบอสใหญ่อย่าง Clive Davis จากคนที่แต่งเพลงเองเกือบทั้งหมด ต้องมาใช้นักแต่งอื่น น่าจะเป็นการส่งสัญญาณบางอย่างให้พี่ Gaz ของเรากลายๆ ได้แล้ว แต่ Gary ก็เลือกที่จะเพิกเฉยกับสันชาตญาณของตัวเอง ยอมให้คนอื่นเข้ามาบงการชีวิต เพียงเพื่อคำว่าความสำเร็จ Arista มอง Gary เป็นลูกรักถึงขนาดให้ขึ้นงานคอนเสิร์ต Pre-Grammy ของค่าย เวทีสำหรับแจ้งเกิดศิลปินหน้าใหม่ในปีที่จะมาถึง สื่อมวลชนแทบทุกสำนักต้องมารวมตัวกันที่งานนี้ แต่สุดท้ายมันกลายเป็นเวทีหายนะของ Gary การแสดงที่ไม่ได้เรื่องแทบจะฆ่าหนทางในอเมริกาของเขาไปแล้วครึ่งหนึ่ง พอไม่มี buzz จากสื่อ การเจาะตลาดอเมริกาก็กลายเป็นงานหินไปซะแล้ว เข้าสถานีวิทยุโน้น ออกไปเข้าสถานีวิทยุอีกเมือง ขึ้นเครื่อง บินไปอีกรัฐ ทำเหมือนเดิมใหม่ กลายเป็นว่าเขาต้องกลับมาเป็นเหมือนตอนเริ่ม Take That ใหม่อีกครั้ง เพียงแต่มันคงจะดีกว่านี้ถ้าเขาไม่เคยลิ้มรสความสำเร็จแบบ Take That มาแล้ว สุดท้าย Open Road ก็ทำไม่ได้ดีไปกว่าอันดับใน Adult Contemporary Chart ของ Billboard ซิงเกิ้ลทั้งหลายเข้าไม่ถึง Top 40 ของ Billboard Hot 100 เลย และในระหว่างที่เขากำลังดิ้นเป็นหนูถีบจักรอยู่ที่อเมริกา Gary ไม่มีทางรู้เลยว่าอะไรกำลังรอเขาอยู่ที่บ้านเกิด Love Won’t Wait เพลงที่ต่อมากลายเป็นซิงเกิ้ลอันดับหนึ่งของเขาอีกอันในอังกฤษ ทว่าในเวลาที่ขึ้น Pre-Grammy เขาเพิ่งจะได้เข้าห้องอัดเพลงนี้ไม่กี่อาทิตย์ที่ผ่านมา ที่สำคัญมันไม่ใช่เพลงของเขา ผลก็คือจำเนื้อไม่ได้ สุดท้ายเลยจบแห่ จริงๆ เราว่าเพราะเฮีย Gaz ยังเต้นไม่เป็นเหมือนเดิมมากกว่า แล้วเฮียยังจะเอาเพลง Madonna แต่งมาร้องเนี้ยนะ แก้ไขเมื่อ 20 ก.ค. 53 12:23:25 จากคุณ : Song iS A beautifuL LiE เขียนเมื่อ : 20 ก.ค. 53 12:18:49

ความคิดเห็นที่ 19 โชคชะตาเป็นเรื่องตลก หลังจากออกไปสามซิงเกิ้ลภาพการเป็นศิลปินเดี่ยวของ Robbie ดูจะยังไม่ชัดเจนเลย มีข่าวลือด้วยซ้ำ (จริงๆ คือตัว Rob เป็นคนเล่าเอง) ว่าใน EMI เริ่มมีการส่งจดหมายเวียนในระดับสูงว่า 'Drop him.' มันเลยเป็นเหมือนฟ้าประทานที่ต้นสังกัดตัดสินใจส่งซิงเกิ้ลสุดท้ายออกมาจองตลาดช่วงคริสมาสต์ เพลงที่ชื่อว่า "Angels" ถ้าตั้งชื่อตามหนังจีนก็คงต้องบอกว่าเป็น "เพลงดาบพิฆาตฟ้า" เพลงเดียวพลิกสถานการณ์จากหลังเท้าเป็นหน้ามือ Angels ทำให้ Life Thru a Lens ขึ้นเป็นอัลบั้มอันดับหนึ่งหลังจากล่องลอยต่ำเตี้ยอยู่ในชาร์ทนานกว่า 28 สัปดาห์ และมันทำให้ Robbie Williams กลายมาเป็น Global Superstar (เอาเข้าจริงๆ ตัวเพลงกลับไม่เคยได้อันดับหนึ่งในชาร์ทเลย) อีกสิ่งหนึ่งที่เราได้มาพร้อม Angels ก็คือคู่หูคนสำคัญของ Robbie ผู้ชายที่ชื่อว่า Guy Chambers Rob เคยพยายามมาตลอดตั้งแต่ในตอนที่เขาอยู่ใน Take That ว่าเขามีความสามารถมากกว่าแค่ขายหน้าตาไปวันๆ Robbie อยากแต่งเพลง แน่นอนว่าในแง่ดนตรีเขาทำไม่ได้ เขาจึงได้ Guy มาเติมเต็มในส่วนนั้น Life Thru a Lens จบลงที่ 2.4 ล้านแผ่นในอังกฤษ จากไอ้ขี้ยา กลายเป็นซูปเปอร์สตาร์ ชัยชนะไม่เคยหอมหวานขนาดนี้มาก่อนเลย คงปฏิเสธไม่ได้กับพลังของเพลงที่ชื่อว่า Angels ส่วนตัวเราชอบ Live นี้ที่สุดในบรรดาที่ดูมาทั้งหมด เป็น Robbie Williams ในจุดที่สูงที่สุด โลกทั้งโลกเหมือนอยู่ในกำมือเขา จากคุณ : Song iS A beautifuL LiE เขียนเมื่อ : 20 ก.ค. 53 13:00:56

ความคิดเห็นที่ 20 เอางัยดีละเฮีย Gaz ไอ้หนู Rob มันแซงหน้าไปแล้ว Gary กลับจากอเมริกาเพื่อมาเจอกับ Robbie Land แทนที่จะเป็น England สำหรับสื่อเขากลายเป็นผู้พ่ายแพ้ในสงครามครั้งนี้ สงครามที่เขาไม่เคยคิดจะร่วมวงต่อสู้ คนอังกฤษชอบเชียร์ underdog โดยเฉพาะกับ underdog ที่มีดีอย่าง Robbie คนดูจะให้ความใส่ใจ ส่งเสริมมากกว่า พอทหารเอกพ่าย Gary ก็กลายเป็นเป้าขึ้ปากสื่อแท๊บลอยด์อังกฤษที่สรรหาสารพัดเรื่องมาล้อเลียน การพลิกชนะของม้ามืดกลายเป็นเรื่องถูกใจคนมากกว่า Barlow ที่แสนจะน่าเบื่อกับบัลลาดสามนาทีของเขาจึงไม่มีความหมายอีกต่อไปแล้ว จากคำบอกเล่าของ Gary เวลาที่สื่ออังกฤษตั้งป้อมโจมตีคุณ อย่าได้คิดที่จะหลบ และไม่มีอะไรที่คุณจะใช้กู้สถานการณ์นั้นได้ พอมีแต่ข่าวในเชิงลบ แน่นอนว่ายอดขายก็ต้องได้ผลกระทบตามไปด้วย Twelve Months, Eleven Days อัลบั้มที่สองของ Gary ใช้เวลาตามนั้นจริงๆ ในการทำ และในโลกของเพลงป๊อบ เวลาคือหัวใจ ถ้าคุณชักช้า คนฟังก็จะหันไปหาสิ่งใหม่ที่น่าตื่นเต้นมากกว่า มันกลายมาเป็นบทเรียนที่เฮีย Gaz ต้องเรียนรู้อย่างเจ็บปวด อัลบั้มเข้าอันดับแย่ยิ่งกว่าอัลบั้มแรกของ Robbie ชิงเกิ้ลก็เจอชะตากรรมไม่ต่างกัน หน่ำซ้ำยังไม่มี Angels เป็นไม้ตายอยู่ในกระเป๋า BMG เลยตัดสินใจ drop เฮีย Gaz ... ทางโทรศัพท์ กับผู้ชายที่แต่งเพลง ขายเพลงกว่า 30 ล้านแผ่นทั่วโลกให้บริษัท เดินทางทั่วโลกเพื่อขายแผ่นพวกนั้นให้บริษัท เขากลับถูกบอกเลิกสัญญาทางโทรศัพท์ คงจะไม่มีวันไหนที่ Gary จะรู้สึกเจ็บปวดไปมากกว่านี้อีกแล้ว คลิปนี้คงจะใกล้เคียงสุดกับช่วงเวลานั้นของ Gary เป็นคลิปสัมภาษณ์ตอนอัลบั้มชุดที่สอง ช่วงที่มีเดียเล่นงานเขาหนักที่สุด ฟังที่ Gary เล่น Million Love Songs กับ Back For Good ตอนท้ายแล้วอิน แก้ไขเมื่อ 20 ก.ค. 53 14:06:22 แก้ไขเมื่อ 20 ก.ค. 53 14:03:35 จากคุณ : Song iS A beautifuL LiE เขียนเมื่อ : 20 ก.ค. 53 13:58:07

ความคิดเห็นที่ 21 มาเนียนๆ บอกว่าเป็นแฟนคลับวงแรกและวงเดียวของเราเลยค่ะ (เฮ้อ รู้อายุหมด) ติดตามตั้งแต่อัลบั้ม2 จนกระทั่งอัลบั้ม Back for good ตอนนั้นเพลงนี้ได้ขึ้นอันดับ 4 ของ US Billboard เรามีแผ่นแทบจะทุกแผ่นของวงนี้ ถึงขั้นสมัครเป็นสมาชิก official fanclub มีหนังสือมีอะไรมากมาย (บ้าเนอะ เข้าใจเด็กๆ สมัยนี้บ้าวงเกาหลีเลยทีเดียว) ได้ไปดูคอนเสิร์ตที่เมืองไทย ซึ่งคนน้อยมากๆ ด้วย แต่พอมารวมกันอีกที เราก็ไม่ค่อยได้ฟังแล้วค่ะ แก่แล้วๆ อิๆ จากคุณ : Rurujung เขียนเมื่อ : 20 ก.ค. 53 14:43:36

ความคิดเห็นที่ 22 คู่แข่งคนสำคัญก็หายไปแล้ว ตลาดเพลงของอังกฤษในตอนนั้นก็ไม่มีนักร้องเดี่ยวคนไหนที่พอจะขึ้นมาทาบรัศมี กระแสบริทป๊อบก็เริ่มวาย ตลาดเริ่มต้องการ entertainer มากกว่าอีตาเลียมยืนไขว้มือร้องเพลง ตอนนี้ทุกๆ อย่างเหมือนถูกถวายพานให้ Robbie Williams 1998 - Brit Awards, 2 1999 - Brit Awards, 3 2000 - Brit Awards, 2 ... MTV Awards และอื่นๆ อีกมากมายนับไม่ถ้วน ยุโรป เอเชีย ละตินอเมริกา ออสเตรเลีย ชื่อ Robbie Williams ขายได้หมด (ยกเว้นอเมริกา สงสัยชาติที่แล้วบรรพบุรุษของไอ้พวกนี้ไปกดขี่บรรพบุรุษคนอเมริกันไว้เยอะ) เรามองว่าความสำเร็จของเฮีย Rob ส่วนหนึ่งเป็นเพราะชีวิตเฮียเป็นเหมือน open book สำหรับคนทั่วไป นับตั้งแต่อายุ 16 ผู้ชายคนนี้ไม่เคยที่จะห่างจากสปอตไลท์ เรื่องส่วนตัว เรื่องงาน ทุกคนได้เห็นได้สัมผัสกันเต็มๆ เวลาคุณฟังเพลง Robbie Williams คุณไม่ได้ฟังแค่เพลง คุณฟังตัวตนของผู้ชายคนนี้ คุณเสพชีวิต Robbie และหนึ่งส่วนในชีวิตที่ศิลปินระดับโลกคนนี้คอยสะกิดให้คุณได้ยินได้ฟังเสมอก็คืออดีตที่ขมขื่นของเขากับวงที่ชื่อ Take That ผี Take That ไม่เคยตายไปจากใจ Robbie สมาชิกสี่คนที่เหลือของวงก็แทบจะไม่มีใครโผล่หน้ามาให้เห็น แต่เป็น Robbie ที่คอยขุดไอ้บอยแบนด์วงนั้นมาให้คนจำชื่อเล่นๆ ติดสมองเสมอๆ ทั้งๆ ที่เขา "ชนะ" ในทุกอย่างแล้ว ส่วนหนึ่งลึกๆ เราว่าเฮีย Rob ยังฝังใจกับวงอยู่เพราะยังงัยมันก็เป็นความผูกผัน อารมณ์แบบในเพลงอย่าง No Regrets มันเป็นความโกรธที่ซ่อนความอาลัยอาวรณ์อยู่ ถ้าดูตามเนื้อเพลง ตอนที่ทำตำนานคอนเสิร์ต 3 วันคนดูกว่า 300,000 คนที่ Knebworth Robbie ก็ยังไม่วายจิ้ม Mark, Jason, Howard, Gary เราเชื่อว่า Rob ร้องเพลงนี้ด้วยอารมณ์จริงๆ ในคอนนี้ จากคุณ : Song iS A beautifuL LiE เขียนเมื่อ : 20 ก.ค. 53 14:53:32

ความคิดเห็นที่ 23 ขออนุญาตพักหน่อย ค่ำๆ จะมาต่อ _/\_ จากคุณ : Song iS A beautifuL LiE เขียนเมื่อ : 20 ก.ค. 53 15:01:16

ความคิดเห็นที่ 24 ติดตามวงนี้ด้วยคนนึงครับ เขียนอ่านสนุกดีจัง รออ่านต่ออยู่นะครับ ^_^ จากคุณ : Vee-Nufc เขียนเมื่อ : 20 ก.ค. 53 15:15:06

ความคิดเห็นที่ 25 มารอติดตามค่ะ เขียนได้สนุกจริงๆ ^^ รู้จักวงนี้จาก Back for Good แต่มาตามเก็บเทปไปได้สองม้วนก็เจอข่าวว่ายุบวงซะอย่างนั้น... สารภาพว่าตอนแรกไม่รู้ด้วยซ้ำว่าใครชื่ออะไร   เป็นแฟน Gary อยู่นิดๆ เพราะชอบอัลบั้มเดี่ยวชุดแรกมาก Love Won't Wait นี่ฟังวนไปวนมาจนเทปจะยืดอยู่แล้ว จนตอนนี้ต้องตามไปซื้อซีดีมาเก็บ แอบหมั่นไส้ Robbie William เล็กๆ แต่ก็น่าเห็นใจเหมือนกันนะ คงรู้สึกว่าทุกคนหันหลังให้เค้า ตอนนี้ถ้าได้กลับมารวมกัน 5 คนจริงๆก็น่าดีใจนะคะ เรายังติดใจ Could It Be Magic Night สมัยก่อนโน้นที่ร้องสดในรายการอะไรสักอย่าง สมัยยังมี Robbie อยู่ด้วย แต่เป็นเวอร์ชั่นเปียโน (แอบทำให้เราหวังว่าวงที่ชอบอยู่ตอนนี้จะกลับมารวมกันอีกบ้าง อีกสิบกว่าปีอย่างนี้ก็จะรอ ^^) จากคุณ : gibt เขียนเมื่อ : 20 ก.ค. 53 16:17:55

ความคิดเห็นที่ 26 มาตามติดอีกคนครับ และดีใจมากด้วยว่า 5 คนกลับมาดีกัน และทำ Take That ต่อเป็น The Fab Five จากคุณ : เข็มขัดสั้น เขียนเมื่อ : 20 ก.ค. 53 16:22:12

ความคิดเห็นที่ 27 รออ่านด้วยค่ะ ชอบ Take That เหมือนกัน จากคุณ : มะขามแก้วคลุกน้ำตาล เขียนเมื่อ : 20 ก.ค. 53 16:26:32

ความคิดเห็นที่ 28 เขียนอ่านสนุกมากค่ะ เรื่องราวของวงนี้นี่ดราม่าจริง อะไรจริงเลยแฮะ ... รูปในคห.2เห็นแล้วแอบตกใจ 55+ แฟนๆคงมีความสุขน่าดูเลยนะคะ เห็นแล้วเราแอบมีความหวังเลยว่าวงที่ชอบอยู่ตอนนี้ซักวันคงมีโมเม้นท์แบบนี้บ้าง   ขอบคุณสำหรับกระทู้ดีๆค่ะ จากคุณ : lovely sweetly shiny เขียนเมื่อ : 20 ก.ค. 53 18:20:57

ความคิดเห็นที่ 29 ตามอ่านอยู่นะคะ  ^^ จากคุณ : sweetest เขียนเมื่อ : 20 ก.ค. 53 19:28:04

ความคิดเห็นที่ 30 เจ้าของกระทู้เขียนสนุกน่าติดตามค่ะ เป็นแฟน Take That ตั้งแต่สมัยโน้นนนนนนนนนนนน.... แล้วก็ตามติดมาถึงตอนนี้ ช่วงที่รวมตัวกันใหม่ มีทุก single เลย ส่วนตัวคิดว่าตอนนี้ Take That ไม่จำเป็นต้องมี Robbie แล้ว แต่ก้อดีใจจริงๆ ที่กลับมารวมตัวกันอีกครั้ง นึกไม่ออกเลยว่าอัลบั้มใหม่หน้าตาจะเป็นยังไง ... ขอบคุณเจ้าของกระทู้ด้วยนะคะ รออ่านตามต่อ จากคุณ : avides เขียนเมื่อ : 20 ก.ค. 53 19:29:27

ความคิดเห็นที่ 31 ยาวมากก เดี๋ยวขอแอบอ่านทีหลังนะคะ ดีใจมากกกกกก ที่ในที่สุด Take That ก็กลับมาครบ 5 คนอีกครั้ง วงนี้เป็นวงแรกและวงเดียวที่เราเก็บสะสมอัลบั้มทุกชุด ร้องไห้จะเป็นจะตายตอนเค้าแยกวง ตอนมาเมืองไทยก็ได้ไปดูด้วย ประทับใจมากกกก จริงๆแล้วคนที่เราชอบที่สุดในวงคือ Robbie ตอนนี้เลยเหมือนฝันที่เป็นจริงที่เค้ากลับมารวมวงกับเพื่อนๆอีกครั้งนึง รออัลบั้มใหม่ด้วยความหวังนะเนี่ย (หวังว่าจะโฉบมาเล่นคอนเสิร์ตเมืองไทยบ้าง จะมีใครกล้าทุ่มทุนจ้างมามั้ย) ขอบคุณเจ้าของกระทู้ สำหรับเรื่องราวดีๆนะคะ ^_^ จากคุณ : login พี่สาว (แมวปุย) เขียนเมื่อ : 20 ก.ค. 53 22:53:57

ความคิดเห็นที่ 32 เพื่อให้แฟร์กับเฮีย Rob เอาเข้าจริง Robbie ก็ไม่ได้จิ้มด่ะแบบไม่เลือกหน้า คนเดียวที่ไม่ว่าแต่ก่อน ตอนนี้ หรือคาดว่าแม้กระทั่งในอนาคต Robbie จะไม่ออกมาพูดร้ายให้โดยตรงก็คือ Mark Owen Markie เป็นคนเดียวในวงที่ Rob ยังติดต่อด้วยบ้าง ถึงจะไม่ได้หวานตัวติดกันเหมือนวันเก่า ช่วงห่างระหว่างวัยกว่า 4 ปีของ Robbie กับกลุ่มเด็กโตอย่าง Jason, Howard, Gary ทำให้มีแต่ Mark ที่เขาใกล้ชิดได้มากที่สุด หลังจากโดน BMG ดร๊อป Markie ก็เลือกที่จะเก็บตัวอยู่เงียบในบ้านของเค้าใกล้ๆกับ Lake District (ประมาณอุทยานแห่งชาติ) เพื่อให้มีอะไรทำ เขาเข้าร่วมทีมฟุตบอลท้องถิ่น (บอลเป็นอีกความคลั่งไคล้ของ Mark) ตามคำพูดของ Mark คู่แข่งไม่เห็นอะไรมากไปกว่าได้ไล่เตะ that little one from Take That 'มันเป็นเรื่องยากที่จะอยู่ใกล้กับใครบางคนที่มีสถานภาพอย่าง Mark Owen หลัง Take That' คือความเห็นของของ Mark เมเนเจอร์ Markie ซุก เก็บตัวเองอยู่ในโลกเล็กๆของเขา เริ่มตั้งคำถามกับทุกสิ่งที่เกิดขึ้น ปฏิเสธความช่วยเหลือจากคนรอบข้าง และก็เป็นช่วงนี้ที่เขาเริ่มติดเหล้า ทางออกเดียวสำหรับ Mark คือการแต่งเพลง เช่นเดียวกับ Robbie สไตล์การแต่งเพลงของเขามาจากความรู้สึกส่วนตัว (ในขณะที่ Gary จะเป็นเหมือนนักแต่งเพลงแบบมืออาชีพมากกว่า) ถ้าฟังเนื้อเพลงของ Mark บางเพลงดีๆ เราจะเห็นอาการดูถูกดูแคลนในตัวเอง ซ่อนอยู่ในบทบรรยายของความสัมพันธ์ที่ล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่าของเขา แต่ใครจะได้โอกาสฟังมันบ้าง อันนี้เป็นอีกเพลงของ Mark ที่เราว่าน่าจะมาจากเรื่องจริงส่วนตัวของเขา จากคุณ : Song iS A beautifuL LiE เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 53 00:43:41

ความคิดเห็นที่ 33 <ยาวจริงๆ ด้วย ทำไงดี> แล้วฟ้าก็ให้โอกาส Markie เป็นครั้งที่ 2 หลังเริ่มรู้สึกว่านั่งๆ นอนๆ ไปเรื่อยๆ ก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรกับชีวิต Mark ก็ตัดสินใจเข้าแข่ง Celebrity Big Brother รายการสำหรับดารานักร้องตกอับทั้งหลาย ดูเหมือนมนต์เสน่ห์ยิ้มหวานๆ ของ Owen ก็ยังมีอยู่เหมือนเดิม Mark กลายเป็นผู้ชนะของรายการ แต่สิ่งแรกที่เขาทำหลังจากเหลืออยู่ในบ้าน Big Brother คนเดียวก็คือ ... ร้องไห้ NMS บอกว่าเขารู้ว่าทำไม Mark ร้องไห้ ผู้ชายคนนี้คิดว่าไม่มีใครต้องการเขาแล้ว แต่สุดท้ายกลับยังมีคนอีกมากที่รักเขา หลายๆ คนก็ร้องไห้ไปพร้อมกับ Mark Owen การชนะ Celebrity BB ช่วยเปิดประตูบานใหม่ในวงการให้กับ Mark เมื่อ Island Record จับเขาเซ็นสัญญาออกอัลบั้ม ในที่สุดเราก็จะได้ฟังเพลงของ Markie แล้ว Four Minute Warning เป็นซิงเกิ้ลแรกจากอัลบั้มที่สองของ Markie ที่ใช้เวลากว่า 5 ปีในการสร้าง (หรือหาคนยอมสร้างให้) งานนี้ Mark ได้เกลอเก่าอย่าง Gary มาช่วยดูแลงานบางส่วนให้ด้วย (รอก่อน เดี๋ยวเราจะค่อยมาบอกว่าเฮีย Gaz มาโผล่ตรงนี้ได้ยังงัย) ซิงเกิ้ลทำอันดับได้ดีเหมือนเดิม ในขณะที่อัลบั้ม In Your Own Time ของ Mark ก็ประสบชะตากรรมอันเดิม ขายไม่ออก เจ๊ง และก็โดนดร๊อปตามธรรมเนียม ขนาดมีทั้ง Gary และ Robbie สนับสนุน ( Mark ได้ขึ้น Knebworth พร้อม Rob หนึ่งคืน) ดูเหมือนโลกก็ยังไม่พร้อมรับผู้ชายที่ชื่อ Mark Owen ที่ไม่ใช่ the cute little one in Take That มีวีดีโอ Mark หลายตัวมากที่อยากให้ดู เลือกไม่ถูกเลย ส่วนตัวเราทึ่งกับพัฒนาการของ Markie มากๆ ดูได้ง่ายๆ จากการเปลี่ยนวิธีการร้อง Babe ในคลิปนี้ เขาเดินมาไกลมากจากวันที่อยู่กับ Take That แก้ไขเมื่อ 21 ก.ค. 53 01:22:03 จากคุณ : Song iS A beautifuL LiE เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 53 01:17:12

ความคิดเห็นที่ 34 Mark ดูจะยังพยายามอยู่ที่จะหาหนทางกลับไปทำงานเพลงที่เขารักได้ Howard กลับเลือกที่จะหันมาหาอีกสิ่งหนึ่งที่เขารัก การเป็นคลับดีเจ เมื่อหมดหนทางทำอัลบั้ม Howe ก็หยิบ turntable เก่าสมัยก่อน Take That ของเขามาปัดฝุ่น และก็เป็น NMS ที่ยอมให้งานดีเจแรกกับ Howard ในคลับที่ตัวเองเป็นเจ้าของอยู่ ไม่ว่าคุณจะมองพ่อซาตาน Nigel Martin Smith ว่าเป็นยังงัย สิ่งหนึ่งที่เขามีให้กับ Take That ก็คือบุญคุณท่วมหัว และในยามที่ไม่เหลือใคร Howard ก็ยังพอที่จะขอพึ่งพา NMS ได้ Howard เริ่มรับงานดีเจมากขึ้นเรื่อย โดยเฉพาะที่ภาคพื้นยุโรปอย่าง Ibiza ส่วนที่อังกฤษก็ไม่ต้องพูดถึงมาก คำว่า Take That ยังเป็นเหมือนตราบาปสำหรับคนที่เกี่ยวข้องอยู่ ลองฟังเพลงที่ Howard แต่งและมิกซ์เองดูกันหน่อย จากคุณ : Song iS A beautifuL LiE เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 53 01:39:38

ความคิดเห็นที่ 35 รออ่านอยู่ครับ เอาไปสร้างเป็นหนังได้เลยนะเนี่ย ขอบคุณมากครับ จากคุณ : carloskop เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 53 01:47:46

ความคิดเห็นที่ 36 ถึงเรื่องจะยาวไป แต่จะไม่พูดถึงพี่ Jay อีกรอบ เดี๋ยวสุดที่รักก็จะน้อยใจ หลังจากเที่ยวจนหน่ำใจ Jason ก็เริ่มมองหาอะไรอย่างอื่นทำบ้าง Jason ลงทุนไปเข้าคลาสเรียนการแสดงใน New York ก่อนที่จะมาลองจับงานแสดงเล็กๆ น้อยๆ ก่อนที่จะสรุปกับตัวเองได้ว่า มันไม่ใช่ทาง Jason ให้เหตุผลกับการเลิกงานแสดงของเขาว่าเบื่อกับการออดิชั่น แต่เราว่าลึกๆ แล้วที่พี่ Jay แกเบื่อก็เพราะเขาทนไม่ได้กับการถูกประเมิน ตัดสิน Take That ดูจะสร้างแผลลึกให้กับความเชื่อมั่นในตัวเองของ Jason มากจนถึงมากที่สุด เพื่อไม่ให้ต้องถูกประเมิน หรือตัดสินด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยอคติ Jason จึงเลือกที่จะหลบอยู่ในมุมมืดต่อไป ดูละครที่เฮียเล่นแล้วก็ดีแล้วแหละที่เฮียกลับมาร้องเพลงเป็น Take That ต่อ พี่ Jay จะได้เป็นตัวของตัวเองที่สุด จากคุณ : Song iS A beautifuL LiE เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 53 01:53:26

ความคิดเห็นที่ 37 ตอนนี้ใครๆ ก็คงอยากรู้แล้วใช่มั้ยว่าพระเอกของเราไปไหน เหมือนราชสีห์ที่บาดเจ็บ Gary ต้องหลบเข้ามาเลียแผล (ใจ) อยู่แต่ในถ้ำ (คฤหาสน์หลังมหึมา) คงไม่มีครั้งไหนที่เขาจะรู้สึกอยากเป็น Gary Barlow น้อยไปกว่านี้อีกแล้ว ชื่อ GB กลายเป็นเหมือนของแสลงของวงการ ไม่เพียงเขาจะไม่เหลือที่ยืนในฐานะนักร้อง งานแต่งเพลงที่เขารักก็แทบไม่มีโอกาส ผู้จัดการวง Steps โดนหนังสือพิมพ์ยื่นคำขาดว่าถ้าพวกเขาทำเพลงกับ GB วงจะไม่ได้ขึ้นหน้าข่าวแน่นอน Victoria Beckham ก็ปฏิเสธกับนักข่าวเสียงแข็งว่าไม่ได้ร่วมงานกับ Gary ทั้งๆ ที่ David เองต้องมารับส่งเจ๊เช้าเย็นที่บ้านเขา เพลงที่แต่งทั้งหมดก็ต้องถูกส่งออกไปแบบไร้ชื่อคนแต่ง ถ้าหวังจะให้ค่ายเพลงหันมาสนใจ พอมันยากเกินกว่าที่จะรับได้ การเป็น Gary Barlow กลายเป็นเรื่องที่น่าอับอาย เฮีย Gaz ก็เริ่มปฏิบัติการซ้อนตัวใต้ผิวหนัง Gary ใช้การกินเป็นตัวระบายความเครียด ยิ่งกินชั้นไขมันที่เริ่มพอกพูนก็ยิ่งเป็นเหมือนที่กำบังกายให้กับเขา ใครๆ ก็จำ Gary Barlow ณ ตอนนี้ไม่ได้ และเขาก็พอใจที่คนจะจำไม่ได้ หลังจากโดนดร๊อป น้ำหนัก Gary พุ่งไปสูงกว่า 100 กิโล ยิ่งตัวใหญ่ขึ้นเท่าไหร่ ความรู้สึกข้างในของเขาก็ยิ่งหดเล็กลงไปเท่านั้น ความเป็น Gary Barlow คนเก่ง เสาหลักให้ทุกคนในวงที่ผ่านมาขึ้นอยู่กับความมั่นใจในตัวเองของ Gary พอความเชื่อมั่นหายไป ความคิดก็ตีบตัน ไอเดียที่เคยมีเคยหามาอย่างง่ายๆ ก็หมดไป สุดท้าย เขาทำไม่ได้แม้กระทั่งแต่งเพลง Gary เคยให้สัมภาษณ์ว่าในรูปเนี้ย ยังไม่ใช่ตอนที่อ้วนที่สุดนะ (ภาพจาก My Take) แก้ไขเมื่อ 21 ก.ค. 53 03:02:14 จากคุณ : Song iS A beautifuL LiE เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 53 02:56:05

ความคิดเห็นที่ 38 เป็นกระทู้ที่สุดยอดมาก ผมยิ่งอ่านยิ่งรู้สึกได้ว่า ชีวิต มันไม่ใช่เรื่องง่ายจริงๆ..... จากคุณ : ความตายสีชมพู เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 53 03:14:32

ความคิดเห็นที่ 39 งานเพลงคือชีวิตของ Gary ผู้ชายคนนี้มี studio เป็นของตัวเองตั้งแต่อายุต้นยี่สิบปี อัลบั้มของ Take That เองก็ทำกันใน studio ของ Gary การที่อยู่มาวันหนึ่ง คุณตื่นขึ้นมาพบว่าคุณไม่สามารถทำในสิ่งที่คุณรักได้อีกต่อไป มันกลายเป็นความเจ็บปวด แต่ต้องถือว่าเฮีย Gaz ยังโชคดีที่มีคนใกล้ชิดที่สุดยอด และเพื่อนผู้หวังดีให้กำลังใจอยู่บ้าง เขาจึงรวบรวมพลัง ฮึดขึ้นสู้อีกครั้งโดยใช้อเมริกาเป็นใบเบิกทาง อเมริกาอาจจะเป็นเหมือนยาขมเมื่อนึกถึงเวลาตอนเป็นศิลปินเดี่ยวของเขา หากก็มีแต่อเมริกาที่มีที่ยืนเหลือให้นักแต่งเพลงที่ชื่อ Gary Barlow อังกฤษต้องการเวลาที่จะลืมเขา และเขาก็ต้องการเวลาที่จะลืมอดีต พอตั้งตัวได้ งานที่อังกฤษก็เริ่มกลับเข้ามา Gary ผันตัวเองมาทำงานอยู่เบื้องหลังอย่างเต็มตัว นอกจากเพลงที่ทำกับ Mark แล้ว เฮีย Gaz ยังได้โอกาสใช้ประสบการณ์ส่วนตัวให้เป็นประโยชน์กับวงอย่าง Blue ด้วย อย่างเดียวที่เฮีย Gaz สาบานว่าจะไม่แตะต้องอีกก็คือการเป็น performer ไม่มีอีกแล้วที่เขาจะคว้าไมค์ออกมาร้องเพลงให้พวกเราฟัง GB is backstage for good ! (หรือเปล่า?!?!) เพลงดังที่สุดในฐานะนักแต่งเพลงของเฮีย Gaz ก็คงจะเป็นเพลงนี้ Guilty ของ Blue แก้ไขเมื่อ 21 ก.ค. 53 11:52:17 แก้ไขเมื่อ 21 ก.ค. 53 03:42:07 จากคุณ : Song iS A beautifuL LiE เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 53 03:37:08

ความคิดเห็นที่ 40 เห็นด้วยคะว่าชีวิตวงนี้มันสุดยอดจริงๆ เป็นสคลิปหนังโดยไม่ได้ตั้งใจ ต้องขออนุญาตเบรกอีกรอบ จะรีบมาอัพต่อ ขอบคุณที่ยังติดตามกันอยู่ _/\_ จากคุณ : Song iS A beautifuL LiE เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 53 04:02:08

ความคิดเห็นที่ 41 เข้ามาให้กำลังใจคุณเจ้าของกระทู้ อ่านสนุกมากมายครับผม ต่อ ๆ ครับ จากคุณ : Vee-Nufc เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 53 08:22:22

ความคิดเห็นที่ 42 โอ้ยยยยพี่ อ่านตอนมาร์คชนะ BB แล้วน้ำตาจะไหล แต่พอเลื่อนลงมาอ่านชีวิตอีก 3 หน่อแล้วแบบอึ้งรับประทาน สุดยอดคนสู้ชีวิต โดยส่วนตัวไม่ชอบงานเดี่ยวของสมาชิก TT คนไหนเลย นอกจากร็อบบี้ (ทนฟังบัลลาหวานเลี่ยนของแกรี่กับเสียงร้องง้องแง้งของมาร์คไม่ได้) แต่ก็ตามอยู่ช่วงนึงจนรู้สึกว่าช่วงหลังๆ ร็อบก็ตันซะแล้ว เด๋วไปประชุมก่อน ค่อยกลับมาใหม่ + รออ่านต่อ จากคุณ : strawberry machine gun เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 53 08:55:38

ความคิดเห็นที่ 43   กระชับ ได้ความ และมีสำนวนในการเขียนที่ให้อารมณ์ร่วมได้ดีมาก ปกติผมชอบจริงๆแค่ RW แต่ในวันนี้ได้รู้จักทุกๆคนเลยครับ จากคุณ : คิมบ๊อก เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 53 09:24:14

ความคิดเห็นที่ 44 ชีวิตวงนี้น่าเอาไปทำเป็นหนังนะเนี่ย ไม่คิดว่าแกรี่จะเจออะไรโหดร้ายขนาดนี้ ที่เคยทราบๆก็แค่ว่างานเดี่ยวแป๊ก เลยไปทำอยู่เบื้องหลังเต็มตัว แก้ไขเมื่อ 21 ก.ค. 53 09:35:51 จากคุณ : Jabawock เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 53 09:34:33

ความคิดเห็นที่ 45 เข้ามาขอบคุณเจ้าของกระทู้อีกรอบ เก่งจริงๆ เลยค่ะ ที่เล่าเรื่องราวได้ดีขนาดนี้ กว่าจะกลับมายืน ณ จุดนี้ได้อีก แต่ละคนผ่านอะไรมาเยอะมากมายจริงๆ ชีวิตต้องสู้กันทั้งนั้นเลย... จากคุณ : avides เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 53 11:42:59

ความคิดเห็นที่ 46 ในขณะที่ Gary หลบเลียแผลใจ คุณว่าเฮีย Rob ทำอะไร "I'm rich beyond my wildest dream" กรูโคดรวยแล้วโว้ย คือประโยคคลาสสิกของ Robbie หลังเซ็นสัญญา 80 ล้านปอน์ดกับ EMI ในปี 2002 Robbie จับอะไรก็เป็นเงิน แค่ออกอัลบั้ม Swing ก็ยังขายดีเหมือนแจกฟรี คอนเสิร์ตที่ Knebworth ก็ทำลายสถิติซ้ายขวาทั้งจำนวนคน ความเร็วในการจำหน่าย ถึงจะมีสะดุดเล็กน้อยตอนแยกทางกับนักแต่งเพลงคู่บุญอย่าง Guy Chambers แต่ครึ่งแรกของยุค 2000 เราก็ต้องยกให้ว่าเป็นเวลา RW แต่มันไม่ง่ายที่จะเป็น Robbie Williams ตลอดเวลาที่ยืนอยู่บนยอดเขาเห็นความสำเร็จ เอาเข้าจริงๆ จะมีซักกี่คนที่ให้เขาหันมองหาได้ Robbie เดินเข้าออก relationship เป็นว่าเล่น อยู่กับความสุขที่เงินและความสำเร็จหามาให้กับความโดดเดี่ยว และยา ที่สำคัญ ไม่ว่าจะอยู่ตรงจุดไหนของชีวิต เฮีย Rob มีวิธีที่จะเตือนตัวเองและคนรอบข้างถึงวงห่วยๆ ที่ชื่อว่า Take That ได้ตลอด ว่ากันว่า Rob ชอบจะใส่เสื้อยืดที่สแกนเป็นรูป TT ยุคสี่คน(ภาคแรก)เล่น ไม่ว่าคราวใดที่เขาอยู่ในจุดที่ประสบความสำเร็จเพิ่ม เขาต้องหันไปเล่นมุขที่เกี่ยวกับ Take That บางคนมองว่าเป็นการเอาคืน แต่เราแค่มองว่า Rob ต้องการจะปล่อยขำ แล้วสิ่งที่มักจะอยู่ในหัวเขาตลอดเวลาก็คือ Take That เฮีย Rob อาจจะแค่คิดถึงก็ได้ แต่ Robbie ไม่เคยรู้หรอกว่าสุดท้ายเขาจะกลายเป็นคนหนึ่งที่ช่วยสร้างปรากฏการณ์บางอย่างให้เกิดขึ้น อีกประโยคคลาสสิกของเฮีย Rob ก็คงเป็นตอนที่ Angels รับรางวัล Best British Songs In The Last 25 Years "Sorry Gary, but I was always the talented member of the band" (โทษทีว่ะแกรี่ แต่ข้าว่าข้าเป็นคนเก่งของวงมาตลอดนะ) และนั้นคือปี 2005 เฮีย Gaz คงนอนคุมโปงร้องไห้กระซิกๆ อยู่แน่ ดูคลิปแล้วเราว่าหน้า Robbie ดูตกใจจริงตอนที่คิดว่า Gary กับ Howard มา แก้ไขเมื่อ 22 ก.ค. 53 01:21:04 จากคุณ : Song iS A beautifuL LiE เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 53 13:23:49

ความคิดเห็นที่ 47 ช่วงใกล้ๆกับที่ Robbie ได้ Brit Award 25 years กับ Angels หนุ่ม Mark ของเราก็ได้ฤกษ์ออกอัลบั้มใหม่อีกรอบ คราวนี้ไม่มีใครออกให้ ลงทุนเองก็ได้ฝ่ะ เรานับถือใจ Markie เรื่องหนึ่งก็ตรงที่เขาไม่เคยหยุด ด้วยเงินที่ได้มาตอน Take That เนี้ย เขาอยู่ได้สบายๆ อยู่แล้ว ดูพี่ Jay เป็นตัวอย่าง Mark อาจจะต้องการพิสูจน์อะไรบางอย่าง หรือแค่อยากจะหาอะไรทำยามว่าง หากแต่เขาก็ทำให้เราเห็นแล้วว่าเขาซื่อตรงกับสิ่งที่เขาเชื่อมั่นเสมอ อัลบั้มก็ขายไม่ออกเหมือนเดิม (น่าสงสารจริงๆ Markie) แต่เสียงตอบรับดูจะเป็นในทางบวกมากขึ้น และแน่นอนคราวนี้ไม่มีใครมายกเลิกสัญญากับเขาได้ ฮ่าๆ ในระหว่างที่ Markie กำลังออกอัลบั้มเริ่มทัวร์โปรโมท เขาก็ได้รับโทรศัพท์ และไม่ใช่จากใครที่ไหน...NMS จริงๆ แล้วก็คือ Take That ทั้งสี่โดน NMS เรียกประชุมเพราะ BMG ที่ตอนนี้กำลังจะรวมกับ Sony มีแผนปัดฝุ่น Take That ไอเดียก็คือหยิบเอา Greatest Hits อัลบั้มมาออกใหม่ในราคาพิเศษ และก็มีแผนโปรโมทนิดหน่อย อาจจะด้วยการทำสารคดี การตลาดของ Sony/BMG ก่ะว่าอัลบั้มน่าจะขายได้ซัก 100,000 ดีวีดีซัก 20,000 ในอังกฤษ เด็กๆ ของ NMS อาจจะต้องเหนื่อยออกมาปรากฏตัวโปรโมทหน่อย แต่ก็ได้เงินติดกระเป๋าไปกินขนมเพิ่ม เอาละซิ ต้องมีโปรโมท แล้ว Mr. Backstage For Good จะว่ายังงัย ชอบเพลงนี้ของอัลบั้มเดี่ยวอันสุดท้ายของ Mark มาก เนื้อเพลงก็คงเป็นเรื่องของตัวเขาเองอีกเหมือนเดิม (แต่บางคนแอบคิดว่าเกี่ยวกับ Robbie) ...From the Albert Hall to the Uni Ball, how the mighty fall... จริง Take That กับสมาชิก Take That ถือว่าเป็นวงที่เขียนเพลงเกี่ยวกับการเป็นป๊อบสตาร์ไว้ค่อนข้างเยอะ Never Forget ก็หนึ่งแล้ว อันนี้อีก เพลงของ Robbie ก็อีกสามสี่เพลง Shine ก็เห็นเขาว่าเป็นเพลงที่เกี่ยวกับ Robbie แก้ไขเมื่อ 21 ก.ค. 53 14:01:56 จากคุณ : Song iS A beautifuL LiE เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 53 13:59:10

ความคิดเห็นที่ 48 จริงๆ NMS เคยมีไอเดียที่จะทำหนังสารคดีเกี่ยวกับ Take That อยู่ทีแล้ว แต่ถูก Gary ปัดตกเพราะใจยังไม่พร้อม มาตอนนี้อะไรๆ ก็เริ่มจะเข้ารูปเข้ารอย เฮีย Gaz กลับมาทำงานเพลงได้เหมือนเดิม น้ำหนักก็เริ่มกลับลงมา ไอ้ที่โดนอีตา Rob จิกก็เริ่มปลง เออ มันก็บ้าของมันไปเรื่อยแหละ รวมทั้ง Jason, Howard และ Mark ดูตอนนี้ทุกคนสนใจในโปรเจคหนังสารคดีมากไปกว่าอัลบั้มรวมฮิตซะอีก เรียกว่าเป็นโอกาสสะสางอดีตที่โดนตีไข่ใส่สีจากสื่อมาตลอดเกือบ 10 ปีที่ผ่านมา เซอร์ไพรส์ของทุกคนกลายเป็นเรื่องที่ Robbie ยอมที่จะเข้ารวมกับหนังสารคดีด้วย หลังจากที่ Mark ติดต่อไปหา เพียงแต่ไม่โปรโมตด้วยเท่านั้นเอง ที่อังกฤษมีกฏว่าคนที่เป็นตัวเรื่องในสารคดีจะไม่มีสิทธิ์ที่จะควบคุมการผลิตสารคดีนั้น หนังจึงออกมาตรง เปิดอกแบบที่คุณได้เห็นทั้งด้านดีและไม่ดีของวง และนั้นทำให้คนดูอินไปกับมัน 17 พฤศจิกา 2005 คือวันที่สารคดีออกอากาศทางทีวี เรตติ้งบอกว่ามีคนกว่า 6-7 ล้านคนที่เปิดดู Take That: For the Record สื่อทุกสำนักตามทำข่าวงานพรีเมียร์ของสารคดีเรื่องนี้ Take That กลับมาอยู่ในสปอต์ไลท์อีกครั้ง และต้องขอบคุณผู้ชายที่ชื่อ Robbie Williams ที่ทำให้ใครๆ ยังจำ Take That ได้ ถ้าใครยังไม่เคยดูอยากให้ลองดู สนุกดี ความสัมพันธ์ของคนพวกนี้เป็นอะไรที่น่าสนใจดี จากคุณ : Song iS A beautifuL LiE เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 53 14:37:47

ความคิดเห็นที่ 49 เมื่อกี้บอกว่าการตลาด BMG ประมาณการไว้เท่าไหร่นะ 100,000? Take That: The Ultimate Collection จนถึงปัจจุบันขายไปแล้วกว่า 1.8 ล้าน อัลบั้มในอังกฤษ For the Record ทำให้มีแต่คนถามหาแต่ Take That หนึ่งในหลายๆ คำถามก็คือ เมื่อไหร่จะมี reuion tour ไอเดีย reunion tour จริงๆ ต้องบอกว่าเริ่มจาก Markie ทั้งๆ ที่ Mark เองก็กำลังอยู่ในช่วงเข้าด้ายเข้าเข็ม งานอัลบั้มใหม่ก็มีทิศทางคนละด้านกับ Take That แต่พอผู้จัดการส่วนตัวของ Mark ได้โทรศัพท์มาจากโปรโมเตอร์ เขาก็เอาเรื่องมาปรึกษาพรรคพวก คุยกันไป ดื่มกันไป ชนกันไป ซักพักก็เริ่ม 'All I do each night is pray. Hoping that you'll be a part of me again someday' ถ้าจะสรุปตามคำ Markie ..."Alcohol makes us come back to tour" อารมณ์ว่าเมาแล้วหาเรื่องเข้าตัว พี่ Jay เป็นคนเดียวในวันนั้นที่ไม่เมา เพราะฉะนั้นถ้าผิดพลาดอะไรก็รอโทษ Jason ได้ จริงๆ พวกเขาแทบจะไม่มีอะไรให้ต้องเป็นห่วงเลย ตั๋ว The Ultimate Tour 26 รอบขายหมดใน 3 ชั่วโมง สุดท้ายก็ต้องเปิดเป็น Stadium tour เพิ่มอีก 6 รอบ Robbie ปฏิเสธที่จะเข้าร่วมทัวร์ด้วย แต่ส่งเป็น Hologram ของตัวเองร้อง Could It Be Magic มาเป็นเซอร์ไพรส์แทน ตั้งแต่แรก หลายๆ คนปรามาสว่า Take That ที่ไม่มี Robbie Williams จะไม่มีทางขายออก แต่สี่คนที่เหลือก็พิสูจน์ให้คนเหล่านั้นเห็นแล้วด้วยหนึ่งในทัวร์ที่ประสบความสำเร็จที่สุดของ Take That The Ultimate Tour มีส่วนที่น่าสนใจอยู่เยอะเหมือนกัน หนึ่งในนั้นก็คือ Appache: Making a boyband เป็นการเล่นจิกๆกัดๆตัวเองพอขำๆ  Take That ใช้ส่วนนี้สลัดภาพความเป็น boyband ของตัวเองไปจนหมดสิ้น ใครอยากดูเฮียๆ อายุเกิน 35 เต้น break ก็คลิ๊กได้เลย จากคุณ : Song iS A beautifuL LiE เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 53 15:34:59

ความคิดเห็นที่ 50 Take That ทัวร์ประสบความสำเร็จขนาดนี้ ถามว่าเฮีย Rob แคร์มั้ย ฮ่าๆ คำตอบคือไม่เลย จะแคร์ทำไมในเมื่อ Close Encounters Tour ที่เป็นWorld Tour ของเฮียขายตั๋วหมดในวันเดียว ....1.6 ล้านใบ ความเป็นซูเปอร์สตาร์ของ Robbie ไม่ได้ลดทอนลงไปเลยกับการมาของ Take That ในคอนเสิร์ตของเขา เฮีย Rob ยังปล่อยมุขอยู่เลยว่าเนี้ย Take That มาชวนไปทัวร์ด้วยแต่เขาต้องปฏิเสธไปเพราะ 'I have my world tour to complete' ขอโทษนะ แต่ไปไม่ได้ว่ะ ติดทัวร์รอบโลกอยู่ แต่นั้นก็คือฉากหน้า น้อยคนจะรู้ (ถ้า Gary ไม่ได้เล่า) ว่า Robbie มาหาพวกเขาที่โรงแรมตอนทัวร์อยู่ที่ลอนดอน เป็นครั้งแรกที่ Mark Jason Howard Robbie และ Gary ได้มาเจอกันพร้อมๆ หน้านับตั้งแต่วันที่ Rob เดินจากมา จังหวะหนึ่ง นึกสนุกอะไรกันก็ไม่รู้ทั้งห้าคนเลยยืนเทียบความสูงกัน แล้ว Rob ก็พูดว่า "Look, it's Take That" เราว่ายังงัยเฮีย Rob ก็คงยังคิดถึงความเป็นเพื่อน การเป็นศิลปินเดี่ยว เป็นซูปเปอร์สตาร์ขนาด Robbie มันมีแต่ความกดดัน ที่คุณอยากจะหาใครบางคนที่เข้าใจมาช่วยรับฟัง ความเครียดที่ Robbie ได้รับมันมากถึงขนาดว่าในที่สุดเขาก็ไม่สามารถทัวร์ Close Encounters ได้จนจบ Rob น้อยมีอาการจิตตกอีกครั้ง (ครั้งที่เท่าไหร่ก็นับไม่ถ้วน) ที่คห 25 พูดถึงคือคลิปนี้ใช้มั้ย น่าจะเป็นช่วงปี 1993 แก้ไขเมื่อ 21 ก.ค. 53 16:09:34 แก้ไขเมื่อ 21 ก.ค. 53 16:05:54 จากคุณ : Song iS A beautifuL LiE เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 53 16:03:55

ความคิดเห็นที่ 51 ต้องเบรกอีกแล้วค่ะ แล้วจะรีบมาอัพต่อใกล้จบแล้ว _/\_ จากคุณ : Song iS A beautifuL LiE เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 53 16:16:01

ความคิดเห็นที่ 52 สนุกมากๆค่ะ ยิ่้งอ่านยิ่งระลึกความหลัง หลังจากวงแตก เราก้ไม่ค่อยได้ติดตาม ก็จะมีแค่อัลบั้มแรกของ Gary barlow และ Mark Owen แล้วก็ไม่ได้ติดตามแล้ว เอา single แรกๆ ของวงมาประมูลขายดีมั้ยน้า อิๆๆ จากคุณ : Rurujung เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 53 16:29:02

ความคิดเห็นที่ 53   สนุกมากค่า จขกท. เขียนได้อารมณ์จริงๆ เราเองก็ฟังเพลงของ take that บ้าง เข้ามาก็เพราะเห็นว่าพวกเขาจะ คัมแบ๊ค แต่พอได้อ่านประวัติแต่ละคนแล้วสุดๆเลยจริงๆ ชีวิต...คำนี้ไม่ว่าจะเป็นใครก็ต้องเจอทั้งเรื่องดีๆและเรื่องเจ็บปวดเหมือนกันทั้งนั้น จากคุณ : nanaclubz เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 53 18:42:03

ความคิดเห็นที่ 54 ไปเที่ยวแล้วยังมีเวลามาอัพกระทู้ สุดยอดมากเพื่อนเรา ปะ ไปดูคอนเสิร์ตของ 5 คนนี้ให้ได้ ตกลงตามนั้น ชิมิ จากคุณ : cottonbook เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 53 18:52:22

ความคิดเห็นที่ 55 มารอติดตาม วงนี้ช่างดราม่าดีแท้ จากคุณ : panrawee32 เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 53 23:31:43

ความคิดเห็นที่ 56 สนุกมากๆครับ อ่านแล้วต้องไปหาCDของTTเก่าๆมาฟัง เมื่อก่อนลงทุนซื้อCD ชุดรวมฮิตเลย จำได้ว่าสมัยโน้นชอบเพลงPray กับ Babeมาก จากคุณ : I am เตียบ่อกี้ เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 53 23:56:09

ความคิดเห็นที่ 57 ประสบการณ์สอนให้ Gary รู้จักระมัดระวังกับสื่อ คุณไม่มีวันรู้ว่าวันดีคืนดี ท่านเจ้าของปากกาเหล่านั้นจะหันมาประหัตประหารคุณตอนไหน การตัดสินใจทำ Take That ภาคใหม่เลยเป็นไปตามทิศทางลม ค่อยๆ คิดทีละก้าว อย่างแรกที่เฮียๆ เห็นพ้องต้องกันก็คือไม่มีประโยชน์ที่จะคุยกับค่ายถึงอัลบั้มใหม่ถ้าพวกเขาทำงานร่วมกันไม่ได้ Gary Barlow หรือ Mark Owen ไม่ใช่แค่ Gary หรือ Mark นามสกุล Take That มานานแล้ว ทั้งสองคน รวมทั้ง Jason และ Howard ต่างมีวิธีการทำงานในสตูดิโอ แนวเพลง แนวคิดในแบบของตนเอง ถ้าต่อกันไม่ติด อะไรๆ คงไม่โสภานัก พวกเขาใช้เวลาช่วงเบรกระหว่างทัวร์ชุดแรกกับทัวร์สเตเดี้ยมตอนต้นปี 2006 ในการลองของ เมื่อของออกมาดี เฮียๆ เลยเริ่มตบเท้าเข้าคุยกับค่ายเพลง และก็เป็น Polydor ของ Universal ที่ได้ไป แต่เพื่อเป็นการกันเหนียว สัญญาจึงมีแนบว่าถ้าพวกเขายังไม่รู้สึกถูกใจกับเพลงที่ตัวเองทำ เฮียๆ ก็จะคืนเงินให้ค่าย เพราะถ้าสุดท้ายงานออกมาห่วย มันจะไม่เป็นผลดีต่อภาพของวงที่สร้างมานาน เรียกว่ายอมขาดทุนเองดีกว่าทำลายตำนานของ Take That สุดท้ายการทำอัลบั้ม Beautiful World กลายมาเป็นการทำงานร่วมในสตูดิโอจริงๆ จังๆ ครั้งแรกของ Take That แต่ก่อนจะเป็นแค่ Gary กับโปรดิวเซอร์ แล้วเด็กๆ ค่อยเข้ามาใส่เสียงร้อง ตอนนี้ พวกเขาใช้วิธีทำงาน แต่งเพลงด้วยกันทั้งหมด เป็นแบบกลุ่มย่อยบ้างตามแต่สะดวก ว่ากันว่าเพลงอย่าง Shine เริ่มต้นมาจาก Mark กับ Howard ส่วน I'd Wait For Life นั้นมาจากทั้งสี่คน (แต่ก่อนเราเคยคิดว่า I'd Wait For Life นี่ Gary เพรียวๆ แน่) ไดนามิกของการทำงานใน Take That ภาคสองจึงเต็มไปด้วยความรู้สึกใหม่ๆ และแตกต่างกับครั้งแรกมาก เป็นความต่างในทางที่ดี ที่สำคัญพวกเขาเจอแจ๊กพ๊อตตั้งแต่วันแรกๆ ของการเข้าสตูดิโอกับโปรดิวซ์คนใหม่อย่าง John Shanks John เป็นอเมริกันเลยไม่เคยรู้จัก Take That ครั้งแรกที่เห็นก็เมื่อเขาเข้ายูทูปแล้วเจอ It Only Takes a Minute 'Who the heck are these guys?!?!?' ไอ้พวกบ้านี้มันใครฝ่ะ กับ John พวกเขาได้ Patience ออกมา Patience คือ Angels ของ Take That เพลงที่ประทับรอย Take That ภาคสองให้จารึกถาวรอยู่กับบันทึกของวงการเพลง พอปล่อยซิงเกิ้ลแรกออกมา เครื่องยนต์ Take That Part II ก็เริ่มเดินเต็มสูบ คลิปนี้เป็น Patience ร้องสดที่โปรโมทัวร์ที่ญี่ปุ่น ประทับใจกับการร้องของเฮียๆ มากเลย แก้ไขเมื่อ 22 ก.ค. 53 09:16:32 แก้ไขเมื่อ 22 ก.ค. 53 02:58:30 จากคุณ : Song iS A beautifuL LiE เขียนเมื่อ : 22 ก.ค. 53 02:48:40

ความคิดเห็นที่ 58 เริ่มต้น Take That ภาคใหม่ ด้วยบรรยากาศใหม่ ไร้การควบคุม กับ Take That ถ้าเราจะไม่พูดถึง Nigel Martin Smiths ก็คงจะไม่ได้ NMS เป็นเหมือนตราที่ตีบนสะโพกวัว และ Take That ทุกคนก็คือวัวพวกนั้น ตอนเริ่มต้นโปรเจคอัลบั้มรวมฮิต NMS ก็ยังเข้ามาเป็นผู้จัดการดูแลติดต่อให้อยู่เลย ก็เป็น NMS ที่ผลักดันจน Sony ยอมให้มีเพลงใหม่ Today I've Lost You ในอัลบั้มนั้น ตลอดเวลาที่ผ่านมา Take That อยู่ภายใต้การควบคุม กฏเหล็กน่าอึดอัดของ NMS หากก็มีแต่ NMS เท่านั้นที่ลุกขึ้นมาฟาดฟันกับคนรอบข้างเพื่อผลประโยชน์สูงสุดของ Take That เขาทำมันมากซะจนเมื่อถึงเวลาที่ไม่มี Take That แล้ว แทบจะไม่มีใครอยากทำงานร่วมกับเขาอีก แล้ว NMS ก็ไม่เหมือนผู้จัดการเก่งๆ คนอื่นๆ ที่สามารถปั้นดาวดวงใหม่มาทดแทนดวงเก่าได้ Take That คือช่วงเวลารุ่งโรจน์เดียวของเขา Take That คือลูกชายคนเดียวของ NMS แต่การทำงานภายใต้ NMS ก็เหมือนอย่างที่ Robbie บอก มันคือ ขุมนรก Take That ทุกคนรู้สภาพดีว่าการทำงานกับ NMS เป็นยังงัย แต่มันยากที่จะหยิบเรื่องนี้ขึ้นมาพูด เราว่าแม้แต่ Robbie เองก็ยังไม่กล้าที่จะเผชิญหน้ากับ MNS ตัวต่อตัว สุดท้ายก็เป็น Jason ที่ลุกขึ้นมาตบโต๊ะก่อนที่ reunion tour จะเริ่มแล้วบอกว่าพอกันที ถ้ามี Nigel Martin Smith ก็ไม่มีเขา ณ ตอนนั้น Take That กับ NMS ไม่ได้มีสัญญากันอย่างเป็นทางการ มันเหมือนสัญญาใจมากกว่า แต่พวกเขาก็รู้ดีกว่าไม่มีทางอื่นนอกจากทางนี้ พวกเขาไม่สามารถทนเข้าแถวรอรับคำสั่งจาก NMS ได้อีกต่อไป วัวหลุดจากการตีตราแล้ว ร่องรอยอาจจะยังมีอยู่ แต่อิสรภาพมาถึงแล้ว Take That ภาคแรกเลยปิดฉากลงอย่างสมบูรณ์ ไม่มีวีดีโอเกี่ยวกับ NMS แต่พอพูดถึง Today I"ve Lost You เลยว่าเอาคลิปนี้มาให้ดูดีกว่า จริงๆ เพลงนี้แต่งตั้งแต่ก่อนยุบวง แต่ไม่รู้ทำไม Gary ไม่ได้เอาไปใช้กับงานเดี่ยวตัวเอง แต่มีคลิปที่เขาแสดงสดเพลงนี้สมัยออกงานเดี่ยวอยู่ เนื้อเพลงไม่เหมือนกันซะทีเดียว แก้ไขเมื่อ 22 ก.ค. 53 03:39:29 แก้ไขเมื่อ 22 ก.ค. 53 03:35:16 จากคุณ : Song iS A beautifuL LiE เขียนเมื่อ : 22 ก.ค. 53 03:33:00

ความคิดเห็นที่ 59 No. 1 Album No. 1 Single No. 1 DVD No. 1 Download No. 1 Airplay ในอาทิตย์เดียวกัน นั้นคือความสำเร็จของ Take That Part II หลังอัลบั้ม Beautiful World ออก Take That กลับมาครองเมืองอีกครั้ง BW ปัจจุบันขายไปถึง 2.7 ล้านแผ่นที่อังกฤษ กลายมาเป็นอัลบั้มที่ขายดีที่สุดของวง แล้วเหมือนฟ้ามองว่าดราม่าของวงนี้มันยังมีไม่พอ Robbie ก็เลือกที่จะออก Rudebox มาในเวลาเดียวกัน Rudebox ตามคำพูดของเฮีย Rob ในภายหลังก็คือ 'Robbie Williams shall not be Jay-Z' จริงๆ Rudebox น่าจะเป็นอัลบั้มที่ Robbie อยากทำมานานแล้ว Rob ดูจะสนใจพวก rap/electronic มานานพอสมควร เพียงแต่ช่วงเวลามันดันมาเหมาะเจาะกับการออกอัลบั้มใหม่ของ Take That พอดี กระแสตอบรับในอังกฤษค่อนข้างเลวร้าย Rudebox กลายเป็นอัลบั้มที่ขายได้น้อยที่สุดสำหรับ Robbie (ขายได้แค่ 500,000 กว่าแผ่นในอังกฤษ ไม่น้อย แต่แย่สำหรับคนที่ขายได้เกินล้านตลอดอย่างเขา) นักวิจารณ์ก็มีทั้งสับแหลกและสนับสนุน เรียกว่าเป็นครั้งแรกตั้งแต่ Angels ที่เฮีย Rob อยู่ในสถานะการณ์ลำบาก ผู้คนเริ่มจับเขามาเปรียบเทียบกับ Take That กับนั่งนับเวลาว่าเมื่อไหร่เขาจะวิ่งกลับมาหาเกลอเก่า ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองฝ่ายดูจะไม่มีอะไรกันมากแล้ว ถึงเฮีย Rob จะยังแต่งเพลงด่า Gary อยู่ก็เถอะ แต่พอโตขึ้น เลือดมันก็เย็นลง เข้าใจชีวิตมากขึ้น I adopted four brothers,           ...ฉันรับพี่ชายสี่คนเข้ามาใจชีวิต Some I liked more than others           ...บางคนฉันชอบมากกว่าเพื่อน One was like a brother from another mother        ...มีอยู่คนที่เป็นดั่งพี่ชายคนละแม่ But the lead singer made it hard to like him      ...ถึงไอ้น้กร้องนำจะดันทำตัวให้ยากที่จะชอบ And I still loved him      ...แต่ฉันก็ยังทั้งรักมัน despite him        ...ทั้งเกลียดมัน (The 90s - Robbie Williams) เป็น Robbie ซะด้วยซ้ำที่สนับสนุนให้ Jason ตัดสินใจกลับมาเป็น Take That พี่ Jay โทรหา Robbie ในช่วงที่จะตัดสินใจทำ reunion tour เพราะ Jason ดูจะเป็นคนเดียวที่ไม่แน่ใจกับงานนี้มากที่สุด แล้วก็เป็น Robbie ที่บอกว่า 'ทำเถอะ' หากสิ่งเดียวที่ Robbie เลือกทำในตอนนี้ก็คือเก็บตัวหายไปกว่าสามปี ฟังจริงๆ แล้วมันก็โอเคนะ Rudebox (เพลง) แต่มันไม่ใช้ทางที่ควรสำหรับเฮีย Rob มั่ง จากคุณ : Song iS A beautifuL LiE เขียนเมื่อ : 22 ก.ค. 53 04:48:45

ความคิดเห็นที่ 60 กลายเป็นว่าโชคชะตาเริ่มเล่นตลกกับไอ้ห้าคนนี้อีกแล้ว Robbie หลบไปเก็บตัวอยู่ที่แอลเอพร้อมกับข่าวที่ว่าเขาเริ่มหลุดโลก ออกตามล่ายูเอฟโอ กินเครื่องดื่มทุกอย่างที่มีสารคาเฟอีน ตั้งแต่เอสเพรสโซ่ ยันเรดบลู เริ่มมีอาการเสพติดสารที่หนังสือพิมพ์ใช้คำว่า prescription drugs (ยาตามแพทย์สั่ง) สุดท้ายเฮีย Rob ก็ถูกจับส่งสถานบำบัดอีกครั้ง และเป็นวันเดียวกับที่ Take That ขึ้นรับ Brit Awards ตัวที่ห้าของวง สำหรับ Best Single ของ Patience 14 กุมภา 2007 หนึ่งวันหลังวันเกิด Robbie ฟ้าช่างเลือกที่จะเล่นกับจังหวะชีวิตของคนพวกนี้จริงๆ ไม่มีใครเคยคาดคิดว่า Take That comeback จะยิ่งใหญ่ขนาดนี้ แม้แต่อาเฮียทั้งหลาย เองก็ไม่เคยตั้งเป้าอะไรไว้ ปัจจุบันพวกเขายังคิดเสมอว่าอะไรมันจะโชคดีขนาดนั้น Beautiful World ทั้งอัลบั้มและทัวร์ ประสบความสำเร็จมากจนพวกเขาไม่รีรอที่จะเดินเครื่องเริ่มงานต่อ แต่ก่อนจะถึงอัลบั้มใหม่ Take That ได้โปรเจคเล็กๆ แต่ออกมาใหญ่คั่นจังหวะก่อน เป็นการเขียนเพลงประกอบภาพยนต์ Stardust ที่ชื่อว่า Rule the World Stardust ตัวหนังคว่ำไม่เป็นท่า แต่ Rule the World กลายเป็นหนึ่งในซิงเกิ้ลที่ดังที่สุดของ Take That ทั้งๆ ที่เข้าชาร์แค่อันดับที่สอง (โดน Bleeding Love ของ Leona Lewis ตัดหน้าไป) ณ ตอนนี้ Rule the World อยู่ในชาร์ท UK top 75 มาแล้วกว่า 70 สัปดาห์ Take That is Back...for good ! ส่วนตัวเรา Rule the World ใน Beautiful World Live เป็นสิ่งที่ทำให้กับมาติด Take That อีกรอบ ทั้งๆ ที่ไม่เคยฟังมาก่อน แต่เหมือนโดนของ ทั้งจังหวะ เพลง การแสดง เวที การถ่ายภาพ สมบูรณ์มาก แก้ไขเมื่อ 22 ก.ค. 53 06:03:01 จากคุณ : Song iS A beautifuL LiE เขียนเมื่อ : 22 ก.ค. 53 05:55:46

ความคิดเห็นที่ 61 ในเมื่อจะ back for good ก็ต้องมีอัลบั้มที่สองกันหน่อย ยุคอัลบั้ม the Circus เป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่มากจริงๆ ในความรู้สึก งานนี้เป็นงานที่ Take That ทุกคนลงความเห็นว่าเป็นอัลบั้มที่มีความเป็นวงมากที่สุด ตอน BW ความที่ยังใหม่กับการทำงานแบบนี้ วงมีคนโน้นคนนี้เข้ามาช่วยอยู่ตลอด แต่กับ The Circus อาเฮียทั้งสี่นั่งล้อมวง ทำงานกันไป เล่นกันไปอย่างสนุกสนาน อย่างในตอนทำเดโม Up All Night ก็เป็น Howard ที่เล่นกลองในนั้น มันกลายเป็นอัลบั้มที่พวกเขาภูมิใจกับมันมากที่สุด กระแสตอบรับก็โคดจะดีเยี่ยม (แค่ในอังกฤษเหมือนเดิม ข้างนอกปล่อยมันไป) The Circus กลายมาเป็นอัลบั้มขายเร็วที่สุดของปี กับ 432,490 ก๊อปปี้ในสัปดาห์แรก ตามหลังแค่ Be Here Now ของ Oasis กับ X&Y ของ Coldplay กับตำแหน่งขายเร็วที่สุดตลอดกาล กระแสจากนักวิจารณ์ก็เป็นไปในทางบวกมากขึ้น NME ให้อัลบั้มนี้ถึง 8/10 พร้อมคำบรรยายที่ว่า "ถ้าคุณไม่ชอบ Take That - a) คุณมันไอ้... b) มันจะตามไปหลอกหลอนคุณในอนาคตและบดขยี้คุณทิ้ง" คนในวงการหลายๆ คนเริ่มออกมายอมรับ Take That ในฐานะของตัวจริงของวงการมากขึ้นเรื่อยๆ ไล่ตั้งแต่ Chris Martin ของ Coldplay ยัน Nicky Wire ของ Manic Street Preacher ทุกคนเริ่มเห็นคุณค่าของ Take That และความเป็นอัจฉริยะของ Gary Barlow (GB, ว่างัยไอ้น้องน้อย หัวเราะทีหลังดังกว่าว่ะ 555555) แต่อัลบั้มที่สุดท้ายขายได้กว่า 2 ล้านแผ่น ก็ยังไม่ยิ่งใหญ่ไปกว่าทัวร์ Take That Present: The Circus Live เป็นสเตเดี้ยมทัวร์ที่กินเวลามากกว่าเดือน กับ 20 รอบ ใน 7 เมือง นับเป็นยอดผู้ชมทั้งหมดกว่า 1.1 ล้านคน ปัจจุบัน The Circus Live ยังยึดสถิติคอนเสิร์ตที่มียอดจำหน่ายตั๋วเร็วที่สุดใน UK อยู่ พอยังเฮีย จะทำลายสถิติอะไรอีก ตามที่อ่านมา ยังไม่เห็นรีวิวไหนที่ด่า หรือไม่ชอบ The Circus Live เลย ทั้งจากสื่อ และจากคนทั่วๆ ไป Take That โชคดีที่กลับมาเที่ยวนี้สื่อหนุนเต็มที่ จากคุณ : Song iS A beautifuL LiE เขียนเมื่อ : 22 ก.ค. 53 06:54:45

ความคิดเห็นที่ 62 ในส่วนตัวของสมาชิก Take That ที่ The Circus พามาไม่ใช่แค่ความสำเร็จ แต่เป็นการคืนกลับมาของน้องและเพื่อนในอดีต Robbie ช่วงทำ The Circus ดูเหมือนจะเป็นช่วงที่สมาชิกแต่ละคนออกมาบอกว่าเป็นช่วงที่พวกเขาสนุกที่สุด ตอนปลายซัมเมอร์ปี 2008 Take That ต้องบินไปดูแลการมิกซ์อัลบั้มที่ LA ซึ่งเป็นที่อยู่ปัจจุบันของเฮีย Rob ที่ผ่านมาพวกเขาอาจจะกลับมาคุยกันบ้างแล้ว ความรู้สึกแย่ๆ อาจจะไม่เหลืออยู่เท่าไร แต่ก็ไม่ได้เหมือนเดิม แต่เป็นช่วงเวลาที่ LA ที่ทำให้พวกเขากลับมารู้จัก Robbie อีกครั้ง วันหนึ่งเฮีย Rob โดนเดอะแก๊งค์ชวนไปกินข้าวเย็นที่โรงแรม และก็เป็นที่มาของคืนแห่งการเปิดใจ เหมือนถอดทุกอย่างออกมาวางแบอยู่บนโต๊ะ อะไรที่เคยเกิดขึ้น ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านมา ถูกหยิบออกมาตีแผ่ ใครทำไอ้โน้น ใครทำเรื่องนี้ไว้ ใครไม่ยอมทำอะไร "เหมือนยกน้ำหนักที่ผมไม่เคยรู้ว่ามันมีอยู่ออกจากบ่า" Robbie บอก ที่สำคัญเขาได้เพื่อนตายคนใหม่มาด้วย และชื่อของเพื่อนคนนั้นก็คือ Gary Barlow เฮีย Rob เฉลิมฉลองความสัมพันธ์ครั้งใหม่ของพวกเขาด้วยการสักสัญลักษณ์ TT บนแขน Robbie แทบจะรอโชว์รอยสักอันใหม่ของเขาให้คนอื่นๆ ดูไม่ได้ ปฏิกิริยาจากอาเฮียที่เหลือเป็นยังงัยนะหรือ โดยพร้อมเพียงกัน "You, knob!" ไอ้หัว...เอ๋ย นับตั้งแต่กลับมาดีกัน Robbie เปลี่ยนตอนจบของเพลง No Regrets จาก dead เป็น alive ทุกครั้ง จากคุณ : Song iS A beautifuL LiE เขียนเมื่อ : 22 ก.ค. 53 07:37:33

ความคิดเห็นที่ 63 จริงๆ นิยายของเราควรจะจบแค่นี้ถ้าไม่มีเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว มันควรจะเป็นนิยายปลายเปิดที่รอให้ผู้คนฝันหวานกับตอนจบตามแบบฉบับของตัวเองต่อไป แต่อาเฮียทั้งห้าของเราดันไม่ยอมให้เป็นอย่างนั้น ตั้งแต่กลับมาดีกัน ชื่อของ Gary แทบไม่เคยห่างจากปากเฮีย Rob เลย (สงสัยพอหยุดยาสมองเลยกลับตาลปัตร) Robbie มีสัญญากับ EMI อยู่อีกหนึ่งอัลบั้มกับหนึ่งรวมฮิตก่อนที่สัญญา 80 ล้านปอน์ดของเขาจะหมดลง หลังจากได้รักของแฟนและคนรอบข้างมาบำบัด เฮีย Rob ก็เริ่มกลับมาทำงานเป็นเรื่องเป็นราวขึ้น พอไม่ต้องเป็น Jay-Z เขาก็กลับมาทำอัลบั้มในสไตล์ของตัวเองออกมาใหม่เป็น Reality Killed the Video Star (เราชอบชื่อนี้ เป็นเรื่องจริงดีสำหรับวงการเพลงป๊อบตอนนี้) เป้าหมายเดียวของ Robbie ตอนนี้คือ RKTVS ต้องกู้ชื่อ Robbie Williams กลับมาให้ได้ เพื่อที่ว่า 'I can go back and play with my mates' เขาจะได้กลับไปสนุกกับเพื่อนเก่าๆ ของเขาซักที เพราะถ้าเขากลับมา Take That ในจังหวะที่อาชีพการเป็นศิลปินเดี่ยวของเขาอยู่ในอาการโคม่า ทุกคนจะมองว่า Robbie หาทางเกาะความสำเร็จของ Take That RKTVS เป็นการคืนฟอร์มของเฮีย Rob ด้วยยอดขายที่ใกล้หลักล้าน นักวิจารณ์ก็ยกมือให้ แฟนๆ ก็กรี๊ดกราด เหลืออีกแค่หนึ่งอัลบั้มรวมฮิต เขาก็จะได้ไปเล่นกับเพื่อนเก่าแล้ว นึกไม่ออกว่าจะเอาอะไรให้ดูดี เอาภาพ TT สี่คนร้องเพลงกับตำนานอย่าง Paul McCartney ไปดูก่อนก็แล้วกัน แก้ไขเมื่อ 22 ก.ค. 53 09:25:37 แก้ไขเมื่อ 22 ก.ค. 53 08:12:39 จากคุณ : Song iS A beautifuL LiE เขียนเมื่อ : 22 ก.ค. 53 08:10:28

ความคิดเห็นที่ 64 ข่าวลือเรื่อง Robbie จะรียูเนี่ยนกับ Take That ในปีนี้เป็นอะไรที่ได้ยินอยู่เรื่อยๆ แต่เวลาถูกถามว่าจะทำอะไรยังงัยกันแน่ Robbie กลับมุขว่า 'อ๋อ แค่นัดซ้อมกันเตรียมแข่งเลื่อนหิมะสำหรับโอลิมปิคฤดูหนาวแค่นั้นแหละ' ข่าวอัลบั้มรวมฮิตของ Robbie ข่าวดูเอทกับ Gary หลายคนก็รอ ๆ ๆ ว่าเมื่อไหร่ข่าวรียูเนี่ยนมันจะมา สุดท้ายก็เป็นอย่างที่เกริ่นตอนขึ้นกระทู้ วันที่ 15 กรกฏา 2010 Robbie Williams จะกลับมาเป็น Take That ครบ 15 ปีเต็มที่ผู้ชายคนนี้เดินออกไปจากวงที่ชื่อว่า Take That ---ข้อมูลหลายที่บอกว่าเป็น 17 กค 1995 ที่เฮีย Rob บอกเลิกศาลากับวง แต่เราเดาว่านั้นคือวันที่เป็นข่าว วันที่มีประชุมวงจริงๆ น่าจะเป็นวันนี้ที่ 15 ไม่งั้นวงไม่น่าเลือกวันนี้มาเป็นวันแถลงข่าว--- ในที่สุดทุกอย่างก็กลับมา full circle จาก 5 กลายเป็น 4 และจาก 4 ก็กลับมาเป็น 5 เราไม่รู้หรอกว่าที่กลับมารวมกัน มันเพื่อความสัมพันธ์ หรือเพื่อการโปรโมท หรือเพื่อเงิน เรารู้แต่ว่ามันรู้สึกดีชะมัด ความสัมพันธ์ของคนห้าคนนี่เป็นเรื่องละเอียดอ่อน และก็คงจะมีแต่พวกเขาทั้งห้าเท่านั้นที่รู้ว่ามันเป็นอย่างไร คนนอกอย่างเราก็ได้แต่มองเข้าไปด้วยความสนใจ อย่างที่บอก เรื่องของวงนี้เป็นเรื่องของคน มีโลภโกรธหลงตามธรรมชาติของคน สุดท้ายงานนี้อาจจะเป็นจุดจบของวงที่ชื่อว่า Take That อีกครั้ง ดูเฮียๆ จะยึดมั่นกับคำว่า going out on top เหลือเกิน หรือมันอาจจะเป็นจุดเริ่มต้นของสิ่งดีๆ ใหม่ๆ ที่ตามมาอีกมากก็ได้ เราไม่รู้ Take That ทั้งห้าก็คงยังไม่รู้ชัด แต่ที่สำคัญ มันน่าตื่นเต้นดีพิลึก แก้ไขเมื่อ 22 ก.ค. 53 08:40:31 จากคุณ : Song iS A beautifuL LiE เขียนเมื่อ : 22 ก.ค. 53 08:30:29

ความคิดเห็นที่ 65 จบแล้วค่ะ ขอบคุณทุกท่านที่ติดตาม ไม่คิดว่าจะมาราธอนขนาดนี้เหมือนกัน ข้อมูลที่เขียนๆ หลายๆ ส่วนมาจากหนังสือ My Take ของ Gary เพราะฉะนั้นมันเลยเหมือนเป็นมุมมองของเฮีย Gaz มากไปหน่อย Robbie ไม่ใช่คนเลวร้าย ติดจะน่าสงสารด้วยซ้ำในบางแง่ ชื่อเสียงทำลายคนได้ง่ายๆ โดยเฉพาะกับคนที่มีชื่อเสียงแต่เด็กอย่าง Rob ยังงัยก็ช่วยให้มันเป็นกระทู้แนะนำอีกซักหน่อยก็แล้วกันนะคะ อยากให้คนอื่นๆ ได้ลองอ่านดู กับช่วยเก็บเข้าคลังกระทู้เหมือนอันเก่าด้วย _/\_ แก้ไขเมื่อ 22 ก.ค. 53 08:48:00 จากคุณ : Song iS A beautifuL LiE เขียนเมื่อ : 22 ก.ค. 53 08:36:31

ความคิดเห็นที่ 66 ฟัง Love Ain't Here Anymore ในคลิปข้างบนแล้วขอโพสคลิปนี้ด้วยก็แล้ว จากคุณ : Song iS A beautifuL LiE เขียนเมื่อ : 22 ก.ค. 53 08:49:13

ความคิดเห็นที่ 67 ขอบคุณมากครับ ได้ีู้รู้อะไรต่อมิอะไรเพิ่มขึ้นเยอะเลย จากคุณ : Jabawock เขียนเมื่อ : 22 ก.ค. 53 09:30:27

ความคิดเห็นที่ 68 จบแล้ว... (รึเปล่า) ขอบคุณเจ้าของกระทู้มากมาย เล่าเรื่องดีเยื่ยมไปเลยค่ะ อ่านแล้วรัก Take That มากขึ้นอีกเยอะเลย (ปกติก็เยอะอยู่แล้ว) หวังว่าการกลับมารวมตัวกันใหม่ จะเป็นการเริ่มต้นอีกหลายเรื่องที่ดีๆ ตามมา ... ... ตื่นเต้น ตื่นเต้น ... จากคุณ : avides เขียนเมื่อ : 22 ก.ค. 53 10:30:28

ความคิดเห็นที่ 69 ขอบคุณ จขกท. มากๆๆๆๆๆๆ ผมตามมาอ่านครั้งที่เท่าไหร่ไม่รู้ ^^ จริงๆ คือผมจะอายตลอดเวลาไม่กล้าบอกใครๆ ว่าชอบ take that 555 เพราะภาพผมมันหนุ่มร๊อคเหลือเกิน  แต่ตอนนี้ ผมว่า ผมรักถูกวงจริงๆครับ..... จากคุณ : ความตายสีชมพู เขียนเมื่อ : 22 ก.ค. 53 11:57:23

ความคิดเห็นที่ 70 ติดตามมาหลายวัน ขอบคุณมากๆ ค่ะ ที่ยอมเหนื่อยเขียนอะไรสนุกๆ ให้เราอ่านกัน ได้กลับมาบ้า Take That ให้อายหลานๆ แล้วสิเรา จากคุณ : Rurujung เขียนเมื่อ : 22 ก.ค. 53 12:16:07

ความคิดเห็นที่ 71 จบแล้ว ขอบคุณมากครับที่ช่วยเล่าเรื่องคาใจในวัยเด็กให้ฟัง ตอนนั้นงงอยู่ว่าทำไมถึงต้องแยกวง เพราะรู้สึกว่าวงนี้กำลังดัง แต่ก็ไม่ได้ตามข่าว มาอ่านกระทู้นี้ หายคาใจทุกประการ จากคุณ : I am เตียบ่อกี้ เขียนเมื่อ : 22 ก.ค. 53 13:02:34

ความคิดเห็นที่ 72 กระทู้คุณภาพ !!   โหวตๆๆๆ ^ ^ ว่างๆ มาเขียนให้อ่านอีกนะครับ  อ่านสนุกจริงๆ จากคุณ : jazz_tronik เขียนเมื่อ : 22 ก.ค. 53 14:37:31

ความคิดเห็นที่ 73 โอ๊ยย อ่านเสร็จแล้วแทบอยากจะร้องไห้ (อินจัด...) ดีใจนะคะที่คนในวงการยอมรับพวกเขา ถึงมันจะใช้เวลานานเหลือเกินก็ตาม (ขอบอกว่าเรื่องของแต่ละคนในวงทำให้เราได้คิดอะไรบางอย่างกับชีวิตตัวเองได้เหมือนกันนะ ^^) ส่วนตัวได้กลับมาติดตามพวกเขาอย่างจริงๆจังอีกทีก็ตอน Beautiful World Tour นั่นแหล่ะค่ะ ตอนนั้นจำไม่ได้ว่าทำอะไรอยู่ รู้แต่ว่าไปเจอคลิป Rule the World กับ Could it be magic night? พอดูแล้วก็วิ่งออกไปซื้อ DVD เลย สุดท้ายรูมเมทก็ชอบมาก ซื้อกลับเมืองจีนไปด้วยอีกแผ่น อิอิ ขอบคุณมากๆนะคะ สำหรับเรื่องราวดีๆและสนุกยิ่งกว่านิยายหลายเรื่อง ปล. ขอบคุณสำหรับคลิปที่ คห. 50 ด้วยนะคะ ใช่แล้วค่ะ อันนี้เลย ^^ จากคุณ : gibt เขียนเมื่อ : 22 ก.ค. 53 16:00:07

ความคิดเห็นที่ 74 ชีวิตจริงยิ่งกว่านิยายอีก จากคุณ : for_SiNe เขียนเมื่อ : 22 ก.ค. 53 17:15:52

ความคิดเห็นที่ 75 ตั้งแต่เข้าเฉลิมกรุงมาเป็นหลายปี กระทู้นี้ประทับใจที่สุด ขอบคุณจากใจจริงๆ จากคุณ : carloskop เขียนเมื่อ : 22 ก.ค. 53 22:11:14

ความคิดเห็นที่ 76 ดีใจที่มีคนยอมอ่าน เราว่าเรื่องของวงนี้มันน่าสนใจดี ช่วงเบรกกันไปก็ไม่ได้ตามเท่าไหร่ แต่พอหาอ่านมาเรื่อยๆ แล้วเออ คนสู้ชีวิตกันดีจัง จากคุณ : Song iS A beautifuL LiE เขียนเมื่อ : 23 ก.ค. 53 01:38:47

ความคิดเห็นที่ 77 ขอบคุณมากๆ นะคะ >..< จากคุณ : KhuanPsycho เขียนเมื่อ : 23 ก.ค. 53 09:50:11

ความคิดเห็นที่ 78 ความคิดหนึ่งหลังอ่านจบคือสงสารร็อบบี้ ในฐานะเด็กที่สุดในวง แยกตัวแล้วดันดังที่สุด ไม่ต้องคิดเลยว่าความกดดันจากสื่อต่างๆ มันไปผสมกับความกดดันสมัยอยู่ TT มากขนาดไหน ผมว่าก็ไม่น่าแปลกใจที่ร็อบจะสติแตกเป็นพักๆ และคนที่คิดถึง TT ที่สุดก็คงเป็นร็อบนี่แหละ (ปากแข็งใจอ่อน ประมาณนั้น) ส่วน Patience ที่เป็น Angels ของ TT โดยส่วนตัวผมไม่กรี๊ดเท่าไหร่ (ฮา) แอบปันใจให้เพลงอื่นมากกว่า อีกเรื่องนึงคือหลังจากอ่านเรื่องราวจบ แล้วพอกลับไปฟังอัลบั้ม beautiful world กับ the circus มันทำให้ผมรู้สึกอะไรบางอย่าง เนื้อเพลง Greatest Day น่าจะบอกสถานะภาพของวง ณ ปัจจุบันได้ดีที่สุดแล้วมั้งครับ ปล. ขี้เกียจกดกิฟท์แล้วพี่ เมื่อยนิ้ว :) ปล. 2 ถึง คห. 69 อย่าอายที่หนุ่มร็อกจะรัก TT (ฮิฮิ) แก้ไขเมื่อ 23 ก.ค. 53 11:12:21 จากคุณ : strawberry machine gun เขียนเมื่อ : 23 ก.ค. 53 11:10:05

ความคิดเห็นที่ 79 อ่านแลวน้ำตาซึม สิ่งที่เราเชื่ออย่างหนึ่งหลังจากที่ได้อ่านจนจบคือ   มิตรภาพไม่มีวันตายจริงๆ อาจจะมีช่วงเวลาที่มืดมน  ต่เมื่อเปิดอกคุยกัน   เพื่อนก็คือเพื่อน ม่ว่าจะใช้เวลาขนาดไหน   เคยสร้างบาดแผล  เคยมีบาดแผล  และในการรักษาบาดแผลเหล่านั้น  เพื่อนก็คือเพื่อนจริงๆ จากคุณ : sweetest เขียนเมื่อ : 23 ก.ค. 53 16:52:24

ความคิดเห็นที่ 80 ถึงไม่ได้เป็นแฟนวงนี้เลย แต่พออ่านแล้วน้ำตาซึม เรื่องบางเรื่องละเอียดอ่อนจริงๆค่ะ อย่างเรื่องเพื่อน...บางทีมันต้องใช้เวลาในการรักษาสิ่งที่เกิดขึ้นที่เกิดขึ้น ทั้งโดยตั้งใจ...หรือไม่ตั้งใจ แต่เหมือนตอนที่เราเจอเพื่อนเก่าเมาท์เฮฮากันแล้วมองกลับไปในวันเก่าๆที่เราเคยสร้างบาดแผลให้อีกฝ่ายทั้งที่เรารู้และไม่รุ้ว่าได้ทำให้เพื่อนเจ็บปวด มันจะเป็นวันที่พวกเราหัวเราะให้กับความบ้าส่วนตัวของตัวเอง.... เวลา...ประสบการณ์ที่ผ่านมา...การเปิดใจระหว่างเพื่อน ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างดีขึ้นได้จริงๆ ชอบประโยคนี้มากเลย....คนนอกอย่างเราทำอะไรไม่ได้นอกจากให้กำลังใจและภาวนาอย่างเงียบๆ "ความสัมพันธ์ของคนห้าคนนี่เป็นเรื่องละเอียดอ่อน และก็คงจะมีแต่พวกเขาทั้งห้าเท่านั้นที่รู้ว่ามันเป็นอย่างไร คนนอกอย่างเราก็ได้แต่มองเข้าไปด้วยความสนใจ " ขอบคุณที่เขียนเรื่องราวดีๆแบบนี้ให้ได้อ่านน๊ะคะ ปล.แอบรู้จักวงนี้ก็ตอนมีสี่คนแล้ว และไม่เคยรับรู้ประวัติดราม่าอันยาวนานของวงเลย ขอบคุณจริงๆจ๊า จากคุณ : มองดูท้องฟ้า....ไม่เป็นเช่นเคย เขียนเมื่อ : 24 ก.ค. 53 00:04:39

ความคิดเห็นที่ 81 ขอบคุณ จขกท. มากมายครับอ่านไปทั้งซึ้งขนลุกและน้ำตาซึมได้เลยอ่ะข้อมูลเยี่ยมมากเลยครับ เรื่องนี้มันทำให้เรานึกย้อนถึงความฝันในช่วงนั้นได้ดีเลยครับในฐานะแฟนเพลงคนหนึ่ง เวลาผ่านไปสิบกว่าปีแล้วแต่ความฝันยังเดินอยู่ในใจลึกๆของตัวเองว่าวงในยุดน้้นหลายวงจะกลับมารวมกันอีก และสิ่งซึ่งไม่น่าเชื่อคือพวกเค้ากับมาสานความต่อความฝันของคนอายุ30up อิอิ Take That คือฮีโร่ คือแรงบันดาลใจ คือเพื่อนยามท้อแท้ คือความสุขที่ได้เป็นแฟนบอยแบรนด์วงนี้ หลังจากที่ชีวิตแต่ละคนต่างมีวิถีชีวิตไปตามทางของตัวเองรวมทั้งแฟนเพลงด้วย ความเหนื่อยล้าของชีวิตจะผ่อนคลายความสุขที่เคยได้รับกำลังจะกลับมา รู้สึกเหมือนกันกับ จขกท. เลยล่ะว่า รู้สึกดีชะมัดเลยขณะที่พิมพ์อยู่นี้ทั้งพิมพ์ทั้งยิ้มครับ ^^ จากคุณ : Pom_OnTour เขียนเมื่อ : 24 ก.ค. 53 23:24:27

ความคิดเห็นที่ 82 ขอบคุณสำหรับเรื่องราวของ Take That ครับ ไม่นึกว่าวงนี้เบื้องหลังจะดราม่าได้ขนาดนี้ อ่านแล้วอึ้งครับ แต่มาถึงจุดนี้แล้ว Take That ต้องยอมรับว่า สุดยอดมากจริงๆ ทั้งๆที่ผมก็ติดตามวงนี้ได้ไม่เท่าไหร่ เห็น #60 โพส Rule The World หนึ่งในเพลงผมชอบที่สุดของ Take That แบบ Live แล้ว เลยอยากจะโพสแบบ MV (Version Ost.) บ้าง ไม่รู้ทำไม ผมชอบทั้งเพลง และ หนังเลย อะไรๆมันก็ลงตัวไปซะหมด ถึงหนังจะแป้ก แต่ก็เป็นหนังที่ผมชอบที่สุดเรื่องหนึ่งในปีนั้นครับ จากคุณ : Beerzonline เขียนเมื่อ : 25 ก.ค. 53 03:54:09

ความคิดเห็นที่ 83 ของคุณทุกความเห็นอีกที เราว่าพวกนี้โชคดีที่สามารถสลัดความรู้สึกร้ายๆ ออกไปได้ ความโกรธเก็บไว้มากก็ไม่มีประโยชน์ ปล ยังไม่ได้มีโอกาสดู Stardust ซักที เห็นเขาว่าสนุกมาก จากคุณ : Song iS A beautifuL LiE เขียนเมื่อ : 25 ก.ค. 53 12:59:36

ความคิดเห็นที่ 84 ขอบคุณจขกท.มากค่ะที่ทำให้เราได้ระลึกความหลังวงแรกที่เราตกหลุมรัก ไม่เคยรู้เลยว่าหลังจากแยกวง ชีวิตแต่ละคนจะดราม่ากันขนาดนี้ เมื่อก่อนเคยบ้าเอาเป็นเอาตาย สำหรับเรา Take That เป็น the first of many เป็นศิลปินวงแรกที่เราเก็บค่าขนมซื้ออัลบั้มตอนป.6 เป็นวงแรกที่เราตามเก็บทุกซิงเกิ้ลเท่าที่จะคุ้ยใน Tower Record เจอ วงแรกที่เราไปดูคอนเสิร์ต วงแรกที่เราเป็นลมในคอนเสิร์ต (เจอก้นขาวจั๊วของป๋า HD ตอน Relight My Fire เข้าไป เลือดเลี้ยงไม่ทันเลย...) วงแรกที่เราชักดิ้นชักงอทะเลาะกับพ่อแม่ เพราะอยากไปดูคอนวันที่ 2 ด้วยแต่พ่อแม่ไม่ให้ วงแรกที่ทำเราร้องไห้ไปเป็นอาทิตย์เมื่อประกาศแยกวง Mark Owen ก็เป็นผู้ชายคนแรกที่เราบอกรัก และได้คำว่า thank you กับรอยยิ้มกลับมา (กระแดะที่สุด...) ตอนนี้ในห้องยังมีตู้ Take That โดยเฉพาะที่ไม่เคยแตะมาสิบกว่าปีแล้วอยู่เลย ฮ่าๆๆๆ แต่พอทุกคนเงียบไป เราก็อารมณ์ out of sight, out of mind ด้วย ตอนแรกที่มีข่าวว่า TT จะกลับมารวมวงใหม่ เรายังลุ้นว่าจะไปรอดรึเปล่า ถึงจะไม่ได้เป็นแฟนคลับเหนียวแน่นเหมือนเดิม แต่เห็นหน้าลุงๆ ทุกครั้ง ก็ยังรู้สึกตื้นตันเหมือนได้เจอหน้าเพื่อนเก่าที่หายไปนาน เพิ่งมารู้ข่าวไม่กี่วันก่อนว่าจะกลับมาเป็น 5 คน ปฏิกิริยาแรกคือ กรี๊ด ขนลุก น้ำตาไหล เหมือนที่จขกท.บอกว่า ทุกอย่างกลับมาเป็น full circle อีกครั้ง บอกได้คำเดียวว่า เรารู้สึก"อิ่ม"มาก :) ดูคลิป Rule the World #60 แล้วน้ำตาไหลพรากเลย ไม่เคยดู >.< ตอนเราไปดู Stardust ที่โรง ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับหนังเรื่องนี้เลย แต่กลายเป็นว่าสนุกมาก ทั้งฮา น่ารัก ซึ้ง และยิ่งช็อกเพราะไม่รู้ด้วยว่า TT ร้องเพลงประกอบ พอเพลงขึ้นตอนจบ เราแบบ เฮ้ย เสียงแกรี่!!! ชั้นพลาดไปได้อย่างไร!!! แนะนำอย่างยิ่งค่ะ Stardust ทั้งที่เป็นหนังและหนังสือของ Neil Gaiman (และหนังสือทุกเรื่องของ Neil Gaiman ด้วย :P) รับรองไม่ผิดหวัง ^^ สำหรับเรา Take That ไม่ใช่แค่นักร้องทั่วไป พวกเขาคือความทรงจำวัยเด็ก เป็นตัวแทนของมิตรภาพ เป็นความสุขของเรา ขอบคุณจขกท.มากๆ ค่ะ สำหรับกระทู้ที่อ่านแล้วมีความสุขมาก เหมือนเจอแนวร่วมวัยเดียวกัน 555 ว่าแล้วก็ไปขุดวิดีโอ Live in Berlin มาปัดฝุ่นหน่อยดีกว่า TT เป็นเหตุผลเดียวที่เรายังเก็บเครื่องเล่นวิดีโอไว้อยู่ ^o^ แก้ไขเมื่อ 26 ก.ค. 53 04:09:24 จากคุณ : Slayerette เขียนเมื่อ : วันอาสาฬหบูชา 53 03:40:00

ความคิดเห็นที่ 85 ย้อนอ่านเรื่อง Robbie ชอบกัดแล้วนึกขึ้นได้ ตอน Rob มาคอนที่ไทยก็ยังอุตส่าห์กัด TT ด้วย Rob กำลังจะร้อง Back for Good แล้วพูดประมาณว่า ที่จริง Rob จะมาไทยตั้งนานแล้ว กับวงที่ชื่อ Take That แต่โชคไม่ดีโดนไล่ออกซะก่อน อะไรประมาณนั้น แล้วก็แปลงเนื้อเพลง Back for Good เป็นเพลงแซว Take That นิดหน่อยด้วย เฮ้อ ความหลัง... แก้ไขเมื่อ 26 ก.ค. 53 04:10:25 จากคุณ : Slayerette เขียนเมื่อ : วันอาสาฬหบูชา 53 03:48:15

ความคิดเห็นที่ 86 เฮียร๊อบกัด Take That ประจำเป็นเรื่องปกติ อารมรณ์แฟนเก่ากัดไม่เลิก คลิปนี้เป็นของขวัญให้แฟน Makie ยุคเก่าร้อง Babe แบบเก่า FF ไปที่นาทีที่ 0.28 ได้เลย จากคุณ : Song iS A beautifuL LiE เขียนเมื่อ : วันอาสาฬหบูชา 53 07:12:54

ความคิดเห็นที่ 87 จขกท เขียนได้ดีมากเลยเลยครับ ยาวแต่น่าติดตามมาก แต่ก่อนเคยรู้จัก TT แค่จากเพลง Back for good และในฐานะวงเก่าของเฮียรอบบี้ หลังจากอ่านกระทู้นี้ทำให้ไปขวนขวายหาเพลงเก่าๆอื่นๆของ TT มาฟัง จขกท ทำให้ TT ได้แฟนคลับรุ่นใหม่เพิ่มขึ้นมาอีกคนแล้วล่ะครับ ^ ^ จากคุณ : 24fan เขียนเมื่อ : 1 ส.ค. 53 01:08:09

ความคิดเห็นที่ 88 เข้ามาขอบคุณที่ยังอ่านอยู่ ดีใจที่มีคนชอบ TT เพิ่มขึ้น จากคุณ : Song iS A beautifuL LiE เขียนเมื่อ : 4 ส.ค. 53 09:43:01

ความคิดเห็นที่ 89 ขอบคุณมากคับที่เขียนกระทู้นี้ขึ้นมา ผมโตมาในยุคที่พวกเขาหันหลังให้กันแล้ว รู้จักเพลงเก่าที่เพราะอย่าง Back for good เพลงเดียว แล้วไปซื้ออีกทีก็ซิงเกิล Stronger, for all that you want ของ Gary เลย หลังจากนั้นก็ตามแต่เพลงของ Robbie มาตลอด ผมชอบเสียงของเขา ยิ่งอ่านยิ่งรู้สึกสงสารเขานะคับ เหมือนน้องเล็กที่ถูกพี่ชายตัดหางปล่อยวัด การที่คนที่เรารักมาทำแบบนี้กับเรา โลกของเราเปลี่ยนไปแน่นอนครับ ดีใจที่ได้มีโอกาสรู้จักพวกเขาใหม่หมดเลยจากกระทู้นี้ ขอบคุณอีกครั้งครับ เพลง Shame เพราะมาก โดยเฉพาะท่อนแรก จากคุณ : YF-01 เขียนเมื่อ : 27 ส.ค. 53 00:18:27

ความคิดเห็นที่ 90 เข้ามาเห็นด้วยเรื่องเฮียร๊อบ ดูเฮียเป็นคนทำอะไรตามความรู้สึก จากคุณ : Song iS A beautifuL LiE เขียนเมื่อ : 27 ส.ค. 53 23:00:33

ความคิดเห็นที่ 91   โห แฟนtake thatตัวจริง สำหรับเราเราชอบร็อบคนเดียวอะ แต่ร็อบให้สัมภาษณ์ว่าหลังreunion +ทัวร์ครั้งนี้จบ ก็คงพอแค่นี้ เสียใจมากๆ แต่ก็ต้อง let it be ... จากคุณ : rpw1974 (rpw1974) เขียนเมื่อ : 6 ก.ย. 53 01:04:07